คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : △ chanbaek | NOAH
NOAH
CHANYEOL l BAEKHYUN
- OHARHA -
ฝนตกลงมาอีกแล้ว นั่นทำให้ผมต้องวิ่งไปหลบใต้ทิวไม้ที่ใกล้ที่สุด
หลายวันที่ผ่านมานี้ ผมนึกแปลกใจว่าตัวเองไม่ได้หิวหรือหนาวตายไปเสียก่อน สองสิ่งที่ผมทำได้ก็คือการกอดกระเป๋าเป้คู่ใจเอาไว้ไม่ให้เปียก ส่วนอีกมือก็ยื่นขวดน้ำออกไปรองสายฝนพลางดึงกลับเข้ามาซดประทังความหิวไปด้วย ผมทำอย่างนี้อยู่นานนับสิบนาที จนเมื่อกระเพาะร้องว่าอิ่มน้ำมากแล้ว ถึงได้จัดการปิดฝาขวดน้ำแล้วนั่งหนาวสั่นอย่างคนที่ทำอะไรไม่ได้อีก
ผมทอดมองพื้นน้ำไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา เชื่อเถอะว่านอกจากพื้นที่เหยียบอยู่นี่ ผมก็ไม่เห็นแผ่นดินไหนอีกแล้วในระยะสายตา เกาะใจกลางมหาสมุทรนี่มีขนาดแค่ราวเจ็ดหรือแปดสิบตารางเมตร มันเล็กเกินกว่าจะทำให้รู้สึกปลอดภัย แต่ก็ใหญ่เกินไปสำหรับการที่มีผมเป็นผู้รอดชีวิตคนเดียว และถ้าคุณงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมแล้วล่ะก็ --
รู้จักตำนานน้ำท่วมโลกไหม?
ใช่ มันไม่ได้เกิดขึ้นกับผมคนเดียว แต่เป็นคนทั้งโลกต่างหาก
ทุกอย่างรอบตัวผมเงียบเคว้งคว้าง คลื่นลมสงบตั้งแต่วันที่สองของอุทกภัยครั้งใหญ่ มันพัดพาเอาชีวิตนับล้านจมหายไปใต้ผืนน้ำอย่างไม่ปรานี ผมตั้งหลักอยู่ที่นี่ มองดูเกลียวคลื่นพัดพาเพื่อนร่วมโลกหายไปพร้อมกับเสียงกรีดร้อง สิ่งที่ติดตัวผมมีแค่กระเป๋าเป้บรรจุหนังสือที่เพิ่งซื้อมา กับน้ำเปล่าหนึ่งขวดที่มักจะมีติดตัวไว้ ไม่มีแม้แต่ขนมขบเคี้ยวสักห่อ แล้วผมก็ช่วยอะไรใครไม่ได้ แม้แต่เพื่อนที่พลัดหลุดจากมือแล้วจมหายไป
ถ้าน้ำทะเลสูงขึ้นกว่านี้อีกสักสองเมตร ผมก็คงไม่มีที่ยืนหลงเหลืออยู่
ผมเคยกลั้นใจผ่านความคิดที่ว่าใต้นี้มีโลกทั้งใบถูกฝังอยู่ จะมีศพมากเท่าไรก็ช่าง ช่วงวันแรกๆผมลองชิมน้ำทะเล แล้วมันก็เป็นแค่ความคิดโง่ๆอย่างที่คาดไว้ ว่าน้ำจืดที่มีอยู่บนโลกมันไม่ได้ช่วยทำให้มหาสมุทรเค็มน้อยลงเลย เพราะอย่างนั้น แหล่งน้ำจืดเดียวที่ผมมีก็คือการรอมันตกลงมาจากฟ้า แล้วก็ใช้ขวดน้ำโง่ๆนี่ตักตวงมันไว้ให้ได้มากที่สุด
เป็นครั้งแรกที่ผมเกิดอยากสำอางขึ้นมา รีบถอดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ออกกองไว้ใต้ต้นไม้ แม้แต่ชั้นในก็ด้วย ผมตัดสินใจวิ่งออกไปกลางสายฝน ทั้งลูบหน้าลูบตา ถูผ่านๆตามเนื้อตัว แล้วก็อ้าปากกินน้ำทั้งที่เพิ่งรู้สึกอิ่มไปเมื่อครู่ อย่างน้อยการอาบน้ำก็น่าจะเป็นอะไรดีๆที่ยังหลงเหลือให้ผมได้บ้าง
น่าแปลกดีที่พอฝนหยุดตก ผมก็เริ่มเหนียมอายร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเองขึ้นมาเสียฉิบ ตลกออกนะว่าไหม ทั้งที่บนแผ่นดินเล็กๆนี้มีแค่ผมอยู่คนเดียวแท้ๆ
