ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic reborn 0095] Parallel non-day meet

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่7

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ย. 53


             'นี่เธอ ทำไมทุกคนชอบไปเล่นบ้านผีสิงพิศวงบ้าบอไรนั่นจัง'
             '
    เขาเรียกว่า บ้านผีสิงเขาวงกต กดคนไม่ให้ออกย่ะ เรียกให้มันถูกหน่อย'
             '
    เออๆ นั่นแหล่ะ คล้ายๆ กัน'
             '
    แล้วนี่เธอจะบอกได้หรือยังว่าทำไมคนถึงชอบเข้าที่นี่นัก ทั้งที่ก็รู้ว่ามันน่ากลัวและน่าสยองจะตาย'
             '
    อาจเป็นเพราะพวกชอบความท้าทายล่ะมั้ง ไม่เคยได้ยินเหรอ ยิ่งท้ายิ่งอยากลอง'
             '
    อันนั้นมันยิ่งห้าม ยิ่งอยากลองไม่ใช่เหรอ'
             '
    ความหมายเหมือนกันแหล่ะน่า อะไรมาก'
            
    เหมือนตรงไหนเนี้ย!
             '
    แต่อาจจะเป็นอย่างหลังก็ได้นะ'
             '?
    ทำไมเหรอ'
             '
    เขามีข่าวลือกันว่า คู่รักคู่ใดที่พบทางออกน่ะ จะ...'


            
    ตุบ!
             "
    ว้าย!"
            
    อ้าว... ? ไม่เจ็บแฮะ...
             "
    โอย..."
             "
    อ๊ะ! ขอโทษจ้ะ เอนมะคุง"
             "
    ไม่เป็นไร ว่าแต่... ที่นี่ที่ไหนน่ะ" เด็กสาวค่อยๆ ลุกออกจากบนตัวของเอนมะ ก่อนจะสำรวจรอบๆ ห้อง
            
    หลังจากที่พวกเขาได้เปิดประตูบานที่สามในเขาวงกต และทันทีที่ได้ย่างก้าวเท้าเข้ามา เขาทั้งสองก็ได้ตกลงมาในห้องปริศนาห้องนี้ ซึ่งในตัวห้องเป็นมุมสี่เหลี่ยมจัสตุรัส กว้างกำลังพอดีแต่ดูเหมือนอยู่ในที่กว้าง เพราะรอบๆ ตัวห้องเป็นกระจกแล้วเหมือนจะมีภาพวาดทิวทัศธรรมชาติไว้นอกกระจกอีกที เคียวโกะมองวิวนั้นด้วยความตื่นตาตื่นใจ
             "
    สุดยอดเลย..."
            
    เธอพูดลอยๆ และหันไปมองเอนมะที่กำลังจ้องท้องนภาด้วยความรู้สึกที่ยากเกินกว่าเธอจะเข้าใจ ก่อนจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมเมื่อรู้สึกว่าเธอกำลังจ้องมองเขาอยู่
            "
    มีอะไรเหรอ"
            "
    ปละ... เปล่าจ้ะ!" ร่างบางว่า

                     เมื่อกี้นี้... ทำไมเอนมะคุงถึงต้องมองท้องฟ้าด้วยสายตาแบบนั้นนะ...
                    แววตาที่... โกรธขึ้ง
                     ราวกับแค้นบางสิ่งบางอย่าง ต่อพื้นนภา...

