คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #36 : Irishxmm ✥ | The Amityville
T H E A M I T Y V I L L E
- author. i r i s h x m m / ost. s t a y by h u r t s. -
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความรักกลายเป็นความหวาดกลัว
ปลายเท้าสีซีดจนน่ากลัวจมลงบนผืนทราย ภาพระลอกคลื่นเล็กซัดท่วมข้อเท้าเพียงชั่วครู่
ก่อนจะม้วนตัวกลับไปสะท้อนในสายตาซ้อนทับกับภาพของหญิงสาวในห้วงคิด
พลันเข่าทั้งสองข้างก็ไร้เรี่ยวแรงจนทรุดนั่งลง
ให้ความเย็นจากน้ำทะเลซึมผ่านอาภรณ์หรูหราอย่างคนชั้นสูง
ริมฝีปากสั่นระริกเมื่อความหนาวแทรกซึมไปทั่วสรรพางค์
แสงจันทร์ในยามนี้กลับมืดมิด
และเสียงหวีดหวิวก็ยิ่งทำให้ทุกสิ่งรอบตัวน่ากลัวขึ้นอีกร้อยเท่า
มือเย็นเฉียบกำทรายใต้น้ำไว้แน่นราวกับจะให้มันทะลุเข้าฝ่ามือก็มิปาน
หากความเจ็บปวดจากเม็ดทรายหยาบในฝ่ามือนั้นช่างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจิตใจ
เพราะแม้แต่น้ำตาก็ยังไม่อาจตีค่าความโศกเศร้านี้เป็นหยดน้ำได้
อุณหภูมิในใจลดต่ำ
กดอากาศหายใจที่มีอยู่ให้เบาบาง มันบีบรัดจนคล้ายว่าจะหายใจไม่ออก
และเสียงกรีดร้องก้องดังราวกับเศษกระจกแหลมทิ่มแทงก็ทำให้ทุกอย่างย่ำแย่มากขึ้นทุกที
เสียงรองเท้าบู้ทหลายคู่บนผืนทรายเฉอะแฉะไม่น่าฟัง
กลุ่มคนเหล่านั้นก้าวเข้าใกล้เรื่อย ๆ
จนกระทั่งมือใหญ่คว้าเข้าที่ต้นแขนของชายผู้ไร้เรี่ยวแรง หนึ่งในกลุ่มผู้มาใหม่ดึงเขาขึ้น ก่อนเหล็กเย็นเฉียบถูกคล้องที่ข้อมือทั้งข้างพร้อมเสียง กริ้ก ! อันเป็นสัญลักษณ์สถานะใหม่ของผู้ถูกสวมใส่
“เป็นแบบนี้ทุกราย
ตอนทำดันไม่คิดแล้วมานั่งเสียใจทีหลัง” ชายตัวใหญ่กล่าวพึมพำ
ขณะออกแรงดึงให้เขาก้าวไปพร้อมกัน โดยมีผู้ช่วยอีกคนคอยดันหลังอยู่เนือง ๆ
“เป็นถึงลูกชายขุนนางใหญ่...”
สายตาแดงก่ำด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจคาดเดา
จ้องมองเท้าเปลือยเปล่าของตนย่ำไปบนผืนทราย
เสียงของชายแปลกหน้าดังอื้ออึงในหูเป็นระยะ
รู้สึกเหมือนหัวใจถูกทุบด้วยฆ้อนที่มองไม่เห็น
หากอีกซอกหนึ่งบนชิ้นส่วนที่แตกละเอียดกลับกำลังเต้นตุบอย่างยินดี
อากาศหนาวในยามนี้ห่อหุ้มหัวใจให้เจ็บจนชา
หากแต่ว่าแฝงไปด้วยความรู้สึกแสนคุ้นเคย พลันเปลือกตาก็ปิดลง
เสียงภายในใจร่ำร้องสวดภาวนาอีกครั้ง และอีกครั้ง
สาบานกับพระเจ้าทุกองค์บนโลก
เขาไม่ได้ตั้งใจให้ความรักของเราพังทลายเช่นนี้เลย
ปึ่ก !
เสียงปิดสมุดก่อนเจ้าตัวจะเอนหลังพิงกับพนักอย่างแรง โอ เซฮุน
นักแสดงดาวรุ่งดาวใหม่ของวงการโยนบทภาพยนตร์ภาพยนตร์ที่เพิ่งจะอ่านจบลงส่ง ๆ
บนโต๊ะกระจกเอ่ยวิจารณ์เสียงดัง “โรคจิต !”
