คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Ayahsoo ▲ | CREEP
Shape – Shifter
"Shape Shifter" หรือพวกที่สามารถ "แปลงร่างได้"
ลักษณะต่างๆของ Shape Shifter (เชฟ ชิฟท์เตอร์) หรือเรียกสั้นๆว่า ‘ชิฟท์เตอร์’
* กฎเกี่ยวกับชิฟท์เตอร์ด้านล่างเป็นกฎที่เราเสริมและเติมแต่งขึ้นมาเอง มาจากตำนานหลายๆอย่างเอามายำรวมกัน ไม่เกี่ยวกับ พารานอมอลเรื่องอื่นแต่อย่างใด
- ร่างกายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วมากกว่ามนุษย์หลายเท่า มีอายุยืนเป็นร้อยปี
- แปลงร่างได้ทุกที่ ทุกเวลา ในสภาพร่างกายที่พร้อม
- มีร่างกายที่แข็งแรงทนทานมากๆสามารถปรับตัวได้กับทุกสภาพการเป็นอยู่
- มีความสามารถด้านการรักษาบาดแผลด้วยตัวเอง พวกชิฟท์เตอร์ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
- ชิฟท์เตอร์แต่ละตัวมีร่างสัตว์ไม่เหมือนกันตามความเชื่อ ถ้าวิญญาณตอนเกิดผูกติดกับสัตว์ชนิดไหนก็จะกลายร่างเป็นสัตว์ชนิดนั้นและได้สัญชาติญาณของดวงวิญญาณนั้นๆติดตัวมาด้วย
- ส่วนพลังพิเศษอื่นๆจะได้มาจากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด
- การเป็นชิฟท์เตอร์ส่งต่อกันทางสายเลือดเท่านั้น ไม่สามารถถูกเปลี่ยนจากมนุษย์มาเป็นชิฟท์เตอร์ได้
- มีแค่ชิฟท์เตอร์บางตัวที่มีพลังพิเศษและฝูงจะปกป้องชิฟท์เตอร์ตัวนั้นด้วยชีวิต
- กลายร่างเป็นสัตว์เต็มตัวไม่ใช่ร่างครึ่งมนุษย์-ครึ่งสัตว์
- ร่างกายจะโตเต็มที่และหยุดโตเมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์
- พวกชิฟท์เตอร์มีจุดตายอยู่ตรงกลางหน้าผากเพราะเป็นศูนย์รวมของจิตวิญญาณซึ่งรวมมนุษย์กับสัตว์ไว้ในร่างเดียวกัน
- อยู่กันเป็นฝูง ใช้กฎแห่งป่าในการดำเนินชีวิต ชอบสังคม มีหลากหลายสายพันธุ์ ส่วนมากเป็นสัตว์ป่า
- การผูกวิญญาณ (Imprint) พวกชิฟท์เตอร์จะมีคู่ชีวิตหนึ่งเดียวที่ถูกกำหนดมาแล้ว เป็นกฎแห่งธรรมชาติ ฝ่าฝืนไม่ได้ แต่ละตัวจะมีวิธีค้นเจอคู่ของตัวเองแตกต่างกันไป เมื่อเจอแล้วจิตวิญญาณจะถูกผูกติดกันแม้แต่ความตายก็พรากทั้งคู่ไม่ได้
- สามารถผสมพันธุ์กับมนุษย์แต่ไม่สามารถผูกจิตวิญญาณเป็นคู่แท้กันได้
- นอกจากคู่ชีวิต ฝูงคืออันดับหนึ่ง ห้ามทำร้ายฝูงโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นชีวิตต้องแลกด้วยชีวิตตามกฎของสัตว์ป่าแม้แต่กับลูกในสายเลือดของตัวเองก็ตาม
- จุดอ่อนอยู่ที่คู่ชีวิต (ในกรณีที่มีคู่ผูกจิตวิญญาณไว้ด้วยกันแล้ว) ถ้าคู่ชีวิตตายจะทำให้พลังชีวิตของอีกฝ่ายลดลงครึ่งหนึ่งและค่อยๆตายตามกันไปในที่สุด ทั้งชีวิตสามารถมีได้แค่คู่ชีวิตเดียว
- ความคิดของทั้งฝูงจะเชื่อมโยงกันทั้งหมด ปิดบังความรู้สึกไม่ได้ เป็นความสามารถพิเศษขั้นพื้นฐานของพวกชิฟท์เตอร์ ไม่ได้เชื่อมโยงระหว่างแค่คู่ของตัวเอง แต่สามารถปิดกั้นการอ่านใจได้โดยไม่แปลงเป็นร่างสัตว์นานๆ
- ไม่มีหัวหน้าฝูง ทุกคนเท่าเทียม อยู่กันเป็นครอบครัว แต่คำพูดของผู้อาวุโสในฝูงถือเป็นคำสั่งศักดิ์สิทธิ์ ความเคารพนับกันตามอายุเหมือนโลกมนุษย์
CREEP
--------------
By AyahSoo
Kai x Sehun
ต้องรอด . . .
ต้องรอดไปให้ได้ . . .
อีกครั้งสิวะ . . .
‘ไค’ พึมพำกับตัวเองอยู่ในใจเป็นรอบที่ร้อยระหว่างดวงตาสีดำขลับของเด็กหนุ่มมองประตูรั้วโรงเรียนตาละห้อย ร่างเก้งก้างของเด็กชายวัย 12 ปีซึ่งสูงเกือบร้อยแปดสิบเซนติเมตรยืนกำสายสะพายกระเป๋าเป้ของตัวเองเอาไว้แน่น เขาคิดคำนวณอยู่ในใจ . . . มีเงินอยู่ไม่ถึงหมื่นวอนในกระเป๋ากางเกงกับเศษเหรียญอีกนิดหน่อยซ่อนในซอกกระเป๋าเป้และแซนด์วิชแฮมไข่สภาพเยินๆนอนนิ่งอยู่ในกล่องอาการกลางวัน
เขาไม่มีอะไรจะให้อีกต่อไปแล้ว ไคได้แต่หวังว่าวันนี้พวกมันจะพอใจกับสิ่งที่เขามี . . .
สายตาลุกลิกมองเด็กผู้ชายกลุ่มใหญ่ที่ยืนอออยู่หน้าสนามฟุตบอลของโรงเรียนด้วยความกระสับกระส่าย เขามองหนึ่งในพวกนั้นเดินไปลากเด็กผู้ชายเกรดเจ็ดท่าทางเชยๆคนหนึ่งเหวี่ยงเข้ามาในกลางวง ร่างของคนที่โดนเหวี่ยงนอนสั่นงกๆอยู่กับพื้นอย่างน่าสงสาร คล้ายกับเขาจะรู้ชะตากรรมของตัวเองเป็นอย่างดี เด็กคนนั้นไม่ได้ลุกยืนขึ้นพร้อมสู้แต่เด็กเกรดเจ็ดผู้โชคร้ายกลับถอดแว่นของเขาออกแล้วเก็บมันลงกระเป๋ากางเกงอย่างเงียบเชียบ
พวกเด็กนักเรียนที่ยืนล้อมรอบผู้ชายกลุ่มนั้นเฮเสียงดังพร้อมพากันส่งลูกบอลให้กับตัวหัวหน้ากลุ่ม ไคมองภาพนั้นด้วยความเครียดจัดและยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่เมื่อกลุ่มผู้ชายหัวโจ๊กเริ่มเตะลูกบอลอัดใส่ร่างของคนที่นอนหมอบอยู่กับพื้นอย่างแรงด้วยความสนุกสนาน เสียงเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายร้องด้วยความเจ็บเมื่อแรงอัดกระทบร่างกายซ้ำๆแต่เหมือนเสียงของเขายิ่งไปกระตุ้นความกระหายของพวกบ้า เด็กนักเรียนที่มุงดูอยู่พากันเฮลั่น ใบหน้าของผู้กระทำแดงก่ำด้วยสีเลือดสูบฉีด ยิ่งร้องก็ยิ่งสนุก ยิ่งร้องเสียงเฮก็ยิ่งดัง ยิ่งร้องก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเป็นผู้ชนะ . . .
