ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) OH! YES KAIHUN | Dusk Till Dawn

    ลำดับตอนที่ #36 : Irishxmm ✥ | The Amityville

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 357
      0
      19 ก.พ. 59

    M


    T   H   E               A   M   I   T   Y   V   I   L   L   E


    -  author.  i r i s h x m m  /  ost.  s t a y  by  h u r t s.  -

                     



             ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความรักกลายเป็นความหวาดกลัว

     

             ปลายเท้าสีซีดจนน่ากลัวจมลงบนผืนทราย ภาพระลอกคลื่นเล็กซัดท่วมข้อเท้าเพียงชั่วครู่ ก่อนจะม้วนตัวกลับไปสะท้อนในสายตาซ้อนทับกับภาพของหญิงสาวในห้วงคิด พลันเข่าทั้งสองข้างก็ไร้เรี่ยวแรงจนทรุดนั่งลง ให้ความเย็นจากน้ำทะเลซึมผ่านอาภรณ์หรูหราอย่างคนชั้นสูง ริมฝีปากสั่นระริกเมื่อความหนาวแทรกซึมไปทั่วสรรพางค์

     

             แสงจันทร์ในยามนี้กลับมืดมิด และเสียงหวีดหวิวก็ยิ่งทำให้ทุกสิ่งรอบตัวน่ากลัวขึ้นอีกร้อยเท่า มือเย็นเฉียบกำทรายใต้น้ำไว้แน่นราวกับจะให้มันทะลุเข้าฝ่ามือก็มิปาน หากความเจ็บปวดจากเม็ดทรายหยาบในฝ่ามือนั้นช่างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจิตใจ เพราะแม้แต่น้ำตาก็ยังไม่อาจตีค่าความโศกเศร้านี้เป็นหยดน้ำได้

     

             อุณหภูมิในใจลดต่ำ กดอากาศหายใจที่มีอยู่ให้เบาบาง มันบีบรัดจนคล้ายว่าจะหายใจไม่ออก และเสียงกรีดร้องก้องดังราวกับเศษกระจกแหลมทิ่มแทงก็ทำให้ทุกอย่างย่ำแย่มากขึ้นทุกที

     

             เสียงรองเท้าบู้ทหลายคู่บนผืนทรายเฉอะแฉะไม่น่าฟัง กลุ่มคนเหล่านั้นก้าวเข้าใกล้เรื่อย ๆ จนกระทั่งมือใหญ่คว้าเข้าที่ต้นแขนของชายผู้ไร้เรี่ยวแรง หนึ่งในกลุ่มผู้มาใหม่ดึงเขาขึ้น ก่อนเหล็กเย็นเฉียบถูกคล้องที่ข้อมือทั้งข้างพร้อมเสียง กริ้ก ! อันเป็นสัญลักษณ์สถานะใหม่ของผู้ถูกสวมใส่

     

             “เป็นแบบนี้ทุกราย ตอนทำดันไม่คิดแล้วมานั่งเสียใจทีหลัง” ชายตัวใหญ่กล่าวพึมพำ ขณะออกแรงดึงให้เขาก้าวไปพร้อมกัน โดยมีผู้ช่วยอีกคนคอยดันหลังอยู่เนือง ๆ “เป็นถึงลูกชายขุนนางใหญ่...”

     

             สายตาแดงก่ำด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจคาดเดา จ้องมองเท้าเปลือยเปล่าของตนย่ำไปบนผืนทราย เสียงของชายแปลกหน้าดังอื้ออึงในหูเป็นระยะ รู้สึกเหมือนหัวใจถูกทุบด้วยฆ้อนที่มองไม่เห็น หากอีกซอกหนึ่งบนชิ้นส่วนที่แตกละเอียดกลับกำลังเต้นตุบอย่างยินดี

     

             อากาศหนาวในยามนี้ห่อหุ้มหัวใจให้เจ็บจนชา หากแต่ว่าแฝงไปด้วยความรู้สึกแสนคุ้นเคย พลันเปลือกตาก็ปิดลง เสียงภายในใจร่ำร้องสวดภาวนาอีกครั้ง และอีกครั้ง

     

             สาบานกับพระเจ้าทุกองค์บนโลก เขาไม่ได้ตั้งใจให้ความรักของเราพังทลายเช่นนี้เลย

      

             ปึ่ก !