“โยนบทอย่างนั้นเดี๋ยวนักข่าวมาเห็นก็เป็นเรื่อง”
คิม มินซอก ชายหนุ่มตัวเล็กบ่น
เขาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเซฮุนมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว
โดยปกติแล้วเซฮุนไม่ค่อยสร้างปัญหาอะไรให้น่าหนักใจ
แต่มีเพียงเรื่องเดียวที่เป็นปัญหาคาราคารังจนน่ารำคาญ
“ในตึกบริษัทเรามีนักข่าวที่ไหนกัน”
เถียงพลางเอนหลังพิงกับเบาะเก้าอี้
เขาก็แค่วิจารณ์บทภาพยนตร์ตามที่ได้อ่านไปก็เท่านั้น บทภาพยนตร์ที่เขากับจงอินเพิ่งจะพูดคุยกันเกี่ยวกับมันไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน
มินซอกกลอกตา
ไม่เถียงเจ้าเด็กดื้อในความดูแลแล้วเอ่ยถามตรงประเด็น “ตกลงจะรับแสดงไหม ?”
“รับซี”
ตอบพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความ ชายหนุ่มมองภาพนั้นก่อนจะลอบถอนหายใจ
ไม่ต้องเดาให้เหนื่อยหรอกว่าเจ้าตัวคุยกับใคร
ไอ้ใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยามรัวปลายนิ้วบนหน้าจอก็บอกอยู่แล้ว
“ได้บทพระเอกเชียวนะ แถมได้แสดงเรื่องเดียวกับจงอินทั้งที ไม่รับก็บ้าแล้ว
พี่มินซอก”
“เดี๋ยวก็ได้ทะเลาะกันกลางกองถ่าย”
มินซอกสวนทันควัน เบื่อจัดกับปัญหาคู่รักของนักแสดงในความดูแลของเขากับแฟนหนุ่มนักแสดงร่วมค่าย
คิม จงอิน ใช่ว่ามินซอกไม่รู้ว่าเซฮุนกับจงอินรักกันมาแค่ไหน
แต่ความรักแบบที่ทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนคงไม่ใช่ความรักที่ดีเท่าไรในความคิดเขา
ทั้งสองคนรักกันมาก...และบางทีก็อาจจะมากเกินไป
“ไม่มีหรอก” ไม่มีทางที่จะไม่เกิดขึ้นน่ะสิ มินซอกต่อท้ายในใจ และสุดท้ายหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์โทรศัพท์ถึงปลายสายเรื่องการตอบรับเข้าร่วมแสดง
เซฮุนเห็นดังนั้นก็อมยิ้ม ลุกขึ้นตีไหล่ผู้จัดการแปะก่อนจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แต่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายก็คงไปโทรศัพท์รายงานตัวกับจงอินตามเคย มินซอกพยักหน้าส่ง ๆ ไม่อยากใส่ใจให้ปวดหัว มือเล็กหยิบบทภาพยนตร์มาพลิกไปมา ระหว่างคุยเรื่องรายละเอียดงานไปด้วย นึกแปลกใจอยู่นิดหน่อยก่อนวางสายกับคำพูดขอบคุณหลายต่อหลายครั้งของหัวหน้าทีมแคสติ้งนักแสดง รวมไปถึงเรื่องที่เซฮุนไม่จำเป็นต้องออดิชั่น
‘ขอบคุณที่ไม่ปฎิเสธงานนี้เป็นรายที่สามนะ
มินซอก ขอบคุณจริง ๆ’
เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันขณะวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ
ข้างกันเป็นสมุดบทภาพยนตร์ที่เขาวางมันไว้เมื่อครู่
ตัวหนังสือชื่อเรื่องพิมพ์ฟอนต์ตัวหนาเด่นเตะสายตาจนอดมองไม่ได้ ‘The Amityville’
คับคล้ายคับคราว่าเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน แต่นึกไม่ออก...
“มินซอก”
เสียงเรียกชื่อพร้อมกับประตูห้องเปิดผลัวะ คิม
จุนมยอนพนักงานรุ่นน้องในบริษัทก็เดินเข้ามาพอดี
สายตามองหาเซฮุนที่ควรจะอยู่ในห้อง “อ้าว เซฮุนไม่อยู่หรือครับ ?”
