ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) HUMAN FARM | CHANBAEK SEKAI

    ลำดับตอนที่ #3 : 02 | Recognize

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.09K
      18
      10 พ.ค. 58

    M

     

     

     

     

     

     

    TWO

    HUMAN FARM

    HUMAN NEVER PREVAIL OVER EATMAN

    - OHARHA -

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “นับหนึ่งถึงสามนะ”

     

     

    คนตัวสูงในชุดแจ็กเก็ตสีน้ำเงินสูดลมหายใจลึก เรือนผมซอยสั้นย้อมสีน้ำตาลถูกขยุ้มจนเสียทรงทั้งที่เป็นคนสำอางนักหนา โอ้ แน่ล่ะ เขาหงุดหงิด แถมยังมากเสียด้วยเมื่อต้องขับรถเป็นระยะทางมากกว่าสองร้อยกิโลเมตร เพราะนอกจากจะต้องนั่งหลังขดหลังแข็งแล้วเพ่งมองทาง ไอ้คนที่อาละวาดอยู่ทางด้านหลังรถไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยก็เป็นอีกหนึ่งตัวกระตุ้นชั้นดี แต่พอบอกว่าจะจอดรถไปจับช็อตไฟฟ้าให้สงบเสียอีกรอบ คนข้างตัวก็ส่งสายตาดุๆมาแทนคำอนุญาต

     

     

    โอเซฮุนขอเวลาอีกห้าวินาทีเพื่อเตรียมใจรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังเปิดประตูหลัง ในหัวนึกภาพไปต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ฟาร์มที่พุ่งตัวออกมาในท่าหุ่นยนต์มวยปล้ำ ของมีคมตวัดหวิดลำคออย่างที่เคยเจอ หรือการร้องห่มร้องไห้ปานจะขาดใจเพราะคิดว่าคงถูกฆ่าแน่แล้ว

     

     

    เมื่อเห็นเขาลีลามากนัก หนุ่มรุ่นพี่จึงเป็นฝ่ายขยับตัวไปปลดล็อกสลักประตูแล้วถอยออกมาในระยะปลอดภัยราวสามก้าว เมื่อเห็นว่าภายในรถเงียบกริบ มือเล็กจึงยกขึ้นโบกให้คนโดยรอบตั้งท่าเตรียมไว้เผื่อในกรณีฉุกเฉิน หัวใจของคนมองเต้นไม่เป็นส่ำ กระนั้น บยอนแบคฮยอนก็รวบรวมความกล้าเข้าไปดึงประตูเปิดออกเพื่อให้มองเห็นคนข้างใน

     

     

    มนุษย์ฟาร์มจากอันดงนั่งกอดเข่าตัวสั่นในมุมมืด แผ่นหลังแนบอยู่กับผนังอลูมิเนียมอับสายตาจากหน้าต่างบานเล็กที่ทำให้มองเห็นจากหน้ารถได้ มือนั้นพันผ้าก๊อซเปรอะคราบสกปรกจาน่ากลัวว่าแผลจะติดเชื้อ เนื้อตัวมอมแมม ชุดผ้าฝ้ายสีขาวครีมกลายเป็นดำปื้น จากที่ต้องพยายามยื้อยุดกันอยู่นานที่กลางทาง หกสิบเปอร์เซนต์ในใจแบคฮยอนคิดว่าเจ้าตัวคงไม่มีอาวุธอันตราย

     

     

    “ออกมาเถอะ” ยื่นมือไปข้างหนึ่งหวังช่วยประคองด้วยความจริงใจ หากแต่เจ้าของสายตาหวาดระแวงนั้นเพียงขยับตัวหลุกหลิกแต่ไม่ยอมคลานออกมา เซฮุนส่งสัญญาณบอกคนอื่นๆให้กระจายตัวไปรอบรถ กันไว้ดีกว่าแก้ในกรณีที่มนุษย์ฟาร์มอาจคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีก มันเคยมีทั้งครั้งแรก ครั้งที่สอง สาม และนับไม่ถ้วน อย่างเลวร้ายที่สุดที่พวกเขาถูกอนุญาตให้ทำก็คือการช็อตไฟฟ้า ซึ่งเชื่อเถอะว่ามันต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงต่อการเจ็บตัวแบบที่คาดไม่ถึง

     

     

    ถ้าเป็นไปได้ การทำให้ทุกอย่างอยู่ในความสงบโดยสันติย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

     

     

    “คุณฟังผมออกนี่” เสียงทุ้มนุ่มเกลี้ยกล่อม “ถ้าอย่างนั้น คุณก็น่าจะเข้าใจว่าเราไม่ได้คิดร้าย”

     

     

    นอกจากจะไม่ยอมตอบแล้ว ชานยอลยังจิกนิ้วเกร็งเข้ากับเนื้อผ้าเมื่อเห็นเงาวูบไหวผ่านไปมาตรงหน้าต่างสองข้างรถ เขาจำได้ดีถึงสายตาของคนพวกนั้น ไม่ว่าจะเป็นความหิวกระหาย ป่าเถื่อน และจ้องจะทำร้ายโดยไม่แม้แต่ให้รู้จุดประสงค์ของเรื่องทั้งหมด นอกจากจีซองแล้ว ไม่มีใครทำราวกับเขาเป็นหนึ่งในชาติพันธุ์ กระบะหลังรถทำให้ชานยอลนึกถึงหมู่บ้าน แล้วเขาก็แยกความแตกต่างระหว่างคนที่นั่นและโลกภายนอกนี้ออกจากกันโดยสิ้นเชิงแล้ว

