ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (SF/OS) #OHARHAFIC | CHANBAEK SEKAI

    ลำดับตอนที่ #23 : ▲ sekai | '1 ... 3 4'

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.55K
      24
      31 ต.ค. 60

     

     

    ‘1 … 3 4’

     

    OHSEHUN l KIMJONGIN l PARKCHANYEOL

    - OHARHA -






     

     

     

     

    เราเป็นฝาแฝด

     

     

    คำแรกที่ผมได้ยินจากปากเขาทั้งคู่ในวันเปิดเทอมขึ้นมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง เชื่อเถอะว่ามันทำเอาผมขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความความงงงวย พวกเขาเหมือนกันมาก เป็นฝาแฝดที่เหมือนแม้กระทั่งการแต่งตัว ...แ ต่ก็แค่ภายนอกเท่านั้น เพราะพอได้รู้จักกันอย่างจริงจังแล้ว เขาทั้งคู่มีข้อแตกต่างกันนิดหน่อย

     

     

    คิมไค ร่าเริงสดใสจนผมแทบละสายตาไม่ได้ เขายิ้มเห็นฟันให้ผมทุกครั้งหลังจบประโยค

     

     

    อีกคนชื่อ คิมจงอิน เขาเองก็ชอบยิ้ม เพียงแต่เป็นรอยยิ้มบางๆ ที่ยิ่งทำให้ริมฝีปากอิ่มน่าจูบกว่าเคย

     

     

    ถึงตรงนี้ผมคงไม่ต้องบอกว่ากำลังสนใจแฝดคนไหน เอาเป็นว่านอกจากชีตวิชากฎหมายเบื้องต้นแล้ว ผมก็มองไม่เห็นอะไรอีกเลยนอกจากคิมจงอิน

     

     

     

     

     

    *

     

     

     

     

     

    “สวัสดีชานยอล สวัสดีเซฮุน”

     

     

    สองแฝดเดินเข้ามาหาผมและเพื่อนด้วยรอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนใบหน้า จงอินนั่งลงข้างผม ส่วนไคเดินอ้อมไปนั่งฝั่งชานยอลซึ่งเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน สองคนนี้คบหากันตั้งแต่ปีสาม ก่อนหน้าที่ผมจะตัดสินใจขอจงอินคบด้วยพักใหญ่ๆ

     

     

    ชานยอลเป็นผู้ชายเงียบๆ ที่มีโลกส่วนตัวสูง พอได้มีไคเข้ามาเป็นสีสันในชีวิตแล้วความเข้าถึงยากก็ดูจะพังทลายลงบ้าง ทั้งคู่เข้ากันได้ดี มีทะเลาะกันบ้างพอเป็นรสชาติของคู่รัก และเวลามีปัญหาผมก็จะกลายเป็นที่ปรึกษาอย่างช่วยไม่ได้

     

     

    ต่างกันกับผมและจงอินที่ไม่ค่อยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันนัก อาจด้วยเพราะผมเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีกว่า ผมชอบไปบ้านจงอิน บริเวณบ้านของเขาค่อนข้างกว้างประสาคนมีฐานะ ซ้ำยังมีสวนสวยๆ ให้ผมไปนอนตักมองดูเขาอ่านหนังสือ บางทีชานยอลก็ไปด้วยแต่มักจะอยู่ในตัวบ้านกับไคมากกว่า

     

     

    ตอนนี้พวกเราอยู่ปีสี่ มีรายงานและโปรเจ็กต์มากมายจนช่วงสองเดือนหลังนี้ผมต้องไปค้างที่บ้านสองแฝดหลายครั้ง พ่อแม่ของทั้งคู่อยู่ด้วย ผมจึงต้องแยกไปนอนห้องสำหรับแขกตามธรรมเนียม

     

     

    แต่ถึงอย่างนั้น พักหลังจงอินคนดีก็ใจกล้าแอบย่องเข้ามานอนกับผมตอนดึกๆ เป็นครั้งคราว

     

     

     

     

     

    *

     

     

     

     

     

    “เซฮุน...”