“ไม่อยู่หรอก คงออกไปคุยโทรศัพท์”
จุนมยอนได้ฟังก็หัวเราะกับคำตอบ พลางหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่าง
“กับจงอินอีกละสิ” แน่นอนว่าเรื่องของเซฮุนกับจงอินถูกปิดเป็นความลับ
แต่นั่นไม่ใช่กับคนในบริษัทหรอก มินซอกพยักหน้ารับ ชายหนุ่มรุ่นน้องแย้มยิ้มเห็นใจ
“เอาน่า วัยรุ่นก็แบบนี้ ถ้าอย่างนั้นผมฝากบทไว้ก็แล้วกัน
เมื่อเช้าคนจากสตูดิโอเพิ่งส่งมา เอ๋--”
จุนมยอนเงียบไปเมื่อเห็นสมุดบทภาพยนตร์เล่มสีขาวบนโต๊ะ “‘The Amityville’ ?”
“อื้ม ใช่”
ผู้จัดการตัวเล็กหยิบสมุดที่ว่ามาไว้ในมือ ก่อนจะมองมันสลับกับคนถาม
“ทำไมทำหน้าเหมือนโดนผีหลอกอย่างนั้นเล่า คิม จุนมยอน”
“ไม่โดนก็เหมือนโดนล่ะครับ”
ชายหนุ่มฝ่ายประสานงานว่า สายตาจ้องตัวหนังสือพิมพ์หนาบนปกอย่างหวาด ๆ “อย่าบอกว่าเอามาทำเป็นภาพยนตร์
?”
มินซอกพยักหน้าแทนคำตอบ
แต่เพราะไม่เข้าใจใบหน้าของเพื่อนร่วมงานจึงหัวเราะออกมาแผ่วเบา “ทำไมหรือ ?
คราวนี้เซฮุนได้รับการติดต่อบทพระเอกเชียวนะ อยู่วงการมาเกือบสองปีแล้วไม่ดังสักที
หวังว่าคราวนี้จะได้แจ้งเกิดกับเขาบ้าง”
“ไปแจ้งเกิดเรื่องอื่นไม่ดีกว่าหรือ”
พูดพลางดึงสมุดบทภาพยนตร์จากมือมินซอกมาไว้ในมือแทน “ผมว่ามันน่ากลัวไปนะ”
“ก็เป็นหนังผีนี่นา”
เขาไม่เข้าใจสิ่งที่รุ่นน้องพยายามจะบอกจริง ๆ นั่นล่ะ
“มันก็ใช่ครับ แต่บ้านหลังนั้นน่ะ--”
จุนมยอนถอนหายใจ “ประวัติมันเยอะออกนะครับ”
เมื่อดูแล้วมินซอกยังไม่เข้าใจเขาจึงเริ่มเล่า “บ้านหลังนั้นน่ะ
มีมาเป็นร้อยปีแล้วครับ เก่ามากนะ แต่สวยเลยล่ะ ทำเลดีอยู่ใกล้ทะเล
เสียแต่ว่าประวัติแย่ไปหน่อย ชาวบ้านแถวนั้นก็เลยลือกันว่ามีอาถรรพ์
แต่ก็อย่างว่านะครับ ใครเข้าไปอยู่ก็มีอันเป็นไปเสียทุกราย...”
เรื่องจริงเคยเป็นข่าวครึมโครมอยู่เมื่อราวยี่สิบกว่าปีก่อน
ตอนนั้นจุนมยอนยังเด็กมาก แต่ที่รู้เรื่องดีก็เพราะบ้านของคุณยายอยู่แถวนั้น
ชายหนุ่มทอดมองรุ่นพี่ตัวเล็ก “พี่มินซอกคงลืมข่าวนี้ไปแล้ว แต่ผมจะบอกให้นะครับ
ตอนนี้บ้านหลังนั้นน่ะ จะว่าถูกปิดตายก็ไม่เชิงหรอก
แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งย่ามอะไรมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว
แต่ถ้าผู้กำกับเรื่องเขาไม่คิดใช้สถานที่จริงก็คงไม่มีปัญหา”
ไม่รู้ทำไมหัวใจจึงเต้นดังผิดปกติราวกำลังจะเตือนอะไรบางอย่าง
มือยึดสมุดบทภาพยนตร์แน่น ในหัวยังมีรายละเอียดบทสนทนาเรื่องการถ่ายทำกับผู้จัดที่เพิ่งจะวางสายไปเมื่อครู่
“จุนมยอน บ้านของคุณยายของนาย...อยู่แถวอิลซานหรือเปล่า ?”