             "
    เอ่อ เอนมะคุง"
             "
    หืม?"
             "
    เอนมะคุง... ชอบท้องฟ้ามั้ยจ้ะ?" เด็กหนุ่มชะงักไปกับคำถาม ก่อนจะนิ่งโดยไม่พูดอะไร เมื่อร่างบางเห็นจึงได้แต่คิดแต่ในใจไว้คนเดียว เราพูดถึงเรื่อง... ที่ไม่สมควรพูดออกไปสินะ... เธอยิ้มให้กับตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป
                "ฉันนะ ชอบท้องฟ้ามากเลยล่ะ"
                "..."
                "เวลามองแล้ว ให้ความรู้สึกสบาย และน่าค้นหา เป็นสิ่งที่สวยงามไม่รู้จักหมดจักสิ้น"
                "..."
                "ทั้งยังกว้างใหญ่ มองดูแล้วอบอุ่นเมื่อเห็นแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมา ฉันรู้สึกอบอุ่น... เมื่อเห็นหมู่เมฆรวมตัวกันเป็นก้อนจับตัวเป็นรูปร่างต่างๆ ให้เราได้นึกสนุก และหลังจากนั้นฝนก็จะเทลงมา ช่วยชำระล้างสิ่งต่างๆ บางทีฉันก็ยังรู้สึกว่าฝนทำให้จิตใจเราสงบเลยนะจ้ะ ถึงแม้จะเสียงฟ้าผ่ามาด้วยก็เถอะ แหะๆ"
                 "..."
                 "แต่พอฝนหยุดตก ก็ต้องเห็นหมอกที่ดูขุ่นมัว เหมือนกับจิตใจของมนุษย์เลยเนอะ คอยปิดกั้นตัวเองไม่ให้คนอื่นได้แหวกดูสิ่งในจิตใจของตนเอง ทั้งที่บางทีก็รู้สึกเศร้าใจอยู่แท้ๆ"
                 "..."
                 "เอ่อ...  สะ... สรุปเป็นว่าฉันชอบท้องฟ้าแล้วกันน่ะจ้ะ" เธอหัวเราะแห้งๆ เมื่อรู้สึกว่าชักจะพล่ามเยอะเกิน "เอ้อ เอนมะคุงรู้มั้ยว่าเขาว่ากันว่าท้องฟ้าไม่มีวันตาย เอนมะคุงล่ะคิดว่าจริ...."
                "ที่ว่าไม่มีวันตายเพราะมันใช้คนอื่นเป็นเกราะกำบังไงล่ะ!"
                "อะ.. เอ๋?" นัยน์ตาสีน้ำตาลมองเอนมะที่อยุ่ดีๆ ท่าทางก็เปลี่ยนไปด้วยความตกตะลึง
                "ท้องฟ้าน่ะ ชอบกลับกลอก เดี๋ยวก็กลายเป็นสีฟ้า เดี๋ยวก็กลายเป็นสีดำ เชื่อถือไม่ได้ทั้งนั้นแหล่ะ!"
                "..."
                "แล้วที่มันกว้างใหญ่น่ะ เพราะจะได้ซ่อนความชั่วร้ายได้อยู่ไง เพราะมันกว้าง~! ซะจนคนดูไม่ออกว่ามันคิดอะไรอยู่!"
                "..."
                "เหยียบย่ำพื้นดินเพราะคิดว่าตัวเองอยู่สูงกว่า เหนือกว่า ทั้งที่ความสามารถมันด้อยกว่าพื้นธรณีซะด้วยซ้ำ!"
                "..."
                "ชอบโกหก หลอกลวง ไม่จริงใจ ทั้งยัง..."
                "..."
                "ใช้เพื่อนรักตัวเองไปเป็นตัวล่อ..."
                หลังจากสิ้นสุดประโยค เอนมะก็เงียบเสียงลงพร้อมกับเบนหน้าไปทางอื่นที่เคียวโกะไม่สามารถเห็นได้ เพราะเขาไม่อยากให้ใครเห็นใบหน้าของเขาตอนนี้
                ใบหน้าที่อ่อนแอ... และน่าสมเพช...
               ทั้งเธอและเขาต่างก็ไม่พูดอะไรไปหลายนาที มีเพียงร่างบางที่อยู่ข้างกายมองเขาอยู่ตลอดเวลา สายตานั้นเป็นตัวบ่งบอกได้ดีว่า เธอเป็นห่วงเขาแค่ไหน....
               "... ขอโทษนะ ที่พูดอะไรแปลกๆ ออกไป" เอนมะเอ่ย โดยทั้งที่ไม่มองมาทางคนที่พูดด้วย ก่อนจะกระตุกแขนให้เด็กสาวเดินตามมา
               "เรารีบไปหาทางออกกันดีกว่า...  !!"
               ขวับ!!
              
