ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) OH! YES KAIHUN | Dusk Till Dawn

    ลำดับตอนที่ #14 : Agent-Smith ▲ | FOX 'O

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 569
      1
      22 ก.พ. 58




    ว่ากันว่าคืนวันเพ็ญมักมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น...

     

    สายลมเย็นที่พัดเอื่อยปะทะกับหน้าเขาก็เช่นกัน กลิ่นของมันช่างเย้ายวนอย่างน่าประหลาด... ไม่รู้สิ จงอินคิดว่ามันหอมมาก หอมเหมือนดอกอะไรซักอย่างที่นึกไม่ออก มันติดอยู่ที่ปาก แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

     

    “กุ้ยฮวา...”

     

    ใช่แล้ว กุ้ยฮวา มันคือ ดอกกุ้ยฮวา อยู่ ๆ เสียงของเขาก็เปล่งชื่อนั้นออกมาดั่งใจคิด ทว่าทั้งที่มั่นใจว่าเขาเป็นเจ้าของเสียงนั่น แต่จงอินกลับรู้แก่ใจดีกว่าใครว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้แม้แต่จะเอ่ยปากพูด 

     

    แล้วเสียงนั่นเป็นของใคร... 

     

    “ท่านแม่ทัพ” 

     

    ไม่รอให้ร่างสูงโปร่งยืนอึดอัดกับตนเองนาน เจ้าของเสียงหวานใสก็ปรากฏกายขึ้น แสงนวลของดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญทอดลงบนร่างของเธอพอดิบพอดี และมันก็สว่างพอที่จะทำให้เขามองเห็นเธอได้อีกครั้ง

     

    ยังงดงามเหมือนทุกครั้งที่ได้พบ เสียงในใจดังขึ้นตอนที่จงอินมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง ใช่ อีกครั้ง ถูกต้องแล้วล่ะ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาที่นี่ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้ตัวว่าฝันแบบนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาแยกเรื่องสมมติกับความจริงออกจากกันได้ 

     

    ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้พบกับ เธอ

    แต่เป็นครั้งแรกที่มีใครอีกคนเข้ามาอยู่ในฝันของเขาด้วย

     

    “ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน” 

     

    เจ้าริมฝีปากบางนั่นเปล่งน้ำเสียงหวานใสคล้ายกับจะออดอ้อน แต่อีกฝ่ายที่อยู่ในมุมมืดกลับไม่คิดเช่นเดียวกัน จงอินเห็นเงาที่ตกกระทบกับร่างสูงใหญ่นั่นกำลังส่ายหน้า และแล้วบรรยากาศอึดอัดก็เริ่มก่อตัวขึ้นช้า ๆ เมื่อกุ้ยฮวาส่งเสียงสะอื้นเบา ๆ

     

    “ได้โปรดท่านแม่ทัพ...หนีไปกับข้า” เจ้าของใบหน้างดงามยังคงเป็นฝ่ายเดียวที่เอ่ยปากพูด และนั่นทำให้จงอินรู้สึกสงสารเธอจับใจ ถ้าไม่ติดว่าเท้าของเขาโดนตรึงเอาไว้ด้วยอะไรบางอย่างล่ะก็ เขาคงจะวิ่งออกไป แล้วดึงเธอมากอดแนบอกแล้ว

     

    “เรื่องของเราทั้งคู่เป็นไปไม่ได้” เสียงทุ้มของคนในเงามืดเอ่ยออกมาอย่างสั่นเครือ “แม้ข้าจะรักเจ้าก็ตาม” 

     

    จงอินไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์แบบนี้เท่าไหร่นัก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยมีแฟน แต่เท่าที่ฟังดูจากบทสนทนาของคนทั้งคู่ มันเหมือนกับว่าต้องแยกจากกันทั้ง ๆ ที่รักกันมาก แล้วในเมื่อรักกันมากขนาดนี้ทำไมยังต้องจากกัน มันมีเหตุผลอะไรที่ผู้ชายคนนั้นปฏิเสธกุ้ยฮวา?