“ใช่ครับ”
และคำตอบจากรุ่นน้องคนสนิทก็ตอกย้ำให้รู้สึกวูบโหวง
มินซอกไม่เคยรู้สึกแย่กับการตอบรับบทภาพยนตร์เรื่องไหนของเซฮุนเท่าครั้งนี้
...มากกว่าตอนที่หนังเรื่องแรกของเซฮุนเจ๊งไปหลายล้านวอนเสียอีก
ราวกับสัญญาณเตือนบางอย่างในหัวกำลังถูกสั่นระรัว
หากเขาไม่รู้ว่ามันกำลังร้องเตือนเรื่องอะไร
“นั่นมัน-- ให้ตายสิ จุนมยอน พี่--”
ยังไม่ทันจะได้ระบายความรู้สึกประหลาดนี้ออกไปจากหัว ประตูห้องรับรองก็เปิดผลัวะ
พร้อมกับร่างโปร่งของนักแสดงในความดูแล
ใบหน้าของคนมาใหม่หงุดหงิดแตกต่างกับตอนออกไปจากห้องราวฟ้ากับดิน
“ไปกินรังแตนมาจากไหนนั่น”
จุนมยอนถามขณะมองเซฮุนกระแทกตัวนั่งลงบนโซฟา
ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ในกางเกงออกมาโยนจนเกือบร่วงจากโต๊ะ
นับว่าการมาของเซฮุนทำเอาเรื่องที่มินซอกกับจุนมยอนกำลังพูดกันอยู่ตกขอบไปเสียไกล
“โมโหอะไรมาก็ไม่ควรลงกับข้าวของ
ต้องให้พี่พูดอีกกี่รอบ” มินซอกบ่นเสียงดัง ก้าวฉับ ๆ ไปเก็บมือถือมาไว้ในมือ
ดวงตาเรียวมองท่าทางกอดอกแล้วเบือนหน้าหนีคำพูดของคนเด็กกว่าแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
“โตแล้วนะ เซฮุน อย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่”
“อยากจะอัดเสียงคำพูดพี่มินซอกไปเปิดให้จงอินฟังสักพันรอบ”
กะแล้ว...
ผู้จัดการคนเก่งหมุนดวงตาไปรอบทิศ เพิ่งบอกเขาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่มีทะเลาะกันกลางกองถ่าย ยังไม่ทันพ้นชั่วโมงดี
จุนมยอนยิ้มแหยก่อนลุกออกไปจากห้องเงียบ ๆ ปล่อยให้ดารากับผู้จัดการเขาคุยเรื่องส่วนตัวกันเอง
มินซอกมองประตูห้องปิดลง
แล้วหันมาจ้องเซฮุนที่ยังหน้าหงิกไม่เลิก “ตะกี้ยังดีกันอยู่เลยนี่”
“ก็จงอินมันงี่เง่า”
ประโยคแพทเทิร์นเดิมหลุดจากริมฝีปากแดง
มินซอกขี้เกียจนับแล้วว่าเคยได้ยินมากี่ร้อยรอบ “ทำไมถึงชอบจับผิด
ชอบหาเรื่องกันนักก็ไม่รู้ ผมก็อยู่ของผมเฉย ๆ นะ
ทุกวันนี้จะขยับตัวไปไหนก็คอยรายงานมันยิ่งกว่าพ่ออยู่แล้ว ไม่รู้จะเอาอะไรนักหนา
นี่ผมแค่รับโทรศัพท์มันช้า หาว่าผมคุยกับคนอื่นเฉย มันใช่เรื่องไหมล่ะพี่ ?”