     

     

    เสียงคุ้นหูกระซิบที่ข้างหูผมเบาๆ ผมอมยิ้มในความมืดก่อนจะเปิดผ้าห่มออกแล้วดึงเขาขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกัน กลิ่นของจงอินหอมเสียจนผมต้องบดปากลงไปที่แก้มฟอดใหญ่

     

     

    “ไคนอนแล้วหรือ” ผมถาม อีกคนซุกตัวเข้ามาเบียดยิ่งขึ้นอย่างที่ผมเคยบอกว่าชอบนัก เดี๋ยวนี้จงอินรู้วิธีเอาใจผมดีทีเดียว

     

     

    “หลับแล้ว” เขาตอบอู้อี้

     

     

    ผมแตะริมฝีปากลงกับพวงแก้มก่อนจะกดแรงๆ อย่างมันเขี้ยว จงอินหัวเราะเบาๆ มิหนำซ้ำยังดันใบหน้าตัวเองให้แนบแน่นกับกลีบปากผมยิ่งกว่าเดิม ไม่นานนักเราทั้งคู่ก็จูบกัน ผมพาตัวขึ้นคร่อมเขาโดยที่ไม่ยอมละริมฝีปากออก แล้วก็เริ่มใช้มืออีกข้างเข้าไปนัวเนียอยู่ใต้สาบเสื้อ

     

     

    “รู้ตัวไหมว่าน่ารักขึ้นทุกวัน”

     

     

    ผมชมและได้ยินจงอินหัวเราะในลำคออย่างพอใจ

     

     

    เซ็กซ์ครั้งแรกของเรานั้นเก้อเขิน จงอินไม่ใช่คนแรกที่ผมมีอะไรด้วย ถึงอย่างนั้นเราก็เอาแต่ประหม่าอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นจึงจูนเข้าหากันได้ดีอย่างไม่มีที่ติ

     

     

    แต่ละคู่มีความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน อย่างที่ผมและจงอินก็มีรสชาติเซ็กซ์ของเราเอง

     

     

    ผมปล่อยตัวไปตามแรงอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายใน เสียงครางของจงอินเบาหวิว ผมรู้ว่าเขาคงอัดอั้นไม่น้อยที่ต้องพยายามเก็บเสียงไม่ให้มันดังจนอาจมีใครได้ยิน ผมโน้มตัวลงไปคลอเคลียอยู่กับไหล่ของเขา ทั้งจูบทั้งหอมซ้ำๆ จนมันคงช้ำแย่แล้ว

     

     

    “มันจั๊กจี้...”

     

     

    เขาพูดด้วยเสียงที่ขาดช่วง อาจเป็นเพราะการที่ผมยังคาอยู่ในตัวเขาก็ได้จึงทำให้เราคุยกันไม่ได้สรรพ ผมยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขี้เล่น แล้วก็รู้สึกดีที่เดียวที่ได้แกล้งคนรักในเวลาแบบนี้

     

     

    “...”

     

     

    วูบหนึ่งที่ความรู้สึกของผมบอกว่ามีสายตากำลังจ้องมองอยู่ ผมยันตัวขึ้นจากแนวระนาบก่อนจะหันไปมองที่บานประตู ชั่ววินาทีก่อนมันปิดสนิททำให้ผมสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

     

     

    “ให้ตายเถอะจงอิน...”

     

     

    “หืม?”

     

     

    “มีคนเห็นเราเข้าแล้ว”

     

     

    ความกังวลก่อตัวขึ้นภายในใจของเราทั้งคู่ ผมไม่เห็นสีหน้าคนรักว่าตอนนี้กำลังว้าวุ่นใจอย่างที่ผมเป็นหรือเปล่า แต่เสียงของเขาเงียบไป นั่นทำให้ผมคิดว่าจงอินเองก็คงกังวลไม่ต่างกัน

     

     

    “ไม่ใช่พ่อกับแม่แน่ๆ พวกท่านอยู่ชั้นสาม ถึงจะเข้าห้องน้ำก็คงใช้ห้องน้ำที่ชั้นบน”

     

     

    ผมมันก็แค่คนนอก แต่จงอินนี่สิ ถูกคนในบ้านเห็นเข้าแบบนี้จะทำอย่างไร

     

     

    “ถ้าเป็นไคล่ะ?” ผมถามออกไป ถ้าไม่ใช่พ่อกับแม่ก็ต้องเป็นไค ตัวเลือกมีอยู่แค่นี้เท่านั้น

     

     

    “อาจจะใช่ แต่ไคคงไม่พูดหรอก หมอนั่นก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”

     

     

    จงอินคงอายและอึดอัดใจอยู่ไม่เบา

     

     

    “จะกลับห้องตอนนี้เลยไหม” ผมกระซิบถามอีกครั้ง แต่ก็ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้า ก่อนแผ่นหลังเขาจะลอยขึ้นจากผืนเตียงและประทับจูบที่ปากผม และนั่นทำให้ผมหัวเราะได้

     

     

    บางทีผมก็ไม่ควรตีโพยตีพายไปก่อนไข้

     

     

     

     

     

    *

     

     

     

     

     