     

     

    กว่าสี่ชั่วโมงของการอยู่อย่างหวาดกลัวในพื้นที่แคบๆ สองคนข้างหน้าพูดอะไรที่คนฟังไม่เข้าใจเลยสักอย่าง ทั้งศัพท์แปลกประหลาด หรือแม้แต่การโวยวายที่ว่าให้ขังเอาไว้แล้วเดี๋ยวค่อยจัดการ อย่างหนึ่งที่แน่ใจคือเขามาไกลจากหมู่บ้านมากแล้ว แต่ความรู้สึกปวดตุบบนหลังคอยังไม่หายไป มันมีจะยิ่งร้อนขึ้น ร้อนขึ้น และยิ่งเท่าทวีเมื่อชานยอลคิดว่าเขาเจออันตราย

     

     

    “ได้โปรด” คนแปลกหน้าวอนขอ ยื่นมือมาหมายจะรับชานยอลออกไปจากที่นี่ ทุกอย่างรอบตัวล้วนไม่มีสิ่งใดทำให้เขาคุ้นชิน มันยากที่จะวางใจ แล้วชายหนุ่มก็สับสนเกินกว่าจะสามารถเรียบเรียงสติเพื่อตีความหมายในน้ำเสียงเป็นมิตรนั้นอย่างถี่ถ้วน “มากับผมเถอะ”

     

     

    เมื่อแน่ใจแล้วว่าคนไม่มีอาวุธคงไร้ทางสู้ แบคฮยอนจึงพาตัวเองขึ้นไปบนรถท่ามกลางการกลั้นหายใจของเซฮุน เมื่อหลายเดือนก่อน ลุงซอกจินถึงกับต้องดามหลังและทำกายภาพบำบัดเมื่อถูกพุ่งชาร์ตออกมาจากตัวรถจนหลังกระแทกกับพื้นและร้องโอดโอยให้ทุกคนมาช่วย ขอทีเถอะ เขาไม่อยากเห็นรุ่นพี่ต้องอยู่ในสภาพเดียวกันตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น

     

     

    “คุณหิวหรือเปล่า เรามีอาหาร น้ำดื่ม แล้วก็เสื้อผ้าดีๆอยู่เยอะ” เมื่อเข้าไปได้ใกล้จนเกือบประชิด แบคฮยอนเห็นแม้แต่คราบน้ำตาและร่องรอยถลอกปอกเปิกบนเนื้อตัว ดวงตากลมโตคู่นั้นสั่นไหว ในสายตาของมนุษย์จริงๆอย่างเขาแล้ว ถึงจะพูดได้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้โตไปกว่าจากมนุษย์ฟาร์มคนอื่นๆที่เคยพามาเลยสักนิด “จะไม่มีใครทำร้ายคุณ ผมสัญญา”

     

     

    มือเล็กแบออกเฉยๆเพื่อเฝ้ารอ เคล็ดลับอย่างหนึ่งที่จะไม่ทำให้คนพวกนี้คลุ้มคลั่งคือห้ามคุกคาม เพราะการคุกคามเป็นสัญลักษณ์ของอันตราย อย่าแตะตัว ตราบใดที่เจ้าของร่างกายยังอารมณ์ไม่คงที่ แบคฮยอนไม่ใช่คนชอบงานใจเย็นและสุ่มเสี่ยง แต่เขาทำได้ดีกว่าเซฮุนหรือหลายคนในที่นี้มากนัก

     

     

    ท้ายแล้ว ชานยอลก็ยื่นมือออกไปให้อีกคนกอบกุมไว้หลวมๆ สัมผัสอุ่นนั้นปลอบประโลมให้เขาค่อยๆคลานออกมาจากตัวรถอย่างเชื่องช้า เมื่อเห็นอย่างนั้น กลุ่มคนเฝ้าระวังภัยก็ลดอาวุธลงจนเข้าสู่สถานการณ์ปกติ เมื่อผู้มาใหม่ยอมเหยียบเท้าเปล่าลงบนพื้นคอนกรีตเย็นเยียบและไม่ปล่อยมือออกจากคนข้างๆที่พาเดินนำเข้าไปในอาคาร

     

     

    แบคฮยอนออกคำสั่งทางสายตาให้ทุกคนอยู่ห่างๆเขาไว้ก่อน คนที่นี่รู้งาน เพราะเพียงเห็นแววตาสั่นระริกซึ่งตื่นตระหนกเพียงแค่เพราะเสียงดังกึงจากเครื่องมือทางด้านหนึ่งแล้ว จึงยอมหยุดเครื่องจักร ทำตัวให้ไม่ต่างอะไรจากรูปปั้นและฝืนยิ้มเท่าที่จะเค้นอารมณ์ดีๆออกมาได้ สาบานจากสายตาเซฮุนเลยว่า แทนที่จะดูน่าเชื่อใจแล้ว มันน่ากลัวเหมือนกับผีในภาพยนตร์เรื่องอินซิเดียสเมื่อปีสองพันสิบไม่มีผิด

     

     