ไม่ต่างจากสัตว์ป่ากำลังรุมกินโต๊ะเหยื่อที่ไม่มีทางสู้เลยสักนิด!
พวกมันออกันอยู่ตรงสนามฟุตบอล ไม่มีทางไหนเลยที่ไคจะเดินเข้าไปในโรงเรียนโดยที่พวกนั้นไม่สังเกตเห็นเข้าซะก่อน เด็กหนุ่มถอนหายใจด้วยความหนักอึ้งแล้วรื้อหมวกแก๊ปในเป้ขึ้นมาสวม ขยับไปขยับมาให้มันปิดบังใบหน้ามากที่สุด . . . เขาเกลียดส่วนสูงของตัวเองชะมัดที่มันเด่นซะจนยากจะมองข้ามไปได้ ทั้งส่วนสูงทั้งร่างกายที่อยู่ๆก็โตขึ้นพรวดๆจากเด็กกะโปโลกลายเป็นร่างกายของผู้ชายเกือบโตเต็มวัย
มีเพียงแค่พ่อคนเดียวที่ดูเหมือนจะรับได้กับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ แต่คนอื่นกลับเลือกนิยามเด็กชายคิม ไคในวัย 12 ปีว่าเป็น . . . ‘ตัวประหลาด’
มันประหลาดแม้แต่ตัวไคเองก็ยังไม่เข้าใจและพ่อก็ไม่พยายามหาคำตอบให้กับคำถามของเขาเลย ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขาล้วนแต่แปลกประหลาดไปซะหมด ตอนแรกเกิดตัวเขามักจะเปียกโดยไม่มีสาเหตุอยู่เสมอ ตอนสามขวบเคยกระเด็นตกถนนโดนรถเก๋งชนซ้ำแต่ดันไม่เป็นอะไร ตอนสิบขวบโดนเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งแล้วพลาดตกจากระเบียงชั้นสอง ไคแน่ใจว่าเขาได้ยินเสียงกระดูกตัวเองหักดังกร๊อบ! แต่เจ็บจี๊ดแค่แปบเดียวก็หาย แถมตอนสิบสองร่างกายของเขาสูงขึ้นพรวดๆเกือบร้อยแปดสิบเซนติเมตรภายในเวลาหกเดือน! . . .
คงไม่มีคำไหนเหมาะกับไคไปมากกว่าคำว่า ‘ไอ้ตัวประหลาด’ อีกแล้ว
เด็กหนุ่มยกเป้ขึ้นสะพายทั้งสองข้างก่อนจะขยับปีกหมวกให้เข้าที่ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเยาะ . . . คนเราล้วนแต่ตกอยู่ในกำมือของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่ากันทั้งนั้นนั่นแหละ . . . โดยเฉพาะผู้มีอำนาจที่มาพร้อมกับเพื่อนคอยสนับสนุนอีกเป็นพรวน พ่วงตำแหน่งกัปตันทีมฟุตบอลระดับภูมิภาคและลูกชายคนเล็กของเจ้าของโรงเรียน . . . ไคสูดลมหายใจเข้าจนเต็มที่ กลิ่นลมหอมๆทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสบายใจอยู่ชั่วครู่ก่อนเขาจะขยับเท้าแล้วเริ่มวิ่งในที่สุด
แต่โชคร้ายที่วันนี้ไม่ใช่วันของคิม ไค . . . อันที่จริงไม่เคยมีวันไหนที่เป็นของคิม ไคเลยต่างหาก
“จะไปไหน ไอ้ตัวประหลาด”
น้ำเสียงยียวนดังขึ้นพร้อมกับแรงดึงมหาศาลจากทางด้านหลังซึ่งทำให้ร่างสูงโย่งต่างจากเด็กวัยเดียวกันของไคหยุดกึกอยู่กับที่ในทันที หมวกแก๊ปที่ตั้งใจใส่เมื่อครู่ถูกปัดออกจากศีรษะตกลงบนพื้นเป็นอย่างแรก . . . เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด พวกมันจับเขาได้ในที่สุด เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้าเขายังเห็นทางสว่างอยู่รำไร แต่ตอนนี้โดยไม่รู้ตัวกลุ่มนักฟุตบอลโรงเรียนเปลี่ยนเป้าหมายจากเด็กแว่นกลายมาเป็นไอ้ตัวประหลาดซะแล้ว
ถึงแม้ตอนนี้ไคจะมีส่วนสูงที่น่าประทับมากเพียงใด แต่เขาก็เป็นต่อเพียงแค่ความสูงต่างจากรูปร่างของนักกีฬาพวกนี้อย่างเห็นได้ชัด พวกมันทั้งสูงทั้งหนาแถมยังแข็งแรงมากอีกด้วย . . . แล้วความจริงอีกอย่างก็คือเขาอายุแค่ 12 ปีเท่านั้น แม้ชีวิตของเขาจะไม่ลำบากแต่ก็ไม่ได้นั่งกินนอนกิน เขาต้องช่วยพ่อทำงานหนักๆหลายอย่าง เติบโตมาแบบลุ่มๆดอนๆเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะสามารถเลี้ยงดูเขาได้ ส่วนนักกีฬาพวกนี้คือเด็กมอปลาย ที่มีทั้งกำลังกายและกำลังเงินคอยเป็นแบ็คอัพให้ตลอดเวลา ไม่ว่าคนพวกนี้จะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม
ไคล้วงเอาเงินในกระเป๋ายื่นให้คนพวกนั้นทันที . . . เขาไม่อยากจะมีปัญหาอีกต่อไปแล้ว
ปาร์ค มินโฮหัวเราะก่อนวินาทีถัดมาฝ่ามือของรุ่นพี่คนดังจะปัดเงินในมือของเด็กหนุ่มจนมันตกกระจายทั่วพื้น . . . คราวนี้เสียงหัวเราะกลับดังกระหึ่มขึ้นมาพร้อมกันราวกับมีอะไรตลกนักหนา
“กระจอกว่ะ กูให้ขอทานมากกว่านี้อีก” น้ำเสียงแหบห้าวพูดออกมาก่อนมันจะขยับตัวแล้วเหยียบแบงก์หนึ่งพันวอนของไคโดยไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มมองตามการกระทำนั้นตาเขียวปั๊ดในทันที . . .
ทั้งชีวิตของเขามีแค่พ่อเพียงคนเดียว เซฮุนลำบากแค่ไหนกว่าจะเลี้ยงเขาตัวคนเดียวมาตั้งสิบสองปี ไครู้ดีหมดทุกอย่าง พ่อทำงานหนักมากเพื่อให้เขาได้อยู่ดีกินดี บางทีหายไปเป็นอาทิตย์ หายไปเดือนก็มี เซฮุนบอกว่าตัวเองเป็นช่างภาพแต่พ่อของเขากลับเป็นคนที่ถ่ายรูปออกมาไม่ได้เรื่องเลยสักนิด เด็กหนุ่มรู้ดีว่ามีอะไรมากกว่าที่เห็นมากนัก เขามักจะมีลางสังหรณ์แปลกๆเกี่ยวกับทุกอย่างอยู่เสมอและมันก็แทบไม่เคยพลาด เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาและพ่อมักจะถูกถมด้วยความลับ แต่ก็ช่างเถอะ ขนาดคำถามง่ายๆเกี่ยวกับตัวเอง ไคยังหาคำตอบไม่ได้เลย . . .
“ทำไม มองหน้า มึงอยากโดนแบบไอ้แว่นนั่นเหรอ?”
แล้วที่เป็นอยู่ตอนนี้มันต่างกันตรงไหน . . .