    จงอินกลับไปราวๆ ตีสามหรือตีสี่ นอนพักได้สามสี่ชั่วโมงก่อนจะตื่นมารับประทานมื้อเช้าพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว จงอินส่งยิ้มให้ผมบนโต๊ะอาหารพลางแนะนำเมนูเด็ดฝีมือคุณนายคิม บรรยากาศดีมากจนผมกินมื้อเช้าได้อย่างเอร็ดอร่อยกว่าร้านข้าวแถวหอพักเป็นไหนๆ

     

     

    แต่อีกเรื่องที่ผมอดเป็นห่วงไม่ได้คือไค เขาส่งยิ้มกว้างมาให้ผมทีหนึ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

     

    หลังกินมื้อเช้าเสร็จ ผมกับจงอินก็แยกไปติวหนังสือกันที่สวนหลังบ้านจนถึงบ่าย ชานยอลมาถึงตอนเกือบเที่ยงและใช้เวลาอยู่กับไคในบ้านตามเคย เวลาประมาณบ่ายสอง ไคก็เอาน้ำชาและของว่างมาเสิร์ฟให้เราอีกชุด

     

     

    “เป็นไงบ้าง ติวกันถึงไหนแล้ว”

     

     

    เขายิ้มกว้างให้ผมตามปกติ แล้วจงอินก็เอ่ยตอบกลับไปตามปกติเช่นกัน “อีกสองสามบทก็จบเล่มแล้ว นายกับชานยอลล่ะ”

     

     

    “ชานยอลมาช้า คงจบเล่มช้ากว่านายสองคนหน่อย”

     

     

    ถึงตรงนี้ทั้งผมและจงอินหัวเราะร่วน ผมหยิบแคร็กเกอร์ขึ้นมาใส่ปากอันหนึ่ง ก่อนจะปลอบใจไคทั้งที่เคี้ยวขนมอยู่เต็มปาก “เจ้าชานยอลมันเรียนเก่งใช่ย่อย ดีไม่ดีจะจบก่อนเราเสียมากกว่า”

     

     

    “แต่จงอินก็เรียนเก่งกว่าฉัน สงสัยคงเจ๊ากัน” ไคไหวไหล่ จากนั้นจึงหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้านเพราะไม่อยากคุยกับเราติดลมนัก

     

     

    “ดูท่าไคคงไม่คิดอะไร” ผมหัวเราะร่วน สื่อความนัยให้อีกฝ่ายเข้าใจตรงกัน “ก็เรื่องเมื่อคืนไงเล่า”

     

     

    ได้ยินอย่างนั้นจงอินก็ยิ้มออก เขาก้มลงอ่านหนังสือต่อในขณะที่ผมยกน้ำชาขึ้นจิบ อู้กินขนมสลับกับอ่านหนังสือบ้าง ไม่นานจงอินก็เงยหน้าขึ้นมาดุผม บังคับให้ตอบคำถามเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญาอย่างกับคิดว่าผมจะตอบได้อย่างนั้นแหละ

     

     

     

     

     

    *

     

     

     

     

     

    เผลอๆ ก็ใกล้ถึงช่วงรับปริญญา เราเรียนจบได้หนึ่งเดือนแล้ว แต่ผมยังคงเทียวไปเทียวมาเหมือนเดิมแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยกับช่วงทดลองงาน นอนหอสักห้าคืน นอนบ้านจงอินอีกสองคืน แค่นี้ก็มีความสุขจนไม่รู้จะไปหาจากที่ไหนได้อีก

     

     

    บ้านผมอยู่ที่ต่างจังหวัด แน่นอนว่าการหางานในโซลคงง่ายกว่าเป็นไหนๆ อีกเหตุผลหนึ่งคือผมติดแฟน ถ้ากลับไปอยู่บ้านแล้วผมจะเจอจงอินได้ยังไง

     

     

    เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วจงอินช่วยผมขนของออกจากหอแถวมหาวิทยาลัยมาอยู่คอนโดมิเนียมราคาปานกลางย่านใจกลางเมือง ช่วยกันจัดข้าวของได้ไม่กี่ชั่วโมงเขาก็อาบน้ำแล้วหลับไป อาจเพราะตอนนี้เป็นช่วงเริ่มทำงานใหม่ๆ ผมเองก็โดนสอนนั่นสั่งนี่จนเหนื่อยหลับได้ง่ายๆ เหมือนกันตอนหัวถึงหมอน

     

     

