ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (END) 두근두근 ♡ HEARTBEAT | chanbaek hanhun

    ลำดับตอนที่ #24 : ` ( 두근두근 ♡ 22 )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.38K
      12
      10 ธ.ค. 57









        


     


     

     

     

    รองเท้าผ้าใบสีขาวก้าวไวๆไปตามขั้นบันได แดดในตอนเช้าเพิ่งทอแสง มันลอดมาตามช่องโหว่แคบๆของผนังอาคารจนกระทบเข้ากับขั้นบันไดราวกับเส้นแสงซิกแซ็ก นี่ก็ปาเข้าไปหกโมงครึ่งแล้ว มีหวังต้องถูกโค้ชด่ายกใหญ่ถ้าเขาไปถึงสนามช้าในอีกห้านาที แต่ก็ช่างปะไรล่ะ ถ้าไหนๆก็ต้องถูกตำหนิแล้วขอเวลาอีกหน่อยจะเป็นไรกัน


     

    มือเรียวของลู่หานเลื่อนบานประตูห้องเรียนเปิดออกทั้งที่เห็นผ่านช่องกระจกแคบๆแล้วว่าข้างในนั้นว่างเปล่า เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้งั่งไปชั่วขณะ ทั้งที่ภายในหัวก็ร่ำถามว่าทำบ้าอะไรอยู่


     

    อ๋อใช่... ทำบ้า... ทำอะไรบ้าๆ


     

    ผ่อนลมหายใจระบายความเหนื่อยล้าแล้วจึงก้าวอาดๆไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะเรียนช่วงกลางห้อง ข้างๆกันนั้นคือที่นั่งที่ลู่หานไม่ได้นั่งมันมาถึงเดือนกว่า และนี่... ที่ของโอเซฮุน แต่ว่าเจ้าตัวยังไม่มา


     

    ก็นั่นสิ เช้าขนาดนี้จะรีบมาโรงเรียนหาพระแสงอะไร


     

    แค่นหัวเราะแล้วพาร่างผอมโปร่งเดินออกจากห้องพร้อมกระเป๋ากีฬาสะพายเฉียงสีดำ ลู่หานเดินกลับไปทางเดิม เหยียบบันไดขั้นเดิมย้อนลงไป จนกระทั่งเห็นสนามหญ้ากว้างเจ็ดสิบหลาซึ่งมีนักกีฬาภายในชมรมกำลังซ้อมกันอย่างขมักเขม้นแล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย


     

    “อรุณสวัสดิ์ครับ” พอโค้ชอ้าปากจะพูด เขาก็รีบยกมือห้ามพลางยกยิ้มหน้าทะเล้น “ซ้อมกันเถอะครับ เดี๋ยวนักเรียนมากันเยอะแล้วจะไม่มีสมาธิ”


     

    แน่นอนว่ามันได้ผล มีเวลาให้อบรมเจ้าดาวซัลโวตัวแสบนี่อีกหลายยก


     

    ชมรมฟุตบอลยังไม่หมดภาระหน้าที่ตราบใดที่ยังไม่หมดฤดูการแข่ง ยังเหลือรายการแข่งขันอีกประมาณสองนัดกินเวลายาวไปจนถึงเดือนหน้า หลังจากการเข้าค่ายฤดูร้อนพวกเขาก็ตื่นเช้าจนชินแล้ว พักหลังๆนี่ลู่หานได้สูดอากาศตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่างด้วยซ้ำ


     

    มองเจ้าลูกกลมๆสีขาวดำตรงหน้าแล้วค่อยๆขยับร่างกายเป็นการวอร์มอัพอีกเล็กน้อย แน่นอนว่านัดเมื่อสัปดาห์ก่อนเขาทำได้ดี แต่น่าผิดหวังที่แมวมองจากมหาวิทยาลัยกีฬายังไม่ได้ตัดสินใจเดินเข้ามาหา แต่ก็อย่างว่า ฟอร์มดีก็คงคล้ายๆกับฟลุ้คชนะล่ะมั้ง


     

    “เตรียมรับให้ดี”


     

    ใช้นิ้วถูสมูกสองสามทีพลางถอยหลังไปสองก้าว แล้วก็พุ่งตัวไปข้างหน้าเพื่อส่งลูกหนังให้เดินทางหาตาข่ายแพใหญ่โดยไม่ทันได้ผ่านมือใคร




     

    ชีวิตของลู่หานเคยมีแต่ฟุตบอล


     

    น่าหงุดหงิดชะมัด... ถ้าต้องคิดถึงใครเพิ่มขึ้นมาอีกคน

     

     










     

     

     

     

     

    ถ้าเจ้าเครื่องมือสื่อสารนี่เป็นปลากัด ก็น่ากลัวว่ามันจะท้องแล้วให้ชานยอลเป็นพ่อ


     

    มือใหญ่ใส่มันลงกระเป๋ากางเกงแล้วมองนาฬิกาข้อมือทรงสปอร์ตสีดำ วันนี้ร่างผอมสูงในกระจกดูเก้ๆกังๆอย่างบอกไม่ถูก มันดูเหมือน... เอาเถอะ อย่าพยายามหาอะไรมาเปรียบเทียบให้ตื่นเต้นมากไปกว่านี้เลย ไปใส่รองเท้า แล้วออกไปจากห้องนี้ได้แล้ว


     

    ชื่อที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่ได้ขาด ปาร์คชานยอลเหมือนคนที่เพิ่งมีความรักครั้งแรก แต่ก็นั่นแหละ บรรดาแฟนเก่าจำนวนหยิบมือของเขาก็ไม่เคยมีเด็กผู้ชายน่ารักๆแบบแบคฮยอนมาเป็นกรณีศึกษาสักหน่อย


     

    นึกถึงดวงหน้าขาวๆติดจะขี้อายนั่นขึ้นมาก็อดอมยิ้มไม่ได้ ทั้งที่นี่ก็ไม่ใช่การเปิดเทอมครั้งแรกในชีวิตสักหน่อย ทำไมถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้นะ เขาเห็นริ้วแดงๆบนแก้มในขณะที่ส่องกระจกซึ่งอยู่ภายในลิฟท์ ยังไม่ทันจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้ประตูลิฟท์ก็เปิดที่ชั้นต่อไป ชายหญิงวัยกลางคนในชุดพนักงานออฟฟิศก้าวเข้ามา เอาเป็นว่านี่คือช่วงทรมานที่สุดในรอบหลายวัน เพราะเขาต้องกลั้นยิ้มแทบตาย!