     

    ทั้ง ๆ ที่กุ้ยฮวาทั้งสวย ทั้งน่ารักขนาดนั้น ดูริมฝีปากบางนั่นสิ เขาเคยเห็นตอนที่มันแย้มรอยยิ้มสดใสออกมา เหมือนกับว่าจะทำให้โลกทั้งใบกลายเป็นสีชมพูได้ยังไงอย่างงั้น แล้วยังจะผิวขาวที่ผุดผ่องยามต้องแสงจันทร์อีก จะหาผู้หญิงคนไหนน่าหลงใหลไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว 

     

    แต่ดูเหมือนที่ตรึงใจเขาไว้มากที่สุดก็คงจะเป็นแพรผมเส้นเล็กที่ประดับประดาไปด้วยปิ่นปักราคาแพง มันหอมฟุ้งด้วยเพราะดอกกุ้ยฮวาที่เจ้าตัวจงใจประดับเอาไว้ข้างหูนั่นล่ะ หอมติดจมูกไปถึงตอนตื่นเลยทีเดียว...

     

    “เช่นนั้น...ท่านจะมาพบข้าอีกทำไม”

     

    “ข้ามาเพื่อบอกลาเจ้า” 

     

    อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนโดนบีบหัวใจ คำพูดเย็นชาจากปากของผู้ชายอีกคนทำให้เขาเหมือนกับจะร้องไห้ คิมจงอินไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเป็นอะไร ทั้ง ๆ ที่แค่ยืนฟังอยู่ตรงนี้ แต่เหมือนกับว่าเขามีส่วนรู้เห็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่ซะมากมาย ถ้าถามว่าเอาอะไรมาวัดว่าเขาก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนที่อีกสองคนกำลังเจ็บปวด...

     

    ก็คงจะเป็นหยดน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้มนี่ล่ะมั้ง...

     

    “กุ้ยฮวา...ข้าขอโทษ”

     

    หญิงสาวในชุดโบราณถอยหลังหลบเรียวมือแกร่งของอีกคนที่ยื่นมาหมายจะเช็ดน้ำตาให้ เธอเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ก่อนที่แววตาสั่นระริกเพราะความเสียใจจะค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นไร้ความรู้สึก

     

    “ท่านเลือกแล้ว...เช่นนี้ เราคงต้องเป็นศัตรูกัน...”

     

    “...”

     

    “จนกว่าอีกฝ่ายจะตายตกไป”

     

    สายลมที่ผ่านวูบข้างตัวทำให้จงอินรู้สึกหนาวยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก กุ้ยฮวาจากไปแล้ว ไปพร้อมกับใบหน้าเรียบเฉยที่เขาไม่เคยจดจำได้ครบทั้งเครื่องหน้าในยามตื่น แต่วันนี้...วันนี้มันประหลาดกว่าทุกวัน ชายหนุ่มรู้ว่าใกล้หมดเวลาของเขาในฝันคืนนี้แล้ว แต่อะไรบางอย่างบอกกับเขาว่าคราวนี้มันไม่เหมือนกับทุกคืนที่เคยฝัน...

     

     “ข้ารักเจ้า และจะรักตลอดไป” 

     

    อย่างน้อย ๆ ก็เรื่องของชายร่างสูงในมุมมืดที่เพิ่งจะโผล่พ้นออกมาจากเงาจันทร์...

    หนำซ้ำชายคนนั้นยังหน้าตาเหมือนเขาอย่างกับแกะ!

     




     






     

     

    “นั่นน่ะหรอกุ้ยฮวาที่ว่า”

     

    เสียงห้าวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แบคฮยอนเห็นเพื่อนของเขาพยายามสเก็ตภาพหญิงงามในชุดของราชวงศ์โครยอ แต่ที่แปลกไปกว่าทุกครั้งจนต้องเอ่ยถาม ก็เพราะว่าหญิงงามร่างอรชรคนนั้นมีมากกว่าโครงหน้ารูปไข่ที่จงอินเคยวาดร่างไว้จนเต็มสมุดน่ะสิ!