ผมพับขากางเกงยีนส์ขึ้นจนเป็นสี่ส่วนเหมือนทีแรก วางรองเท้าผ้าใบทิ้งไว้ข้างกระเป๋าที่ใต้ต้นไม้ต้นเดิม คุณคงแปลกใจใช่ไหมว่าลำพังมีแค่น้ำเปล่า ผมอยู่มาได้อย่างไรตั้งสองสัปดาห์ อันที่จริงพระเจ้าอาจจะยังปรานีผมอยู่บ้าง ถึงให้หนึ่งในพันธุ์ไม้ที่ขึ้นกันอยู่บนยอดเขาที่เหลือรอดนี้มีต้นพลับอยู่ด้วย ซึ่งไม่ค่อยอยู่ท้องนัก แล้วผมก็ต้องละเลียดกินแค่ทีละลูกเพราะกลัวมันจะหมดต้นเสียก่อน ถึงตอนนั้นผมคงแย่แน่ๆ
อ๋อ ใช่สิ คุณบอกให้ผมไปหาจับปลา
ข้อแรกเลยนะ ผมไม่ใช่ชาวประมงมืออาชีพ ก่อนหน้านี้ก็เป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยที่วันๆจับแต่หนังสือกับสมาร์ทโฟน เพราะอย่างนั้น ไอ้เรื่องว่ายลงไปจับปลามือเปล่าน่ะลืมไปได้เลย นี่ยังไม่รวมข้อสอง ที่ผมเคยลองทำอย่างนั้นแล้วดันไปป๊ะเข้ากับศพขึ้นอืดใต้น้ำ เอาเป็นว่ามื้อนั้นผมอิ่ม แล้วก็ว่ายขึ้นมาอ้วกหมดตัวแทบไม่ทัน (และเสริมอีกนิดนะ เรื่องจับหนอนจับแมลงกินน่ะได้โปรดลืมคิดไปได้เลย)
เคยมีครั้งหนึ่งที่ฝนไม่ยอมตกลงมาถึงสามวัน วันที่สามผมอดอยากปากแห้ง แต่ก็ไม่กล้าดึงลูกพลับลงมาเป็นลูกที่สองเพียงเพื่อกระหายน้ำในผลมัน สิ่งที่ผมทำคือการพึ่งน้ำที่ออกมาตามซอกหิน ซึ่งมีน้อยมากเหลือเกิน
แล้วถ้าคุณไล่ให้ผมฆ่าตัวตายอีก
แน่สิ แน่นอนเลย! ผมคิด! คิดตั้งแต่วันแรกๆที่เกิดเรื่องขึ้น ติดก็แต่ธรรมชาติยังเหลือปัจจัยให้ผมพอมีชีวิตรอด และผมก็ไม่ใจแข็งพอที่จะหนีปัญหาโดยการไม่รับรู้มันตลอดกาล ใจหนึ่งผมเฝ้ารอว่าจะมีวันที่น้ำลดหรือไม่ แต่อีกใจผมก็กลัวผลลัพท์ที่จะเกิด มันคงทำใจได้ยากถ้าวันหนึ่งคุณเห็นยอดตึกโผล่พื้นผิวน้ำขึ้นมา หรือแม้แต่ร่างของคนนับล้านที่ไม่มีทางย่อยสลายได้หมดง่ายๆ
ผมก็แค่คิดเล่นๆน่ะนะ
น้ำล้นโลกขนาดนี้ทำให้ผมนึกไปถึงวิชาประวัติศาสตร์ที่เคยเรียน ยุคสร้างโลกน่ะใช้เวลาตั้งกี่ร้อยล้านปี ซึ่งก็ไม่แน่หรอก ผมอาจจะเป็นมนุษย์คนแรกบนพันเจียผืนใหม่ก็ได้ ส่วนจะมนุษย์คนที่สองจะมีไหม อันนี้ผมไม่รู้ ผมหวังให้พ่อ แม่ ครอบครัว หรือว่าเพื่อนของผมยังอยู่บนแผ่นดินผืนไหนสักแห่ง แต่ยิ่งชั่วโมงผ่านไปมากเท่าไร ความคิดที่ว่าผมอาจจะเป็นมนุษย์คนสุดท้ายบนโลกก็ยิ่งเด่นชัดและบั่นทอนความหวังทั้งหมดอย่างร้ายกาจ
พอคิดอะไรไม่ออกแล้ว ผมจึงฝืนข่มตาให้ตัวเองนอนหลับ การนอนมากๆ อย่างน้อยมันก็ช่วยเรื่องกินน้อยลง
แต่ความเบื่อหน่ายในชีวิตและการนอนมากเกินไป ทำให้ผมตื่นง่ายยังกับอะไรดี
ผมเด้งตัวลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงผิดไปจากคลื่นลม มันเป็นเสียงของบางอย่างกระทบน้ำ และสิ่งแปลกปลอมนี้เองที่ล่อความกระตือรือร้นของผมให้พุ่งสูง จากนั้นจึงเลียบหลบตามทิวไม้เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์สิ่งที่เกิดขึ้น
และ --
นั่นไง!