ในจังหวะที่ไคกำลังจะอ้าปากตอบ เสียงของใครคนหนึ่งก็ขัดขึ้นมาทันที
“หยุดนะ มินโฮ!” แต่คนที่ชะงักกลับเป็นไคไม่ใช่เจ้าของชื่อแต่อย่างใด ทันทีที่เสียงหวานๆหยุดลง ใบหน้าน่ารักราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบของ ‘แอลลี่’ ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขาทันที เด็กหนุ่มเหลือบตามองเธอด้วยความประหม่าพร้อมกับดวงตากลมโตของเด็กสาวซึ่งได้ฉายาเจ้าหญิงของโรงเรียนก็มองตอบกลับมาที่เขาเช่นกัน
ไคกำมือแน่นด้วยความแค้น แต่ถ้าเขาสู้ ทุกอย่างก็จะจบลงแบบเดิม . . . เซฮุนจะต้องเดือดร้อน
ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ไม่มีวันไหนที่เขาจะได้อยู่อย่างสงบสุข . . .
1. คิม ไคเป็นเด็กนักเรียนใหม่ เขาย้ายเข้ามากลางเทอม
2.เขาคือไอ้ตัวประหลาดและเป็นของเล่นแกะกล่องของกลุ่มเด็กหนุ่มเจ้าของโรงเรียน
3.เขาโดนแกล้งและมีสาวสวยเข้ามาห้าม . . . เธอแค่สงสารแต่มันไปสะกิดต่อมอะไรบางอย่างของคนพวกนั้น
สุดท้ายก็จบลงที่เขาโดนอัดจนเละ . . . เป็นแบบนี้ซ้ำๆแทบทุกวัน!
เด็กสาวฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งก่อนมือเล็กๆของเธอจะผลักร่างมินโฮไปให้พ้นทาง แอลลี่เหลือบมองเด็กหนุ่มที่เพิ่งย้ายมาใหม่ด้วยความสงสารแล้วจึงก้มลงเก็บแบงก์ใบที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด ทันใดนั้นกลุ่มคนก็แตกฮือหนีไปคนละทิศละทางอย่างรวดเร็วเมื่อเจ้าหญิงของโรงเรียนจ้องมองใบหน้าของเด็กใหม่นิ่งๆ เธอยืดตัวขึ้นแล้วยัดเงินที่ว่าใส่ในมือของไอ้ตัวประหลาดอย่างแรง
ปาร์ค มินโฮมันงี่เง่า! มันอาจจะเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าของโรงเรียน เป็นแกนนำของกลุ่มเด็กมอปลาย เป็นกัปตันทีมฟุตบอล เป็นหัวโจก เป็นนักเลงประจำโรงเรียนที่ว่าใครๆก็ไม่กล้าหือ ชอบหาเรื่องคนที่ไม่มีทางสู้ ทุกคนๆกลัวชื่อเสียงของไอ้หมอนี่กันหมด . . . แต่คิม แอลลี่ก็เป็นลูกสาวของหนึ่งในผู้ที่บริจาคเงินให้กับโรงเรียนมากที่สุดคนหนึ่ง นอกจากอยู่ในครอบครัวมหาเศรษฐีแล้วพ่อของเธอยังดำรงตำแหน่งระดับสูงในกระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้อีกด้วย
เพราะฉะนั้นใครอยากชนกับเธอก็เข้ามา!
ไคยืนนิ่งไม่ไหวติ่งในขณะมองใบหน้าสวยหวานของรุ่นพี่คนดังกลับไปเช่นกัน . . . ฝ่ามือบอบบางของเธอแตะผ่านมือเขาอยู่ชั่วครู่ก่อนสัมผัสที่ว่าจะหายไป แอลลี่ดึงมือกลับไปอย่างรวดเร็วพลางชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ วูบหนึ่งที่มือแตะกัน เธอกลับรู้สึกว่าเด็กคนนี้พิเศษ ดวงตาสีดำขลับเงาวับแต่เมื่อจ้องดีๆเธอกลับเห็นประกายสีเงินบริสุทธิ์เต้นไหวอยู่ในนั้น เหมือนแสงจันทร์ในคืนเดือนมืดไม่มีผิด มันล้อแสง วิบวับเป็นเงาสวยงาม น่าพิศวงเหลือเกิน . . .
ความแข็งแรง ปราดเปรียวราวกับเจ้าป่าถูกส่งตรงออกมาจากนัยน์ตาคู่งามของเด็กหนุ่มตรงหน้า ซึ่งมันขัดกับลักษณะภายนอกของเขาที่ . . . ยืนหลังงอ ถึงแม้จะสูงพอตัวแต่เขากลับงุ้มไหล่ราวกับไม่มั่นใจทำให้มันดูตกอย่างน่าเสียดาย ชอบก้มหน้าบวกกับการแต่งกายที่เรียกได้ว่าโคตรเชยในสมัยนี้และทรงผมคุณแม่ขอร้องที่เคยดังสมัยเมื่อสิบที่แล้ว เรียกได้ว่าสภาพของเด็กใหม่นี่ดูไม่จืดสักนิด . . . แอลลี่ถอนหายใจเมื่อพิจารณาคนตรงหน้าชัดๆ
เสียดายของ . . .
“แอลลี่เธออย่ามายุ่ง!” มินโฮเสียงดังทันทีที่เห็นอีกฝ่ายมีพวก ร่างสูงใหญ่ของกัปตันทีมฟุตบอลขยับเข้ามาจับแขนของเด็กสาวแล้วพยายามดึงเธอออกไป
“นายแกล้งเด็ก! เขาอยู่แค่เกรดเจ็ด ไม่อายหรือไงมินโฮ” เธอ . . . ฮีโร่ของเขาตวาดเสียงเข้ม แอลลี่เถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ใบหน้าสวยน่ารักของเธอแลดูโกรธจัดก่อนเธอจะกระชากแขนกลับมาแล้วผลักอกอีกฝ่ายอย่างแรง เสียงโวยวายที่ดังขึ้นมาอีกครั้งดึงความสนใจจากฝูงชนอีกรอบและคราวนี้ทุกคนดูจะสนุกเป็นพิเศษในเมื่อคู่ต่อสู้ที่ลงสนามคือตัวเป้งด้วยกันทั้งคู่ . . . มันกันละทีนี้!
ไคยืนมองภาพของสองคนด้วยความเบื่อหน่าย เด็กหนุ่มพยายามหาโอกาสที่จะเข้าไปแทรกเพราะยังไงสุดท้ายแล้วเขาก็ต้องโดนมินโฮอัดอยู่ดี ถึงแม้ครั้งนี้แอลลี่จะออกหน้าออกตาปกป้องเขาอย่างชัดเจนก็ตาม ดีไม่ดีเขาอาจจะโดนหนักกว่าเดิมในเมื่อใครๆก็รู้ว่าปาร์ค มินโฮเป็นเจ้าของทุกอย่างภายในโรงเรียนนี้ ยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือ คิม แอลลี่ . . . เธอเป็นเด็กสาวที่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองเสมอและเธอก็รู้ตัวดีว่ามินโฮไม่ได้ใกล้เคียงชายหนุ่มในฝันของสาวๆเลยสักนิด
ทั้งสองคนตะโกนเถียงกันอีกครั้ง กลุ่มคนที่สลายไปเมื่อครู่ เริ่มตีวงกลับเข้ามา . . . ทุกคนเป็นพยาน พวกเขาเหล่านั้นเห็น พวกเขารู้สึก พวกเขาสงสาร พวกเขาเห็นใจ แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งเช่นกัน . . . ในสมัยนี้ไม่มีอีกต่อไปแล้ว ถ้อยทีถ้อยอาศัย พวกเราไม่ได้อยู่ในป่าที่แทบจะไม่มีตัวแปรในการดำเนินชีวิตอะไรเลยแต่พวกเราอยู่ในเมือง อยู่ในยุคสมัยที่เห็นผู้หญิงโดนตบตีวันต่อมาเหตุการณ์นั้นจะว่อนอยู่ในอินเตอร์เน็ต เด็กใหม่โดนรุมแกล้งแต่ทุกคนพร้อมใจกันเบือนหน้าหนีเพียงเพราะนั่นมันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
. . . ก็เป็นเหมือนสัจธรรมของชีวิต ความบังเอิญไม่มีในโลก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่ถูกกำหนดมาหมดแล้ว ความบังเอิญคือความไม่รู้ แต่ถ้ารู้ แล้วยังเลือกที่จะทำนั่นไม่ใช่ความบังเอิญ แต่นั่นคือการจงใจ
เหมือนดั่งที่มินโฮกำลังจงใจหาเรื่องเขาเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากแอลลี่อยู่นี่ไง . . .