     

           เสียงปิดสมุดก่อนเจ้าตัวจะเอนหลังพิงกับพนักอย่างแรง โอ เซฮุน นักแสดงดาวรุ่งดาวใหม่ของวงการโยนบทภาพยนตร์ภาพยนตร์ที่เพิ่งจะอ่านจบลงส่ง ๆ บนโต๊ะกระจกเอ่ยวิจารณ์เสียงดัง “โรคจิต !”

     

             “โยนบทอย่างนั้นเดี๋ยวนักข่าวมาเห็นก็เป็นเรื่อง” คิม มินซอก ชายหนุ่มตัวเล็กบ่น เขาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเซฮุนมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว โดยปกติแล้วเซฮุนไม่ค่อยสร้างปัญหาอะไรให้น่าหนักใจ แต่มีเพียงเรื่องเดียวที่เป็นปัญหาคาราคารังจนน่ารำคาญ

     

             “ในตึกบริษัทเรามีนักข่าวที่ไหนกัน” เถียงพลางเอนหลังพิงกับเบาะเก้าอี้ เขาก็แค่วิจารณ์บทภาพยนตร์ตามที่ได้อ่านไปก็เท่านั้น บทภาพยนตร์ที่เขากับจงอินเพิ่งจะพูดคุยกันเกี่ยวกับมันไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน

     

             มินซอกกลอกตา ไม่เถียงเจ้าเด็กดื้อในความดูแลแล้วเอ่ยถามตรงประเด็น “ตกลงจะรับแสดงไหม ?”

     

             “รับซี” ตอบพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความ ชายหนุ่มมองภาพนั้นก่อนจะลอบถอนหายใจ ไม่ต้องเดาให้เหนื่อยหรอกว่าเจ้าตัวคุยกับใคร ไอ้ใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยามรัวปลายนิ้วบนหน้าจอก็บอกอยู่แล้ว “ได้บทพระเอกเชียวนะ แถมได้แสดงเรื่องเดียวกับจงอินทั้งที ไม่รับก็บ้าแล้ว พี่มินซอก”

     

             “เดี๋ยวก็ได้ทะเลาะกันกลางกองถ่าย” มินซอกสวนทันควัน เบื่อจัดกับปัญหาคู่รักของนักแสดงในความดูแลของเขากับแฟนหนุ่มนักแสดงร่วมค่าย คิม จงอิน ใช่ว่ามินซอกไม่รู้ว่าเซฮุนกับจงอินรักกันมาแค่ไหน แต่ความรักแบบที่ทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนคงไม่ใช่ความรักที่ดีเท่าไรในความคิดเขา

     

             ทั้งสองคนรักกันมาก...และบางทีก็อาจจะมากเกินไป

     

             “ไม่มีหรอก” ไม่มีทางที่จะไม่เกิดขึ้นน่ะสิ มินซอกต่อท้ายในใจ และสุดท้ายหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์โทรศัพท์ถึงปลายสายเรื่องการตอบรับเข้าร่วมแสดง

     

             เซฮุนเห็นดังนั้นก็อมยิ้ม ลุกขึ้นตีไหล่ผู้จัดการแปะก่อนจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แต่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายก็คงไปโทรศัพท์รายงานตัวกับจงอินตามเคย มินซอกพยักหน้าส่ง ๆ ไม่อยากใส่ใจให้ปวดหัว มือเล็กหยิบบทภาพยนตร์มาพลิกไปมา ระหว่างคุยเรื่องรายละเอียดงานไปด้วย นึกแปลกใจอยู่นิดหน่อยก่อนวางสายกับคำพูดขอบคุณหลายต่อหลายครั้งของหัวหน้าทีมแคสติ้งนักแสดง รวมไปถึงเรื่องที่เซฮุนไม่จำเป็นต้องออดิชั่น

     

             ‘ขอบคุณที่ไม่ปฎิเสธงานนี้เป็นรายที่สามนะ มินซอก ขอบคุณจริง ๆ’

     

             เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันขณะวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ข้างกันเป็นสมุดบทภาพยนตร์ที่เขาวางมันไว้เมื่อครู่ ตัวหนังสือชื่อเรื่องพิมพ์ฟอนต์ตัวหนาเด่นเตะสายตาจนอดมองไม่ได้ ‘The Amityville’ คับคล้ายคับคราว่าเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน แต่นึกไม่ออก...