    นอนเอามือเคลียแก้มอีกคนเบาๆ ก็เผลอหลุดหัวเราะกับตัวเองเหมือนคนบ้า ทั้งที่เหนื่อยแทบตายแต่ทำไมผมกลับมีความสุขเหลือเกิน ตอนแรกก็เครียดแทบแย่ว่าเรียนจบแล้วต่างคนต่างแยกย้ายไปทำงานแล้วจะได้เจอกันเหมือนก่อนไหม แต่กลายเป็นว่ากลับได้เจอกันบ่อยขึ้น เพราะพอเรียนจบก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ ผมไปค้างด้วยบ้าง หากเกรงใจพ่อกับแม่หน่อยจงอินก็จะเป็นฝ่ายออกมาค้างกับผมเสียเอง

     

     

    พูดไปคงเหลือเชื่อ เราไม่เคยมีเซ็กซ์กันที่อื่นนอกเหนือจากบ้านของจงอิน อาจเพราะไม่คุ้นที่หรือว่าเหนื่อยล้า เวลามาค้างกับผมก็แบบนี้ เผลอหลับไปก่อนทุกที นอนกอดกันบ้าง ต่างคนต่างนอนบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เป็นผู้ชาย ต่อให้ไม่ทำอะไรก็ขอลักหลับบ้างพอหอมปากหอมคอ เอาไว้ครั้งไหนจงอินชวนผมก่อนค่อยทบต้นทบดอกก็ได้

     

     

    สุดสัปดาห์นี้ผมจะไปค้างกับเขา ขืนจงอินไม่กลับบ้านบ่อยๆ มีหวังพ่อแม่คงไม่ไว้ใจกันพอดี

     

     

     

     

     

    *

     

     

     

     

     

    พอเคลิ้มจะหลับ กลิ่นหอมอ่อนๆ ก็มาพร้อมร่างที่แทรกตัวเข้ามานอนด้วย อาจเป็นเพราะไครู้เรื่องของเราแล้วจงอินถึงใจกล้ากว่าเคย แม้ผมจะมาค้างบ้านจงอินตั้งแต่เมื่อวานนี้ แต่ว่าต่างฝ่ายต่างก็หลับสนิท คืนนี้เป็นคืนที่สองของวันหยุด ทั้งผมและเขาเก็บแรงไว้มากพอแล้ว

     

     

    “แรงมาแล้วเหรอหืม?” ผมเอ่ยกระเซ้าไปตามประสา ก่อนจะร้องโอ๊ยเมื่อถูกบีบจมูกอย่างมันเขี้ยวโทษฐานที่พูดอะไรชวนกระดาก ไม่อยากเสียเวลาเง้างอดต่อปากต่อคำกันแบบเด็กๆ อีกแล้ว ผมพลิกตัวขึ้นคลอเคลียเขาให้สมกับเวลาที่เสียไปทั้งหมด

     

     

    “ขอโทษนะ” เสียงแหบพร่าพูดแผ่วเบาในความมืด ผมครางในลำคออย่างสงสัย ทำไมเขาถึงต้องขอโทษด้วย “ช่วงนี้มันเหนื่อยๆ ยังปรับตัวไม่ได้”

     

     

    พูดมาแค่นี้ผมก็เข้าใจชัดเจน จงอินน่ารักเสมอ เขารู้ว่าผมคิดและต้องการอะไร จนสุดท้ายก็หาวิธีมาเอาใจได้ทุกที “แบบนี้ควรยกโทษให้ดีไหม”

     

     

    “คืนนี้จะยอมให้ลงโทษทุกอย่างเลย”

     

     

     

     

     

    *

     

     

     

     

     

    เช้านี้บ้านจงอินไม่มีคนอยู่ เห็นว่าพ่อกับแม่ไปต่างจังหวัดตั้งแต่สองวันก่อนยังไม่กลับมา เหลือแค่ผมและสองแฝดกับอาหารมื้อเช้าสไตล์ตะวันตกเรียบง่าย

     

     

    “ชานยอลมันได้แวะมาหาบ้างไหม ไม่ค่อยได้คุยกันเลยช่วงนี้” ผมถาม ก่อนจะจิ้มไส้กรอกเข้าปากคำโต ส่วนไคส่ายศีรษะไปมาอย่างเศร้าสร้อย

     

     

    “ต่างคนต่างยุ่ง เซฮุนยังดีที่พอมีเวลาแวะเวียนมาบ้าง แต่ชานยอล... นานๆ ทีถึงจะเจอกัน”

     

     

    “แล้วอย่างนี้ที่เรานัดไปแคมป์กันอาทิตย์หน้า ชานยอลไปได้ชัวร์หรือ” จงอินถามด้วยความเป็นห่วง ไคละสายตาจากผมก่อนจะหันไปตอบคำถามแฝด

     

     