    บยอนแบคฮยอนพยายามพูดกับคนรอบตัวให้น้อยที่สุด เขาสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาระหว่างตัวเองกับคนข้างๆเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกวางใจและไม่ทำตัวยุ่งยากจนกว่าจะไปถึงห้องรับรอง อันที่จริงมันก็เป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมจตุรัสที่ถูกออกแบบจำลองบรรยากาศเมื่อสี่สิบปีก่อน โซฟาบุหนังสีน้ำตาลมะฮอกกานีตั้งอยู่ทางด้านหนึ่ง ข้างๆต้นปาล์มไผ่ที่ยังโตไม่เต็มที่ เขาคว้ารีโมทเปลี่ยนลายวอลเปเปอร์ทางด้านหนึ่งให้เป็นหน้าต่างเห็นธรรมชาติ แต่พอร่างสูงโปร่งสะดุ้ง ชายหนุ่มจึงหยุดการตกแต่งห้องเอาไว้และพยุงคนใต้แรงกอบกุมให้นั่งสบายบนโซฟา

     

     

    “ที่นี่ที่ไหน”

     

     

    โอเซฮุนเป็นคนเดียวที่เดินตามเข้ามา ร่างโปร่งยืนกอดอกพิงผนังจำลองลายไม้ใกล้กับประตู สองตาก็เฝ้าสังเกตคนดังคนใหม่ประจำสหภาพ ใช่แล้ว ไม่บ่อยครั้งที่จะเจอของแพงคุณภาพสูงอย่างคนตรงหน้า อยากรู้จริงๆว่าไปทำอีท่าไหนถึงหลุดออกมาได้โดยไม่โดนเชือดตายเสียก่อน

     

     

    “มือไปโดนอะไรมา” เขาถาม เพราะเป็นคำถามที่แบคฮยอนเห็นด้วยถึงไม่ถูกเบรกหน้าคว่ำอีก

     

     

    มนุษย์ฟาร์มก้มลงมองมือตัวเอง ชานยอลไม่รู้จะสรรหาคำใดได้ดีไปกว่าบางอย่าง เขาไม่รู้ แล้วก็คงไม่มีทางรู้ด้วยว่าที่กำแพงนั่นมีอะไรจึงได้แต่ส่ายศีรษะเป็นคำตอบ เซฮุนเม้มริมฝีปากราวกับนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นก็สาวเท้าเข้าไปใกล้ ทว่าทันทีที่จับมือลงบนบ่า คนตระหนกเป็นทุนเดิมถึงได้สะดุ้งขึ้นมาแล้วปัดออกแรงจนเกิดเสียงดังเพียะลั่นห้อง

     

     

    เซฮุนร้องซี้ดพลางกุมท่อนแขนตัวเองเอาไว้ ปากสบถเป็นคำหยาบคายมากมายที่แบคฮยอนได้ยินชัดๆเพียงว่า “เวรเอ๊ย”

     

     

    กระนั้นแล้ว แทนที่จะให้ความสนใจกับรุ่นน้องซึ่งเป็นคนเจ็บ แต่แบคฮยอนกลับถลาตัวเข้าไปหวังปลอบประโลมให้คนบนโซฟาใจเย็น หากมันยิ่งทำให้ชานยอลตื่นสถานการณ์ ชายหนุ่มในชุดซอมซ่อเกร็งตัวจนแทบฝังลงไปกับโซฟา รูม่านตาขยายกว้างกว่าปกติ ทั้งหมดนี้ทำให้เซฮุนหงุดหงิด มันต้องเป็นเขาไม่ใช่หรือที่ตกใจ

     

     

    “เซฮุน” แบคฮยอนผ่อนเสียงลง “ไปเอายามาให้ที”

     

     

    เมื่อคนอายุน้อยกว่าเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปจากห้อง คนเป็นพี่ถึงหันมาหาวิธีทำให้อีกฝ่ายสงบลงอีกครั้งด้วยการถอยออกมาในระยะห่างที่พอดี แบคฮยอนนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวที่วางตั้งฉาก รอจนคนตรงหน้าหายใจเข้าออกในระดับปกติแล้วจึงเอ่ยต่อ

     

     

    “คุณมีชื่อไหม” เมื่อเห็นว่ายังเงียบ จึงหาเรื่องพูดเพื่อไม่ให้รู้สึกกดดันจนเกินไป “รู้จักชื่อหรือเปล่า”

     

     

    ถึงแม้จะเคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับเรื่องมนุษย์ฟาร์มเกรดพรีเมียม แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเจอของแพงอย่างจังโดยไม่ต้องติดอาวุธฝ่าวงล้อมเข้าไปชิงตัวอย่างที่ชอบพูดกันเรื่อยเปื่อย อนึ่ง โลกนี้มีการสูญเสียมากเกินพอแล้ว เขาจึงเป็นคนหนึ่งที่ยึดมั่นอุดมการณ์ว่า ความรุนแรงไม่อาจนำมาซึ่งสันติ นี่ไม่ใช่ยุคสงคราม คงมีเพียงความสะใจและเคียดแค้นเท่านั้นที่เป็นบทสรุปของวิธีการได้

     

     

    “ชานยอล”

     

     

    “หืม”

     

     

    “ผมชื่อชานยอล”

     

     

    ได้ยินอย่างนั้น คนฟังก็ยิ้มออกมาพร้อมทั้งเอ่ยทวนชื่อชานยอลเบาๆ มองไปทางประตูพลางคาดเดาเวลาว่าคงอีกสักพักเซฮุนถึงจะมา แบคฮยอนขยับตัวจนหลังตรงพลางถอดแจ็กเก็ตสีกากีออกพาดไว้บนพนัก เห็นว่านัยน์ตาใคร่รู้นั้นฉายแววสงสัยเต็มแก่ ซึ่งขั้นตอนนี้แหละที่ยาก เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา มนุษย์ฟาร์มส่วนใหญ่รู้สถานะของตัวเอง เพียงแต่ว่าไม่รู้จักโลก