     

    “อืม...ฝันอีกแล้ว แต่คราวนี้ประหลาดกว่าทุกครั้ง”

     

    “ยังไงวะ...” แบคฮยอนชะโงกหน้าไปมองมือหนาของเพื่อนที่กำลังแต่งเติมเครื่องหน้าลงบนใบหน้าว่างโล่งของทุกรูปที่เคยวาดมา ก่อนดวงตาเรียวจะตวัดมองไปยังอีกฝ่ายอย่างสนใจ “แต่ว่าแม่กุ้ยฮวาอะไรที่มึงฝันถึงบ่อย ๆ นี่สวยมากเลยนะ ว่าแต่จำหน้าเขาได้หมดแล้วหรอฝันคราวนี้?”

     

    “อืม...ประหลาดมาก คราวนี้จำได้หมดไม่มีลืมซักนิด” จงอินครางในลำคอก่อนจะแรเงาดอกกุ้ยฮวาที่หญิงสาวประดับไว้ตรงข้างหูเป็นอย่างสุดท้าย “แล้วแม่งโคตรแปลก...ปกติจะเห็นแค่กุ้ยฮวาคนเดียว แต่คราวนี้มีคนอื่นด้วย” 

     

    “ใคร” แบคฮยอนเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

     

    “กู”

     

    “ห๊ะ” แต่ดูเหมือนเพื่อนของเขาจะตอบไม่ตรงคำถาม มือบางถึงได้เอื้อมไปสะกิดแขนเพื่อนสนิทอีกรอบ “...ว่าไง ฝันถึงใครวะจงอิน” 

     

    “กูเอง” คนโดนสะกิดวางดินสอ EE ลงกับโต๊ะวาดรูปก่อนจะหันหน้ามาย้ำกับเพื่อนตัวบางที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “กูเอง บุคคลที่สามคนนั้น...ใส่ชุดเกราะ แถมโดนเรียกว่าแม่ทัพด้วย” 

     

    “จริงดิ!

     

    “จริงซะยิ่งกว่าจริง” 

     

    พูดแล้วก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ไม่ใช่แค่แบคฮยอนหรอกที่ตกใจจนหน้าตาตื่นแบบนั้น เขาเองก็ด้วย ตอนที่เห็นว่าคนที่โผล่มาจากมุมมืดนั่นเป็นใคร สติสะตังเขาก็หลุดลอยไปไกลจนรู้ตัวอีกทีก็สะดุ้งตื่นแล้ว...

     

    “มึง...มึงเป็นแม่ทัพกลับชาติมาเกิดหรอวะ” แบคฮยอนที่ยังคงสีหน้าอึ้ง ๆ เอ่ยถามเขาเสียงแผ่ว มาถามอย่างนี้ดูเหมือนคำตอบที่ดีที่สุดคงจะทำได้แค่ส่ายหัว จงอินก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงได้เอาแต่ฝันแบบนี้

     

    มันเกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อไหร่นะ...

     

    คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างคนใช้ความคิด ดูเหมือนครั้งแรกจะเป็นตอนที่เขาเข้าโรงพยาบาลไปผ่าไส้ติ่งเมื่อปีที่แล้ว ตอนออกจากโรงพยาบาลมาใหม่ ๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก แต่พอกลับมาพักฟื้นอยู่บ้านได้สองสามวันก็เริ่มฝันอะไรอย่างนี้ อาจจะฝันอยู่ทุกวัน หรือ ฝันแค่เป็นบางวันเขาก็ไม่มั่นใจนักหรอก แต่ที่แน่ใจก็มีอยู่แค่ไม่กี่ครั้งที่เขาจำได้

     

    และทุกครั้งมักจะมี กุ้ยฮวา อยู่ด้วยเสมอ...