     

    ร่างสูงแวะร้านสะดวกซื้อก่อนจะหยิบเอาขนมปังไส้ช็อกโกแลตและ... และเขาไม่รู้น่ะสิว่าแบคฮยอนจะชอบกินรสอะไรที่สุด ตอนนี้รู้แค่ชอบดื่มนมรสเมล่อน เพราะอย่างนั้นจึงเดินไปหยิบนมรสเมล่อนกับรสช็อกโกแล็ตไซส์จัมโบ้มาอย่างละกล่อง แล้วก็จบด้วยการยืนถือทุกอย่างหน้าชั้นวางขนมปังเหมือนเดิม ถ้าในร้านสะดวกซื้อทีพุงออปังก็คงจะง่ายกว่านี้


     

    ท้ายสุดแล้วชานยอลก็เลือกหยิบเป็นขนมปังไส้ครีมอีกอัน เลือกกลางๆไว้ก่อนแบบนี้แหละดี ไว้ค่อยถามว่าแบคฮยอนชอบอะไรเป็นพิเศษก็แล้วกัน หรือถ้ากินข้าวเช้ามาจากที่บ้านแล้ว ไว้กินกับระหว่างเปลี่ยนคาบเรียนรองท้องก็ยังได้


     

    เขาไม่เคยตื่นไปโรงเรียนเช้าอย่างนี้มาก่อน กะๆดูแล้วหลังลงจากรถประจำทางก็คงใกล้เวลาแบคฮยอนออกจากบ้านพอดี




     

    ที่ทำอยู่แบบนี้น่ะ... เหมือนแฟนเลยแฮะ (หน้าแดง)

     

     










     

     

     

     

     

    “กินเยอะๆสิลูก จะรีบอะไรขนาดนั้น”


     

    “อ่า...” ได้แต่อมยิ้มเก้อๆเมื่อถูกคนเป็นแม่ดุเสียงเขียวมาแบบนั้น บยอนแบคฮยอนค่อยๆทิ้งตัวนั่งลงจนก้นติดเก้าอี้ มือก็ถือชามยื่นไปข้างหน้าเพื่อให้คุณนายบยอนตักข้าวเติมเพิ่มอีกสักครึ่งทัพที


     

    “สงสัยจะอยากรีบไปเจอเพื่อนๆที่โรงเรียน” คุณบยอนหัวเราะร่า เสียงทุ้มๆนั้นว่าราวกับนี่เป็นเรื่องน่ารักๆอย่างหนึ่งในชีวิตวัยรุ่นเท่าที่จำความได้ แต่พ่อก็พูดถูกนั่นแหละ เปิดเทอมสามครั้งที่แล้วแบคฮยอนไม่เคยกระตือรือร้นเท่านี้ นั่นเพราะเขาไม่มีใคร


     

    แต่พอคิดว่าวันนี้จะได้เจอหน้าลู่หานกับเซฮุน อาจจะมีการเปลี่ยนที่นั่งมาอยู่ใกล้ๆกัน แล้วชานยอลก็เดินยิ้มทักทายเข้ามาจากทางประตูห้อง


     

    แค่นั้นก็...


     

    “โอ๊ะ” เสียงออดดังจากหน้าบ้านเรียกให้คุณนายบยอนผุดลุกจากที่นั่งทันที “ใครมาซะเช้าป่านนี้นะ”


     

    “แม่ครับ!” ร่างเล็กรีบหยัดตัวลุกขึ้น หัวใจเต้นระส่ำขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเพียงแค่พ่อกับแม่แสดงทีท่าว่าคงไม่ได้มีใครมีธุระด้วย เช่นนั้นแล้วตัวเลือกในใจแบคฮยอนก็มีอยู่คนเดียว พอคิดได้อย่างนั้นหัวใจก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นอีก “เดี๋ยวผมไปดูเองครับ”


     

    “ลูกน่ะนั่งทานข้าวไปเลย” หล่อนว่า แล้วก็เดินสวนออกไปโดยทิ้งให้ลูกชายต้องก้มหน้าก้มตากินข้าวเพราะต้องการหลบใบหน้าแดงๆให้พ้นจากสายตาผู้เป็นพ่อ ถึงแม้คุณบยอนจะไม่ได้กำลังสนใจอะไรนอกจากซุปร้อนๆในถ้วยก็เถอะ


     

    “แบคฮยอน!


     

    นั่นไง


     

    “มีเพื่อนมาหาจ้ะ”


     

    รีบลุกจากเก้าอี้แล้วเดินเร็วๆไปทางหน้าบ้านทันที ระหว่างทางก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของแม่กำลังพูดคุยกับผู้มาเยือนเป็นทำนองว่า เป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เจอกันเสียนาน นั่นสินะ ก็ชานยอลน่ะไม่ได้มาบ้านเขาเลยตั้งแต่ตอนติวหนังสือก่อนสอบครั้งนั้นนี่นา


     

    ยิ่งใกล้เสียงเข้าไปแบคฮยอนก็ยิ่งเดินช้าลง อ่าใช่... เขาตื่นเต้น


     

    แล้วทำไมพอคิดว่าจะได้เจอเจ้าของร่างสูงโปร่งนั่นแล้วต้องรู้สึกเขินขนาดนี้ด้วยนะ


     

    “พอดีเลย ทานข้าวเช้าด้วยกันก่อนนะ” พอหันไปเห็นลูกชายมาถึงหล่อนก็รีบพาตัวเองไปยังห้องกินข้าวเพื่อจัดเตรียมสำรับเพิ่มอีกหนึ่งชุดหลังจากแขกพยักหน้ารับ ส่วนทางนี้ก็ให้เพื่อนเขาคุยกับไปก่อนคงไม่เป็นไร


     

    แต่ว่า...




     

    “....”