“เด็กที่ไหน ตัวมันหยั่งกับควาย ไอ้นี่มันโง่จนสอบเลื่อนชั้นไม่ได้ต่างหาก!” มินโฮตะโกนลั่น เสียงสั่นราวกับยิ่งโกรธที่เห็นสาวน้อยในดวงใจกระโดดไปปกป้องไอ้ตัวประหลาดคล้ายกับมีใจ ในครั้งแรกที่เห็นหน้ามึนๆของมันก็นึกไม่ถูกชะตาอยู่แล้วยิ่งออกมาอีหรอบนี้ เขายิ่งหมั่นไส้ ยิ่งอยากแกล้งให้มันไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเข้าไปใหญ่
“นายมันงี่เง่า เขาไปทำอะไรให้ เก่งแต่กับคนไม่มีทางสู้!” แอลลี่ไม่ยอม เธอตะโกนขึ้นมาบ้างราวกับหมดความอดเช่นกัน เมื่อทำอะไรไม่ได้ ในขณะที่คู่กรณียืนนิ่งไม่รู้สึกรู้สา ปล่อยให้ทำตามใจชอบ ส่วนผู้หญิงในดวงใจก็กางปีกปกป้องไปซะทุกทาง มินโฮส่งซิกให้เด็กหนุ่มอีกคนในทีมฟุตบอล พวกนั้นกระชากกระเป๋าเป้ของไคออกมาดึงทึ้ง รื้อข้าวของแล้วโยนกระจายเต็มพื้น ไคยืนนิ่งมองดูแอลลี่ดิ้นพล่านแทนตัวเองไปทั่ว
และเมื่อหันกลับมา เขาก็ยืนประจันหน้ากับปาร์ค มินโฮไปเสียแล้ว
“ไอ้ขี้แพ้ . . .”
น้ำเสียงแหบห้าวกระซิบให้ได้ยินกันสองคน ตาต่อตา ฟันต่อฟัน . . . ไคสูดหายใจเข้าลึกๆเมื่อฝ่ามือข้างหนึ่งของมินโฮเอื้อมมาจับที่ไหล่แล้วบีบอย่างแรงจนได้ยินเสียงข้อนิ้วลั่น เจ็บจนร้องไม่ออก . . . แต่ก็ดี เพราะเขาไม่มีวันร้อง
อดทนไว้ไค . . . อดทน
เพราะถ้าสู้ ผลลัพธ์มันจะรุนแรงกว่านี้มาก . . . เซฮุนเคยโดนตามตัวมาจากที่ทำงานเพื่อมาโดนครูใหญ่อบรมถึงวิธีการ ‘การเลี้ยงลูกอย่างถูกต้อง’ . . . มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วเพียงเพราะเขาแค่เลือกที่จะปกป้องตัวเอง ไคสาบาน เขาจะไม่มีวันลืมสีหน้าของพ่อเลย ให้ตาย
เพราะฉะนั้นไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาต้องอดทน!
มินโฮผลักร่างสูงเก้งก้างของไคล้มไปกองกับพื้นแล้วลากแอลลี่เดินจากไปในที่สุด ใบหน้าสวยน่ารักของเธอหันมามองเขาเป็นครั้งสุดท้าย ดวงตาของเด็กสาวมีแววเห็นอกเห็นใจอยู่เต็มเปี่ยม ไคหลบสายตาเวทนาของคนที่มุงดู เด็กหนุ่มเหยียดยิ้มกับตัวเองแล้วกวาดเศษเงิน กระดาษ ปากกาและแซนด์วิชแฮมเน่าๆของพ่อที่โดนเหยียบจนเละเข้ากระเป๋า
ไอ้เด็กแว่นคนที่โดนลูกบอลอัดอยู่เมื่อกี้เดินมานั่งย่องๆตรงด้านหน้า ใบหน้าที่ทั้งมึนทั้งงงดูตลกแบบแปลกๆช้อนสายตาสบกับเขาเงียบๆก่อนมันจะดึงแว่นในกระเป๋ากางที่ซ่อนเอาไว้ขึ้นมาสวม เพื่อนแว่นเอียงคอมองความเสียหายราวกับกำลังลังเลที่จะถามแล้วพึมพำถามเสียงเบาว่า ‘เป็นอะไรไหม?’
ไคยิ้มแล้วตอบ . . . ‘ไม่เป็นไร’
แต่ใครจะมาแคร์ . . . ไอ้แว่นนี่น่ะเหรอ มันจะทำอะไรได้? ในเมื่อตัวเองยังเอาไม่รอดเลย ถึงต่อให้เขาเจ็บจะตายขึ้นมาจริงๆจะมีใครกล้าเป็นเดือดเป็นร้อน สุดท้ายก็ไม่พ้นคอพ่ออยู่ดี . . . หรือคราวนี้จะมีคนกล้าไล่ลูกชายเจ้าของโรงเรียนออกกันล่ะ?
โลกใบนี้มันบิดเบี้ยวเกินจะทน . . . เขาอยากไปให้พ้นๆ ไปที่ไหนก็ได้
ที่ที่เด็กชายคิม ไค จะมีตัวตนสักที . . .
เด็กหนุ่มคิดกับตัวเองเงียบๆในขณะที่มือรูดซิปปิดกระเป๋าเป้ ไคลุกยืนขึ้น ร่างสูงเก้งก้างของเด็กหนุ่มเดินไปหยิบหมวกแก๊ปเปื้อนฝุ่นขึ้นมาสวม ดวงตาสีดำสนิทมองเพื่อนแว่นที่ยังคงนั่งงงอยู่กับพื้นก่อนจะเดินไปดึงคอเสื้อที่เต็มไปด้วยรอยลูกบอลให้ลุกยืนขึ้น คิม ไค ปัดเศษฝุ่นด้านหลังกางเกงของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย เด็กหนุ่มตบไหล่ของผู้ร่วมชะตากรรมอีกคนเบาๆ
“เจอกันแว่น . . .”
แล้วเดินจากไปเช่นกัน
“ไค! ไอ้หนู อยู่ไหน? . . . พ่อถึงบ้านแล้ว”
โอ เซฮุน ตะโกนเรียกหาลูกชายลั่นบ้านในขณะที่ร่างเพรียวบางของชายหนุ่มกำลังถอดรองเท้าอยู่หน้าประตู เขาเอาฝ่ามือยันผนังแล้วเหวี่ยงกระเป๋าใบเขื่องลงพื้นก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงด้วยความเหนื่อยจากการทำงานหนักมาทั้งวัน ในที่สุดก็ถึงบ้านสักที . . . เซฮุนขมวดคิ้วเมื่อเห็นรองเท้าผ้าใบของไคถอดอยู่ก่อนแล้วแต่เมื่อลองส่งเสียงเรียกอีกรอบ ไอ้เจ้าลูกชายตัวดีก็ยังไม่ยอมขานรับแต่อย่างใด
คงจะแอบไปงีบก่อนเวลาอาหารเย็นแน่ๆ ไอ้ตัวนี้นี่มันขี้เกียจเหมือนใครก็ไม่รู้ ขี้เซาเหมือนกันไม่มีผิด . . .