    ใช่... ผู้หญิงที่เขาจำไม่ได้แม้แต่หน้านั่นล่ะ

     

    “กูไม่รู้ว่ะ กูไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้เท่าไหร่นะ” จงอินว่าพลางเก็บสัมภาระเข้ากระเป๋าเขียนแบบ ปากก็บอกเพื่อนว่าไม่เชื่อ แต่เอาเข้าจริงในใจเขาก็เริ่มจะเก็บเรื่องนี้ไปคิดแล้วเหมือนกัน

     

    “แต่มึงฝันแบบนี้ตลอดนี่หว่า” แบคฮยอนที่เพิ่งจะตื่นจากภวังค์พูดพลางเก็บข้าวของลงกระเป๋าบ้าง “นี่มันประหลาดนะเว้ย ถ้าเป็นเรื่องปกติกูอาจจะฝันเหมือนมึงบ้างก็ได้...ใช่มะ? แต่มันไม่ใช่เว้ย มึงฝันคนเดียว แถมฝันเรื่องเดิมมาเป็นยี่สิบสามสิบครั้ง...บางทีแม่กุ้ยฮวานั่นอาจจะเป็นเนื้อคู่ที่กำลังตามหามึงก็ได้” 

     

    “มึงพูดอะไรของมึงวะ” จงอินถอนหายใจใส่หน้าเพื่อนสนิทเฮือกใหญ่ “ถ้าที่มึงพูด เรื่องกลับชาติมาเกิดอะไรนั่นมีจริง แล้วมึงไม่คิดหรอวะ ว่าเขาอาจจะกลับชาติมาเกิดแล้วเหมือนกับกูกับมึงเนี่ย” 

     

    แบคฮยอนนิ่งฟังแล้วคิดตาม ก็จริงที่ตามที่จงอินมันว่า ทั้งที่กำลังจะพยักหน้าเห็นด้วย แต่พลันความคิดหนึ่งก็ประดังเข้าสมองเขาจนต้องเอ่ยปากพูดออกมา 

     

    “แล้วถ้าเขายังไม่ไปเกิดล่ะ...” 

     

    “หืม” จงอินที่กำลังจะสะพานกระเป๋าเขียนแบบพาดบ่าหันมาสบตากับเพื่อนตัวบาง แบคฮยอนกำลังกัดริมฝีปากอยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะกังวลที่จะต้องพูดอะไรบางอย่างออกมา นั่นทำให้เขาสงสัยจนต้องยอมพยักเพยิดหน้าให้อีกฝ่ายพูดช้า ๆ “ยังไง?”

     

    “กูหมายถึง...” เพื่อนตัวบางสูดลมหายใจเข้าลึกจนสุดปอด ก่อนจะเงยหน้ามองมาที่เขาอย่างจริงจังที่สุดเท่าที่เคยคบกันมาเป็นเพื่อน “ถ้าเขายังเป็นวิญญาณที่รอมึงอยู่ล่ะ”

     

    “...”

     

    “ถ้าเขายังไม่ได้ไปเกิด ถ้าต้องการจะเอามึงไปอยู่ด้วยล่ะ...”

     

    จงอินนิ่งคิดไปพักใหญ่ จะว่ากุ้ยฮวาสวยตรึงใจหรือก็ใช่... 

    แต่ถ้าให้ไปอยู่ด้วย... 

     

    “ไม่ไปหรอก กูกลัวผี...” 

     

    แบคฮยอนเป่าลมหายใจออกจากปากอย่างโล่งใจทันทีที่เห็นเพื่อนส่ายหน้า นึกว่าจงอินมันจะหลงสาวในจินตนาการจนยอมไปกับเขาถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผีไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่คิดว่าจะสบายใจได้แล้วเชียว นิ่งกันไปพักนึงไอ้เพื่อนเวรมันก็ดันพูดประโยคที่ทำให้เขาขนลุกถึงหัวออกมา...