“พี่ก็บอกแล้วว่าไม่ชอบตรงไหนก็ให้บอกกันไปตรง
ๆ เปิดอกคุยน่ะ รู้จักไหม” เอาน้ำเย็นเข้าลูบให้เซฮุนใจเย็นลงหน่อย
แต่ดูเหมือนคราวนี้เรื่องจะใหญ่กว่าทุกที
ใบหน้าขาวถึงได้ฉายแววหงุดหงิดจนแทบควบคุมไม่ได้
“ทำแล้วนะ แต่คุยกี่รอบมันก็เหมือนเดิม
แล้วนี่ผมก็เพิ่งรู้ว่า หนัง Amityville อะไรนี่ ที่ผมกับมันเพิ่งตอบรับร่วมแสดงไป
มีคุณปาร์ค ชานยอลเป็นผู้กำกับ โคตรปวดหัวเลย”
“อ้าว พี่นึกว่าเรารู้แล้ว” พูดเสียงค่อย
ไม่ใช่ว่ามินซอกลืมว่าเซฮุนกับจงอินเคยทะเลาะกันใหญ่โตมาแล้วเรื่องผู้กำกับตัวสูงปาร์ค
ชานยอลคนนั้น
แต่ก็ดันคิดเองเออเองว่าที่เจ้าตัวตอบรับเสียงใสก็เพราะเคลียร์กับคนรักเรียบร้อยแล้วเสียอีก
“ที่จริงชื่อคุณชานยอลเขาก็พิมพ์ติดไว้หน้าแรกนะ แล้วตอนแรกที่ได้รับการติดต่อมาพี่ก็บอกเราไปแล้วด้วย”
“ผมจำไม่ได้
แล้วก็ไม่ทันได้มองปกด้วยซ้ำ” นักแสดงหนุ่มว่า พอได้บทจากค่ายหนังชื่อดังมา
เขาก็พลิกอ่านด้านในทันทีด้วยความตื่นเต้น ที่ผ่านมาสมุดบทภาพยนตร์ของเซฮุนไม่เคยหนาเท่านี้...
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับการติดต่อบทตัวนำของเรื่อง
หรือเรียกให้เข้าใจอย่างง่ายก็คือ ‘บทพระเอก’
เขาคุยกับจงอินแล้วตั้งแต่ได้รับการติดต่อมาพร้อมกัน
เพราะบทที่อีกคนได้รับคือตัวแสดงนำคู่
แต่ในตอนนั้นจงอินไม่ได้บอกสักคำว่าผู้กำกับคือปาร์ค ชานยอล
พวกเขาพูดกันแต่เรื่องค่ายหนังยักษ์ใหญ่ที่ปกติไม่ใช้นักแสดงปลายแถว...
“ความสะเพร่าของนาย ไม่สนใจรายละเอียดเองนะ
ไม่ต้องคิดจะโทษใครเลย” มินซอกพูดพลางยกมือขึ้นนวดขมับ
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากองถ่ายมันจะวุ่นวายขนาดไหน
ยิ่งบวกกับเรื่องที่จุนมยอนเพิ่งจะเล่าให้ฟัง เขาก็หลุดปากพูดประโยคที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างถึงที่สุดออกมา
“ยกเลิกงานนี้ดีไหม เซฮุน ? ถ้ายกเลิกงานถ่ายภาพยนตร์แล้วรับแต่อีเว้นท์
ค่าตัวนายก็พอได้อยู่นะ--”
“พี่จะให้ผมปฎิเสธบทพระเอกครั้งแรกในชีวิตหรือไงกัน”
เซฮุนกระชากเสียง “แล้วนี่มันหนังของค่าย PIXMA เชียวนะครับ”
ผู้จัดการตัวเล็กถอนหายใจ
อาการชาวาบตั้งแต่ปลายนิ้วจรวดกระดูกสันหลัง
มันวาบราวกับกำลังถูกกลืนจากสิ่งที่มองไม่เห็น หน้าจอโทรศัพท์ยังเปิดค้างไว้
บนช่องค้นหามีอักษรขนาดเล็กพิมพ์ว่า ‘The Amityville’ ‘อิลซาน’
และคำค้นหานับร้อยซึ่งล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงกับเหตุฆาตกรรมในบ้าน
และเรื่องราวโศกนาฎกรรมของผู้ที่เคยอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนั้น
ไม่มีใครเข้าไปยุ่งย่ามกับมันนานแล้วเพราะสิ่งที่เคยเกิดขึ้นที่นั่นมันเลวร้าย เลวร้ายชนิดที่ว่ามินซอกไม่กล้าอ่านจนจบเสียด้วยซ้ำ แล้วนี่ผู้กำกับปาร์คเขาคิดอะไรอยู่ ? ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมทีมแคสติ้งถึงได้ขอบคุณเสียขนาดนั้นตอนที่ตอบรับเข้าร่วมแสดง