เซฮุนบ่นพึมพำก่อนจะส่ายหัวแล้วได้แต่เตะรองเท้าให้ไปกองรวมกันตรงด้านหนึ่งของประตูในที่สุด ร่างสูงโปร่งบิดขี้เกียจเล็กน้อยจากนั้นจึงออกแรงยกทั้งกระเป๋าเอกสารและถุงกับข้าว เดินจ้ำไปวางบนโต๊ะอาหารด้วยความรวดเร็ว ในขณะที่คนอื่นดูเหมือนจะแก่ลงทุกวันแต่เซฮุนกลับตรงกันข้าม
ยิ่งอยู่ก็ยิ่งดูดี ชายหนุ่มเป็นคนทะมัดทะแมง ทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว แอคทีฟชวนให้ตื่นเต้นไปด้วยอยู่เสมอ ไม่เคยมีใครรู้อายุที่แท้จริงของชายหนุ่มและเมื่อมีคนถาม เขาก็จะตอบเลี่ยงๆด้วยรอยยิ้มสุภาพบนใบหน้าพร้อมกับน้ำเสียงติดตลกกลับไปทำให้คนฟังคล้อยตามได้อย่างไม่ยาก
“ผมเองก็ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าเท่าไหร่ . . . ที่จริงผมอยู่มานานมากจนลืมนับไปเลยล่ะครับ”
ทุกคนมักจะตะลึงจนอ้าปากค้างอยู่เสมอ เมื่อรู้ความจริงที่ว่าผู้ชายคนที่ย้อมผมสีบลอนด์จนเกือบซีด ชอบใส่กางเกงสกินนี่ยีนส์รัดติ้วแถมยังขาดเป็นรูตรงต้นขาได้น่าหวาดเสียว แต่งตัวจัดจนเข็ดฟันคนนี้คือคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่มีลูกชายวัย 12 ขวบซึ่งตัวโตเกือบจะเท่ากันเป็นเรือพ่วงมาด้วย . . .
ในตอนที่เทกับข้าวกล่องสุดท้ายใส่จานจนเสร็จ เซฮุนผิวปากเป็นทำนองเพลงที่ลูกชายเพิ่งเอามาเปิดให้ฟังไปหมาดๆเมื่อคืน ชายหนุ่มเดินไปล้างมือก่อนจะถอดเสื้อคลุมแล้วโยนพาดไว้กับพนักพิงเก้าอี้ ร่างโปร่งบางเดินตัวปลิวไปอีกด้านก่อนจะย้อนกลับมาที่เดิมด้วยความเร็วยิ่งกว่าเก่า เซฮุนตะโกนเรียกชื่อลูกชายให้ลงมาทานข้าวลั่นบ้านอีกครั้ง คราวนี้ไคขานรับแล้วตามมาด้วยเสียงตึงตังจากอีกห้องก่อนจะเงียบหายไป
เขาหัวเราะก่อนจะส่ายหัว ขี้เซายังไม่พอ ซุ่มซ่ามอีก เด็กบ้าเอ๊ย . . . ทันใดนั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นซองจดหมายขนาดกลางวางแอบอยู่มุมโต๊ะด้านหนึ่ง มันเป็นซองที่ถูกส่งมาหาเขาทุกๆสองอาทิตย์ เซฮุนมองด้วยความคุ้นเคย ทั้งอยากและไม่อยากที่จะเดินไปหยิบมัน แต่สุดท้ายเขาก็แพ้ใจตัวเองในที่สุด
บนซองจดหมายไม่ได้จ่าหน้าถึงใคร . . .
แต่บนซองกลับเขียนด้วยตัวหนังสือใหญ่ยักษ์แถมยังหวัดซะเกือบอ่านไม่ออก
‘ส่งตรงจากป่า’
J.
เซฮุนคว้าซองจดหมายขึ้นมาพร้อมกับเสียงประตูห้องนอนของไคที่เปิดออก เขาเหลือบมองไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็วก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหลบในห้องน้ำพลางตะโกนบอกลูกชายเสียงดัง ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนขอบอ่างอาบน้ำแล้วรีบซีกซองออกด้วยความร้อนรน
ทันใดนั้นภาพถ่ายเป็นสิบๆใบก็ร่วงกระจายลงสู่พื้นในทันที . . .
เซฮุนหลับตาลงก่อนจะลืมขึ้นแล้วจ้องมองรูปภาพพวกนั้นด้วยความรู้สึกยากจะคาดเดา ทั้งจุก ทั้งพูดไม่ออก เมื่อเขามอตอบภาพของเด็กชายผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งกลับไปเงียบๆ แม้คนในภาพดูเหมือนจะโตเต็มวัยไปแล้วก็ตามแต่เขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มคนนี้อายุ 12 ปีเหมือนกันกับไค ลูกชายของเขาอย่างแน่นอน . . .
เด็กคนนี้มีโครงหน้าที่ทั้งหล่อและน่ารัก ผิวขาวจัดเหมือนกับเขา แต่บนใบหน้าเกือบทุกรูปไม่มีรอยยิ้มมีแต่แววตาที่เด็ดเดี่ยวและเอาเรื่องดูคุ้นเคยอย่างประหลาด . . .
คยองซู . . .
ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มทรุดลงกับพื้นแล้วเก็บรูปแต่ละใบขึ้นมากดแนบอกด้วยความทะนุถนอมสุดหัวใจ ในทุกภาพเด็กผู้ชายคนนั้นทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆ ใบหน้าไม่ไหวติ่งและดูเกร็งกับการถ่ายรูปอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่แตกต่างมีเพียงเครื่องแต่งกายและวันที่ซึ่งเขียนด้วยลายหวัดๆอยู่ใต้มุมรูปทุกใบ
แต่มีรูปหนึ่งที่เซฮุนหยิบมันขึ้นมาใกล้ก่อนจะจ้องมันด้วยความหลงใหลโดยไม่รู้ตัว . . .
รูปนี้เป็นเพียงรูปเดียวที่เด็กคนนี้ยิ้ม . . . ยิ้มกว้างในขณะที่มองเหม่อไปบนทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีสด เด็กคนนี้มีรอยยิ้มที่ดูจริงใจและเปิดเผย มันคือสิ่งที่สวยงามมากที่สุดเท่าที่เซฮุนเคยเห็นและที่สำคัญ . . . คนในรูปนี้มีรอยยิ้มที่เหมือนทั้งเขาและไอ้คนเฮงซวยนั่นจนน่าขนลุก!
เหมือนไอ้หนูของเขาไม่มีผิดเลย!
ความตื้นตันตีวาบเข้ามาในช่องอกเมื่อฝ่ามือของขาวสะอาดพลิกด้านหลังของรูปก่อนดวงตาแดงก่ำจะอ่านข้อความสั้นๆนั้นด้วยหัวใจที่สั่นไหวยิ่งกว่า . . .
Always Yours
. . . เป็นของนายตลอดเวลา
J.
ปัง!!!!!!
เสียงกระแทกประตูตู้เย็นปิดอย่างแรงทำให้เซฮุนรู้สึกตัว ชายหนุ่มสะดุ้งแล้วรีบเก็บรูปถ่ายทุกใบซ่อนไว้ในซอกเล็กๆหลังอ่างล้างหน้าทันที ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นแล้วรีบเปิดประตูห้องน้ำเดินจ้ำๆไปคว้าร่างลูกชายคนเดียวเข้ามากอดมาหอมชุดใหญ่ ไคส่งเสียงฮึดฮัด ขัดขืนในตอนแรกก่อนจะปล่อยเลยตามเลยในสุดเมื่อพ่อยืนยันว่ายังไงก็ต้องแสดงความรักต่อกันให้ได้
“พ่อ ผมโตแล้วนะ . . .”