    เสียงขาดช่วงไปเมื่อร่างบางได้กระทำที่บ้าบิ่นเข้า เคียวโกะโผกอดเข้าใส่คนตรงหน้าอย่างที่ไม่เคยทำแบบนี้กับเด็กหนุ่มคนไหนมาก่อนนอกจากพี่ชายของเธอ
               "เคียว..."
               "จริงอยู่นะจ้ะ ที่ท้องฟ้าชอบเปลี่ยนสีไปมา ราวกับคนที่ชอบกลับกลอกคำพูด" เอนมะชะงัก ก่อนจะแกะมือบางออก แต่ก็ทำได้ยาก เพราะมืออีกข้างก็กุมมือเคียวโกะไว้
               "แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ฉันว่าทั้งสองสีของนภานั้นก็ยังดูสวยงาม เมื่อได้เคียงคู่กับพื้นแผ่นดิน"
               "..." เอนมะหยุดนิ่งไป เมื่อได้ยินประโยคนั้น เคียวโกะผละออกก่อนจะยกมือขึ้นแล้วลูบใบหน้าของคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา...
               สัมผัสที่อบอุ่นและอ่อนโยน จนเสียเขาอยากจะร้องไห้...
               "พื้นดิน เปรียบเสมือนกับเพื่อนที่คอยประคองไว้เมื่อเราล้ม เพราะเขาจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่ไปไหน"
               "..."
               "คอยรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้ได้ แม้มันจะหนักแค่ไหน"
               "...."
               "หนักแน่น และแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องทุกคน"
               "..."
               "จะว่าไป เอนมะคุงก็เหมือนพื้นแผ่นดินนะจ้ะ" นัยน์ตาสีแดงฉายถึงความงุนงงกับคำพูดของเธอ ร่างเล็กยิ้มขันก่อนจะกล่าวต่อ
               "เอนมะคุงน่ะ ทั้งหนักแน่นเวลาตัดสินใจอะไรได้แล้ว และจะทำอย่างนั้นต่อไปอย่าวแน่วแน่"
               "..."
               "แถมยังปกป้องฉันได้ เมื่อตอนฉันอยู่ในอันตราย"
               "..."
               "ราวกับพื้นดินที่แข็งแกร่ง จริงๆ นะจ้ะ" เคียวโกะส่งยิ้มไปให้กับเอนมะอย่างอ่อนโยน เอนมะดึงร่างบางเข้ามากอดอย่างแนบแน่น ทำเอาร่างบางทำอะไรไม่ถูกเลยซุกหน้าที่ไหล่ของเอนมะแทน
               เนิ่นนานหลายนาทีที่ทั้งสองอยู่ในอ้อมกอดของซึ่งกันและกัน ความอ่อนโยนถูกถ่ายทอดออกมาในอ้อมกอด จนเมื่อกระทั่งร่างบางเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่เงียบมานาน
               "เอ่อ ฉันขอพูดต่อไปได้มั้ยจ้ะ" เอนมะอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง
               "ที่ฉันพูดว่าท้องฟ้าจะสวยเมื่อได้คู่กับพื้นดินน่ะ เป็นเพราะว่าฉันคิดว่าทั้งสองเป็นเพื่อนที่ความสัมพันธ์จะไม่มีวันตายนะจ้ะ"
                "..."
                "เพราะเมื่อไหร่เกิดขาดสิ่งใดในสองสิ่งนี้ไป โลกเราก็คงจะต้องถึงจุดจบแล้วล่ะจ้ะ"
                "..."
                "ท้องฟ้าก็ต้องเคียงคู่พื้นดิน พื้นดินก็ต้องคู่กับท้องฟ้า สิ่งนี่เป็นตัวบอกว่าเรายังมีชีวิตอยู่นะจ้ะ" เมื่อเคียวโกะว่าจบ เปลือกตาของเขาก็ค่อยๆ ปิดลง ราวกับจะรำลึกคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะดันตัวเด็กสาวออก
                "อืม ฉันเข้าใจแล้ว" เขาส่งยิ้มไปให้เธอ ร่างบางยิ้มกว้างเมื่อเห็นเขายิ้มเหมือนเดิมแล้ว ถึงแม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะยังดูแปลกตาไปก็ตาม แต่ก็ดีกว่าที่เขาจะทำหน้าเศร้าสร้อยอีก!
                "เธอนี่... เป็นผู้หญิงที่ดีนะ" คราวนี้กลับกลายเป็นร่างบางงุนงงบ้างกับคำพูดของเขา แต่เอนมะก็ได้แต่ยิ้มและไม่บอกซ้ำให้เด็กสาวได้กระจ่างแจ้ง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยโดยการบอกว่าให้เธอมาช่วยหาทางออกกันเถอะ ใบหน้าหวานหน้ามุ่ยแต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร เธอทำตามที่เขาบอกแต่โดยดีถึงแม้จะมีเสียงบ่นออกมาจากปากเล็กๆ นั่นก็ตาม เอนมะขำไปกับท่าทางนั่น
                "เอนมะคุงๆ ทางนี้มีปุ่มอะไรก็ไม่รู้ล่ะจ้ะ" เด็กหนุ่มหันไปทางที่บอก ก่อนจะพบปุ่มสีแดงที่อยู่บนกล่องใบนึง นิ้วเรียวตัดสินกดไป
                 ติ๊งติงดิงดิ๊ง~!!
                เสียงประหลาดดังขึ้นพร้อมกับจดหมายที่ขึ้นมา เคียวโกะเอื้อมมือไปหยิบจดหมายนั้นด้วยความกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะอ่านมันทันที เอนมะชะโงกหน้าเข้ามาอ่านด้วย
             