     

     

     

     

    ชานยอลยังงุนงงและสับสนต่อทุกสิ่ง แม้แต่โซฟาที่เจ้าตัวนั่งอยู่ ชายหนุ่มก็กระสับกระส่ายราวกับกลัวจะมีอะไรโผล่ออกมาได้ทุกเมื่อ แบคฮยอนอยากถามว่าภายในฟาร์มนั้นเป็นเหมือนในโฆษณาหรือไม่ อย่างเช่นการสร้างสังคม ทำให้รู้จักแต่ความสุข แล้วก็ตายโดยที่ไม่ทันรู้ตัวเพื่อส่งมอบเนื้อชั้นดีสู่ผู้บริโภค

     

     

    “ทำไมพวกเขาถึงต้องการฆ่าผม”

     

     

    แบคฮยอนคิดนานจนถูกเร่งทางอ้อม เสียงครางอืมดังลอดลำคอขณะที่ชายหนุ่มในชุดเสื้อคอเต่าสีดำขยับตัวให้นั่งสบายขึ้น มือเล็กประสานหลวมๆไว้บนหน้าตัก พยายามสลัดหลุดจากเรื่องในหัวแล้วคิดหาคำตอบดีๆเพื่อเริ่มอธิบายสถานการณ์ ไม่ว่าจะกี่ครั้ง การต้องรับมือกับภาวะวิตกจนคลุ้มคลั่งก็เป็นเรื่องยากเสมอ เขาจึงอยากเลือกทางใดก็ได้ที่มีอัตราเสี่ยงน้อยที่สุด

     

     

    “เพราะคุณไม่เหมือนเรา” พอเริ่มเปิดบทพูดไปประโยคหนึ่ง ก็ยิ่งต้องคิดประโยคดีๆตามมาให้ได้ ชานยอลขมวดคิ้วมุ่น เช่นเดียวกับที่แบคฮยอนแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผากเพราะความลำบากใจ “รูปลักษณ์เราเหมือนกัน มีตาสองข้าง จมูก ปาก ใบหู หรือว่ามือและเท้า เรื่องที่ผมจะพูดจากนี้มันคงเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อย แต่ผมอยากให้คุณใจเย็นๆ”

     

     

    คนฟังพยักหน้ารับเชื่องช้า นึกไม่ออกว่าคำอธิบายของคำถามนั้นจะเป็นไปในทิศทางใด

     

     

    “ตอนนี้คือปีสองพันหกสิบสี่”

     

     

    ปีคืออะไร”

     

     

    “ปีคือหน่วยนับเวลาเราใช้กันในปัจจุบัน สามร้อยหกสิบห้าวันนับเป็นหนึ่งปี คุณรู้จักวันไหม” ชานยอลพยักหน้าอีกครั้ง เริ่มเข้าใจว่ามันคงเหมือนกับที่เขาอายุสิบแปดปี และพิธีผลัดถิ่นเกิดขึ้นทุกเก้าสิบวัน “เมื่อปีสองพันสามสิบหก โลกเราเกิดวิกฤติขึ้นอย่างหนึ่ง ผมหมายถึง -- โลกก็คือที่ๆเราอยู่ มันกว้างใหญ่มาก มีมนุษย์ สิ่งมีชีวิตอื่น พืช น้ำ พื้นดิน ผมเดาว่าคุณอาจจะรู้จัก”

     

     

    “ท้องฟ้าด้วยใช่ไหม”

     

     

    “ท้องฟ้าคือชั้นบรรยากาศ จักรวาล และใช่ ท้องฟ้าคือโลก”

     

     

    ม่านตาของชานยอลขยายกว้างด้วยความสนใจ แวบหนึ่ง มันปรากฏประกายวาววับแทนที่ความหวาดกลัว “ผมเคยสงสัยมาตลอด ทั้งที่หมู่บ้านเรากว้างเท่านี้ แต่ไม่ว่าจะมองจากที่สูงแค่ไหน ทำไมท้องฟ้าถึงได้ใหญ่ออกไปอย่างกับไม่มีที่สิ้นสุด นาย -- คุ -- บยอนแบคฮยอนเคยขึ้นไปถึงท้องฟ้าไหม”

     

     

    แบคฮยอนรู้สึกเหมือนเขากำลังคุยกับเด็กน้อย ทว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีหากจะทำความรู้จักมนุษย์ฟาร์มอย่างชานยอล “ไม่เคย”

     

     

    “แล้วขอบโลกล่ะ” เด็กชายถามอีก ราวกับลืมสิ่งที่อยากรู้ก่อนหน้าเรื่องโลกไปหมดสิ้น กว่าจะเข้าประเด็นที่แท้จริงได้ แบคฮยอนคิดว่าเขาคงต้องเหนื่อยไปกับการพยายามอธิบายสิ่งต่างๆเท่าที่คนตรงหน้าอยากรู้ มันเหมือนการย่อบทเรียนตลอดชั้นประถมให้มารวมอยู่ในคำพูดไม่กี่ประโยค

     

     

    “เราไม่มีขอบโลก ชานยอล โลกของเราเป็นทรงกลม” พอคิ้วนั้นขมวดอีก แบคฮยอนก็แสดงความเหนื่อยล้าด้วยการถอนหายใจออกมา “ไว้ผมจะอธิบายเรื่องนี้อีกครั้ง แต่เป็นหลังจากนี้ ได้ไหม หลังจากที่คุณรู้สถานะของคุณ”

     

     