    “ต้องว่างสิ เขาบอกว่าเคลียร์งานส่วนนั้นไว้เรียบร้อยแล้ว” ไคตอบ น้ำเสียงนั้นไม่ได้ดูดีใจจนออกนอกหน้า หรือจะพูดให้ถูกคือมันสงบกว่าที่ควรจะเป็น “หรือถ้าไปไม่ได้ก็ช่างปะไร ทิ้งให้อยู่โซลคนเดียวเสียให้เข็ด”

     

     

    เสียงนั้นเหมือนเด็กขี้งอนไม่มีผิด สองแฝดต่างกันชัดๆ ก็ตรงนี้ แม้จะเป็นคนยิ้มง่ายทั้งคู่ แต่ไคนั้นราวกับมีไฟสุมอกอยู่ตลอดเวลา รุ่มร้อนตัดกับเยือกเย็นจนเดาอารมณ์ไม่ถูก

     

     

    “น่าอิจฉาจงอินที่เซฮุนเอาใจใส่อยู่ตลอด”

     

     

    ไคแค่นยิ้มฝืน ผมเดาว่าเป็นแค่การตัดพ้อถึงเจ้าเพื่อนตัวดีที่หายหน้าหายตาไป แต่ถึงอย่างนั้นจงอินกลับไม่พูดอะไรเหมือนเคย

     

     

    สองแฝดห่างเหินกันมากขึ้น... อาจด้วยเพราะวัยวุฒิกระมัง

     

     

     

     

     

    *

     

     

     

     

     

    ผมใช้เวลาค่อนคืนจัดของลงกระเป๋า เราจะไปตั้งแคมป์ด้วยกันสามคืนสองคู่ จงอินโทรมาเมื่อสิบนาทีก่อนเพื่อเตือนไม่ให้ผมลืมเอาของจำเป็นไป เราแยกกันนอนเป็นเตนท์เล็กๆ สองเตนท์ และนั่นนับเป็นเรื่องดีทีเดียว ผมอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศ

     

     

    ผมแย้มยิ้มอีกครั้งเมื่อชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือเป็นชื่อของจงอิน บางทีก็นิ่งสงบเหมือนน้ำ บางทีก็ร้อนเป็นไฟ ถึงอย่างนั้นผมก็รับมือไหว

     

     

    “ว่าไงครับ~”

     

     

    คิดถึงนาย

     

     

     

     

     

    *

     

     

     

     

     

    ชานยอลเป็นคนขับรถพาเรามาถึงต่างเมือง จงอินเป็นคนเสนอว่าไม่ต้องไปเที่ยวไกลนัก เสียดายเวลาที่นานๆ จะได้รวมตัวกันสักทีและไม่อยากให้มันหมดไปกับการเดินทาง เที่ยวให้เพลินใจดีกว่าเอาไปนั่งมองวิวข้างทางตอนขับรถ ข้อนี้ผมเห็นด้วย

     

     

    เรามาถึงกันช่วงเย็นเพราะออกรถเสียตั้งบ่าย เลยตัดใจเอาว่าจะออกไปน้ำตกแทนในวันพรุ่งนี้ น่าดีใจที่มีงานเทศกาลเล็กๆ สไตล์ญี่ปุ่นถูกจัดอยู่ในเมือง ไกลจากที่นี่ไม่ถึงสิบกิโลเมตร พวกเราไม่เคยมีใครได้เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นสักคน

     

     

    ชานยอลดูอยากแยกกันเดินกับคู่ผมเต็มแก่ แต่ไคค้านว่าอยากเที่ยวด้วยกันหลายๆ คน ชานยอลจึงขัดไม่ได้ อาจด้วยเพราะไคยังมีความรู้สึกน้อยใจอยู่จึงพูดไปแบบนั้น แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้งอนง้ออะไรกันเป็นเรื่องเป็นราว

     

     

    “นายไม่ง้อเขาสักหน่อยล่ะ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”

     

     

    “ง้ออะไร” ชานยอลตีหน้าซื่อถามกลับมา ผมอุตส่าห์อาศัยจังหวะที่สองแฝดพากันไปเข้าห้องน้ำมาให้กำลังใจเพื่อน แต่กลับโดนกวนประสาทหน้าตาย

     

     

    “ก็ไคไง เขางอนนายแน่ะ บอกว่าเล่นหายไปเป็นอาทิตย์ๆ ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นบ้าง”

     

     

    “เขาพูดอย่างนั้นหรือ” เหมือนว่าไม่ได้จงใจจะกวนประสาท สีหน้าของชานยอลดูแปลกใจมากจนผมเองยังสงสัย ผมจึงพยักหน้าตอบกลับไปด้วยความงุนงงไม่แพ้กัน “ฉันโทรหาเขาแทบทุกวัน จะมารับไปกินข้าวด้วยซ้ำ แต่ไคต่างหากที่บอกว่าไม่ว่าง”