                สวัสดีค่ะ เหล่าผู้คนที่เจอจดหมายฉบับนี้
                เมื่อคุณได้อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว แสดงว่าคุณได้ผ่านด่านเขาวงกต กดคนไม่ให้ออกแห่งนี้ได้แล้วนะคะ ซึ่งทางทีมงานขอแสดงความยินดีด้วยกับคนที่เจอจดหมายฉบับนี้ค่ะ!
                และก่อนที่คุณจะได้เห็นจดหมายฉบับนี้ คุณก็ต้องกดปุ่มสีแดงๆ นั้นก่อนใช่มั้ยคะ? นั่นเป็นปุ่มที่จะพาคุณไปในที่ที่แห่งหนึ่ง ซึ่งที่นั่นเป็นรางวัลพิเศษที่ทางเราได้มอบให้ค่ะ หวังว่าคุณจะชอบใจไปกับรางวัลนะคะ
                ขอให้โชคดีค่ะ!
                ปล. เตรียมตัวให้ดีนะคะ เพราะสิ่งที่จะพาคุณไปนั้นรุนแรงไปหน่อย ระวังด้วยนะคะ!
              

                กึง!
                "ว้าย!" ทั้งสองคนต่างตกใจเมื่ออ่านจดหมายจบแล้วพื้นก็สั่นสะเทือน ก่อนมีเหล็กมาคีบทั้งสองคนขึ้นก่อนจะปล่อยให้ร่างทั้งสองกระแทกเข้ากับรถเลื่อนที่มาตอนไหนก็ไม่รู้ ก่อนจะออกตัวไปอย่างรวดเร็วโดยที่เธอและเขายังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
                "เอนมะคุง! รถนี่จะพาพวกเราไปไหนน่ะ!" เธอตะโกนท้าลมที่พัดมา เพราะกลัวว่าคนข้างๆ เธอนั้นจะไม่ได้ยิน
               "ไม่รู้เหมือนกัน!" เขาตะโกนกลับไป และจับมือบางให้แน่นขึ้น ก่อนจะตัดสินใจคว้าเธอมากอดเพื่อไม่ให้เธอหลุดออกจากรถเลื่อนคันนี้

               'เขามีข่าวลือกันว่า คู่รักคู่ใดที่ได้พบทางออกน่ะ จะ...'
               'จะอะไรยะ!'
               'จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปน่ะสิ!'