พระเจ้า ผมมองผิดไปหรือเปล่า นั่นมันคน! คนเป็นๆที่กำลังลากเอาแพเรือขึ้นฝั่งอย่างทุลักทุเล ผมไม่แน่ใจนักว่าควรจะลงไปช่วยเขาไหม ไม่สิ ผมหมายถึง -- ผมสามารถไว้ใจผู้รอดชีวิตคนอื่นได้ใช่ไหม ถึงแม้ผมจะดีใจมากแค่ไหนก็ตามที่รู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนสุดท้ายบนโลก แต่พอได้ลองคิดในแง่ร้ายแล้ว ผมว่าเขาก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าแทงผมให้ตาย แล้วยึดครองเกาะเหงาๆนี้ไว้คนเดียว
เขาดูไม่แก่กว่าผมมากนัก เราดูเหมือนรุ่นๆเดียวกันด้วยซ้ำ และเขาสวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์ขาสามส่วนขาดๆ เป็นโชคดีที่ทะเลไม่มีคลื่นมากนัก แต่นั่นก็หมายถึงว่าเขาลำบากมากกว่าเดิมนิดหน่อยถ้าไม่มีแรงซัดเข้าฝั่งช่วยเท่าที่ควร
ผมค่อยๆหลบไปตามแนวไม้ด้วยเท้าเปล่า ลอบมองการกระทำของผู้มาใหม่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความดีใจสั่งให้ผมออกไปทักทาย แต่ก็ไม่ได้ทำจนกระทั่งอีกฝ่ายหันมาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่บริเวณไม้ไหว และผมยืนอยู่ตรงนี้
“สวัสดี”
ในที่สุดผมก็โผล่หน้าออกไป ตลกดีที่ผมยังพูดคำว่าสวัสดีได้เต็มปากเต็มคำโดยไม่ลืมภาษาคนไปเสียก่อน เขาแสดงสีหน้าตระหนกตกใจ จากนั้นจึงพยายามตั้งสติ แล้วส่งเสียงทุ้มต่ำร้องทักตอบกลับมา “สวัสดี”
ผมได้แต่คิดว่าต่อให้ถูกฆ่ายึดที่จริงๆก็ช่างมันเถอะ คิดเสียว่ามีคนมาสงเคราะห์ให้ถึงที่หลังจากตัวเองไม่ใจแข็งพอ แต่ชายคนนั้นเดินสะโหลสะเหลมาทางนี้ หนำซ้ำริมฝีปากยังค่อยๆเหยียดกว้างเป็นรอยยิ้ม หน้าเขาดูเหมือนคนที่กำลังจะร้องไห้อย่างไรอย่างนั้น
เนื้อตัวเขายังเปียกชุ่มไปด้วยฝนที่เพิ่งหยุดไปเมื่อพักใหญ่ที่ผ่านมา ตากลมโตมองไปรอบๆ ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นจนพาลให้ผมนึกสงสัยว่า ด้วยแพเรือหน้าตาเหมือนพาเลซโกดังกับไม้แท่งยาวๆที่แทนไม้พายอันนั้น มันพาเขามาจากที่ไหนและถึงที่นี่ได้อย่างไร
เขาจามฮัดชิ้วต่อหน้าผม แต่เชื่อเถอะว่าเขาดูมีความสุขเท่าที่ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ล้างโลกจะยังมีได้
“นายชื่ออะไร” เขาถามขึ้นในตอนที่ผมมองดูเขาผึ่งเสื้อยืดสีดำของตัวเองลงบนโขดหิน และขอบคุณที่ไม่คิดจะถอดกางเกงออกด้วย เพราะผมคงไม่ชินเท่าไรที่ต้องอยู่กับผู้ชายใส่แค่ชั้นในสองต่อสองกลางแจ้ง
“แบคฮยอน” ผมตอบ “บยอนแบคฮยอน”
“ดีจังเลยที่รู้ว่ามีคนรอดเพิ่มขึ้น” ในมือของเขามีขวดน้ำแบบเดียวกับผมไม่ผิดเพี้ยน มันยังเต็มขวดอยู่ คิดว่าก็คงรองน้ำครั้งล่าสุดช่วงเดียวกันนั่นแหละ “ฉันชื่อปาร์คชานยอล”
ชานยอลทิ้งตัวลงนั่งบนโขดหินข้างๆที่ผึ่งเสื้อ แดดเริ่มจ้าขึ้นแล้ว ผมชั่งใจว่าจะพาเขาไปยังโอเอซิสที่ผมซ่อนกระเป๋าเป้กับรองเท้าเอาไว้ดีไหม แต่สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายที่คิดช้าเกินไป เลยปล่อยให้นายคนนี้เป็นฝ่ายออกปากชวนคุยเสียก่อน
“ที่นี่น่ะใหญ่กว่าตรงที่ฉันมาตั้งเท่าตัว อ้อ มีใครอยู่อีกหรือเปล่า”
“ไม่มีแล้ว”
“นายอยู่คนเดียวเหรอ ที่นี่?” เขาถามซ้ำราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด และพอพยักหน้ายืนยัน ชานยอลก็กลับดูเศร้าหมองลง เขาอาจจะอินกับการทนเหงาเหมือนกันล่ะมั้ง เพราะแค่จากระยะสายตาที่ผมมองเห็นได้ เขาก็คงต้องคว้างอยู่กลางทะเลนานพอสมควร “มันน่าทึ่งมากเลยแบคฮยอน”
ผมมองไรหนวดที่ปลายคางของเขา อันที่จริงของผมเองก็เริ่มขึ้นแล้วเหมือนกัน แต่จะทำไงได้ล่ะ เราไม่มีครีมโกนหนวด ไม่มีแม้แต่มีดโกนด้วยซ้ำ
“มีอะไรน่าทึ่งกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นอีกเหรอ”
ผมถาม แต่เชื่อเถอะว่าผมไม่ได้ต้องการคำตอบเป็นเสียงหัวเราะขบขันแบบที่เขากำลังทำอยู่ “มีสิ ก็เรื่องที่เรายังรอดชีวิต และนายสามารถอยู่ที่นี่ตัวคนเดียวได้มาจนถึงตอนนี้”
“อ้อ...”