     

    แบคฮยอนตัวแข็งทื่อ


     

    “อรุณสวัสดิ์ในรอบเกือบสองปี” เสียงทุ้มพูดกับเขา รวมถึงชุดสูทสีน้ำเงินที่มีตราโรงเรียนเหมือนกับอกข้างซ้ายของเขานั่นอีก “แบคฮยอน”


     

    “....” ร่างเล็กถูกเข้ามากอดคออย่างหลวมๆ คนสูงกว่าพาตัวเขาให้หมุนกลับไปทางเดิมด้วยกัน ดูผ่อนคลายเสียจนไม่เหมือนใครสักคนที่เคยหนีหายไปพร้อมกับความสุขทั้งหมดของบยอนแบคฮยอน นั่นแหละ มันเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน


     

    อีกฝ่ายไม่ได้สนใจว่าเขากำลังทำหน้ายังไง


     

    “รีบกินข้าวเช้าแล้วรีบไปโรงเรียนดีกว่า”


     

    “....”


     

    “คิดถึงฝีมือแม่นายจะแย่แล้ว”

     

     

     










     

     

     

     

    “ไปแล้วเหรอครับ?”


     

    อยู่ๆก็รู้สึกว่าถึงจากร้านสะดวกซื้อในมือมันหนักขึ้นมาเสียอย่างนั้น ปาร์คชานยอลยกข้อมือขึ้นดูหน้าปัดนาฬิกาเรือนโปรด นี่เพิ่งหกโมงสี่สิบนาทีเท่านั้นเอง อุตส่าห์คิดว่ามาเร็วแล้วเชียว


     

    “ออกไปได้สักพักแล้วล่ะจ้ะ นัดกันไว้เหรอชานยอล” คุณนายมีสีหน้างุนงงไม่น้อย พอเห็นอย่างนั้นชายหนุ่มก็ได้แต่ยิ้มแหยๆแล้วตอบไปว่า เปล่าครับ


     

    ร่างสูงหันหลังเดินออกมาจากบ้านบยอน ทอดน่องกลับไปตามทางเดินลาดชันสู่ถนนใหญ่ ลมเย็นต้นฤดูใบไม้ร่วงไม่ได้ทำให้เช้านี้ร้อนจนหงุดหงิดนัก แถมแดดที่ส่องลงมาก็ไม่ได้แรงเหมือนกันตอนสายๆ


     

    จากตรงนี้ถ้าเดินไปโรงเรียนก็ราวๆสิบห้านาที บ้านแบคฮยอนอยู่ใกล้โรงเรียนกว่าเขามาก รู้สึกเสียดายที่ชั่งใจไม่ยอมโทรมานัดแนะกันล่วงหน้าก่อน แต่ก็ช่างเถอะ พอคิดว่าจะได้เจอกันที่โรงเรียนแค่นั้นชานยอลก็ยิ้มได้แล้ว

     







     

     

     

    ไม่รู้ว่าเขารีบเดินหรือระยะทางในเช้าวันนี้มันร่นใกล้เข้ามากันแน่ ประตูโรงเรียนนั่นทำให้ปาร์คชานยอลรู้สึกคิดถึงชะมัดเลย มือใหญ่กระชับสายสะพายเป้แล้ววกถุงร้านสะดวกซื้อไปอยู่อีกข้างก่อนจะก้มศีรษะทำความเคารพครูเวรตอนเช้า สนามหญ้าทางด้านขวามือกำลังถูกครอบครองโดยชมรมฟุตบอล แล้วก็นั่นไง มนุษย์ที่ชื่อลู่หานกำลังใช้เท้าหวดลูกฟุตบอลเข้าโกลเป็นบ้าเป็นหลัง


     

    นึกๆดูแล้วเขาก็อิจฉาหมอนั่นหน่อยๆที่พกเอาความสามารถและความมั่นใจจากบ้านเกิดเข้ามาเรียนถึงในโซลเพียงเพราะกีฬาฟุตบอลที่เป็นความฝันสูงสุด ถ้าเป็นเขาล่ะก็ป่านนี้คงได้แต่เตะมันเล่นๆกับเพื่อนในโรงเรียน ตกเย็นก็กลับไปหวดดาบไม้ที่โรงฝึกในบ้านต่อตามคำสั่งพ่ออย่างไม่ต้องสงสัย


     

    จะว่าไปนับตั้งแต่ลงชื่อเข้าชมรมวัยรุ่นช่วยวัยรุ่น (ขอสาบานอีกทีว่ามีอยู่จริง) ปาร์คชานยอลก็ไม่เคยต้องเหยียบเท้าเข้าไปอีกเลย ในนั้นน่ะ ส่วนใหญ่ก็มีแต่พวกที่ไม่รู้ว่าจะไปเข้าชมรมอะไรมารวมตัวกันทั้งนั้น ผลคือระบบร่วมด้วยช่วยกันเซ็นให้ผ่านงานกิจกรรมไปโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเยอะแยะเหมือนกับชมรมอื่นๆยังไงล่ะ


     

    แต่ก็เห็นว่าเทอมนี้จะพยายามจริงจังกันให้มากขึ้น รองประธานชมรม อีจงซอก ปีสองห้องเอบอกมาว่าอย่างนั้น


     

    พอลู่หานหันมาเห็นร่างผอมก็โบกมือเย้วๆให้เขาไปตามประสา ชานยอลโบกมือตอบ เขาหัวเราะน้อยๆแล้วจึงพาตัวเองเดินเข้าไปภายในอาคาร หยุดอยู่ตรงหน้าล็อกเกอร์เช่นเดียวกับนักเรียนคนอื่นๆ ก่อนจะค่อยๆถอดรองเท้าสนีกเกอร์เข้าไปไว้ในตู้แทนที่รองเท้าผ้าใบแบบบางสำหรับใส่ในอาคารซึ่งถูกหยิบออกมา


     

    ตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆเจ็ดโมง ซึ่งก็จัดว่าเช้าพอดูถ้าเทียบกับจำนวนรักเรียนในโรงเรียนที่ยังบางตาและกระจัดกระจายอยู่ตามส่วนต่างๆ ป่านนี้แบคฮยอนคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง และถ้าไม่ได้จะมีการจับสลากที่นั่งกันใหม่ (ซึ่งคงไม่) คนตัวเล็กก็คงยังนั่งอยู่ตรงที่นั่งติดหน้าต่างติดกับแปลงดอกไม้หลังโรงเรียนนั่นแน่ๆ


     

    “....!


     

    “....!