ชายหนุ่มถอนหายใจแผ่วและตัดสินใจว่าเขาไม่ควรเอามันมาเก็บใส่หัว เพราะแม้ว่าใจยังหวั่นเรื่องกับเรื่องน่ากลัวที่เคยเกิดขึ้น แต่การดันเซฮุนไปยังจุดที่สูงกว่านี้ ก็เป็นหน้าที่สำคัญของผู้จัดการดาราอย่างเขาต้องเรียงลำดับไว้เป็นอย่างแรก
“ไปเคลียร์กับจงอินเรื่องผู้กำกับปาร์ค ชานยอลให้เรียบร้อย
อาทิตย์หน้ามีเวิร์คช็อป ถ้าไม่อยากชวดบทพระเอกกับนักแสดงนำ
พวกนายก็ห้ามพังอนาคตของตัวเอง เข้าใจนะ”
พูดจบเริ่มต้นจัดการคิวงานของเซฮุนในไอแพดเครื่องบาง รายละเอียดงานทั้งหมดทางกองถ่ายส่งมาให้เขาในอีเมล์เรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่คิวงานเซฮุนที่ต้องเคลียร์ก่อนจะไปอิลซาน มือเล็กพิมพ์ตารางงานในปฏิทินงานอย่างคล่องแคล่ว ทั้งที่เสียงในหัวยังเถียงสะระตะไม่เลิกลาเรื่องการไปที่บ้านหลังนั้น
มินซอกไม่เชื่อเรื่องอาถรรพ์ แต่ลางสังหรณ์ของเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลืมไปได้โดยง่าย หลังจากนี้คงทำได้แค่ภาวนาให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
“ผมจะรีบเคลียร์กับจงอิน
พี่ไม่ต้องห่วงครับ”
ถึงแม้จะรับปากไปอย่างนั้น แต่สุดท้ายงานเวิร์คชอปนักแสดงในอาทิตย์ต่อมาก็เกือบล่มไม่เป็นท่าอยู่ดี...
มินซอกกุมขมับแน่นหลังจากไล่จงอินกับเซฮุนเข้าไปเคลียร์กันในห้องรับรองเพราะทั้งเริ่มมีปากเสียงกันดังขึ้นเรื่อย
ๆ จนเขากลัวว่าความลับที่คบกันจะแตกเอา
และต้นเรื่องของปัญหาเรื่องการหึงหวงทั้งหมดทั้งมวลก็คือปาร์ค ชานยอล
ผู้กำกับหล่อจัดคนนั้น
ปัง ! ประตูห้องกระแทกปิดพร้อมกับร่างของคิม
จงอินแทรกเข้ามาด้านใน มือหนาดันเซฮุนไปกลางห้อง คนผิวขาวเบี่ยงไหล่หลบจนเซ
หากพออีกคนจะคว้าไว้ เซฮุนก็ปัดมันออก
“เป็นอะไรอีก จงอิน !”
เจ้าของชื่อขบกรามแน่น เบือนหน้าหนีสายตาที่ยังจ้องมาไม่หยุด
ในหัวยังเห็นแต่ภาพเซฮุนหัวเราะกับไอ้ผู้กำกับคนนั้นจนตาปิด
ท่าทางมีความสุขของทั้งสองคนนั้นทำเอาเขาหงุดหงิดจนแทบยั้งตัวเองไม่อยู่
ดูก็รู้ว่าชานยอลกำลังท้าทายเขา... มีแต่เซฮุนเท่านั้นที่ไม่รู้อะไรเลย
“เป็นอะไร ?” เขาทวนคำ “ยังจะถามอีกหรือ
ว่าฉันเป็นอะไร !? ฉันต้องหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม ว่านายเป็นอะไร !?”
“ขอร้องนะ จงอิน” เซฮุนว่า
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือขาวเสยเรือนผมสีเปลือกไม้อย่างหงุดหงิด จงอินกำลังร้อน
เขารู้ และเขาต้องไม่ร้อนตาม เขารู้...แต่ทำไม่ได้ “อย่างี่เง่าได้ไหม ! เราทะเลาะเรื่องคุณชานยอลมาหลายครั้งแล้วนะ
จะต้องให้บอกกี่ร้อยกี่พันรอบว่าฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขา
ก็งานทั้งนั้นที่ทำอยู่ทุกวันนี้ แล้วไม่ใช่นายหรือไง
ที่บอกฉันว่าเราจะเข้าวงการด้วยกัน แล้วดูสิ่งที่นายทำสิ จงอิน ! โตสักที !”