     

      “แต่ถ้ามาหาเป็นร่างคนก็ไม่แน่นะ...”

     

    “....”

     

    “เพราะกูหลงรักเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้าเลยว่ะ 

     

    ______________________________________________

     

    ช่วงเย็นของถนนกาโรซูกิลวันนี้การจราจรติดขัด มันเป็นธรรมดาของทุกวันศุกร์สุดสัปดาห์ที่ถนนจะแน่นขนัดไปด้วยยานพาหนะ แค่คิดว่าต้องติดแหง็กอยู่ในรถเมล์เป็นชั่วโมงกว่าก็เซ็งแล้ว เพราะงั้นเขากับแบคฮยอนถึงได้ตกลงกันว่าจะหาอะไรกินแล้วเดินเล่นต่ออีกซักสองสามชั่วโมง รอให้ถนนโล่งก่อนแล้วค่อยแยกย้ายกันกลับบ้าน

     

    “กินเสร็จแล้วจะไปไหนต่อวะ”

     

    จงอินที่กำลังจะคีบเอ็นไก่ใส่ปากเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถาม อันที่จริงถนนแถวนี้เขากับแบคฮยอนก็เดินกันจนพรุนหมดแล้ว เพราะงั้นพอโดนถามแบบนี้ก็เลยต้องนิ่งคิดไปพักนึงเหมือนกัน

     

    “ว่าจะไปซื้อร้อยปอนด์กับอาร์ตการ์ด”

     

    กว่าจะได้คำตอบก็ตอนที่เขากับแบคฮยอนเดินออกมาจากร้านขาไก่เจ้าประจำแล้ว ไอ้เพื่อนตัวบางพอได้ฟังคำตอบก็ไม่พูดอะไรมันแค่เบะปากยักไหล่แล้วเดินนำไปก็เท่านั้น

     

    แบคฮยอนชอบบ่นว่าเขาใช้กระดาษเปลือง แน่ล่ะ...ถ้าไม่นับสมุดสเกตอันนั้น ก็กระดาษร้อยปอนด์นี่ล่ะที่เขาใช้ระบายความคิดถึงที่มีต่อกุ้ยฮวา จะว่าใช่ความรักไหม? บางทีมันก็เหมือนว่าจะใช่ แต่บางทีก็เหมือนจะไม่ใช่...จะว่ายังไงดีล่ะ... เพราะเขารู้ตัวดีว่านี่เป็นแค่ความหลงใหล เขาไม่ได้รู้จักนิสัย แม้แต่จะรู้ว่าอีกฝ่ายมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ก็ยังไม่รู้.... 

     

    ไม่รู้อะไรซักอย่าง....

     

    แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว...เขาก็ยังยินดีที่จะคิดถึงกุ้ยฮวาทุกครั้งยามที่ว่าง ไม่รู้เหมือนกันว่ารอยยิ้มนั่นมีดีอะไร แต่ตอนที่มองน่ะ...มันเหมือนกับว่าโลกทั้งโลกที่เขายืนอยู่ถูกสาดด้วยสีโอรสยังไงอย่างงั้นเลย

     

    “ไอ้เหี้ยจงอิน!!!!! 