     

    ร่างสูงชะงักค้างอยู่ตรงบันไดทันทีที่เห็นใครอีกคนกำลังเดินสวนลงมากับเพื่อนอีกคน แน่ล่ะว่าคนตรงหน้าเขาก็มีท่าทางแบบเดียวกันไม่มีผิด


     

    ปาร์คจียอนยิ้มทักทายให้เขาแบบขอไปที สีหน้านั้นดูไม่สู้ดีนัก ดูเหมือนว่าเธอจะทำสีผมมาใหม่ให้มันดูเข้มขึ้น ถึงอย่างนั้นลักษระการแต่งหน้าอ่อนๆหรืออย่างอื่นๆก็เหมือนกับเมื่อตอนก่อนปิดเทอมไม่ผิดเพี้ยน


     

    “จียอน”


     

    อยากจะตบปากตัวเองชะมัดที่ร้องเรียกออกไปแบบนั้น เด็กสาวเหมือนคนที่พร้อมจะหยุดได้ทุกเมื่อถ้าถูกเขาร้องเรียก ตอนนี้เธอยืนอยู่ตรงที่ว่างระหว่างชั้นและยังบอกให้เพื่อนสาวนำลงไปชั้นล่างก่อน การพูดคุยของทั้งคู่ไม่ควรจะให้คนอื่นมาได้ยินสักเท่าไรนัก


     

    “อรุณสวัสดิ์” จียอนยอมเปิดปากพูด ดูได้ยากว่าอยากหรือไม่อยากคุยกับเขากันแน่


     

    “อรุณสวัสดิ์”


     

    หลังจากเอ่ยทักทายกันแล้วทั้งคู่ก็เก้ๆกังๆอย่างคนที่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ หากแต่ใช้เวลาลังเลอีกหน่อย ชานยอลก็คิดว่าเขาควรพูดในสิ่งที่สมควรพูดมานานแล้วออกไป มีโอกาสไม่บ่อยนักสำหรับการผู้หญิงซึ่งคนทั้งโรงเรียนให้ความสนใจอย่างปาร์คจียอนจะสามารถยืนคุยกับเขาได้ตามลำพังสองคน


     

    “เรื่องที่โรงหนังวันนั้น ต้องขอโทษอีกทีนะ”


     

    ใช่... หลังจากนั้นจียอนก็ทำตัวเหมือนเป็นคนแปลกหน้าไม่มีผิด เธอเลี่ยงทุกทางเท่าที่จะเลี่ยงเข้าได้ มันรู้สึกไม่ดีนักหรอกถ้ามีใครสักคนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากหลบหน้าเขาแค่ไหน


     

    เธอยอมเบี่ยงตัวกลับมายืนประจันหน้ากับเขาตรงๆ ริมฝีปากได้รูปหยักยกน้อยๆเป็นรอยยิ้ม ดูได้ยากว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาเป็นไปในแง่ไหน


     

    “ช่างมันเถอะ ยังไงก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว” เธอพูด “แต่ก็ขอบคุณชานยอลนะที่ชัดเจนขนาดนั้น ฉันเลยทำใจได้ไวกว่าที่คิดเยอะเลยล่ะ”


     

    ได้ยินอย่างนั้นชายหนุ่มจึงยิ้มออกมาได้ มาคิดๆดูแล้วเขาก็คงใจร้ายเกินไปสักหน่อยสำหรับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง กลับเข้าสู่สถานการณ์ที่ทั้งคู่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ จนกระทั่งปาร์คจียอนยอมฮุคหมัดตรงในสิ่งที่เธออยากรู้มาตลอด


     

    “แล้วได้บอกไปหรือยัง... คนที่ชานยอลชอบน่ะ”


     

    ถ้ายังล่ะก็...


     

    “อ่า...” มือใหญ่ยกขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ นึกไม่ถึงสักเท่าไหร่ว่าจะโดนถามแบบนี้ “บอกแล้วล่ะ”


     

    เขาคิดว่าเธอคงหน้าบึ้งตึงแล้วเดินหนีไปแน่ๆ แต่ผิดคาดว่าจียอนแค่ยิ้มออกมาอีกครั้ง เรียวแขนยกขึ้นกอดอกจนมองเห็นแค่แขนเสื้อสเวทเตอร์สีครีม


     

    “ดีแล้วล่ะ”


     

    “....”


     

    “แบคฮยอนน่ะท่าจะเข้าใจเรื่องแบบนี้ยาก”


     

    “หา?” ริ้วแดงปรากฏขึ้นบนหน้าจนลามไปถึงใบหูทันทีที่ได้ยินเด็กสาวพูดชื่อของใครอีกคนออกมาหน้าตาเฉย นั่นทำให้จียอนหัวเราะ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากโบกมือบ๊ายบายแล้ววิ่งตามเพื่อนสาวลงไปข้างล่าง


     

    ชานยอลไม่เห็นรู้เลยว่าจียอนรู้...


     

    “....”


     

    ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งกับขั้นบันได มือใหญ่ที่เคยอยู่ตรงท้ายทอยเลื่อนมาปิดริมฝีปากเอาไว้ หวังว่าที่ผ่านมาเขาคงไม่ได้ประเจิดประเจ้อเกินไปหรอกนะ


     

    ทั้งที่ยังไม่ได้บอกใครเลยสักคนแท้ๆ ดูออกกันหมดเลย








     

     

     

     

     

     

     

    “เอาเป็นว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อน ครั้งหน้าเป็นนัดสุดท้ายของโปรแกรมนี้แล้ว ถ้าทำผลงานได้ดีล่ะก็สามารถใช้เป็นพอร์ตสมัครโควต้ามหาลัยได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นจากนี้ไปก็อยากให้ตั้งใจซ้อมกันมากๆ”


     

    เสียงของโค้ชวัยกลางคนเร่าจะหนีออกทางหูขวาของลู่หานอยู่รอมร่อ เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีสมาธิเลยสักนิด เพียงแค่เห็นว่าใครบางคนเดินพ้นประตูโรงเรียนเข้ามาเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน เรือนผมสีน้ำตาลมะฮอกกานียาวเสียจนต้องปัดหน้าม้าเป็นทรงแสก นอกนั้นถ้าเทียบกันในระยะเวลาเกือบเดือนแล้ว ลู่หานก็คิดว่าความเปลี่ยนแปลงของโอเซฮุนนั้นพอรับได้


     

    เสียงเพื่อนร่วมทีมที่พากันแยกย้ายไปล้างเนื้อตัวในห้องชมรมเป็นเหมือนเสียงสวรรค์ แต่แล้วร่างผอมก็คล้ายจะถูกถีบตกลงมาตามลำพังเมื่อเสียงทุ้มใหญ่เอ่ยเรียก “ลู่หาน!