               แกร็ก.... แกร็ก...
               ในที่สุดรถก็หยุดลง เอนมะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นก่อนจะตะลึงไปกับภาพตรงหน้า เคียวโกะที่อยู่ในอ้อมแขนของเอนมะก็ค่อยดันตัวขึ้น ก่อนจะตะลึงไปเหมือนกับเอนมะ
               ภาพตรงหน้าทั้งเธอและเขาเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้หลากหลายพันธุ์เต็มไปหมด มีทั้งกุหลาบ ทานตะวัน และอื่นๆ อีกมากมายที่พวกเขาไม่รู้จัก ขาเรียวยาวค่อยๆ ก้าวลงจากรถ ก่อนจะส่งมือไปให้ร่างบางที่กำลังตะลึงอยู่ได้จับ เคียวโกะจับมือเอนมะทั้งที่สายตายังไม่ละจากภาพตรงหน้า
              "สวยจังเลยนะจ้ะ..."
              "อืม..."
              เอนมะจูงมือเธอเดินดูรอบๆ ทั่วสวน ซึ่งไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ดอกไม้ที่เบ่งบานอย่างสวยงาม เคียวโกะย่อตัวลงก่อนจะดมดอกไม้ที่อยู่แถวนั้น
              "หอมจังเลย..." เอนมะมองเคียวโกะที่กำลังเพลิดเพลินกับดอกไม้ด้วยใบหน้ายิ้มๆ ก่อนจะสะดุดไปกับกระดาษที่เหน็บไว้อยู่ตรงก้านดอกไม้ที่เคียวโกะกำลังดูอยู่ มือหนาค่อยๆ แกะกระดาษนั้นออกก่อนจะไล่สายตาอ่านไปทีละบรรทัด เคียวโกะลุกขึ้นยืนก่อนจะถามเอนมะว่าในนั้นเขียนอะไรไว้
              "เขาบอกว่าให้พวกเราหยิบดอกไม้มาคนละหนึ่งดอก..." ร่างที่กำลังอ่านจดหมายนั้นเอ่ยขึ้นเบาๆ เคียวโกะเอียงคอเล็กน้อยและตั้งคำถามไว้ในใจ ทำไมต้องให้เลือกด้วยนะ? แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป ร่างบางหันไปเลือกดอกไม้อย่างตั้งใจ เอนมะก็เช่นเดียวกัน เข้าทิ้งจดหมายไปเพราะว่าในจดหมายบอกไว้เพียงแค่นั้น
              เมื่อเวลาผ่านสักพัก เธอและเขาต่างก็เลือกดอกไม้ได้แล้ว ก็ได้มีเสียงๆ หนึ่งดังออกมาจากลำโพง
              "พวกคุณได้เลือกดอกไม้กันแล้วสินะครับ งั้นก็ส่งดอกไม้ที่พวกคุณเลือกมานั้นให้กับคนข้างๆ ตัวเองด้วยครับ" เคียวโกะหันหน้าไปทางเอนมะทันที พลันใบหน้าหวานก็เริ่มแดงระเรื่อ จะให้ดอกไม้นี่ไปให้กับเอนมะคุงน่ะเหรอ! ขะ... เขาจะรู้ถึงความหมายของดอกไม้ดอกนี้หรือเปล่านะ... ร่างบางที่มัวแต่กังวลจนไม่กล้าส่งดอกไม้ไปให้เด็กหนุ่มข้างหน้า เขาจึงส่งดอกไม้ให้เธอก่อนด้วยใบหน้าที่แดงแปร๊ดเป็นมะเขือเทศ ซึ่งดอกไม้ที่เอนมะเลือกนั้นเป็นดอกคาร์เนชั่นสีเหลือง ความหมายก็คือ สำหรับคุณที่บริสุทธิ์ และน่ารัก เล่นเอาร่างบางที่รู้ความหมายของดอกไม้ดอกนี้เขินหน้าแดงไปตามๆ กัน
              ร่างบางรับก่อนจะยื่นดอกไม้ไปให้เอนมาะบ้าง เอนมะรับ นัยน์ตาเบิกกว้างทันทีที่เห็นดอกไม้ที่เคียวโกะนั้นส่งให้กับตน และดอกไม้ที่เคียวโกะส่งให้นั้น เป็นดอกแจสมินอินเดียมีความหมายว่า ฉันเชื่อคุณ คุณเป็นคนสำคัญของฉัน...