    ชานยอลไม่ขัด ไม่ว่าจะเรื่องใด ตอนนี้เขาก็อยากรู้ทั้งนั้น

     

     

    “โอเค ตอนนี้ผมอยากให้คุณจำไว้สองข้อ ข้างนอกนั้นอันตรายสำหรับคุณ และข้อสอง คนที่นี่จะไม่ทำร้ายคุณ เราเป็นพวกเดียวกัน” คนพูดลดสองนิ้วลงประสานมือไว้ตามเดิมแล้ว แบคฮยอนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เตรียมใจว่าอาจต้องรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดคิดหลังจากนี้ “ช่วงปีสองพันสามสิบสอง เราประสบปัญหาอาชญากรรมมากมายเหลือเกิน คุณเคยกินหมู ไก่ หรือว่าเนื้อวัวไหม”

     

     

    “มันคืออะไร” ได้ยินดังนั้น เขาจึงอนุมานได้อีกว่าชานยอลไม่รู้จักสิ่งมีชีวิตอื่น

     

     

    “มันคือสิ่งมีชีวิต มีเลือดเนื้อ อารมณ์ ความรู้สึก เพียงแต่มันไม่เหมือนเรา เราจึงเรียกมันว่าสัตว์ มนุษย์กินสัตว์อื่นมานานมากๆแล้วชานยอล”

     

     

    “....”

     

     

    “เราเลี้ยงมันขึ้นมาเพื่อเป็นอาหาร ต้องฆ่าเพื่อนำมาปรุงให้สามารถกินได้ ที่ผมจะบอกก็คือ --”

     

     

    เขาหยุดพูดเมื่อเห็นดวงตาคู่นั้นสั่นไหว ชานยอลดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจสิ่งที่ได้ฟังนัก แบคฮยอนลำบากใจเหลือเกินว่าจะให้อีกฝ่ายเข้าใจคำว่าฆ่าเพื่อเป็นอาหารได้อย่างไร ใช้เวลาครึ่งค่อนคืนเพื่อบรรยายความโหดร้าย เปิดวีดีทัศน์ หรือว่าพาไปดูสถานที่จริงให้เข้าใจเรื่องทั้งหมดในเวลาอันสั้น ตอนนี้แบคฮยอนสามารถเดินไปหยิบอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ว่ามา ภาพถ่าย หรือสารคดีประชาสัมพันธ์ที่ทางสหภาพจัดทำขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีนี้ แต่พอคิดไตร่ตรองเอาว่าวิธีใดจะละมุนละม่อมที่สุด ประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีทางที่ดีไปกว่าคำว่าแย่ให้เลือกใช้

     

     

    “ฟังนะ”

     

     

    หากแต่เสียงกุกกักจากการเปิดประตูทำให้เขาจำต้องหยุดความคิดทั้งหมดเอาไว้เสียก่อน ผิดคาด ไม่ใช่เซฮุนที่เอายามาให้ หรือมันก็ไม่ผิด เพียงแต่คนที่เดินนำหน้าเข้ามาภายในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกลับกลายเป็นใครอีกคนที่ชายหนุ่มต้องหันไปมองคาดโทษรุ่นน้องซึ่งเดินซ้อนข้างหลัง ข้อหาไม่ดูแลคนของตัวเองให้ดี

     

     

    “พอรู้ว่าเราพาพวกเดียวกันกลับมา หมอนี่ก็ดั้นด้นจะมาดูให้ได้” เซฮุนรีบแก้ตัว ขณะยื่นตลับยาให้คนตำแหน่งเหนือกว่า จากนั้นจึงทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวฝั่งตรงข้าม

     

     

    หมอนี่ที่ชานยอลเห็น เป็นผู้ชายผิวสีแทนและสูงพอๆกับผู้ชายสวมแจ็กเก็ตสีน้ำเงินที่บยอนแบคฮยอนเรียกว่าเซฮุน ทั้งยังสวมเสื้อผ้าประหลาดคล้ายกับหลายคนที่นี่ อันที่จริง คงเป็นตัวเขาเองมากกว่าที่ผิดแผกจากคนอื่น หมอนี่เดินไปหยุดยืนอยู่ทางด้านหนึ่งของห้อง คิ้วนั้นขมวดเอาไว้แทบจะตลอดเวลาที่จ้องมองมาทางนี้ ชานยอลรู้สึกอึดอัด แต่คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรตามข้อควรจำข้อที่สอง

     

     

    “ถอดผ้าพันแผลออกก่อน” ชานยอลยื่นมือสองข้างออกไปให้อีกฝ่ายช่วยแก้มันออกให้ เมื่อเห็นแผลไหม้ที่เริ่มสมานตัวข้างใน เซฮุนก็หน้าเสียไปเล็กน้อย แล้วจึงเบนกรอบสายตาไปมองทางเจ้าของผิวเข้มที่ไม่สนใจตัวเองแทน “เซฮุน เราไม่มีผ้าพันแผล”

     

     

    เจ้าของชื่อฟึดฟัดแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง น่ากลัวว่าคงไม่ชอบขี้หน้าของแพงตั้งแต่วันแรกที่เจอกันเสียแล้ว

     

     

    “แผลของคุณสกปรกมาก เจ็บยังไงก็คงต้องล้างให้สะอาดเสียก่อน”

     

     