“นายอยู่ได้ยังไง”
เอาแล้ว ยังกับเขากำลังหลอกถามว่าผมมีแหล่งอาหารที่ไหนอย่างนั้นแหละ ซึ่งมันน่าหงุดหงิดสิ้นดีที่ผมไม่เก่งอะไรสักอย่าง แม้แต่การโกหกอ้อมแอ้มเพื่อกลบเกลื่อนแหล่งโอเอซิสบนเกาะนี้ ความคิดที่ตีเกลียวกันวุ่นวายในหัวของผมก็คือ ผมจะไว้ใจเขาได้จริงๆหรือ จะเปิดใจให้เขาหมดทุกสิ่งทุกอย่างเพียงแค่เพราะผมไม่มีใครแล้วอย่างนั้นใช่ไหม
แล้วก็คือใช่ ผมทำมัน
ต่อให้ความคิดแง่ร้ายในหัวจะขู่ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เขาต้องแทงผมด้วยปากขวดแล้วถีบลงน้ำเพื่อครอบครองเกาะนี้แต่เพียงผู้เดียวแน่ๆ
ปาร์คชานยอลทำตาโตเมื่อเห็นต้นพลับซึ่งเป็นอาหารเพียงอย่างเดียวเท่าที่ผมพอจะรู้ เขาลังเลนิดหน่อย แต่ก็ขอบคุณด้วยความซึ้งใจมากเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะมีได้เมื่อผมยอมให้เขาเด็ดเอาผลไม้บนต้นมาประทังความหิว ชานยอลเล่าว่าขนมปังคำสุดท้ายของเขาหมดไปเมื่อสองวันก่อน ตั้งแต่เกิดเรื่อง ชานยอลคว้ามาได้แค่ขนมปังหนึ่งแถวกับน้ำเปล่าอีกสองสามขวดเท่านั้น ซึ่งสองขวดแรกยกให้คุณแม่ลูกสองครอบครัวหนึ่ง เกาะ (หรือจะเรียกว่ายอดตึก) นั้นสูงกว่าพื้นน้ำแค่ไม่ถึงเมตร คนที่หนีรอดขึ้นมาบนนี้ได้คือส่วนหนึ่งของคนที่กำลังทานอาหารอยู่ในภัตตาคาร ยิ่งฟัง ผมก็ยิ่งชั่งใจว่าระหว่างการนอนโดดเดี่ยวโดยมีต้นไม้บังลมฝนให้ กับการนอนแออัดหลายสิบคนบนพื้นคอนกรีตแบบนั้น อย่างไหนจะดีกว่ากัน
“แล้วนายเอาแพนั้นมาจากไหน” ถึงจะหิวยังกับอะไรดี แต่ชานยอลกลับค่อยๆละเลียดกินลูกพลับนั้นราวกับว่ามันเป็นลูกสุดท้าย อย่างหนึ่งที่ผมดีใจนะ อย่างน้อยผู้ชายที่ดีคนนี้ก็เป็นคนที่มาเจอผม ไม่ใช่ไอ้บ้าห้าร้อยที่ไหน
“บนยอดตึกนั้นมีพวกลังไม้พาเลซกองอยู่เต็มเลย มีผ้าใบคลุมกันฝน แล้วก็ยังมีเครื่องมือก่อสร้างกับเชือกวางทิ้งไว้นิดหน่อย ฉันเลยพอจะเอามาต่อเป็นแพลอยน้ำได้” แพของชานยอลเล็กขนาดสองคนนั่งก็ยังหวาดเสียว ซ้ำยังบวมน้ำจนน่ากลัว ผมไม่แน่ใจนักว่าถ้าเขาไม่มาเจอที่นี่ ชานยอลจะใช้ชีวิตอยู่กลางน้ำได้อีกนานสักเท่าไร จะหิวตายหรือว่าเรือแพพังจนจมน้ำตายก่อนกัน
“นายล่ะ ออกมาคนเดียวเหรอ ทำไมไม่อยู่กับคนอื่นๆ”
“ที่นั่นไม่มีอาหารเหลือแล้ว” เขาตอบหน้าสลด “ฉันถามแล้ว แต่ไม่มีใครอยากออกมาเสี่ยงกับไม้แผ่นเล็กๆที่จะพังเมื่อไรก็ไม่รู้”
“อ่า... เป็นฉันก็คงไม่”
“แล้วจะอยู่ได้อีกนานเท่าไร ไม่มีพื้นดิน ไม่มีอาหาร ไม่มีปัจจัยอะไรเลย” ผมเริ่มคิดตามที่เขาพูด มันถูกทุกอย่างเลย “หลังจากนี้คงมีคนที่ตัดสินใจออกมาแบบฉันเหมือนกัน”
หลังจากนั้นเราก็เงียบไป พอไม่ได้อยู่ตามลำพังแล้ว ผมก็รู้สึกเหมือนพระอาทิตย์ตกไวกว่าปกติ ท้องฟ้าสีครามเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นส้ม ยิ่งทำให้ผืนน้ำดูเวิ้งว้างและแผ่กระจายความเหงาออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา เสื้อของชานยอลยังชื้นๆอยู่ แต่เขาก็หยิบมันมาสวมใส่เพราะลมหนาวที่พัดพามาตามแนวคลื่นน้ำ พอเห็นเขาในตอนนี้ ผมก็นึกอยากให้กระเป๋ามีเสื้อฮู้ดสักตัว แต่น่าเสียดายที่มันมีแค่หนังสือแก้เบื่อสองสามเล่มที่ผมอ่านจนจำบทสนทนาของตัวละครได้แล้ว