“บอกตัวเองดีกว่ามั้ง ไอ้คำว่า 'โตสักที' เนี่ย เซฮุน ! กี่ครั้งแล้วที่นายบอกว่าไม่มีอะไร ๆ
แต่ไอ้ข้อความที่มันส่งมาในมือถือนายเป็นอย่างที่นายพูดพูดไหม ตอบสิ !”
ไม่พูดเปล่า หากจงอินเสือกโทรศัพท์เครื่องบางมาจนแทบติดจมูก
“ถ้าฉันไม่เห็นก็คงไม่รู้ว่านายคุยกับไอ้ผู้กำกับนี่มาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว”
“ถ้านายเห็นนายก็ต้องรู้สิ ว่ามันมีแต่เรื่องงาน !” เซฮุนตวาดเสียงดัง คว้ามือถือมาไว้ในมือ เลื่อนหน้าจอขึ้นลงพิสูจน์ให้คนรักได้เห็น เขายอมรับว่ามีบ้างที่ชานยอลจะหยอดเขาด้วยประโยคหวาน ๆ แต่เขาไม่เคยตอบกลับข้อความเหล่านั้นเลย จะมีก็แต่เรื่องงานเท่านั้นที่เขายอมคุยด้วย
ถ้าจงอินจะใส่ใจกันสักหน่อย...พวกเขาคงไม่ต้องมาทะเลาะกันด้วยเรื่องเดิม
ๆ อย่างนี้ “ทำไมเราต้องมาทะเลาะกันซ้ำซากแบบนี้ด้วย จงอิน
ทำไมเราไม่ทำชีวิตรักของเราให้มันแฮปปี้อย่างคนอื่นบ้าง”
ใบหน้าหล่อแค่นยิ้มเมื่อได้ยินคำตัดพ้อ
ใช่ว่าไม่อยากให้ทุกวันของพวกเขามีความสุข แต่จงอินไม่เข้าใจ...ทั้งที่เซฮุนรู้ตัวดีว่าชานยอลเข้าหาตนในฐานะอะไร
ก็ยังพาซื่อไปคุยกับมัน ไอ้เรื่องงานที่เห็นก็ยกมาบังหน้าทั้งนั้น
สันดานมันเป็นแบบไหน ทำไมเขาจะไม่รู้
“ฉันรู้ว่านายรักฉันมาก และฉันเองก็รักนายมาก ๆ” พูดทั้งที่ดวงตาแดงก่ำ มือขาวแตะบนหลังมือคนรักแผ่วเบา ก่อนจะเป็นจงอินเอง ที่ดึงร่างโปร่งเข้าไปกอด ท่อนแขนแข็งแรงโอบรัดจนร่างกายแนบชิดกัน เสียงฝนจากนอกหน้าต่างดังเปาะแปะแข่งกับเสียงหัวใจ เซฮุนหลับตาลงซบใบหน้ากับไหล่หนาให้หยดน้ำใสซึมลงบนเสื้อราคาแพง “ไว้ใจกันบ้างได้ไหม เชื่อสิ ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็จะไม่มีวันไปจากนาย”
“ฉันรักเซฮุน” จงอินพึมพำ
กดริมฝีปากลงบนเรือนผมสีเข้ม คำรักจากเซฮุนเป็นยิ่งกว่าฝนในฤดูแล้ง
แม้เขาจะได้ยินมันบ่อยครั้ง...แต่ก็ยังไม่พอ
หัวใจของเขากระหายความรักจากเซฮุนเหมือนหยดน้ำท่ามกลางทะเลทราย
มือใหญ่กอดกระชับคนในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ปลายนิ้วยึดเสื้อเชิ้ตสีเข้มของเซฮุนจนยับย่น
ใบหน้าหล่อก้มลงมองคนรัก ดวงตาคมสีรัตติกาลไม่ฉายแสงใดนอกจากความมืดมิด
“จำไว้นะ ต่อให้หลังจากนี้นายอยากไปจากฉันแค่ไหน...ฉันก็จะไม่มีวันปล่อยนายไป”
*
DUSK TILL DAWN #OHYESKAIHUN VOL.4
ความคิดเห็น