              เอนมะนิ่งไปก่อนจะเงยหน้าสบตากับร่างบางที่อยู่ตรงหน้า และเมื่อเงยหน้าขึ้นมา ก็พบรอยยิ้มที่จริงใจและใสซื่อของเคียวโกะ เขาเบนหน้าไปทางอื่นซึ่งเป็นจังหวะเดียวที่ทางทีมงานของสวนสนุกให้เราเดินมาตรงจุดทางออกของสวนดอกไม้ เคียวโกะวิ่งไปทันทีโดยไม่ลืมที่จะลากเอนมะมาด้วย
              "ยินดีด้วยนะพวกหนู ที่ผ่านเขาวงกตนั้นมาได้ สนุกมั้ยล่ะ?" ชายมากวัยคนหนึ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เมื่อเคียวโกะและเอนมะเดินมาถึง
              "ค่ะ สนุกมากเลยล่ะค่ะ!" เธอตอบด้วยเสียงสดใส ชายชราหัวเราะ
              "เพิ่งมีหนูที่เป็นเด็กผู้หญิงคนแรกบอกว่าเขาวงกตนั่นสนุกนะ ปกติคู่ที่ผ่านมามีแต่บอกว่าน่ากลัวทั้งนั้น"
              "น่ารักดีออกนะคะ ผีแต่ละตัวที่อยู่ในบ้านผีสิงนั้นน่ะ"
              "ฮะๆๆ เป็นเด็กที่ร่าเริงจริงๆ นิสัยแบบนี้คงทำให้เธอเหนื่อยไม่ใช่น้อยเลยมั้ง ใช่มั้ยพ่อหนุ่ม?"
              "เอ่อ  ครับ ก็เล่นเหนื่อยเอาเรื่อง"
              "เอนมะคุงนี่ล่ะก็ นี่ฉันทำให้เอนมะคุงเหนื่อยขนาดนั้นเลยเหรอจ้ะ"
              "ก็เธอชอบแต่ดูนู่นดูนี่จนไม่ได้ดูแลตัวเองน่ะสิ"
              "ก็แหม... มันน่าสนใจไปหมดเลยนี่จ้ะ" เธอบุ้ยปากเล็กน้อย ร่างที่อยู่ข้างๆ ขำไปกับท่าทางนั้นก่อนจะยกมือลูบหัวของเด็กสาวเบาๆ
              "แหมๆ หนุ่มสาวนี่น่าอิจฉาจริงๆ" ชายมากวัยคนเดิมหัวเราะเสียงดังในความน่ารักของคู่รักคู่นี้ ก่อนจะหยิบหลอดแก้วที่เหมือนหลอดทดลองขึ้นมา เคียวโกะฉงนไปกับหลอดแก้วนั่น
              "เอ้า พวกหนูส่งดอกไม้มาให้ลุงก่อนนะ"
              "เอ๋? ทำไมเหรอคะ"
              "ลุงจะเก็บดอกไม้พวกนี้ไว้ในหลอดแก้วนี้น่ะ จะได้อยู่นานขึ้น เพราะลุงจะใส่น้ำลงไปด้วย"
              "อ้อ ขอบคุณค่ะ"
              "ไม่เป็นไรๆ ว่าแต่ถ้าพวกหนูถามมาอย่างนี้แสดงว่าก็ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องสวนดอกไม้ที่เขาพูดกันน่ะสิ" สองหนุ่มสาวหันหน้ามองพร้อมกัน ก่อนจะเป็นเอนมะที่เอ่ยปากถามกลับไป
               "สวนดอกไม้นี่ทำไมเหรอครับ?"
               "ตำนานในสวนสนุกแห่งนี้น่ะ เขาว่ากันว่าคนที่สามารถออกมาจากเขาวงกต กดคนไม่ให้ออกก็จะถูกส่งมาทีนี่ โดยจะให้คู่รักคู่นั้นเลือกดอกไม้มาคนละหนึ่งดอก และมอบให้แก่กัน ซึ่งเป็นความหมายว่าทั้งคู่ได้ตกลงไว้แล้วว่า พวกเขาทั้งสองได้ตกลงปลงใจแล้วว่า จะรักคนนี้ตลอดไป" น้ำเสียงสบายๆ นั้นกล่าวไปเรื่อยๆ แต่เล่นเอาคนที่ฟังอยู่ไม่สบายตามไปกับคำพูดนั้นน่ะสิ!