     

     

    ผมกับชานยอลไม่ได้คุยอะไรกันต่อเพราะจงอินและไคออกมาพอดี

     

     

    “ตรงนั้นมีจำลองงานทานาบาตะ ไปดูกันไหม” จงอินถาม ส่วนผมก็ผมยิ้มตอบแล้วเดินเคียงไปกับเขา ทิ้งให้ไคและชานยอลเดินตามมาข้างหลัง เผื่อว่าทั้งสองคนจะได้มีโอกาสปรับความเข้าใจกันบ้าง

     

     

    ผมไม่เข้าใจเลย อดนึกสงสัยถึงคงามสัมพันธ์ของเพื่อนทั้งสองไม่ได้ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง ฟังจากคำพูดของชานยอลแล้วมันช่างตรงข้ามกับที่ไคตัดพ้อให้ผมกับจงอินเห็นตลอดเวลา

     

     

    ผมหลุดจากภวังค์เพราะเสียงที่ดังขึ้นข้างหู จงอินหันมายิ้มให้ผมก่อนจะดึงไปยังซุ้มต้นไผ่ที่มีคนอออยู่มาก บนต้นไผ่มีแผ่นกระดาษสีเหลี่ยมหลากหลายสีถูกห้อยเรียงไว้จนเต็มต้น แต่ละใบมีหมึกสีดำเขียนอยู่

     

     

    “ที่ญี่ปุ่นจะมีเทศกาลชื่อว่าทานาบาตะ โดยให้เขียนคำอธิษฐานใส่กระดาษแล้วก็นำไปผูกบนต้นไผ่ เชื่อกันว่ามันจะเป็นจริง” จงอินส่งแผ่นกระดาษขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ได้มาจากคนดูแลซุ้มให้ผมแผ่นหนึ่ง ผมยิ้มแล้วรับมันมา คิดว่ามันฟังดูไร้สาระแปลกๆ ซึ่งจงอินคงจะดูออก เขาจึงกลั้วหัวเราะแล้วกระซิบคุยกับผมแบบไม่ให้ใครได้ยิน “จะคิดมากทำไม เราเป็นนักท่องเที่ยวนะ”

     

     

    ผมชะโงกหน้าดูว่าเขาเขียนคำอธิษฐานอะไรลงไปในกระดาษ แต่จงอินกลับเอามือบังไว้มิดชิด ผมแสร้งทำเป็นยักไหล่เหมือนไม่ยี่หระก่อนจะเขียนคำอธิษฐานของตัวเองลงไปในกระดาษบ้าง ตาเหลือบเห็นไคเดินอ้อมไปเขียนคำอธิฐานอยู่ข้างๆ จงอิน

     

     

    “เซฮุนเขียนเสร็จหรือยัง จะเอาไปผูกให้”

     

     

    ไคยื่นมือมาขอกระดาษไปจากผม ในมือเขามีคำอธิษฐานของชานยอลกับจงอินด้วย ผมยื่นมันให้ไคนำไปผูกกับต้นไผ่แยกเป็นสองจุด กิ่งหนึ่งสองอัน อีกกิ่งหนึ่งสองอัน เห็นแวบๆ ว่ากระดาษอันที่ห้อยคู่กันกับของผมถูกเขียนว่า เซฮุน

     

     

    ผมหันไปยิ้มแซ็วจงอิน ทำไมถึงได้รักเขามากขึ้นทุกวันขนาดนี้

     

     

    “ปวดหัว เดี๋ยวไปนั่งรอข้างหน้า”

     

     

    ชานยอลพูดกับผมเสียงพร่า สีหน้าเขาไม่ค่อยดีนัก แต่ไคกับจงอินอยู่ด้วยจึงทำให้ผมไม่กล้าถามไปตรงๆ หากแต่ดวงตาของเพื่อนนั้นแดงก่ำ ผมไม่เคยเห็นชานยอลเป็นอย่างนี้มาก่อน

     

     

     

     

     

    *

     

     

     

     

     

    แล้วคืนนั้น ผมก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันแว่วมาจากเตนท์ข้างๆ

     

     

    คนในอ้อมกอดผมดิ้นขลุกขลัก จงอินเงยหน้าขึ้นมาในความมืดสลัว มือนั้นกระชับเสื้อผมไว้แน่น “เป็นห่วงไค”

     

     