    แทนที่จะลุกพาไปห้องน้ำ แต่นายบยอนกลับลุกเดินไปหยิบกระติกสีฟ้าบนโต๊ะลายไม้ใกล้ๆ จัดการหมุนปรับอุณหภูมิจนได้ที่ เตือนตัวเองว่าหลังใช้เสร็จก็อย่าลืมปรับกลับไปที่ห้าองศา ไม่อย่างนั้นใครมาใช้ต่อคงบ่นเอาอีก อย่างที่สอง แบคฮยอนคว้าเอาโถไม่ใช้งานแล้วติดมือกลับมาด้วยเพราะไม่อยากรบกวนบุคคลที่สาม ถ้าให้ระดับความสนิทเต็มสิบ ทั้งคู่มีให้กันไม่ถึงห้าด้วยซ้ำ

     

     

    ชานยอลสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายรดน้ำอุ่นจากเหยือกผ่านมือลงไปบนโถรอง ปลายนิ้วลูบเบาๆเพื่อล้างเอาคราบเปรอะออกแล้วจึงใช้เสื้อแจ็กเก็ตที่ถอดทิ้งไว้ต่างผ้าขนหนูซับมือจนแห้ง ความรู้สึกเมื่อครู่คือแสบเล็กน้อย แต่ชานยอลคิดว่าควรอดทน ในเมื่อเจ็บกว่านี้ก็กัดฟันสู้มาแล้ว ยาที่ถูกบรรจงทามีลักษณะเป็นครีมสีข้นขาวเหมือนที่เด็กจีซองใช้ไม่มีผิด แน่นอนว่าเหมือนยาที่ผู้เฒ่าในหมู่บ้านให้แม่มาเมื่อตอนนั้นด้วย

     

     

    แบคฮยอนทบทวนความคิดเมื่อครู่อีกครั้งว่าเขาควรยัดเยียดเรื่องราวทั้งหมดให้ชานยอลดีหรือไม่ ถ้าได้เห็นภาพแบบชัดเจนก็จะได้ไม่ต้องมานั่งอธิบายสิ่งต่างๆกันให้มากความ ทว่าหลังจากนั้นเล่า ยิ่งมองไปเห็นสายตาที่มองมาจากคนผิวแทนแล้ว ชายหนุ่มก็ยิ่งไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรต่อไป

     

     

    “ดีขึ้นไหม” ถามคนเจ็บออกไปเสียงเรียบ ครั้นได้คำตอบเป็นการพยักหน้า ก็พอดีกับที่เซฮุนเดินถือผ้าพันแผลกลับมาหลังจากต้องไปเบิกเป็นรอบที่สอง

     

     

    ในใจแบคฮยอนเล็งเห็นปัญหาอีกอย่างหนึ่ง แต่มันอยู่ถัดจากนี้

     

     

    “อย่างอื่นที่มีชีวิต แต่ไม่เหมือนเรา เรียกว่าสัตว์” ระหว่างปล่อยให้มือถูกพันด้วยสิ่งที่เรียกว่าผ้าพันแผลซึ่งหน้าตาเหมือนผ้าก๊อซไม่ผิดเพี้ยน ชานยอลทวนสิ่งที่แบคฮยอนพูดก่อนจะถูกขัดจังหวะขึ้นมา เขามองไปยังหน้าต่างดิจิตอลอันฉายเป็นภาพต้นไม้สีเขียว มีหมู่ผีเสื้อและภมรบินตอมดอกไม้คล้ายกับที่เคยเห็นในหมู่บ้าน ทั้งหมดนั้น ชายหนุ่มรู้จักในชื่อเดียวกันคือเจ้าปีก

     

     

    “ถ้าอย่างนั้น เจ้าปีกก็คือสัตว์เหมือนกัน” ชานยอลทำเหมือนว่านั่นเป็นชื่อเรียก

     

     

    ความเจ็บปวดก่อตัวในใจของหนุ่มร่างเล็กจนต้องใช้ฝ่ามือลูบใบหน้าแรงๆอยู่หลายครั้ง ให้ตายเถอะ! แบคฮยอนขอให้คนตรงหน้าไม่ใช่แบบนี้ จะพูดภาษาคนไม่รู้เรื่องก็ได้ การต้องคิดหาคำดีๆเพื่อบอกมนุษย์ว่าไม่ใช่มนุษย์ มันยากยิ่งกว่าช่วยกันจับมนุษย์ฟาร์มไซส์สี่ร้อยปอนด์ให้อยู่นิ่งๆเสียอีก

     

     

    เขาหันไปมองเซฮุนที่กำลังทำสีหน้าปั้นยาก มองคนมาใหม่ที่ยังรักษาอาการไว้ภายใต้ความสงบนิ่ง กระทั่งมองกลับมายังผู้ไม่รู้ประสีประสาอีกที จึงเดาได้ว่านัยน์ตาสั่นระริกนั้นคงเกิดจากการที่เจ้าตัวเริ่มประมวลผลทุกอย่างได้แล้ว

     

     

    “ผม --” จากที่ขยับขยุกขยิกอยู่ตลอด กลับกลายเป็นความนิ่งงัน “เราฆ่าสิ่งมีชีวิตที่ไม่เหมือนกับเรา”

     

     

    นั่นเป็นคำจำกัดความแสนเจ็บปวดที่ตัดทอนเอาคำพูดของแบคฮยอนจนเหลือแค่แก่นของมัน ไม่เคยมีใครตั้งคำถามอย่างชานยอล เพราะตั้งแต่เกิด ทุกคนเคยชินกับการเกิดแก่เจ็บตายเพียงเพราะรับรู้ว่ามันคือวงจร เลี้ยงดูฟูมฟักชีวิตให้เจริญเติบโตเพื่อฆ่าทิ้ง ไม่ว่าด้วยความรัก ความเฉยชา หรือความหิวกระหาย ทั้งหมดล้วนกลายเป็นความเลือดเย็นทั้งสิ้น

     

     

    “มันเรียกว่าห่วงโซ่อาหาร” คนพูดกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ปล่อยให้ชานยอลก้มสายตาลงมองมือใต้ผ้าพันแผลทั้งสองข้างเพื่อเรียบเรียงความคิด “แม้แต่สัตว์ที่แข็งแกร่งกว่าก็ฆ่าสัตว์ที่อ่อนแอกว่าเพื่อเป็นอาหาร มันเป็นอย่างนี้นับตั้งแต่เริ่มมีสิ่งมีชีวิต”

     

     

    “ทำไม...”