     

             “มินซอก” เสียงเรียกชื่อพร้อมกับประตูห้องเปิดผลัวะ คิม จุนมยอนพนักงานรุ่นน้องในบริษัทก็เดินเข้ามาพอดี สายตามองหาเซฮุนที่ควรจะอยู่ในห้อง “อ้าว เซฮุนไม่อยู่หรือครับ ?”

     

             “ไม่อยู่หรอก คงออกไปคุยโทรศัพท์” จุนมยอนได้ฟังก็หัวเราะกับคำตอบ พลางหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่าง

     

             “กับจงอินอีกละสิ” แน่นอนว่าเรื่องของเซฮุนกับจงอินถูกปิดเป็นความลับ แต่นั่นไม่ใช่กับคนในบริษัทหรอก มินซอกพยักหน้ารับ ชายหนุ่มรุ่นน้องแย้มยิ้มเห็นใจ “เอาน่า วัยรุ่นก็แบบนี้ ถ้าอย่างนั้นผมฝากบทไว้ก็แล้วกัน เมื่อเช้าคนจากสตูดิโอเพิ่งส่งมา เอ๋--” จุนมยอนเงียบไปเมื่อเห็นสมุดบทภาพยนตร์เล่มสีขาวบนโต๊ะ “‘The Amityville’ ?”

     

             “อื้ม ใช่” ผู้จัดการตัวเล็กหยิบสมุดที่ว่ามาไว้ในมือ ก่อนจะมองมันสลับกับคนถาม “ทำไมทำหน้าเหมือนโดนผีหลอกอย่างนั้นเล่า คิม จุนมยอน”

     

             “ไม่โดนก็เหมือนโดนล่ะครับ” ชายหนุ่มฝ่ายประสานงานว่า สายตาจ้องตัวหนังสือพิมพ์หนาบนปกอย่างหวาด ๆ “อย่าบอกว่าเอามาทำเป็นภาพยนตร์ ?”

     

             มินซอกพยักหน้าแทนคำตอบ แต่เพราะไม่เข้าใจใบหน้าของเพื่อนร่วมงานจึงหัวเราะออกมาแผ่วเบา “ทำไมหรือ ? คราวนี้เซฮุนได้รับการติดต่อบทพระเอกเชียวนะ อยู่วงการมาเกือบสองปีแล้วไม่ดังสักที หวังว่าคราวนี้จะได้แจ้งเกิดกับเขาบ้าง”

     

             “ไปแจ้งเกิดเรื่องอื่นไม่ดีกว่าหรือ” พูดพลางดึงสมุดบทภาพยนตร์จากมือมินซอกมาไว้ในมือแทน “ผมว่ามันน่ากลัวไปนะ”

     

             “ก็เป็นหนังผีนี่นา” เขาไม่เข้าใจสิ่งที่รุ่นน้องพยายามจะบอกจริง ๆ นั่นล่ะ

     

             “มันก็ใช่ครับ แต่บ้านหลังนั้นน่ะ--” จุนมยอนถอนหายใจ “ประวัติมันเยอะออกนะครับ” เมื่อดูแล้วมินซอกยังไม่เข้าใจเขาจึงเริ่มเล่า “บ้านหลังนั้นน่ะ มีมาเป็นร้อยปีแล้วครับ เก่ามากนะ แต่สวยเลยล่ะ ทำเลดีอยู่ใกล้ทะเล เสียแต่ว่าประวัติแย่ไปหน่อย ชาวบ้านแถวนั้นก็เลยลือกันว่ามีอาถรรพ์ แต่ก็อย่างว่านะครับ ใครเข้าไปอยู่ก็มีอันเป็นไปเสียทุกราย...”

     

             เรื่องจริงเคยเป็นข่าวครึมโครมอยู่เมื่อราวยี่สิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นจุนมยอนยังเด็กมาก แต่ที่รู้เรื่องดีก็เพราะบ้านของคุณยายอยู่แถวนั้น ชายหนุ่มทอดมองรุ่นพี่ตัวเล็ก “พี่มินซอกคงลืมข่าวนี้ไปแล้ว แต่ผมจะบอกให้นะครับ ตอนนี้บ้านหลังนั้นน่ะ จะว่าถูกปิดตายก็ไม่เชิงหรอก แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งย่ามอะไรมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว แต่ถ้าผู้กำกับเรื่องเขาไม่คิดใช้สถานที่จริงก็คงไม่มีปัญหา”

     

             ไม่รู้ทำไมหัวใจจึงเต้นดังผิดปกติราวกำลังจะเตือนอะไรบางอย่าง มือยึดสมุดบทภาพยนตร์แน่น ในหัวยังมีรายละเอียดบทสนทนาเรื่องการถ่ายทำกับผู้จัดที่เพิ่งจะวางสายไปเมื่อครู่ “จุนมยอน บ้านของคุณยายของนาย...อยู่แถวอิลซานหรือเปล่า ?”