    “ชานยอลไม่ใช่คนใช้อารมณ์ ไม่ต้องห่วงหรอก” ผมกระซิบตอบเสียงแผ่ว อย่างไรเสียมันก็เป็นเรื่องของสองคนนั้น คงไม่ดีนักหากพวกผมจะแทรกตัวเข้าไปไกล่เกลี่ยอย่างสอดรู้ เรากระชับอ้อมกอดเข้าหากันแน่นขึ้น เสียงจากเตนท์ข้างๆ เงียบลงพร้อมกับสติที่ลางเลือนเข้าสู่นิทราของผมและคนรัก

     

     

     

     

     

    *

     

     

     

     

     

    หากแต่เช้าขึ้นมา... เราพบศพของไคเสียชีวิตอยู่ภายในเตนท์

     

     

    ปาร์คชานยอลตกเป็นผู้ต้องสงสัยรายแรกที่ถูกต้อนให้ยอมรับว่าเป็นฆาตกร สีหน้าของชานยอลสับสนและมีน้ำตาคลอ ผมเป็นเพื่อนสนิทกับเขามานาน สายตาในตอนนั้นทำให้ผมไม่นึกปักใจเชื่อว่าเขาจะเป็นฆาตกรจริงๆ ผมกับจงอินต่างก็ต้องรอให้การกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ คนข้างตัวผมเอาแต่ร้องไห้อย่างสุดกลั้น ผมได้แต่ตบบ่าเขาเบาๆ อยู่อย่างนั้น นอกจากปลอบใจแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

     

     

     

     

     

    *

     

     

     

     

     

    “ผมทะเลาะกับไค แต่เราไม่ได้ใส่อารมณ์กันมากนัก เขาบอกเพียงว่าอยากเลิกกับผม... พอผมถามเหตุผลก็ไม่ยอมตอบอะไร ตอนนั้นผมยอมรับว่าผมรู้สึกมีน้ำโหมากจึงคิดจะไปสงบสติอารมณ์ไกลๆ พอเดินเข้าไปในตัวอุทยานก็เห็นเตนท์ของนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ กำลังเฮฮา พวกเขาบอกว่าเป็นคนที่มาตั้งแคมป์พักผ่อนเหมือนกันเลยรวมกลุ่มกันสังสรรค์ แล้วก็ชวนผมเข้าไปด้วย พอเบียร์เข้าปาก ผมก็หายโมโหลงได้มากแล้วตัดสินใจอยู่ตรงนั้นกล่อมใจตัวเองจนเกือบเช้า แต่กลับมาอีกที...”

     

     

    ชานยอลก้มลงสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นให้การต่อด้วยดวงตาสั่นไหว แม้ว่าจะมีพยานให้การว่าชานยอลไปดื่มเบียร์สังสรรค์รวมกับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ตั้งเตนท์กันอยู่ในอุทยานจริง แต่ก่อนหรือหลังจากนั้นเขาก็มีสิทธิ์เป็นฆาตรกรได้มากที่สุดอยู่ดี

     

     

    “ผมเห็นไคอยู่ภายในเตนท์... เขา -- ตายแล้ว”

     

     

     

     

     

    *

     

     

     

     

     

    เจ้าพนักงานสืบสวนขอแยกตัวพวกผมไปให้ปากคำทีละคน ผมบอกไปว่าเมื่อคืนผมกับจงอินอยู่ด้วยกัน นอนกอดกันหลับสนิทอยู่อย่างนั้น ไม่มีทางที่จงอินจะออกไปไหนได้

     

     

    “แล้วคุณแน่ใจได้ยังไงว่าคิมจงอินเขาหลับสนิทเหมือนคุณ”

     

     

    ผมตอบไม่ถูก ความตายของไคเกิดจากการใช้ของแข็งตีเข้าที่หลังศีรษะ เนื่องจากไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ตำรวจจึงสันนิษฐานว่าอาจเป็นการถูกทำร้ายทีเผลอ

     

     

    “คุณรู้ไหม ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เราสันนิษฐานว่าฆาตกรเป็นคนนอกที่ลอบเข้ามาทำการฆาตกรรม ซึ่งแทบไม่มีเหตุจูงใจอะไรเลยนอกจากการฆ่าเพื่อชิงทรัพย์”

     

     

    “...”