     

     

    “เพื่อความอยู่รอด” แบคฮยอนกระดากปาก เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ่งั่งที่หาข้ออ้างดีๆขึ้นมาเพื่อให้สามารถสานต่อบทสนทนาได้ “แต่มนุษย์อยู่เลยจุดนั้นมาแล้ว เรามีสังคม มีวิถีชีวิต และเริ่มสร้างทางเลือกให้ตัวเองด้วยการสรรหาสิ่งต่างๆ กินทั้งพืชผัก แป้ง สิ่งมีชีวิตหลายๆอย่าง”

     

     

    “เพื่อความอยู่รอดเหรอ” คนฟังสวนขึ้นเสียงสั่นเครือ “มันเกี่ยวกับเรื่องที่ผมจะถูกฆ่าไหม”

     

     

    หากให้เท้าความไปถึงมนุษย์ฟาร์มทุกชีวิตที่เคยมาเหยียบห้องนี้ พวกเขาไม่เคยเจอใครฉลาดเท่าชานยอลมาก่อน อาจเพราะการได้ใช้ชีวิตที่เป็นชีวิต จึงมีความใคร่รู้ สงสัย รู้จักตั้งคำถาม และคิดวิเคราะห์ความซับซ้อนออกมาอย่างเป็นเหตุเป็นผล ทั้งหมดยิ่งทำให้มนุษย์แท้ๆอย่างแบคฮยอนและเซฮุนเกิดอยากรู้สภาพชีวิตของมนุษย์ฟาร์มอย่างชานยอลให้มากกว่านี้ แต่ก็กลัวเหลือเกิน หากสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะรับรู้ต่อจากนี้มันเกินรับไหว

     

     

    “ตอนนี้เรากินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน” เซฮุนโพล่งขึ้นทำลายความอึดอัด ไม่สนใจสายตาตาของรุ่นพี่ที่หันขวับมาทางนี้ “แต่เพราะช่วงแรกมันผิดกฏหมาย คนฆ่าคนเพียงเพราะอยากกิน เราถึงต้องทำฟาร์มเพาะเลี้ยงมนุษย์ให้มันเป็นเรื่องเป็นราว จะได้ไม่ต้องมีปัญหา”

     

     

    “....”

     

     

    “ว่าง่ายๆก็คือ --”

     

     

     

     

    “เซฮุน”

     

     

     

     

    แบคฮยอนเริ่มขึ้นเสียง เห็นไหล่ของร่างสูงโปร่งสั่นเทา ทั้งยังขยำกางเกงมอมแมมนั้นเอาไว้ราวกับลืมความเจ็บจากฝ่ามือเสียสิ้น โอเซฮุนคิดว่าแบคฮยอนอ้อมค้อมเกินไป เพราะไม่ว่าจะพูดเลี้ยวไปทางไหน สุดท้ายแล้ว ปลายทางของการรับรู้ก็ย่อมเป็นเรื่องนี้อยู่ดี แบคฮยอนทำเหมือนนายคนนี้เป็นมนุษย์ฟาร์มคนแรกที่ช่วยมาได้ ใช่ มันอาจจะดีที่พูดได้ แต่แล้วอย่างไร ในเมื่อจุดเริ่มต้นหรือจุดจบก็ล้วนหนีไม่พ้นเกิดเพื่อตายทั้งสิ้น

     

     

    ไม่ต้องรอขยายความ ชานยอลก็คิดว่าเขาเริ่มประกอบคำว่าจับกินเข้าสู่เรื่องนี้ได้แล้ว

     

     

    มือมีผ้าพันแผลยกขึ้นขยุ้มเรือนผมเหนียวเป็นก้อน ลมหายใจติดขัดจากภาพความทรงจำตลอดวันหลังจากมันเริ่มพรั่งพรูขึ้นกอปรสู่ความเป็นจริง ไม่ว่าจะเริ่มที่ไม่มีขอบโลก เรื่องของท้องฟ้า เรื่องสิ่งมีชีวิตอื่น เรื่องความหลอกลวงของหมู่บ้าน รวมถึงตัวเขา

     

     

    ชานยอลอยากย้อนเวลากลับไปในตอนที่ยังไม่รู้ถึงความหมายของชีวิต

     

     

    น้ำตารื้นขึ้นจนภาพทุกอย่างพร่ามัว เพียงระยะเวลาไม่กี่นาที... ไม่กี่นาทีที่ทำลายภาพชีวิตสิบแปดปีของชายหนุ่มไม่มีเหลือ ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ เพื่อน โชรง หรือแม้แต่คำพร่ำสอนของผู้เฒ่าให้ทุกคนอยู่ในอวนเพื่อรอวันถูกฆ่า เขาไม่ควรเกิดมา ไม่ควรมีลมหายใจมาจนถึงตอนนี้ด้วยซ้ำ ถ้ายอมถูกฆ่าไปเหมือนคนอื่นๆ ถ้าเขาไม่อยากรู้อยากเห็นจนบังเอิญไปเจอห้องรางเลื่อนนั่น --