     

             “ใช่ครับ”

     

             และคำตอบจากรุ่นน้องคนสนิทก็ตอกย้ำให้รู้สึกวูบโหวง มินซอกไม่เคยรู้สึกแย่กับการตอบรับบทภาพยนตร์เรื่องไหนของเซฮุนเท่าครั้งนี้ ...มากกว่าตอนที่หนังเรื่องแรกของเซฮุนเจ๊งไปหลายล้านวอนเสียอีก ราวกับสัญญาณเตือนบางอย่างในหัวกำลังถูกสั่นระรัว หากเขาไม่รู้ว่ามันกำลังร้องเตือนเรื่องอะไร

     

             “นั่นมัน-- ให้ตายสิ จุนมยอน พี่--” ยังไม่ทันจะได้ระบายความรู้สึกประหลาดนี้ออกไปจากหัว ประตูห้องรับรองก็เปิดผลัวะ พร้อมกับร่างโปร่งของนักแสดงในความดูแล ใบหน้าของคนมาใหม่หงุดหงิดแตกต่างกับตอนออกไปจากห้องราวฟ้ากับดิน

     

             “ไปกินรังแตนมาจากไหนนั่น” จุนมยอนถามขณะมองเซฮุนกระแทกตัวนั่งลงบนโซฟา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ในกางเกงออกมาโยนจนเกือบร่วงจากโต๊ะ นับว่าการมาของเซฮุนทำเอาเรื่องที่มินซอกกับจุนมยอนกำลังพูดกันอยู่ตกขอบไปเสียไกล

     

             “โมโหอะไรมาก็ไม่ควรลงกับข้าวของ ต้องให้พี่พูดอีกกี่รอบ” มินซอกบ่นเสียงดัง ก้าวฉับ ๆ ไปเก็บมือถือมาไว้ในมือ ดวงตาเรียวมองท่าทางกอดอกแล้วเบือนหน้าหนีคำพูดของคนเด็กกว่าแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ “โตแล้วนะ เซฮุน อย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่”

     

             “อยากจะอัดเสียงคำพูดพี่มินซอกไปเปิดให้จงอินฟังสักพันรอบ”

     

             กะแล้ว... ผู้จัดการคนเก่งหมุนดวงตาไปรอบทิศ เพิ่งบอกเขาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่มีทะเลาะกันกลางกองถ่าย ยังไม่ทันพ้นชั่วโมงดี จุนมยอนยิ้มแหยก่อนลุกออกไปจากห้องเงียบ ๆ ปล่อยให้ดารากับผู้จัดการเขาคุยเรื่องส่วนตัวกันเอง

     

             มินซอกมองประตูห้องปิดลง แล้วหันมาจ้องเซฮุนที่ยังหน้าหงิกไม่เลิก “ตะกี้ยังดีกันอยู่เลยนี่”

     

             “ก็จงอินมันงี่เง่า” ประโยคแพทเทิร์นเดิมหลุดจากริมฝีปากแดง มินซอกขี้เกียจนับแล้วว่าเคยได้ยินมากี่ร้อยรอบ “ทำไมถึงชอบจับผิด ชอบหาเรื่องกันนักก็ไม่รู้ ผมก็อยู่ของผมเฉย ๆ นะ ทุกวันนี้จะขยับตัวไปไหนก็คอยรายงานมันยิ่งกว่าพ่ออยู่แล้ว ไม่รู้จะเอาอะไรนักหนา นี่ผมแค่รับโทรศัพท์มันช้า หาว่าผมคุยกับคนอื่นเฉย มันใช่เรื่องไหมล่ะพี่ ?”