เรานั่งอยู่ตรงโขดหิน ไกลจากตรงที่เพิ่งมีศพสุนัขถูกน้ำพัดเข้ามาติดชายฝั่ง (พูดให้ถูกคือพื้นภูเขาที่ไม่ได้ดูเป็นชายฝั่งเอาเสียเลย) โอ้ คุณอย่าเสนอให้ผมเอามันมาย่างกินเชียวนะ มัน - อืด - แล้ว เราถึงได้ล้มเลิกความคิดข้อนั้นไปตั้งแต่แวบแรกที่กลิ่นเหม็นเน่าลอยเตะจมูก
เพราะชานยอลเท้าเปล่า ผมถึงได้ไม่ใส่รองเท้าเป็นเพื่อน ปล่อยให้ฝ่าเท้าสัมผัสโขดหินเย็นเยียบพลางมองดูพระอาทิตย์ที่ค่อยๆตกลงลับขอบฟ้า
“นายว่าน้ำจะลดลงไหม”
ผมครุ่นคิดกับคำถามนั้น เอาเข้าจริงแล้วผมโคตรกลัวกับคำตอบเลยคุณรู้ไหม กลายเป็นว่าในหัวผมคิดถึงยอดตึกที่ชานยอลอยู่ก่อนหน้า มันคงจะเป็นตึกสูงติดอันดับต้นๆของเกาหลีใต้ และความสนุกเพียงอย่างเดียวก็คือการที่ผมพยายามงัดความรู้รอบตัวขึ้นมาเดาว่าสองสัปดาห์ก่อน ชานยอลดินเนอร์อยู่ที่ไหน
“เขาทำแบบนี้กับเราทำไมนะ” คนข้างๆผมพึมพำอีก ผมไม่เคยหาคำตอบดีๆให้ชานยอลได้เลยสักข้อ เสี้ยวหน้าของเขาสะท้อนแสงสีส้มเรืองซึ่งยิ่งขับให้โหลกแก้มและสันจมูกเด่นชัดขึ้น เอาจริงๆชานยอลก็จัดว่าหล่อ ถ้าเขาบอกว่าก่อนหน้านี้เป็นไอดอลสักคนที่กำลังจะเดบิวท์ล่ะก็ผมคงเชื่อสนิทใจ
“เขาไหน”
“พระเจ้าไง”
ผมยอมรับด้วยใจบาปๆนี้เลยว่าเกือบจะเลิกนับถือพระเจ้าไปแล้ว ถึงแม้เวลาในวันๆหนึ่งจะมีมากพอให้ผมคิดอะไรต่อมิอะไรได้มากมาย หนึ่งในนั้นคือความหวัง แต่ทุกๆหนึ่งวินาทีมันก็มลายหายไปทีละนิดจนในกรอบสายตาของผมเห็นแค่ความเป็นจริง ความจริงที่ว่าเราน่ะโชคร้ายเหลือเกินที่ไม่ตาย
เราใช้ชีวิตอยู่บนเกาะยอดภูเขา เฝ้ามองพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้ทั้งหมดหกครั้งถ้วน นับจากที่ชานยอลมาถึงที่นี่ เวลาวันแรกเราใช้ทำความรู้จักกัน วันที่สองช่วยกันเลาะไม้พาเลซบวมน้ำมามาทำเป็นเพิงเล็กๆไว้กันสายฝนที่ตกลงมาทุกวัน เรามีขวดน้ำสองขวด แต่ชานยอลฉลาดกว่านั้นที่ใช้ผ้าใบทำหลังคาเพิงนอนของเราโดยให้มันรองเก็บน้ำไว้ได้ด้วย แล้วเขาก็ทำสิ่งที่ผมไม่คาดคิดมาก่อนอย่างเช่นการเก็บเอาเมล็ดต้นพลับที่กินเหลือไปฝังไว้ในดิน เผื่อว่าเราจะมีโอกาสได้กินในตอนที่มันโตขึ้นออกผล ถ้าไม่ตายก่อนน่ะนะ
ส่วนวันที่สามเรานอนเรียงกันใต้เพิงที่ทำไว้แล้วอ่านหนังสือคนละเล่ม ใช้เวลาไม่เกินสามชั่วโมงเราก็อ่านจบในเวลาไล่เลี่ยแล้วใช้สายตาแย่งหนังสือในกระเป๋ากันอย่างเอาเป็นตาย เล่มในมือชานยอลน่ะผมเพิ่งอ่านจบไปหมดๆ เพราะอย่างนั้นตัวเลือกที่เหลืออยู่ก็คือการที่เรานอนเท้าแขนไหล่ชนกันเพื่อแชร์ความสนุกสนานเล่มสุดท้าย พอคล้อยเข้าบ่ายแก่ๆฝนก็ตกลงมา ทั้งที่ปากก็บ่นว่าอยากออกไปอาบน้ำ แต่ตลกดีที่หมอนี่ดันแคร์สายตาผมจนไม่กล้าแก้ผ้าวิ่งโทงๆอย่างที่ผมทำตอนอยู่ที่นี่คนเดียว