เด็กหนุ่มแย้งเสียงอ่อนก่อนจะเบี่ยงตัวออกแล้วเดินหนีไปอยู่อีกฝั่งของห้องจนเซฮุนหัวเราะให้กับน้ำเสียงอู้อี้ขึ้นจมูกของไคอย่างอดไม่ได้ ร่างสูงโปร่งของพ่อยกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้แล้วหันไปตักข้าวใส่ถ้วยเตรียมเอาไว้ ในขณะที่เด็กหนุ่มยืนพิงขอบโต๊ะเงียบๆ มือไม้ขยับเสื้อคอเต่าของตัวเองด้วยความกระสับกระส่ายทั้งๆที่อากาศในตอนนี้อุ่นจนใส่แค่เสื้อยืดบางๆก็ยังได้
ไคถอนหายใจพร้อมกับลอบสังเกตท่าทางของพ่อไปด้วย . . . จะว่ายังไงดี หลายปีมานี้ตั้งแต่ที่เขาเริ่มแยกแยะสิ่งต่างๆได้ ทุกอย่างรอบตัวเขากับพ่อดูน่าสงสัยไปซะหมด อย่างแรก สีนัยน์ตาของเขาไม่เหมือนใครเลยแม้กระทั่งพ่อแท้ๆของตัวเอง มันเป็นสีดำสนิทถ้ามองเพียงผ่านๆ แต่หลังจากไคใช้เวลาสามชั่วโมงนั่งจ้องลูกกะตาตัวเองในกระจก เขาพบว่า นัยน์ตาของตัวเองเป็นสีเงินบริสุทธิ์ต่างหาก! มันจะวาบขึ้นมาในตอนที่เขาเผลอก่อนจะกลืนหายเป็นสีดำสนิทราวกับกลัวใครจะจับได้ในวินาทีถัดมา!
สิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือ เซฮุน . . . พ่อไม่เคยแก่ลงเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้และเมื่อเขาถาม พ่อก็จะเฉไฉ หัวเราะพร้อมกับพึมพำว่ามันไร้สาระ แต่ไคห้ามความสงสัยของตัวเองไม่ได้ มันเป็นนิสัยของเขาที่แก้ยังไงก็แก้ไม่หาย เขาชอบสังเกตทุกอย่างเงียบๆ มันทำให้เขาตื่นตัวตลอดเวลา แม้ว่าบุคลิกภายนอกของเด็กหนุ่มจะดูเหมือนคนเฉื่อยชาก็ตามแต่อะไรลึกๆบอกกับไคเสมอว่าแท้จริงแล้ว . . .
‘เขารักความตื่นเต้น’
อันที่จริง พ่อก็เป็นอีกคนที่มีนัยน์ตาสีประหลาด . . . เซฮุนเป็นคนที่มีนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมาก อ่อนมากๆจนบางทีมันกลายเป็นสีใสและก็เหมือนกับเขาเวลาเผลอ ‘มันจะวาบขึ้นมาเป็นสีเหลืองอำพัน’ แล้วหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนดวงตาของเสือในสารคดีไม่มีผิด หลายครั้งที่ไคคิดว่าดวงตาของพ่อไม่ได้ดูแปลกประหลาดเพียงอย่างเดียว แต่มันดูมีพลังอำนาจจนน่าขนลุกอีกด้วย
จริงอยู่ที่เซฮุนดูไม่แก่เลยแต่รูปลักษณ์ภายนอกก็เปลี่ยนไปบ้างนิดหน่อยตามกาลเวลาเมื่อเทียบกับตอนที่เขายังเด็กๆ พ่อตัวหนาขึ้นแต่ก็ยังถือว่าเป็นผู้ชายที่รูปร่างเพรียวบางอยู่ เมื่อก่อนเซฮุนปล่อยผมให้เป็นสีดำสนิทแต่เดี๋ยวนี้พ่อย้อมผมเป็นสีบลอนด์ตลอดและโกหกใครๆว่าตัวเองใส่คอนแทคเลนส์ทั้งที่จริงแล้วนัยน์ตาสีนั้นคือของแท้พ่อแม่ให้มาล้วนๆ ส่วนแก้มป่องๆก็ตอบลงถูกแทนที่ด้วยโหนกแก้มชัดทำให้ดูน่าเกรงขามขึ้นกว่าเก่าอีกเท่าตัว
มองมุมหนึ่งก็หล่อเหมือนดาราหนัง แต่อีกมุมก็หน้าสวยจนไม่สามารถมองข้ามไปได้
พ่อไม่ใช่ผู้ชายที่หล่อเข้มจนผู้หญิงต้องเหลียวหลัง . . . แต่เซฮุนสร้างความประทับใจได้มากกว่านั้นเยอะ!
เพราะทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างให้ความสนใจในตัวพ่อของเขาจนออกนอกหน้าเลยต่างหาก!
ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูแข็งแรง . . . ปราดเปรียว . . . ลึกลับแต่น่าค้นหาเป็นที่สุด!
“สงสัยวันนี้มีคนไปทำอะไรผิดมา . . . ลุกลี้ลุกลนผิดปกติ . . .”
น้ำเสียงแหบเป็นเอกลักษณ์ของเซฮุนดังขึ้นในขณะที่หรี่ตามองร่างของลูกชายไม่กระพริบ มือเรียวหยิบช้อนและตะเกียบวางเคียงบนถ้วยข้าวทั้งสองใบก่อนจะย้ายตัวเองมายืนกอดอกอยู่ตรงหน้าของเด็กหนุ่มนิ่งๆราวกับกำลังรอคอยคำตอบ โดยไม่รู้ตัวไคยกมือขึ้นขยับคอเสื้อของตัวเองอีกรอบ คราวนี้ร่างสูงโปร่งไม่แพ้กันขยับตัวด้วยความกระสับกระส่ายอย่างแท้จริง ดวงตากลมของเด็กหนุ่มเสหลบมองปลายเท้าของตัวเองในทันทีที่พ่อยกนิ้วแตะใต้คางแล้วดันใบหน้าอ่อนเยาว์ของไคให้สบตา
“คราวนี้ใครทำ . . . กลุ่มเดิมหรือเปล่า?”
ไคสะดุ้ง เด็กหนุ่มส่ายหัวพรืดแล้วเบี่ยงหน้าหลบปลายนิ้วกับสายตารู้ทันของอีกฝ่ายในทันที . . . พ่อรู้ได้ยังไง . . .
“มันไม่ใช่อย่างที่พ่อคิด มันก็แค่ . . .”
. . . ผมไม่อยากให้พ่อเดือดร้อน . . .
“ก็แค่อะไร . . . ลูกใช้คำว่า ‘แค่’ เหรอ คิม ไค? คราวนี้รอยช้ำอยู่ที่ไหน หลัง หน้าท้อง แขน หรือมีที่ไหนที่พ่อไม่รู้อีก ทำไมถึงไม่ยอมสู้”
บรรยากาศในห้องเงียบกริบขึ้นมาทันทีหลังจากเซฮุนถามคำถามสุดท้ายออกมา . . .