     

     

     

     

    แค่เพราะอยากกิน

     

    เราถูกฆ่าเพียงเพราะเหตุผลแค่นั้น สัตว์อื่นก็ด้วย

     

     

     

     

    ร่างผอมกระหร่องผุดลุกจากโซฟาแล้ววิ่งหนีไปทางประตู นี่มันเรื่องโกหก แค่ฝันร้าย แค่บทลงโทษความดื้อรั้นที่แสนเจ็บแสบเพื่อให้หลาบจำและไม่คิดคลางแคลงอีก ชานยอลอยากตามหาพ่อในโลกนอกหมู่บ้าน อยากสร้างครอบครัวที่อบอุ่นเพื่อรอโชรงออกมา อยากเห็นสุดขอบฟ้า อยากเห็นขอบทะเลที่เทตัวเป็นน้ำตกสู่ความเวิ้งว้าง หรือต่อให้เจอปีศาจอาศัยอยู่ในป่าอาถรรพ์ เขาก็ยอมทั้งนั้น

     

     

    แต่ไม่ใช่แบบนี้

     

     

     

     

    “ออกไป!

     

     

     

     

    แบคฮยอนกดรีโมทล็อกประตูไว้ได้ทันก่อนที่มันจะเปิดอัตโนมัติตามระบบเซ็นเซอร์ มือเปล่าแกว่งสะบัดไปมาสะเปะสะปะทั้งยังส่งเสียงดังไม่ได้ศัพท์ นี่เป็นความเจ็บปวดที่สดใหม่เกินกว่าแบคฮยอนหรือเซฮุนจะตั้งหลักรับได้ พวกเขาเคยเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือ ทำให้มนุษย์ฟาร์มสงบ ปลอดภัย และวางใจว่านี่คือที่ที่ดีที่สุดเท่าที่คนพวกนั้นสมควรได้รับ ทว่าครั้งนี้มันต่างออกไป

     

     

    “ชานยอล”

     

     

    ยิ่งเข้าไปใกล้ ชานยอลก็ยิ่งต่อต้านโดยการตะกุยประตูนั้นเพื่อหาทางออก เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล ร่างสูงโปร่งก็ถลาไปทางสีเขียวสดนอกหน้าต่าง แต่นอกจากระบบสัมผัสรูปผืนน้ำแล้ว มันก็ไม่มีทางใดให้ออกไปนอกจากผนังสีขาวทึบเมื่อแบคฮยอนกดปิดระบบวอลเปเปอร์ลง

     

     

    เซฮุนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรในกรณีนี้ มันไม่ผิดไปจากที่เดาไว้ว่าคงเกิดขึ้น หนุ่มรุ่นพี่ยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมเช่นเดียวกับบนหลังรถเมื่อหลายนาทีก่อน และเขายังรู้อีกว่าต่อให้เสนออะไรออกไป แบคฮยอนก็ยังจะโทษว่านี่เป็นความผิดของเซฮุนอยู่ดี

     

     

    หากจุดเปลี่ยนอยู่ที่ใครอีกคน หลังจากกลืนตัวเองเข้ากับผนังห้องอยู่นานสองนาน เจ้าของผิวสีแทนก็ยันตัวเองขึ้นเต็มความสูง เดินผ่านคนสูงไล่เลี่ยกันไปทางด้านที่มนุษย์ฟาร์มกำลังบ้าคลั่ง ได้ยินเสียงเซฮุนอุทานว่าโอ้พระเจ้า แต่ก็ไม่น่าสนใจเท่ากับการที่นายชานยอลนั่นหยิบแก้วน้ำมาปาเฉียดหัวคนมุทะลุโดยมีบยอนแบคฮยอนร้องห้ามเสียงดัง

     

     

    โอเซฮุนพอจะเดาออก ถึงได้ยกมือขึ้นเสยผมซอยสั้นอย่างลวกๆแล้วปล่อยให้มันเกิดขึ้นโดยไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย “เอาเลย นายฉลาดเป็นบ้า! จงอิน”

     

     

    ชานยอลไม่ถูกกระทำในสิ่งที่เขากลัว เพราะเมื่อเข้าใกล้จนถึงระยะสองเมตร สิ่งที่ผู้ชายท่าทางน่ากลัวตรงหน้าทำกลับมีเพียงแค่การถอดเสื้อที่สวมอยู่บนเรือนร่างออก คนมองเริ่มสงบนิ่ง ลมหายใจที่ติดขัดรุนแรงราวกับหยุดไปโดยสิ้นเชิงเมื่อเจ้าของชื่อจงอินหันหลังให้เห็นบางสิ่ง หลังคอชานยอลร้อนวาบ เขาเห็นลวดลายประหลาดแบบเดียวกันที่ปรากฏอยู่บนหลังคอของอีกคน

     

     

    สิ่งที่จีซองเรียกว่าบาร์โค้ด พร้อมรหัสสินค้ายาวสิบเอ็ดหลักและลงท้ายด้วยสี่

     

     

     

     

    “พวกเดียวกัน”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ------------------------------------------------------------------------

     

    เบื่อกันไหม ?

    อย่าเพิ่งเบื่อกันเลยนะคะ อิอิ
    ขอเวลาเปิดโลกให้ชานยอลก่อน

     


     


     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×