วันที่สี่หรือก็คือวันนี้เมื่อหลายชั่วโมงก่อน ชานยอลทนไม่ไหวและใช้ไม้แท่งยาวๆต่างไม้พายของเขาเขี่ยเอาศพสุนัขตัวนั้นกลับลงไปในน้ำ ทุลักทุเลพอควรกว่าจะโต้แรงคลื่นในตอนเช้าและทำให้มันจมหายไปได้สำเร็จ มลพิษทางสายตาและจมูกเราหายไปแล้ว แต่เราก็กลับไปกินมื้อเช้าใต้เพิงเล็กๆที่เพิ่งแต่งตั้งให้มันเป็นบ้าน กินลูกพลับกันคนละลูกแล้วเหลือเมล็ดให้ชานยอลเอาไปฝังดินอย่างทุกครั้ง เรื่องมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งก็คือ ผมเซอร์ไพรส์เขาด้วยการหยิบโทรศัพท์มือถือที่เก็บตายออกมาเปิดเครื่อง มันมีแบตเตอรี่อยู่ราวสิบห้าเปอร์เซนต์เพื่อให้เราเล่นเกมฟรุตส์นินจา แค่ประมาณสามตา เครื่องผมก็ดับไปทั้งที่เรายังสนุกไม่ถึงสิบห้านาทีเลยด้วยซ้ำ
เอาล่ะ ตอนนี้คุณอยู่กับเราตอนปัจจุบันแล้ว ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มมีดาวพร่างพราย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ถูกบดบังด้วยยอดไม้ที่มีประโยชน์มากในตอนกลางวัน และปล่อยให้ผมกับชานยอลแบ่งเป้กันหนุนท่ามกลางความมืดและเสียงของจั๊กจั่นดังแซ่กๆซึ่งผมได้ยินเป็นปกติ เราไม่มีอะไรทำแล้ว ถึงได้เอาแต่นอนแอ้งแม้งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมายอยู่อย่างนี้
“ฉันคิดถึงจีอึนกับจองอา” เขาโพล่งขึ้น พอหันมาสบกับคิ้วที่ขมวดน้อยๆของผมแล้วก็อมยิ้มก่อนจะตอบให้หายสงสัย “เด็กสองคนที่ฉันให้น้ำไปไง”
“อ้อ ลูกของคุณแม่ยังสาว” ชานยอลเคยพูดถึงครอบครัวหล่อนตั้งแต่วันแรกของการมาที่นี่ ให้ผมเดานะ ในเมื่อเขารู้แก่ใจว่าอาหารหมด ก็คงจะเป็นห่วงว่าคนบนยอดตึกนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าแน่ๆ “พวกเธอยังไม่ตายหรอก”
ผมตอบ ครั้งนี้กลับกลายเป็นเขาที่หันมาตีสีหน้าสงสัย ถึงความมืดจะทำให้เรามองกันไม่ชัดนัก แต่เชื่อเถอะว่าผมเห็นมุมปากเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กๆขณะรอฟังคำตอบของคนที่ไม่มีกะจิตกะใจจะคิดอะไรอย่างผม
“คิดอย่างนี้แล้วมันสบายใจกว่าใช่ไหมล่ะ แต่ฉันไม่มีเหตุผลดีๆให้หรอกนะ”
ศูนย์คะแนนสำหรับคำปลอบใจที่ทำท่าจะดี กลับกัน ชานยอลหัวเราะออกมาเบาๆพลางขยับศีรษะหล่นจากหมอนแล้วใช้ท่อนแขนเลื่อนมาหนุนแทน เขายกเป้ให้ผมนอนแบบเนียนๆใช่ไหมล่ะแบบนี้ หรือแม้แต่ลูกพลับ ชานยอลก็ไม่เคยกินเกินวันละสองลูกเลย เขาแบ่งมันเป็นช่วงสายกับเย็น ซึ่งผมก็เดาอีกว่ารอยซูบตอบบนแก้มนี่น่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่ที่เขาแบ่งขนมปังให้คนบนตึกนั้นกินแล้วล่ะ
“แค่นั้นก็ดีพอแล้ว” เขาพูดโดยไม่หันมามอง นั่นทำให้ผมรู้สึกเก้อเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกที่กลายเป็นเขาปลอบใจคำพูดสับปะรังเคของผมแทน
เราเงียบกันไปอีกพักใหญ่ อยู่ดีๆอดีตชาวคริสต์แต่กำเนิดอย่างผมก็นึกเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวกับสิ่งรอบตัวขึ้นมาได้ ผมหันไปดูเพื่อให้แน่ใจว่าเขายังไม่หลับ อย่างน้อยๆผมจะได้ไม่ส่งเสียงออกไปเก้อแล้วไม่มีคนตอบกลับมาเหมือนอย่างที่ชานยอลได้รับจากผมเป็นประจำ
“เคยได้ยินเรื่องเรือโนอาห์ไหม”