     

    “ครับ” ชายหนุ่มตอบรับแม้ว่าใจจะไม่อยากละสายตาจากร่างผอมโปร่งข้างสนามแม้แต่วินาทีเดียว ถึงอย่างนั้นมันก็ทำได้ยาก


     

    “มานั่งคุยกันหน่อยซิ”


     

    ลู่หานส่งเสียงโอดครวญทั้งที่มือยังแสร้งกุมท้อง “เดี๋ยวค่อยคุยได้ไหมครับ ผมค่อนข้าง --


     

    “มานั่งตรงนี้” พอถูกออกคำสั่งก็อดปั้นหน้างอง้ำเกินจริงไม่ได้ โอเค เขาให้เวลาโค้ชแค่ครึ่งนาที หลังจากนั้นก็รีบวิ่งไปหาโอเซฮุนมันทั้งๆกลิ่นเหงื่อนี่แหละ ถ้าไม่ได้เคลียร์มีหวังคงนอนตายตาไม่หลับแน่


     

    ไอ้เรื่องงอนน่ะก็ยังงอนอยู่ แต่ไม่เอาแบบนี้หรอก


     

    เขาเดินไปนั่งข้างๆโค้ช ตาสลับมองระหว่างไรหนวดสีเทาเข้มและเป้าหมายตัวจริงซึ่งกำลังจะเดินหายเข้าไปในอาคารเรียน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องรีบนักในเมื่อแปดโมงตรงก็คงได้นั่งเรียนข้างกันอยู่แล้ว แต่ก็นั่นแหละ...


     

    “เรื่องการแข่งนัดนี้ เธอรู้ใช่ไหมว่ามันสำคัญแค่ไหน” พอเสียงของโค้ชจริงจังขึ้นมา ลู่หานก็จำต้องหลุบสายตาหนีจากเรื่องฟุ้งซ่านและลำดับความสำคัญให้ได้ ครั้นพยักหน้าตอบกลับไปแล้วโค้ชถึงได้พูดต่อ “มีข่าวมาจากเพื่อนของฉันที่ทำงานอยู่ที่นั่นบอกว่าคนจากมหาลัยกีฬาจะมาดูการแข่งอีก”


     

    “....”


     

    “แล้วถ้าเธอทำได้ดี ครั้งนี้ต้องไปได้สวยแน่ๆ”


     

    รอยเหี่ยวย่นจากการฉีกยิ้มทำให้โค้ชดูอ่อนโยนกว่าเวลานัดซ้อมหลายเท่า อ่าใช่... ลู่หานคิดว่ามันดีมากๆ ไม่ใช่หน้าของโค้ชแต่เป็นโอกาสสำคัญที่จะทำตามความฝันต่างหาก การแข่งครั้งก่อนเขาทำผลงานโดดเด่นแทบตายแต่ได้แค่ยืนเก๊กเก้อ


     

    “ผมเข้าใจครับ แล้วก็จะพยายาม”


     

    “แต่?”


     

    “ครับ?” คิ้วหนาของอาจารย์ประจำวิชาพละซึ่งควบตำแหน่งโค้ชทีมฟุตบอลนั้นขมวดน้อยๆในตอนที่มองหน้าเขา ลู่หานไม่ได้มีอะไรจะพูด เพราะอย่างนั้นเขาถึงงุนงงนิดหน่อย


     

    “เธอดูไม่ค่อยมีสมาธินะ”


     

    ยังกับถูกอ่านใจออกเลย โค้ชทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วก็ลุกเดินจากไปทางอาคารเรียนเพื่อเตรียมการเรียนการสอนในช่วงเช้า ทิ้งไว้เพียงเด็กผู้ชายใจแตกคนหนึ่งซึ่งรู้สึกผิดขึ้นมาเพียงเพราะห้ามตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่านไม่ได้ขณะฟังความหวังดีของผู้ใหญ่


     

    ถึงอย่างนั้นลู่หานก็รีบพาตัวเองวิ่งไปทางอาคารเรียกทั้งเหงื่อชุ่มๆจากการซ้อม อ้อใช่ เขามียางอายมากพอถึงได้พยายามหลบหลีกไม่ฉียดเข้าใกล้ใครเกินระยะสองเมตร ใจก็ลุ้นว่าโอเซฮุนจะขึ้นอาคารเรียนไปหรือยัง คำขอของเขาได้ผลเมื่อคนที่ถูกมองหายืนอยู่บริเวณล็อกเกอร์ทางด้านขวา แต่พอขยับตัวตามไปเพื่อให้เห็นชัดขึ้นหน่อย ลู่หานก็คิดว่าตัวเองคงเจอเมดูซ่าเข้าแล้วจริงๆร่างเขาถึงได้แข็งเป็นหินอย่างนี้


     

    เซฮุนจับมืออยู่กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งผิดวิสัยของหมอนั่น และรอบข้างก็เต็มไปด้วยเสียงซุบซิบนินทามากมาย


     

    “ยัยนั่นชื่อคิมดานี”


     

    เด็กสาวใกล้ๆเขาพูด มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับการที่หมอนั่นยอมทำอะไรประเจิดประเจ้อและโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีตัวเองเป็นจุดเด่น แต่ก็นั่นแหละ มันเกิดขึ้นแล้ว แล้วก็ทำให้คนมองอย่างเขารู้สึกหงุดหงิดเสียจนต้องพาตัวเองออกมาจากตรงนั้นก่อนโอเซฮุนจะหันมาเห็น




     

    ไม่ต้องสืบแล้วว่าที่แบคฮยอนพูดเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน


     

    ในเมื่อโอเซฮุนเลือกทำแบบนั้นจริงๆ

     

     










     

     

     

     

     

    ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆเพียงแค่คิดว่าจะได้เจอบยอนแบคฮยอนในชุดนักเรียนเป็นครั้งแรกหลังจากอะไรๆเปลี่ยนไป จะทักทายกันด้วยรอยยิ้มแบบไหน จะนั่งข้างกันตรงมุมที่มองเห็นแปลงดอกไม้เหมือนเดิมหรือเปล่า แล้วแบคฮยอนจะเป็นยังไงบ้าง ผอมลง อ้วนขึ้น หรือว่าตัดผมมาใหม่


     