     

     

    “ส่วนอีกแปดสิบเปอร์เซ็นต์ หนึ่งในพวกคุณสามคน... ใครสักคนที่เป็นฆาตกร”

     

     

     

     

     

    *

     

     

     

     

     

    ปาร์คชานยอลถูกตัดสินให้เป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งเพราะความเป็นไปได้และเหตุจูงใจ เขาถูกคุมตัวไว้ในขณะที่ผมและจงอินได้รับปล่อยตัวออกมา ถึงนึกเป็นห่วงเพื่อนจับใจ แต่ผมก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร

     

     

    ผมเชื่อว่าชานยอลไม่ได้เป็นคนทำ... แต่ก็ไม่เต็มร้อยนัก ด้วยจนต่อสภาพแวดล้อมและแรงจูงใจอย่างที่ตำรวจว่า

     

     

    ไม่มีใครคิดว่าแคมป์สนุกๆ ของเราจะเปลี่ยนทุกอย่างไปตลอดกาล

     

     

     

     

     

    *

     

     

     

     

     

    ผมมาค้างกับจงอินตั้งแต่เมื่อวานและคงจะอยู่ยาว แม่ของเขาตรอมใจจนป่วยหนักอยู่ที่โรงพยาบาล จงอินคอยไปนอนเฝ้าคุณนายคิมบ้างบางคืน แต่บางคืนก็กลับมานอนที่บ้าน ช่วงนี้สภาพจิตใจของเขาอ่อนแอจนผมไม่วางใจที่จะให้อยู่ตามลำพัง ฝาแฝดตายไปทั้งคน เป็นใครก็คงรู้สึกแย่กันทั้งนั้น

     

     

    เรากินมื้อค่ำกันกลางดึกหลังกลับมาจากโรงพยาบาล ผมคิดว่าจงอินเป็นคนเข้มแข็งเพราะเขามีสติและจัดการกับทุกเรื่องได้อย่างน่าชื่นชม แต่ถึงอย่างนั้นดวงหน้าที่ผมชอบมองกลับหมองคล้ำ อาจเพราะความเครียดที่สุมอกจึงทำให้เขาแปลกๆ ไปบ้างในบางที

     

     

    “อิ่มแล้วหรือ”

     

     

    จงอินเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าผมวางช้อนส้อมลงทั้งที่เพิ่งกินไปได้แค่ครึ่งเดียว ผมเป็นห่วงเขาจับใจ เราเพิ่งได้กลับมาใกล้ชิดกันไม่นาน ก่อนหน้านี้เหมือนต่างคนต่างอยู่ ต่างจมปลักอยู่ในความคิดของตัวเอง “ฉันเป็นห่วง ดูนายสิ ผอมลงไปขนาดไหนแล้ว”

     

     

    เขาหัวเราะเบาๆ ขัดกับใบหน้าที่หมองเศร้า “เซฮุนก็เหมือนกัน เศร้ามากหรือ”

     

     

    เขาลุกเดินมาประคองใบหน้าของผมไว้ด้วยสองมือ ก่อนจะโน้มตัวลงกอดผมแน่น ปกติจงอินไม่ใช่คนที่ช่างออดอ้อนเว้นเสียแต่ตอนอยู่บนเตียง “จะว่าไม่เศร้าก็คงไม่ได้ แฝดของนายตายไปทั้งคนนี่”

     

     

    เขากอดผมแน่นขึ้น นานแล้วที่เราไม่ได้ใกล้ชิดกันเช่นนี้

     

     

    “รู้ไหม ฉันให้เซฮุนได้ทุกอย่างเลย”

     

     

    “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงพูดแบบนี้” ผมถามกลั้วหัวเราะ เขาผละออกจากลาดไหล่ผมแล้วมองตอบด้วยแววตาที่ต่างไปจากทุกที

     

     

    “ฉันอยากพูดแบบนี้มานานแล้ว... ตอนที่มีแค่เราสองคน”

     

     

    ผมยิ้มรับถ้อยคำหวานที่เขาเอ่ยออกมา หาได้ยากจริงๆ ที่จงอินจะพูดเช่นนี้ นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมนัก แต่ผมรู้สึกชอบทุกอย่างที่เป็นจงอินจริงๆ

     

     

    ตั้งแต่แรกพบ ผมหลงรักรอยยิ้มของเขา -- รอยยิ้มบางๆ ที่ยิ่งทำให้ริมฝีปากอิ่มน่าจูบกว่าเคย

     

     

     

     

     

    ผมชะงักไป

     

     

    ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ? ที่คิมจงอินยิ้มเห็นฟันให้ผมทุกครั้งหลังจบประโยค

     

     

     

     

    F I N I S H .

     

     

     

    ----

     

    สุขสันต์วันฮาโลวีนค่ะ :-)

    อ่านแล้วงงกันไหมคะ ฮ่าๆ หวังว่าจะไม่งงนะ

    จบแบบปลายเปิดนิดๆ ลองตีความกันได้ตามสนุกเลยนะคะ

    ชอบไม่ชอบอย่างไร คอมเมนต์หรือติดแท็กเป็นกำลังใจให้กันบ้างนะคะ

    #oharhafic








    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×