ชานยอลเลิกคิ้ว เอาเป็นว่าจากแสงสลัวๆนี่ผมเดาว่าเขาเลิกคิ้ว แน่ล่ะ มีใครบ้างที่จะไม่รู้จักเรือโนอาห์ เพียงแต่อาจต้องคิดหนักสักหน่อยนั่นแหละว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือว่าลวงโลก ผมไม่เคยเอาใจไปเชื่อกับตำนานเลย มันเป็นแค่เรื่องเล่าเสริมสร้างศรัทธาเท่านั้นแหละ
“บางทีพรุ่งนี้เช้า อาจจะมีเรือบรรทุกสัตว์ร้อยชนิดนั่นมาจอดเทียบบ้านเราก็ได้นะ”
ผมลืมบอกคุณไปอย่าง เราเรียกเกาะนี้ว่าบ้าน เรียกเพิงผ้าใบที่มีฐานเป็นไม้พาเลซอับๆนี่ว่าที่นอน ใต้ต้นพลับนั่นเป็นห้องอาหาร ส่วนตอนที่ฝนตกก็ให้ตรงชายฝั่งเป็นห้องอาบน้ำ คิดอย่างนี้แล้วมันผ่อนคลายดี อย่างน้อยก็รู้เรื่องกว่าตอนที่ผมกับเขาคุยกันเรื่องโขดหินก้อนนั้น แต่เรียงเป็นตับไม่รู้ว่าหมายถึงก้อนไหน
“ไม่มีหรอก”
อ้าว นี่เป็นครั้งแรกที่ชานยอลคนดีออกปากขัดเรื่องอะไรแบบนี้ สงสัยความหวังหมอนี่จะดับวูบไปเสียแล้วล่ะมั้ง
“ฉันว่านี่แหละโนอาห์” ผมงงกับคำตอบของเขา แต่พอชานยอลชี้ตัวเองและจรดปลายนิ้วลงบนอกของผมก่อนจะชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางเป็นสอง ผมก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขากำลังเล่นมุกน่ารักๆเกี่ยวกับเรื่องคู่เข้าให้แล้ว “นี่ไง เรามีสองคน”
ทั้งที่เมื่อครู่เราเพิ่งจะหัวเราะเอิ้กอ้าก แต่พอนาฬิกาในหัวตีบอกเวลาว่าเรารู้จักกันเกินแปดสิบชั่วโมง ผมก็ตื่นจากความขบขันเพื่อพบว่าเรากำลังจูบอย่างดูดดื่มใต้เพิงนอนที่ออกแรงสร้างมาด้วยกัน ใช่ ผมรู้ว่าเราต่างไม่มีใคร และไม่มีอะไรจะเสียถ้ายอมให้มันเกิดขึ้น เราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ซึ่งหลังจากเริ่มครั้งแรกได้แล้ว มันก็ไม่ยากเกินไปที่เขาจะขยับตัวขึ้นมาคร่อมผมไว้เพื่อมอบจูบครั้งที่สองแทนคำพูดทั้งหมดที่เรานึกไม่ออก
ปลายเท้าของเรายาวเลยแผ่นไม้จนเสียดถูกันเหนือพื้นดิน ปลายลิ้นชุ่มสอดเข้ามาเพื่อกอบโกยห้วงลมหายใจไปตามผม ตวัดไล้เล็มในโพรงปาก สะบัดหยอกล้อกับผมที่เก้กังๆในการตอบรับสัมผัสของเขา ไรหนวดชานยอลทิ่มคางผม แต่มันก็ไม่จั้กจี้เท่ากับมือหยาบกร้านที่สอดเข้าไปภายใต้เสื้อยืดค้างปีแล้วลูบวนอยู่ระหว่างช่วงท้องกับเอว
ผมเริ่มหายใจติดขัด ลอบลืมตามองแล้วก็เห็นดวงตากลมโตนั้นจับจ้องมองมาเหมือนกัน อา ให้ตายเถอะ ผมควรจะทำยังไงดีกับตัวเองในตอนนี้ ทั้งร่างกายมันแข็งทื่อ แต่ก็โอนอ่อนให้เขากอดรัดได้ตามใจอย่างกับตุ๊กตา ผมไม่ทันได้คิดเรื่องนี้ตั้งแต่ที่ต้องอาศัยอยู่กับชายแปลกหน้า แต่เมื่อไม่กี่นาทีก่อน ผมหวั่นไหวให้เขาเสียแล้ว
ชานยอลถอนริมฝีปากอ้อยอิ่ง จรดหน้าผากลงชนกับของผมเพราะเขารู้ตัวว่าควรขออนุญาตให้เป็นเรื่องเป็นราว
“รู้สึกดีไหม”
เขาถาม แล้วผมก็ไม่กล้าตอบ จากนั้นริมฝีปากของเขาจึงเลื่อนมาวนเวียนอยู่ที่สันกรามของผมแล้วจูบลงไปบนพวงแก้มแช่มช้า ผม -- ผมไม่รู้หรอกว่านี่เรียกรู้สึกดีหรือเปล่า แต่เอาเป็นว่าใจของผมมันไม่ได้มีความคิดที่จะปฏิเสธเขา แล้วความคิดติดตลกยังแวบขึ้นมาอีกว่า ถ้าผมเอาแต่ต่อต้านความต้องการของตัวเอง พอไม่มีวันพรุ่งนี้ขึ้นมาแล้วจะเสียใจ