    บ้าไปแล้วปาร์คชานยอล เพิ่งไม่เจอกันแค่สัปดาห์เดียวเองไม่ใช่หรือไง


     

    วันนี้ห้องเรียนครึกครื้นแต่เช้า มีเพื่อนห้องอื่นรวมถึงคนที่เขาไม่คุ้นหน้าคุ้นตายืนหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่แถวระเบียงหน้าห้อง ชานยอลไม่ได้สนใจนัก เป้าหมายของเขาคือแบคฮยอน และนั่น... คนตัวเล็กเลือกนั่งที่เดิมเหมือนเมื่อเทอมที่แล้วไม่มีผิด


     

    เรียวขายาวก้าวเข้าไปเนิบนาบ คนถูกมองยังไม่มีทีท่าว่าจะหันมาเห็นผู้มาใหม่ในตอนนี้ ตาเรียวรีทอดมองแปลงดอกไม้ บนโต๊ะไม่มีหนังสือนิยายฆาตกรรม แต่แทนที่จะโล่งตากว่าเคย กลับกลายเป็นว่าชานยอลดันรู้สึกแปลกๆขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาพยายามมองหาสิ่งผิดปกติ อ้อแน่ล่ะ แบคฮยอนไม่ได้ตัดผมใหม่ เพราะงั้นตัดไปได้เลย


     

    “อะ --" ริมฝีปากบางเผยอน้อยๆในตอนที่เจ้าตัวชะงักหลังจากหันมาเห็นใครอีกคน ชานยอลก็แค่ยิ้มโง่ๆ และเขาก็คาดการณ์ผิดอีกที่คิดว่าแบคฮยอนคงยิ้มกว้างเสียจนทำให้รู้สึกว่านี่เป็นโลกแห่งกลิตเตอร์แน่ๆ “อรุณสวัสดิ์”


     

    “อรุณสวัสดิ์”


     

    กลับกันร่างเล็กเพียงยิ้มอย่างที่ดูออกได้ง่ายที่สุดว่ากำลังฝืน แล้วนั่นก็คือความผิดปกติแรกก่อนจะหันไปเห็นความผิดปกติข้อที่สองหลังจากถอดกระเป๋าออกจากไหล่เพื่อแขวนเข้ากับเก้าอี้ตัวข้างๆ ร่างสูงชะงักไปเล็กน้อย จับจ้องเจ้าสิ่งที่อยู่ในกรอบสายตาด้วยความแปลกใจ


     

    “....”


     

    มันมีกระเป๋าของใครบางคนแขวนอยู่ก่อนแล้ว


     

    “คือ --


     

    เขาไม่ได้มองแบคฮยอนราวกับว่ากระเป๋าเป้สีน้ำตาลใบนี้มันน่ามองนักหนา รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้งั่งที่ได้แต่ยืนนิ่งเพียงเพราะสมองไม่สามารถประมวลสรุปเรื่องราวออกมาได้ทั้งที่มันง่ายแสนง่าย ให้ตายเถอะ ปาร์คชานยอลก็แค่งง... งงเรื่องอะไรก็ไม่รู้ล่ะ


     

    “ที่ตรงนี้...” ส่งเสียงซื่อบื้อถามออกไปอย่างนั้น อยากด่าความงี่เง่าของตัวเองเหลือเกินที่คิดว่านี่คือความผิดพลาด ใช่ ต้องผิดพลาดอะไรสักอย่างแน่ๆ “เซฮุนเปลี่ยนกระเป๋าเหรอ?” นี่คือตัวเลือกข้อแรกที่เขาอยากให้มันมีความเป็นไปได้สักร้อยเปอร์เซนต์จะได้ไม่ต้องเผื่อใจไปข้ออื่นๆอีก


     

    ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ทำไมต้องทำสีหน้าลำบากใจแบบนั้น ทำไมต้องหลบตากันแค่เพราะคำถามพรรค์นี้ด้วยล่ะ


     

    “....”


     

    “....”


     

    “ขอโทษ...”


     

    “....”


     

    แบคฮยอนหลุบสายตาลงต่ำ แค่บอกเขาว่านี่คือกระเป๋าใหม่ของเซฮุนก็พอไม่ใช่หรือไง ชานยอลไม่เข้าใจ... ไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว เช้านี้ชานยอลดูเหมือนคนเข้าใจอะไรยากและพร้อมจะตั้งข้อสงสัยเพียงแค่เพราะเห็นมดดำเดินไม่ตรงทางหรือไงกัน


     

    เขาพยายามฝืนยิ้ม ไม่แน่ใจว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่สำหรับคำว่างั่งในเช้านี้ แต่ก็นั่นแหละ ชานยอลคิดว่าเขาเป็นไอ้งั่ง ก่นด่าตัวเองที่ได้แต่ยืนบื้อทำอะไรไม่ถูกเพียงเพราะรู้ว่าที่ตรงนี้อาจไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว หรืออย่างน้อยถ้าแบคฮยอนพูดอะไรออกมาบ้างอย่างเช่นว่า --


     

    “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”


     

    เสียงฝีเท้าของใครบางคนหยุดลงไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก น่าหงุดหงิดสิ้นดีเพียงแค่คิดว่ามีใครสักคนเข้ามาแทรกบทสนทนา (เงียบๆ) ครั้งนี้ ถ้าโลกของปาร์คชานยอลมีแค่บยอนแบคฮยอนแล้วล่ะก็ เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรสำคัญไปกว่าโลกแตกและคนตรงหน้าอีก


     

    ชานยอลรู้สึกผิดที่เขาเกิดนึกพาลคนมาใหม่ขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ตากลมโตตวัดมองเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งในชุดสูทสีน้ำเงินเหมือนๆกัน คิ้วนั้นไม่ได้เลิกขึ้นฉายแววสงสัย แล้วดวงตาก็คล้ายกำลังยิ้มแทนปากที่เหยียดออกเล็กๆหลังจากพาตัวเองเข้ามาอยู่ในกรอบสายตาของคนตัวสูง ผู้ชายคนหน้าห้องเมื่อกี้? เขาจำได้ดีว่าหมอนี่ไม่ใช่คนที่เรียนด้วยกันเมื่อเทอมที่แล้วแน่ แล้วโรงเรียนนี้ก็ไม่ได้มีนโยบายแบ่งนักเรียนตามห้องใหม่ตราบใดที่นี่ยังเป็นเทอมสองในปีการศึกษาเดิม


     

    ร่างนั้นเดินสวนเขาไปหยุดอยู่หลังเก้าอี้ข้างแบคฮยอน จับมันให้เลื่อนออกก่อนทิ้งตัวนั่งลงไปแล้วให้แผ่นหลังพิงพนัก สองมือก็ยกขึ้นประสานบนโต๊ะราวกับว่านี่เป็นเช้าที่ผ่อนคลายที่สุด จากนั้นสองตาจึงยอมเบื่อนมาทางนี้อีกครั้ง




     

    “ขอโทษนะ”


     

    “....”