เด็กหนุ่มก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเก่าในตอนที่เซฮุนดึงคอเสื้อเขาลงแล้วเห็นรอยช้ำเป็นรูปมือขนาดใหญ่อยู่ตรงต้นคอข้างหนึ่ง เขาได้ยินเสียงพ่อถอนหายใจอย่างชัดเจนก่อนวินาทีถัดมามือเรียวของอีกฝ่ายจะดึงแขนด้านขวาของเด็กหนุ่มออกมาแล้วถกเสื้อแขนยาวขึ้นไปเกือบถึงต้นแขนเจอรอยช้ำที่เริ่มเป็นสีม่วงเด่นหราอยู่ตรงเหนือข้อพับขึ้นไป คราวนี้พ่อผละออกจากตัวเขาอย่างง่ายดาย เซฮุนเดินไปที่ตู้ยาแล้วหยิบเจลทาแก้ฟกช้ำด้วยใบหน้าที่นิ่งสนิทและมันก็ทำให้ไคอยากจะหายตัวไปไหนก็ได้เหลือเกิน
“จำตอนที่เรายังอยู่จีนได้ไหมไค? ตอนนั้นลูกแค่ห้าหกขวบเอง พ่อเคยพาลูกเข้าไปถ่ายภาพแพนด้าแดงในป่าสงวนครั้งหนึ่ง เราเดินเข้าไปในป่าลึก มีเจ้าหน้าที่อุทยานไปกับเราแค่สองคน . . . ตอนนั้นพ่อกำลังถ่ายรูป ลูกกำลังเกาะติดพ่อแจ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งโดนกิ่งไม้บาดเลือดไหลไม่หยุด . . . แล้วกลิ่นเลือดก็เรียกหมาจิ้งจอกมาทั้งฝูง . . .”
ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มนิ่งไปทันที ไคยืนเฉยระหว่างเซฮุนเริ่มนวดยาแก้ฟกช้ำบนท้องแขนให้เบาๆ ในใจหวนคิดไปถึงเหตุการณ์เลือนรางนั้นอย่างอดไม่ได้ . . . ตอนนั้นพ่อพยายามห้ามเลือดอย่างสุดความสามารถในขณะที่เจ้าหน้าที่อีกคนคอยยืนถือปืนคุ้มกันอยู่ไม่ห่าง ตอนแรกหมาจิ้งจอกมาแค่ตัวเดียวแต่ทันทีที่มันเห็นเหยื่อมีชีวิตหลายคน มันก็เริ่มหอนเสียงดังยาวๆจนเขาตกใจได้แต่ยืนร้องไห้ด้วยความกลัวสุดชีวิต ไม่กี่อึดใจถัดมา ทุกคนหน้าถอดสีเมื่อรู้ตัวว่าถูกฝูงหมาจิ้งจอกแดงยืนล้อมทางออกไม่ต่ำกว่าสิบตัว!
พ่อส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่อีกคนขอความช่วยเหลือจากภาคพื้นดินและวินาทีที่เจ้าหน้าที่คนนั้นขยับตัว หมาแตกฝูงตัวหนึ่งก็เข้าชาร์ตแล้วกัดเข้าที่ลำคอของชายคนนั้นจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว หมาตัวอื่นไม่รอช้าเข้ามาร่วมวงรุมกินเหยื่อผู้น่าสงสารด้วยทันที! ตอนนั้นเซฮุนโยนกล้องและอุปกรณ์ทิ้งอย่างรวดเร็ว ร่างสูงโปร่งของพ่อพุ่งเข้ามาอุ้มเขาจนตัวลอยด้วยความเร็วที่มองแทบไม่ทันและรู้ตัวอีกทีไคก็นั่งร้องไห้กอดกิ่งไม้ขนาดใหญ่อยู่บนต้นไม้ซึ่งเมื่อมองลงไประดับความสูงของมันยิ่งทำให้เขาขาสั่นด้วยความหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม!
แล้วเซฮุนก็หายไปเกือบยี่สิบนาที . . . ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกทีอย่างเงียบเชียบจากทางด้านหลัง จากนั้นจึงพาเขาลงสู่พื้นด้วยความปลอดภัย พ่อไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ไคโผเข้ากอดชายหนุ่มอย่างแรงก่อนจะซุกอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง เซฮุนเอาเขาขึ้นหลัง เดินท่อมๆไปเก็บกล้องและอุปกรณ์ ทิ้งไว้แต่ซากศพทั้งสองของเจ้าหน้าที่อุทยาน พ่อพาเขาเดินลึกเข้าไปในป่าจนเจอลำธารใสแจ๋ว . . . ทั้งเนื้อทั้งตัวของพ่อเต็มไปด้วยเลือดเหม็นคาว มันเปรอะเต็มเสื้อผ้า แม้กระทั่งบนใบหน้าและริมฝีปากของพ่อก็ยังมี! เด็กชายสั่นด้วยความกลัวแต่เซฮุนกลับนิ่งเฉยราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา พ่อจับเขาล้างตัวก่อนเป็นลำดับแรก แล้วจึงหันไปล้างเลือด ทำความสะอาดร่างกายของตัวเองบ้าง เราพักทานอาหารแห้งที่ติดเอามาด้วยอีกพักใหญ่
จากนั้นพ่อจึงเอาเขาขึ้นหลังแล้วพาเดินเท้าออกจากป่าเกือบหนึ่งวันเต็มๆโดยที่ระหว่างทาง . . . เราไม่ได้เจอกับหมาจิ้งจอกตัวไหนอีกเลย!
“ในโลกของสัตว์ป่าน่ะ มีเพียงผู้ล่ากับผู้ที่ถูกล่าเท่านั้นไค . . . ถ้าลูกไม่สู้ก็เท่ากับว่าลูกยอมเป็นผู้ถูกล่าและมันจะไม่มีวันจบนอกจาก ลูกจะตาย เพราะผู้ล่ามองเราเป็นเหยื่อ เป็นอาหารเท่านั้น แต่บางครั้งการเป็นผู้ล่าก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำร้ายผู้อื่น นั้นมันวิถีของพวกขี้แพ้ เราไม่ได้ทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้ แต่เราทำเพื่อปกป้องตัวเอง ปกป้องครอบครัวของเรา . . .” เสียงของพ่อดังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเซฮุนหันมาดึงคอเสื้อของเด็กหนุ่มลงแล้วเริ่มทายาบนรอยช้ำของลูกชายด้วยความเบามือยิ่งกว่าเดิม “ไหนลองบอกพ่อมาซิ ลูกอยากเป็นผู้ล่าหรือผู้ถูกล่า คิม ไค?”
“แต่ผมไม่ได้พิเศษ! ผมไม่มีอะไรเหมือนพ่อ . . .ผมเป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดา ผม . . . ผมไม่มีอะไรไปสู้ใครได้ . . .”
“นั่นมันไม่จริงเลยไค . . . จำคำของพ่อไว้ ‘ลูกพิเศษ’ . . . พิเศษกว่าคนอื่นมากๆ . . .” เซฮุนพูดพลางมองสบกับดวงตาสีดำสนิทของลูกชายด้วยความจริงจังมากกว่าครั้งไหนที่ผ่านมา “แต่มันยังไม่ถึงเวลา อย่าได้สงสัยในตัวเองอีกเข้าใจไหม?”
“พิเศษงั้นเหรอ? . . . ผมพิเศษมาก . . . ตั้งแต่เล็กจนโต ผมเป็นโรคที่หมอหาสาเหตุไม่ได้ ผมไม่มีเพื่อน ผมเข้ากับใครไม่ได้เลย ผมแพ้นู่นแพ้นี่ ผมตัวใหญ่อย่างกับยักษ์แต่ป่วยวันเว้นวัน ผมไม่เคยทำให้พ่อภูมิใจในตัวผม . . . พ่อครับ ผมไม่ได้พิเศษหรอก พ่อยอมรับเถอะ ผมมันเป็นตัวประหลาดต่างหาก!”
“คิม ไค!!!”
“พ่อต่างหากที่พิเศษไม่ใช่ผม”
“กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!” เซฮุนร้องถามเสียงเขียวเมื่อเด็กหนุ่มฉวยจังหวะที่เขาเผลอ เบี่ยงตัวหลบ วิ่งตึงๆไปคว้ากุญแจบ้านกับเสื้อคลุมตัวเก่งก่อนจะเดินหนีไปใส่รองเท้าผ้าใบด้วยดวงตาแดงก่ำทันที
“เดี๋ยว . . .”
“ผมไปทำงานพิเศษสายแล้ว”
“ไค!”
ปัง!!