     

             “พี่ก็บอกแล้วว่าไม่ชอบตรงไหนก็ให้บอกกันไปตรง ๆ เปิดอกคุยน่ะ รู้จักไหม” เอาน้ำเย็นเข้าลูบให้เซฮุนใจเย็นลงหน่อย แต่ดูเหมือนคราวนี้เรื่องจะใหญ่กว่าทุกที ใบหน้าขาวถึงได้ฉายแววหงุดหงิดจนแทบควบคุมไม่ได้

     

             “ทำแล้วนะ แต่คุยกี่รอบมันก็เหมือนเดิม แล้วนี่ผมก็เพิ่งรู้ว่า หนัง Amityville อะไรนี่ ที่ผมกับมันเพิ่งตอบรับร่วมแสดงไป มีคุณปาร์ค ชานยอลเป็นผู้กำกับ โคตรปวดหัวเลย”

     

             “อ้าว พี่นึกว่าเรารู้แล้ว” พูดเสียงค่อย ไม่ใช่ว่ามินซอกลืมว่าเซฮุนกับจงอินเคยทะเลาะกันใหญ่โตมาแล้วเรื่องผู้กำกับตัวสูงปาร์ค ชานยอลคนนั้น แต่ก็ดันคิดเองเออเองว่าที่เจ้าตัวตอบรับเสียงใสก็เพราะเคลียร์กับคนรักเรียบร้อยแล้วเสียอีก “ที่จริงชื่อคุณชานยอลเขาก็พิมพ์ติดไว้หน้าแรกนะ แล้วตอนแรกที่ได้รับการติดต่อมาพี่ก็บอกเราไปแล้วด้วย”

            

             “ผมจำไม่ได้ แล้วก็ไม่ทันได้มองปกด้วยซ้ำ” นักแสดงหนุ่มว่า พอได้บทจากค่ายหนังชื่อดังมา เขาก็พลิกอ่านด้านในทันทีด้วยความตื่นเต้น ที่ผ่านมาสมุดบทภาพยนตร์ของเซฮุนไม่เคยหนาเท่านี้... นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับการติดต่อบทตัวนำของเรื่อง หรือเรียกให้เข้าใจอย่างง่ายก็คือ ‘บทพระเอก’

     

             เขาคุยกับจงอินแล้วตั้งแต่ได้รับการติดต่อมาพร้อมกัน เพราะบทที่อีกคนได้รับคือตัวแสดงนำคู่ แต่ในตอนนั้นจงอินไม่ได้บอกสักคำว่าผู้กำกับคือปาร์ค ชานยอล พวกเขาพูดกันแต่เรื่องค่ายหนังยักษ์ใหญ่ที่ปกติไม่ใช้นักแสดงปลายแถว...

     

             “ความสะเพร่าของนาย ไม่สนใจรายละเอียดเองนะ ไม่ต้องคิดจะโทษใครเลย” มินซอกพูดพลางยกมือขึ้นนวดขมับ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากองถ่ายมันจะวุ่นวายขนาดไหน ยิ่งบวกกับเรื่องที่จุนมยอนเพิ่งจะเล่าให้ฟัง เขาก็หลุดปากพูดประโยคที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างถึงที่สุดออกมา “ยกเลิกงานนี้ดีไหม เซฮุน ? ถ้ายกเลิกงานถ่ายภาพยนตร์แล้วรับแต่อีเว้นท์ ค่าตัวนายก็พอได้อยู่นะ--”

     

             “พี่จะให้ผมปฎิเสธบทพระเอกครั้งแรกในชีวิตหรือไงกัน” เซฮุนกระชากเสียง “แล้วนี่มันหนังของค่าย PIXMA เชียวนะครับ”

     

             ผู้จัดการตัวเล็กถอนหายใจ อาการชาวาบตั้งแต่ปลายนิ้วจรวดกระดูกสันหลัง มันวาบราวกับกำลังถูกกลืนจากสิ่งที่มองไม่เห็น หน้าจอโทรศัพท์ยังเปิดค้างไว้ บนช่องค้นหามีอักษรขนาดเล็กพิมพ์ว่า ‘The Amityville’ ‘อิลซาน’ และคำค้นหานับร้อยซึ่งล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงกับเหตุฆาตกรรมในบ้าน และเรื่องราวโศกนาฎกรรมของผู้ที่เคยอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนั้น

     

             ไม่มีใครเข้าไปยุ่งย่ามกับมันนานแล้วเพราะสิ่งที่เคยเกิดขึ้นที่นั่นมันเลวร้าย เลวร้ายชนิดที่ว่ามินซอกไม่กล้าอ่านจนจบเสียด้วยซ้ำ แล้วนี่ผู้กำกับปาร์คเขาคิดอะไรอยู่ ? ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมทีมแคสติ้งถึงได้ขอบคุณเสียขนาดนั้นตอนที่ตอบรับเข้าร่วมแสดง 