     

    “แต่ว่าตรงนี้น่ะ”


     

    “....”


     

    “เป็นที่ของฉันมาก่อน”




     

    ริมฝีปากหนาหยักยิ้มทั้งที่ดูรู้แก่ใจว่าสีหน้าของปาร์คชานยอลไม่สู้ดีนัก


     

    “มันอาจเป็นการเสียมารยาทไปสักหน่อย แต่ว่า”


     

    “....”


     

    “คงต้องรบกวนให้นายย้ายไปนั่งที่อื่น”


     

    “....”


     

    “คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”


     

    ใช่ เขาจะมีปัญหาอะไรได้อีกในเมื่อบยอนแบคฮยอนยังเอาแต่นั่งหลบตาทั้งยังทำหน้าเหมือนคนอยากร้องไห้ยังไงยังงั้น เขาไม่อยากเดามั่วซั่วด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร แต่ถึงอย่างนั้นชื่อแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวกลับทำเอาใจทั้งดวงบีบหากันแน่นจนอยู่ไม่สุข


     

    ควรตอบว่าอะไรล่ะ อ้อได้สิ สบายมาก


     

    บยอนแบคฮยอนเป็นอีกคนที่ทำตัวน้ำท่วมปาก ไหล่เล็กๆนั่นบ่งถึงความกระวนกระวายใจบางอย่าง ชานยอลไม่รู้ด้วยซำว่าเขาควรต้องรู้สึกยังไง รอแบคฮยอนออกปากบอกว่าให้ทำตามอย่างที่เจ้าที่คนก่อนว่างั้นเหรอ หรือจะแค่พูดว่าขอโทษเป็นครั้งที่สองกันล่ะ


     

    อ้อใช่ สีหน้าคนตัวเล็กในตอนนี้ไม่มีชอยส์มากไปกว่าสองข้อที่เขาคิดหรอก




     

    และยิ่งถ้าหมอนี่คือคิมจงอินแล้วล่ะก็




     

    “เข้าใจแล้ว” เด็กหนุ่มตัดบท เหวี่ยงเป้สีดำขึ้นสะพายบนไหล่กว้างก่อนจะกดเสียงต่ำเพื่อพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกมากมายซึ่งปะทุขึ้นมาเอาไว้ให้ได้ “สบายมาก”


     

    ร่างสูงแค่เดินออกมาจากตรงนั้น ทำตัวว่าง่ายอย่างที่ผู้ชายคนนั้นอยากให้เป็นโดยมองข้ามบยอนแบคฮยอนเข้าไว้ ครู่หนึ่งชานยอลหายไปจากห้อง แต่ก็กลับมาพร้อมกับโต๊ะเรียนในรอบแรกและเก้าอี้หลังจากเดินกลับมารอบที่สอง


     

    ที่นั่งใหม่ของปาร์คชานยอลตั้งอยู่ทางหลังสุดของห้องเพียงลำพัง เขาไม่สนหรอกว่าตอนนี้คนทั้งห้องกำลังมองด้วยสายตาแบบไหน และใช่ ที่ตรงนี้ก็เหมือนส่วนเกิน หมอนั่นแค่กลับมาทวงที่นั่งสุดท้ายในห้องนี้คืนไปก็เท่านั้น เขามองสบตากับแบคฮยอนซึ่งเอี้ยวตัวหันมามอง คนตัวเล็กทำอะไรไม่ถูก ไม่แม้แต่จะทักท้วงในตอนที่คนข้างๆประคองใบหน้าให้หันไปเพื่อใส่หูฟังให้ข้างหนึ่ง ตักตวงเอาความสนใจทุกอย่าง และครอบครองแบคฮยอนเอาไว้หลังจากนี้


     

    ชานยอลหงุดหงิดนิดหน่อย


     

    และเขาโกหก


     

    นี่เป็นความรู้สึกหงุดหงิดที่มากเสียจนชานยอลคิดว่าสามารถระเบิดมันออกได้แรงเสียกว่าที่เคยมีมาในครั้งไหนๆ มองแผ่นหลังของคนสองคนที่นั่งใกล้จนหัวไหล่ชนกัน เขาไม่รู้ว่าควรต้องโกรธแบคฮยอนหรือเปล่าที่ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างเป็นแบบนี้


     

    โกรธเรื่องอะไร? เพราะถ้าเป็นเขาก็คงไม่รู้จะพูดอะไรอย่างที่แบคฮยอนกำลังเป็นอยู่นั่นแหละ


     

    อึดอัดเกินกว่าจะพูดอะไรออกไปในตอนนี้

     

     

     

     










     

     

     

    ลู่หานโดดเรียนจนถึงคาบที่สามของวัน เขาไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่กับข้อเท็จจริงที่ได้รู้ในเช้านี้เรื่องที่ว่าตัวเองอกหักจนต่อไม่ติด อ้อ แล้วหมอนั่นกล้าดียังไงล่ะ! โอเซฮุนกล้าดียังไงถึงได้ทำแบบนี้ทั้งที่ยังไม่ได้เคลียร์กันมาตั้งหลายสัปดาห์ เขาคิดไปเองคนเดียวอีกหรือไงล่ะ ก็เปล่า! ถ้าอีกคนไม่มีใจแล้วเขาจะหน้าด้านตีเนียนมาจนถึงปิดเทอมนี้ได้ยังไงเล่า


     

    พ่นควันสีเทาให้ลอยเล่นกับอากาศตัดสีท้องฟ้า ลมเย็นหวีดหวิวเป็นสัญญาณว่าฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว แล้วแผนที่ว่าจะไปดูต้นคริสมาสต์หรือว่านอนดูพลุบนดาดฟ้าตอนเคาท์ดาวน์ด้วยกันล่ะ มันต้องล่มทั้งอย่างนี้จริงๆน่ะเหรอ? แล้วถ้าเขียนจดหมายตัดพ้อไปใส่ไว้ใต้โต๊ะหมอนั่นจะเลิกกับแฟนแล้วมาง้อเขาบ้างไหม