     

    เสียงตะโกนของแบคฮยอนที่ยืนอยู่อีกฝั่งของถนนเรียกให้เขาตื่นจากภวังค์ รถสัญชาติยุโรปวิ่งเฉียดหน้าเขาแค่ไปนิดเดียว ไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าไม่ได้ยินเสียงของแบคฮยอนแล้วชะงักเท่าตามสัญชาตญาณจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น

     

    ค ว ย  แบคฮยอนที่ทำสีหน้าโล่งใจชูนิ้วกลางส่งมาให้ ดูท่าเมื่อกี้เขาจะคิดถึงกุ้ยฮวาเพลินเกินไปจนลืมดูว่าไฟข้ามถนนมันเป็นสีแดงแล้ว

     

    รอตรงนั้นก่อน จงอินทำไม้ทำมือบอกให้เพื่อนสนิทรออยู่ตรงที่เดิมก่อนจะเอามือล้วงกระเป๋าแล้วยืนอยู่ในท่าสบาย  อันที่จริงการรอให้ไฟข้ามถนนเปลี่ยนเป็นสีเขียวก็ไม่ได้ใช้เวลานานเท่าไหร่ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมวันนี้ถึงได้รู้สึกว่ามันนาน... 

     

    นานเกินไป... 

    นานจนสายตามันไปหยุดอยู่ที่ใครคนนึงซึ่งก็จ้องมาทางเขาเช่นกัน 

     

    ราวกับเวลาของทั้งโลกหยุดหมุน จงอินไม่ได้จินตนาการไปเองว่าเขากำลังได้กลิ่นดอกกุ้ยฮวา... กลิ่นที่ตรึงใจเขาไว้ในความฝันมันหอมแรงกว่าทุกครั้ง เพียงแต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้กลิ่นมันในโลกแห่งความเป็นจริง  

     

    “กุ้ยฮวา! กุ้ยฮวา!!! 

     

    จงอินไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองตะโกนเรียกชื่อดอกหอมหมื่นลี้ด้วยเสียงดังแค่ไหน ไม่รู้แม้แต่ว่าคนที่ยืนอยู่อีกฟากของถนนนั่นจะมีจริงหรือไม่ ที่เขารู้อย่างเดียวคือผู้หญิงคนนั้น...ผู้หญิงคนที่อยู่ในความฝันของเขามานานนับปีกำลังปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้... 

     

    แค่มือเอื้อมเท่านั้น...

     

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” 

     

    ปัง!!!

     

    เร็วเท่าความคิด กว่าจงอินจะได้ยินเสียงแตรรถที่ร้องลั่นร่างสูงโปร่งก็ถูกดีดจนกระเด็นไปกระแทกกับพื้นแล้ว นาทีนี้ในหูมันไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกนอกจากเสียงกรีดร้องดังที่ไกลออกไปเรื่อย ๆ ส่วนดวงตาน่ะหรอ ก็พร่าซะจนมองคนแปลกหน้าที่กำลังล้อมวงเข้ามามุงเขาจนดูไม่รู้เรื่องว่าใครเป็นใคร 

     

    “คุณนาอึนโทรเรียกรถโรงพยาบาลด่วน! 

     

    “ค่ะคุณหมอโอ 

     

    เสียงที่ได้ยินมันไกลแสนไกล  ไกลซะจนเหมือนกับว่าวิญญาณของจงอินหลุดออกจากร่างไปแล้ว แต่ทันใดนั้นเองที่เด็กหนุ่มกำลังคิดว่าเขาใกล้จะหมดแรงและเหนื่อยที่จะหายใจ แรงตบเบา ๆ กับน้ำเสียงนุ่มทุ้มก็ดังขึ้นใกล้ ๆ

     

    “อย่าหลับ...คิมจงอิน...อย่าหลับ” 

     

    แรงกดที่หน้าอกทำให้จงอินปรือตาขึ้นมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงที่เคยมีมันหายไปไหน รู้อยู่อย่างเดียวว่าใบหน้าของคนที่กำลังตบแก้มเรียกเขาเบา ๆ ช่างดูคุ้นตาเหลือเกิน และถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายเขาคงจะคิดไปแล้วว่าคน ๆ นี้คือ...

     

    “กุ้ยฮวา...” 

     

    _____________________________________

    TBC 

     

    เจอกันในเล่มจ้า <3

     

    ชอบเรื่องนี้อย่าลืมติดแท็ก #ohyeskaihun น้า

     


     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×