ร่างโปร่งบางทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ทันที ดวงตากลมมองประตูที่ลูกชายเพิ่งปิดใส่หน้าเขาไปเมื่อครู่ด้วยความหนักอึ้ง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน . . . เพราะอะไร ไคถึงได้ดูถูกตัวเอง มองตัวต่ำได้ถึงขนาดนี้ เขาบกพร่องตรงไหน เลี้ยงลูกมาผิดหรืออย่างไร ทำไม? . . . ชายหนุ่มยกมือถึงกุมขมับในที่สุด ก่อนดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเซฮุนจะมองภาพถ่ายสามรูปบนผนังด้วยความหนักใจ
. . . ถ้าเรายังอยู่ด้วยกันทุกอย่างอาจจะไม่ออกมาเป็นแบบนี้ก็ได้ . . . ไคอาจจะมีความสุขมากกว่านี้ อย่างน้อยๆลูกชายเขาก็น่าจะมีความสุขและภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็น . . .
รูปแรกบนผนังเป็นรูปเสือดำ (Panther) ซึ่งสวยและสง่างามมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น เสือตัวนี้ไม่ได้เป็นเสือในสวนสัตว์ที่กำลังนอนหมอบอย่างหงอยๆให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป แต่เสือตัวนี้เป็นเสือที่โตมาตามธรรมชาติ ตัวใหญ่กว่าเสือดำปกติเกือบเท่าขนาดของลูกม้าแรกเกิด ใบหน้าที่หยิ่งผยอง ดูเอาเรื่องกับดวงตาแสดงอำนาจลึกลับเกินจะคาดเดา ขนสีดำสนิทเงางามราวกับเส้นไหม สุขภาพและลักษณะภายนอกสมบูรณ์แบบตามตำราร้อยเปอร์เซ็นต์ พันธุ์แท้อย่างไม่ต้องสงสัย . . . มันกำลังยืนอยู่บนโขดหินด้วยขาหน้ายืดตรง คอตั้ง หางยกสูง ทรงพลังจนน่าขนลุกไปหมดและที่สำคัญดวงตาสีเหลืองใสของมันกำลังมองตรงมาที่กล้อง! . . . เซฮุนยิ้มให้มันอย่างอดไม่ได้
รูปถัดไป . . . ติดอยู่ข้างๆกันเป็นรูปเสือดาวหิมะ (Snow Leopard) เป็นที่รู้กันว่าตอนนี้เสือดาวหิมะอยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์และเป็นสัตว์ที่พรางตัวให้กลืนกับสภาพแวดล้อมได้เก่งติดอันดับโลก แต่เสือดาวหิมะตัวนี้ . . . นอกจากจะไม่พรางตัวแล้ว มันยังเหมือนจงใจโพสท่าให้กล้องถ่ายอีก เซฮุนมองภาพนี้ด้วยแววตาโหยหามากกว่าภาพไหน เขามองราวกับจะชื่นชม ภูมิใจกับมันอย่างถึงที่สุด เขามองดวงตากลมโตสีเหลืองใสคล้ายลูกแก้ว ทั้งดูน่าหมั่นไส้ เย่อหยิ่งแต่ก็มีแววจริงใจไปพร้อมกัน เขามองร่างของมันที่ใหญ่กว่าเสือดาวหิมะทั่วไปอย่างเห็นได้ ขนสวยกว่า ดูแน่นนุ่มฟูเป็นลายดอกเข้มๆคล้ายเสือดาวอย่างชัดเจน มันกำลังนอนเอียงเอนร่างพิงหินด้วยท่าทางสบายๆ แต่ใบหน้ากลับยกสูง คอตั้งตรงและหางฟูฟ่องของมันก็ม้วนอยู่กับขาหลังของตัวเองอย่างลงตัว
ถ้าเสือดำตัวเมื่อกี้ดูทรงพลัง น่าเกรงขามราวกับราชา . . .
เสือดาวหิมะตัวนี้ก็คงดูสง่างามและสูงส่งเหมือนกับราชินีนั่นแหละ . . .
ส่วนรูปสุดท้าย . . . หมาป่าขนสีเงิน (Wolf) เซฮุนไม่แน่ใจว่าบนโลกใบนี้หมาป่าขนสีเงินราวกับเทพนิยายจะมีอยู่จริงเปล่า แต่ในโลกของเขา . . . โลกที่เขาจากมา มันมีอยู่จริง! ถึงแม้เขาจะยังไม่เคยเห็นกับตาตัวเองเลยก็ตาม แต่แค่ในรูป . . . ความสวยงามทางลักษณะพันธุกรรมก็ทำให้เขาน้ำตารื้นด้วยความตื้นตันไปเสียแล้ว เรื่องความสวยงามไม่ต้องพูดถึง ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่ขนสวยมากขนาดนี้มาก่อนเลย แม้กระทั่งขนสีดำสนิทเงางามของเสือดำตัวที่อยู่ในรูปข้างกันๆก็ยังสวยไม่ได้ครึ่งของหมาป่าสีเงินตัวนี้ เพราะมันไม่ใช่แค่ความเงางามแต่มันเป็นสีเงิน! . . . สีเงินเป็นประกาย ระยิบระยับเหมือนเพชร สะท้อนเหมือนแสงจันทร์กระทบผิวน้ำ หายากและมีค่ามหาศาล ลองถ้าหมาป่าตัวนี้วิ่งผ่านหน้าไปเร็วๆดวงตาของมนุษย์อาจจะเห็นเพียงแค่แสงสะท้อนผ่านไปแวบเดียวเท่านั้น
หมาป่าสีเงินในรูปนี้ยังเป็นลูกหมาขนฟูๆอยู่เลย . . . ในรูปเจ้าตัวเล็กกำลังวิ่งอยู่ในทุ่ง กระโดดไล่งับฝูงผีเสื้ออย่างสนุกสนาน . . . แค่คิดถึงหัวใจของชายหนุ่มก็เต้นแรงก่อนมันจะค่อยๆอ่อนลงจนชาเพราะความเจ็บปวด . . . เพียงแค่เขาหลับตาลง ทุกอย่างในรูปนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวเป็นภาพ เขาได้ยินเสียงเห่าเรียก เขาเห็นร่างเล็กๆของลูกหมาป่าสองตัววิ่งป่วนไปทั่ว หูตั้งตรงตื่นตัวตลอดเวลา ปลายหางของทั้งคู่สะบัดไปสะบัดมาอยู่ในอากาศแสดงออกว่ามีความสุขมากเพียงใด เจ้าตัวเล็กสองตัววิ่งไล่ฟัด ไล่งับหูกันก่อนจะพากันกลิ้งหลุนๆลงไปตามเนินเขาและวินาทีถัดมาก็กลายเป็นร่างของเด็กชายวัยรุ่นสองคนแข่งกันวิ่งกลับขึ้นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังก้องไปทั่วบริเวณ
และพอเขาลืมตา . . . ภาพทุกอย่างก็จางหายไปทันที
โอ เซฮุน คิดถึงที่นั่นเหลือเกิน . . .
ตลอดสิบสองปีที่ผ่านมา เซฮุนเฝ้าคิดตลอดเวลาว่าร่างชิฟท์เตอร์ของไคจะสวยงามเท่ากับแฝดพี่ของเขาไหม . . .
เขามั่นใจว่าไอ้หนูของเขาจะต้องพิเศษ . . . พิเศษมากกว่าใคร มันเป็นเรื่องโง่เง่ามากที่สุดเมื่อไคมองตัวเองเป็นผู้ถูกล่า . . . ทั้งๆที่เด็กชายคิม ไค เกิดมาเป็นผู้ล่า เป็นผู้นำบนห่วงโซ่อาหารจากผู้ให้กำเนิดทั้งสองซึ่งมาจากสายพันธุ์ที่แข็งแกร่งไม่เป็นรองใครในโลกนี้อีกด้วย!!!
________________________
CREEP
TRAILER
_________________________________________
#ohyeskaihun
ความคิดเห็น