              ชายหนุ่มถอนหายใจแผ่วและตัดสินใจว่าเขาไม่ควรเอามันมาเก็บใส่หัว เพราะแม้ว่าใจยังหวั่นเรื่องกับเรื่องน่ากลัวที่เคยเกิดขึ้น แต่การดันเซฮุนไปยังจุดที่สูงกว่านี้ ก็เป็นหน้าที่สำคัญของผู้จัดการดาราอย่างเขาต้องเรียงลำดับไว้เป็นอย่างแรก

     

             “ไปเคลียร์กับจงอินเรื่องผู้กำกับปาร์ค ชานยอลให้เรียบร้อย อาทิตย์หน้ามีเวิร์คช็อป ถ้าไม่อยากชวดบทพระเอกกับนักแสดงนำ พวกนายก็ห้ามพังอนาคตของตัวเอง เข้าใจนะ”

     

             พูดจบเริ่มต้นจัดการคิวงานของเซฮุนในไอแพดเครื่องบาง รายละเอียดงานทั้งหมดทางกองถ่ายส่งมาให้เขาในอีเมล์เรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่คิวงานเซฮุนที่ต้องเคลียร์ก่อนจะไปอิลซาน มือเล็กพิมพ์ตารางงานในปฏิทินงานอย่างคล่องแคล่ว ทั้งที่เสียงในหัวยังเถียงสะระตะไม่เลิกลาเรื่องการไปที่บ้านหลังนั้น 


              มินซอกไม่เชื่อเรื่องอาถรรพ์ แต่ลางสังหรณ์ของเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลืมไปได้โดยง่าย หลังจากนี้คงทำได้แค่ภาวนาให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี

     

             “ผมจะรีบเคลียร์กับจงอิน พี่ไม่ต้องห่วงครับ”

     

     

             ถึงแม้จะรับปากไปอย่างนั้น แต่สุดท้ายงานเวิร์คชอปนักแสดงในอาทิตย์ต่อมาก็เกือบล่มไม่เป็นท่าอยู่ดี...

     

             มินซอกกุมขมับแน่นหลังจากไล่จงอินกับเซฮุนเข้าไปเคลียร์กันในห้องรับรองเพราะทั้งเริ่มมีปากเสียงกันดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเขากลัวว่าความลับที่คบกันจะแตกเอา และต้นเรื่องของปัญหาเรื่องการหึงหวงทั้งหมดทั้งมวลก็คือปาร์ค ชานยอล ผู้กำกับหล่อจัดคนนั้น

     

             ปัง ! ประตูห้องกระแทกปิดพร้อมกับร่างของคิม จงอินแทรกเข้ามาด้านใน มือหนาดันเซฮุนไปกลางห้อง คนผิวขาวเบี่ยงไหล่หลบจนเซ หากพออีกคนจะคว้าไว้ เซฮุนก็ปัดมันออก

     

             “เป็นอะไรอีก จงอิน !”

     

             เจ้าของชื่อขบกรามแน่น เบือนหน้าหนีสายตาที่ยังจ้องมาไม่หยุด ในหัวยังเห็นแต่ภาพเซฮุนหัวเราะกับไอ้ผู้กำกับคนนั้นจนตาปิด ท่าทางมีความสุขของทั้งสองคนนั้นทำเอาเขาหงุดหงิดจนแทบยั้งตัวเองไม่อยู่ ดูก็รู้ว่าชานยอลกำลังท้าทายเขา... มีแต่เซฮุนเท่านั้นที่ไม่รู้อะไรเลย

     

             “เป็นอะไร ?” เขาทวนคำ “ยังจะถามอีกหรือ ว่าฉันเป็นอะไร !? ฉันต้องหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม ว่านายเป็นอะไร !?”

     

             “ขอร้องนะ จงอิน” เซฮุนว่า ถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือขาวเสยเรือนผมสีเปลือกไม้อย่างหงุดหงิด จงอินกำลังร้อน เขารู้ และเขาต้องไม่ร้อนตาม เขารู้...แต่ทำไม่ได้อย่างี่เง่าได้ไหม ! เราทะเลาะเรื่องคุณชานยอลมาหลายครั้งแล้วนะ จะต้องให้บอกกี่ร้อยกี่พันรอบว่าฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขา ก็งานทั้งนั้นที่ทำอยู่ทุกวันนี้ แล้วไม่ใช่นายหรือไง ที่บอกฉันว่าเราจะเข้าวงการด้วยกัน แล้วดูสิ่งที่นายทำสิ จงอิน ! โตสักที !”