                ระ... รักตลอดไปงั้นเหรอ...


                "เสร็จแล้ว รับไปสิ" ว่าพลางยื่นขวดแก้วไปให้ เคียวโกะรับไปอย่างงกๆ เงิ่นๆ ผิดกับเอนมะที่รับไปแต่เหมือนในหัวคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา
                "แล้วก็ เขาว่ากันว่าถ้าเกิดรับขวดแก้วดอกไม้ที่เราเลือกกันอย่างตั้งใจแล้ว จะทำให้คู่นั้นได้อยู่ด้วยกันตลอดไป" ชายมากวัยกล่าวด้วยรอยยิ้ม ร่างบางที่เหมือนอุณหภูมิจะสูงขึ้นมากระทันหัน ทำให้หน้าแดงแจ๊ดแจ๋ ก่อนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมเมื่อมือหนาได้คลายออกจากการกุมมือ
                "... ฉันขอไปห้องน้ำแป๊บนะ" พูดเสร็จก็เดินไปทันที ร่างบางมองตามหลังเอนมะไป ก่อนจะยกมือบางของเธอขึ้นมาอย่างใจหาย
               
                การที่ไม่มีใครมากุมมือ... มันรู้สึกว่างเปล่าขนาดนี้เลยเหรอ...?




                "อยู่ด้วยกันตลอดไป.... งั้นเหรอ" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ก่อนจะมองดูดอกไม้แจสมินอินเดียที่อยู่ในขวดแก้ว
                "เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว..."

                 ฉันเชื่อคุณ คุณคือคนสำคัญของฉัน...

                 "ขอโทษนะ... ฉันไม่ใช่คนดีถึงขนาดเป็นคนสำคัญของเธอหรอก และ..."
                 "เชื่อถือไม่ได้..."

                
                  เมื่อแผ่นดินเริ่มสั่นสะท้าน จงใจที่จะแตกหักออกจากนภา
                  ความสัมพันธ์อันดีงามที่มีมานาน จึงไม่สามารถที่จะเป็นไปตามที่เธอได้บอกไว้
                  มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่จะอยู่ได้ และชนะตลอดกาล!
                  ถึงแม้ว่า... จะต้องพ่ายแพ้ต่อหัวใจตนเองก็ตาม...


    _________________
    จบไปอีกตอน รู้สึกจะเป็นตอนที่ยาวที่สุดตั้งแต่แต่งมาเลยมั้ง ฮ่าๆๆ
    เป็นยังไงก็ต้องขอคอมเม้นหน่อยนะคะ
    ฉันเป็นคนชอบดอกไม้มากเลยค่ะ เห็นแล้วมันสดชื่นดี ดอกไม้บางชนิดยังมีความหมายดีด้วย ฉันเลยอยากจะให้พวกเคียวโกะได้มีความสุขไปกับดอกไม้บ้าง เลยคิดฉากนี้ขึ้น
    ความจริงดอกไม้ที่เอนมะจะให้เคียวโกะ ฉันตั้งใจว่าจะให้เดซี่ค่ะ แต่พอมาเห็นความหมายของคาร์เนชั่นสีเหลือง เลยเอาดอกนี้แทน แหะๆ
    แต่โดยส่วนตัวแล้วฉันชอบเดซี่นะคะ อาจจะเป็นเพราะเห็นบ่อย หรือได้ยินบ่อยๆ ก็ไม่รู้ แต่ลักษณะของเขาฉันชอบมากเลยล่ะค่ะ
    ส่วนแจสมินอินเดีย ตอนแรกหนักใจมากเพราะไม่รู้จะเอาดอกอะไรให้เอนมะดี เพราะเท่าที่ดูมามันไม่มีอะไรที่น่าจะแทงใจดำเอนมะได้เลย
    แต่พอมาเจอดอกแจสมินอินเดีย ความรู้สึกที่เห็นมันบอกเลยว่า
    ใช่เลย! ดอกไม้นี่แหล่ะ! เหมาะกับพระเอกตัวร้ายเรามาก! (เอ๋? ทำไมถึงต้องมีคำว่าร้ายด้วยน่ะเหรอคะ? ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะ ฮ่าๆ)
    เลยกลายเป็นดอกแจสมินประการเช่นนี้ล่ะค่ะ แฮ่ๆๆ
    ไหนๆ ก็เอ่ยถึงดอกไม้แล้ว เดี๋ยวฉันจะให้ดูดอกไม้แล้วกันนะคะ

    ดอกแรก
     
    ดอกแจสมินอินเดียอ่ะ กว่าจะหาได้เล่นเอาเลือดตาแทบกระเด็น (ฮา)

    ดอกที่สอง
     Bluebird flower
    ฉันตั้งใจจะเอาดอกนี้ไว้ตอนจบน่ะค่ะ ซึ่งความหมายว่าอะไร ไม่บอกค่ะ ฮิๆ

     
    ดอกเบญจมาศ
    ฉันตั้งใจว่าจะให้เคียวโกะให้ดอกเบญจมาศกับเอนมะคุงด้วยแหล่ะค่ะ เพราะความหมายแปลว่า รักแท้ แต่อย่างที่บอก เห็นดอกแจสมินอินเดียแล้วตัดสินใจไม่เอาทันทีค่ะ 

     
    ดอกเดซี่
    แปลว่าไร้เดียงสา และบริสุทธิ์เหมือนคาร์เนชั่นสีเหลืองค่ะ แต่ไม่มีคำว่าน่ารัก (ฮา)

    หมดแล้วค่ะ ที่จริงมีอีกเยอะนะคะที่ฉันชอบ แต่เอาไปแค่นี้ละกัน ฮิๆ

    เจอกันตอนหน้าค่ะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×