     

    อืม... คงไม่


     

    เห็นแวบๆว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นก็น่ารักเรียบร้อยดี แล้วไปเจอกันอีหรอบไหนเซฮุนถึงได้ยอมตกลงเป็นแฟนด้วยกันล่ะ ไม่ใช่ว่าเป็นแบบสาวเจ้าคนก่อนๆที่มัดมือชกพ่อเสือซื่อจนสำเร็จหรอกนะ


     

    คิดถึงตรงนี้ภาพสองมือที่กุมกับต่อหน้ามวลมหาประชาชนก็ผุดขึ้นมาในความคิด ทำเอาร่างผอมต้องยีหัวตัวเองแรงๆแล้วอยากจะลงโทษเป็นการตบเข้าไปอีกทีหนึ่งให้รู้แล้วรู้รอด แต่เจ็บใจก็มากเกินพอแล้ว เพราะอย่างนั้นลู่หานจึงไม่ทำร้ายตัวเองอีก


     

    ก้าวอาดๆลงบันไดจากชั้นด้านฟ้าเข้ามาในตัวอาคาร กะเวลาแล้วว่าตอนนี้เป็นช่วงระหว่างเปลี่ยนคาบ มีโอกาสสูงมากทีเดียวในการที่จะไม่มีอาจารย์คนไหนมาคาดเค้นนักกีฬาโรงเรียนอย่างเขาว่าทำไมถึงได้มาเอาป่านนี้ ทางเดินด้านนอกห้องเรียนค่อนข้างเงียบและมีเพียงนักเรียนสองสามคนที่กำลังพากันไปเข้าห้องน้ำ แสงแดดจากหน้าต่างไม่ได้ทำให้รู้สึกร้อนเท่าไรนัก ว้าว เขาชอบฤดูใบไม้ร่วง


     

    ยืนล้วงกระเป๋ามองประตูห้องเรียนพลางใช้ความคิดสำหรับเรื่องในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า รู้สึกว่างปากจนอยากได้บุหรี่อีกสักตัวก่อนเข้าไปเจอโอเซฮุน ลู่หานไม่รู้ว่าควรต้องทำหน้ายังไง ไม่รู้แม้กระทั่งว่าการโกรธอย่างจริงจังนี่ควรเป็นสีหน้าแบบไหน อยากกัดลิ้นตายให้รู้แล้วรู้รอดจริงเชียว ใจคอกะจะไม่ใช่เล่นตัวเลยใช่ไหม


     

    เลื่อนบานประตูเปิดออกแล้วจับจดสายตาไปยังที่นั่งประจำของตัวเองทันที เดี๋ยวนะ... นั่นมันคิมจงแดไม่ใช่หรือไง ไปนั่งทำอะไรตรงนั้น


     

    ไม่ต้องสืบเลยว่าคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่โต๊ะเรียนแถวหน้าห้องจะเป็นใครไปได้


     

    “....”


     

    เซฮุนไม่แม้แต่จะหันมามองทางนี้ด้วยซ้ำ ทำไมถนัดนักนะกับเรื่องทำให้คนหงุดหงิดเนี่ย นี่ต้องใจหลบหน้ากันแม้กระทั่งว่ายอมย้ายที่แล้วให้จงแดมานั่งข้างเขาแทนตัวเองเนี่ยนะ? เกินไปแล้วโอเซฮุน ชักจะโมโหขึ้นมาจริงๆแล้ว


     

    ไม่พูดไม่คุยมันแล้วนาทีนี้ ให้ตาย!


     

    หันไปเจอแจ็กพ็อตอีกดอกที่ว่าปาร์คชานยอลนั่งอยู่โต๊ะหลังห้องตามลำพัง สายตาของลู่หานมองหาแบคฮยอนทันทีที่นึกได้ แล้วคิ้วเรียวก็ต้องขมวดมุ่นจนเกือบลืมเรื่องของตัวเองไปเสียสนิทเมื่อเห็นว่าที่นั่งเก่าของเพื่อนตัวสูงถูกจับจ้องด้วยเจ้าของใหม่ เขาไม่รู้ว่าหมอนั่นเป็นใคร ไม่รู้แม้กระทั่งว่าทำไมอยู่ดีๆเรื่องราวมันถึงดูยุ่งเหยิงขนาดนี้ไปได้


     

    ชานยอลทำสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก แถมยังส่งผ่านความเซ็งนั้นมาอย่างเขาได้ราวกับอ่านใจออก (แค่เปรียบเปรย หมอนั่นไม่รู้หรอกเชื่อสิ) ลู่หานไม่รู้ว่าเพื่อนสองคนของเขาทะเลาะกันหรือเปล่า แต่นั่นแหละ การลากโต๊ะไปนั่งเป็นตำแหน่งส่วนเกินแบบนั้นค่อนข้างเข้าท่า


     

    ไม่ได้สนใจอาจารย์วิชาต่อไปซึ่งเพิ่งเข้ามา หากแต่กลับลากเก้าอี้ที่ประจำของตัวเองไปยังด้านหลังห้องจากนั้นจึงตามด้วยโต๊ะ ลู่หานทิ้งตัวลงนั่งข้างร่างสูงที่ไม่ได้ดูเข้าใจการกระทำของเขานัก แวบหนึ่งโอเซฮุนหันมามอง แต่พอเห็นว่าหันไปสบตาก็รีบเบือนหน้ากลับไปมองกระดานดังเดิม


     

    “นายทำอะไร ย้ายมานั่งตรงนี้ทำไม” ชานยอลกระซิบถาม และเขาก็ทำเพียงแค่แค่นหัวเราะกลับไปเป็นคำตอบ


     

    ลู่หานเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมประวัติศาสตร์ถึงต้องมีสงคราม


     













    ______________________________________

    อิๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    #ฟิคฮบ นะคะ อิอิ


    ประชาสัมพันธ์นิดนึงจ้ะ
    สำหรับคนที่สั่งจอง #ฟิคฮบ #ฟปรส เข้ามา
    สามารถเข้าไปตรวจสอบความถูกต้องและสถานะได้ที่ลิงค์นี้นะคะ


    http://goo.gl/kUiYww





     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×