     

             “บอกตัวเองดีกว่ามั้ง ไอ้คำว่า 'โตสักที' เนี่ย เซฮุน ! กี่ครั้งแล้วที่นายบอกว่าไม่มีอะไร ๆ แต่ไอ้ข้อความที่มันส่งมาในมือถือนายเป็นอย่างที่นายพูดพูดไหม ตอบสิ !” ไม่พูดเปล่า หากจงอินเสือกโทรศัพท์เครื่องบางมาจนแทบติดจมูก “ถ้าฉันไม่เห็นก็คงไม่รู้ว่านายคุยกับไอ้ผู้กำกับนี่มาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว”

     

             “ถ้านายเห็นนายก็ต้องรู้สิ ว่ามันมีแต่เรื่องงาน !” เซฮุนตวาดเสียงดัง คว้ามือถือมาไว้ในมือ เลื่อนหน้าจอขึ้นลงพิสูจน์ให้คนรักได้เห็น เขายอมรับว่ามีบ้างที่ชานยอลจะหยอดเขาด้วยประโยคหวาน ๆ แต่เขาไม่เคยตอบกลับข้อความเหล่านั้นเลย จะมีก็แต่เรื่องงานเท่านั้นที่เขายอมคุยด้วย 


              ถ้าจงอินจะใส่ใจกันสักหน่อย...พวกเขาคงไม่ต้องมาทะเลาะกันด้วยเรื่องเดิม ๆ อย่างนี้ “ทำไมเราต้องมาทะเลาะกันซ้ำซากแบบนี้ด้วย จงอิน ทำไมเราไม่ทำชีวิตรักของเราให้มันแฮปปี้อย่างคนอื่นบ้าง”

     

             ใบหน้าหล่อแค่นยิ้มเมื่อได้ยินคำตัดพ้อ ใช่ว่าไม่อยากให้ทุกวันของพวกเขามีความสุข แต่จงอินไม่เข้าใจ...ทั้งที่เซฮุนรู้ตัวดีว่าชานยอลเข้าหาตนในฐานะอะไร ก็ยังพาซื่อไปคุยกับมัน ไอ้เรื่องงานที่เห็นก็ยกมาบังหน้าทั้งนั้น สันดานมันเป็นแบบไหน ทำไมเขาจะไม่รู้

     

             “ฉันรู้ว่านายรักฉันมาก และฉันเองก็รักนายมาก ๆ” พูดทั้งที่ดวงตาแดงก่ำ มือขาวแตะบนหลังมือคนรักแผ่วเบา ก่อนจะเป็นจงอินเอง ที่ดึงร่างโปร่งเข้าไปกอด ท่อนแขนแข็งแรงโอบรัดจนร่างกายแนบชิดกัน เสียงฝนจากนอกหน้าต่างดังเปาะแปะแข่งกับเสียงหัวใจ เซฮุนหลับตาลงซบใบหน้ากับไหล่หนาให้หยดน้ำใสซึมลงบนเสื้อราคาแพง “ไว้ใจกันบ้างได้ไหม เชื่อสิ ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็จะไม่มีวันไปจากนาย”

     

             “ฉันรักเซฮุน” จงอินพึมพำ กดริมฝีปากลงบนเรือนผมสีเข้ม คำรักจากเซฮุนเป็นยิ่งกว่าฝนในฤดูแล้ง แม้เขาจะได้ยินมันบ่อยครั้ง...แต่ก็ยังไม่พอ หัวใจของเขากระหายความรักจากเซฮุนเหมือนหยดน้ำท่ามกลางทะเลทราย มือใหญ่กอดกระชับคนในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ปลายนิ้วยึดเสื้อเชิ้ตสีเข้มของเซฮุนจนยับย่น ใบหน้าหล่อก้มลงมองคนรัก ดวงตาคมสีรัตติกาลไม่ฉายแสงใดนอกจากความมืดมิด

     

             “จำไว้นะ ต่อให้หลังจากนี้นายอยากไปจากฉันแค่ไหน...ฉันก็จะไม่มีวันปล่อยนายไป”







    *




    DUSK TILL DAWN #OHYESKAIHUN VOL.4


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×