เพราะอย่างนั้น ผมถึงตอบรับทุกสัมผัสของเขา ให้ความร่วมมือแล้วก็แลกเปลี่ยนอย่างที่สัญชาตญาณของผมบอกว่าควรทำ เราแก้ความเคอะเขินด้วยการจูบอีกพักใหญ่ ชานยอลจึงค่อยๆคืบหน้าด้วยการถอดเสื้อผ้าของผมออก แล้วก็ทำให้ที่นี่กลายเป็นเรือโนอาห์อย่างแท้จริง
อ้อ คุณคงไม่เข้าใจว่าผมหมายถึงอะไรใช่ไหม
เพราะผมอยากให้มีวันพรุ่งนี้ ให้มีวันต่อๆไป นี่คือความหวังที่กลับเด่นชัดขึ้นมาในใจผมเสียแล้ว
เราไม่ได้นอนจนถึงเช้ามืด ก็ไม่ใช่ว่าทำเรื่องอย่างนั้นกันตลอดเวลาหรอกนะ โอเค เรานอนแก้ผ้า คุยกันเรื่อยเปื่อย และพอหายเหนื่อยหรือว่าบรรยากาศเป็นใจ เราก็อาจจะเริ่มทำไอ้สิ่งที่คุณกำลังล้อในใจนั่นอีกครั้งสองครั้ง ลมเย็นพัดผ่านจนเราสะท้านไปทั้งร่าง จากนั้นไม่นานฝนก็ตกลงมาทั้งที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง พอเป็นตอนนี้ นอกจากจะไม่อายในการออกไปอาบน้ำฝนแล้ว ชานยอลยังจับมือผมลากไปด้วยกันทั้งร่างเปลือยเปล่า อีกครั้งที่ผมกำลังรู้สึกสดชื่น แต่พอตัดภาพมาอีกทีก็ลงไปขลุกอยู่กับเขาบนพื้นดินชุ่มๆอีกแล้ว
การไม่มีอะไรให้ทำมากนักส่งผลให้เราเป็นอย่างนี้ใช่ไหม ผมพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากวันนั้น เรื่องแบบนี้ชอบเป็นความฝันก่อนตายของตัวละครในซีรีส์ฝรั่งหลายๆเรื่อง เอาเป็นว่าผมเข้าใจ และคิดว่ามันคงไม่เลว
ตอนนี้ผมใส่เสื้อผ้า หยัดตัวเองลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจแล้วกวักเอาน้ำในแอ่งผ้าใบขึ้นมาลูบหน้าลูบตาให้พอสดชื่น เช้าวันนี้ชานยอลตื่นก่อนผม ไม่รู้เขาหายไปไหน แต่คิดไม่ทันขาดช่วงดี เสียงทุ้มต่ำก็ตะโกนโหวกเหวกเรียกชื่อผมเพื่อเป็นคำตอบ
ผมรีบรุดมาตามน้ำเสียงตื่นเต้นของชานยอลที่ยืนอยู่บนโขดหินตรงชายฝั่ง เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผมอุทานว่าพระเจ้า คุณเดาไม่ถูกหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น! ชานยอลวิ่งเหยาะๆมาทางผม ชี้ย้ำให้ผมแน่ใจสายตาตัวเองว่าน้ำลดลงบ้างแล้วจริงๆ เรามีพื้นดินให้เหยียบมากขึ้น แต่น้ำก็ยังสูงจนกลบบริเวณรอบอุทยานนี้เอาไว้อยู่ดี
“ป่านนี้ในเมืองคงมียอดตึกผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด” ผมพูดกับเขา นึกถึงที่ๆชานยอลจากมาว่าคนบนนั้นจะมีโอกาสได้อยู่จนถึงตอนนี้ไหม จะมีใครรอดชีวิตอยู่บนตึกสูงๆหลังไหนอีกหรือเปล่า
แต่แล้วผมก็เห็นประกายอย่างหนึ่งในดวงตาของเขา ชานยอลคิดจะไปจากที่นี่ ในขณะที่ผมเชื่อแล้วว่ามันเป็นเรือโนอาห์ของเรา
เราไม่มีไม้ให้ต่อแพอีก เว้นเสียแต่จะโค่นต้นไม้บังลมฝนพวกนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างอื่น แต่เราก็ไม่มีเลื่อย ความคิดนี้จึงถูกล้มเลิกไปท่ามกลางสีหน้าและท่าทางงุ่นง่านที่ชานยอลกักเก็บเอาไว้ไม่หมด ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงอยากออกไปเสี่ยงข้างหน้านั่นอีก เพราะต่อให้มีผืนกินที่ใหญ่กว่านี้ แต่ตราบใดที่ลูกพลับยังไม่หมดต้น ผมก็ไม่คิดไปไหน
หรือทางหนึ่ง ผมรู้ดีแก่ใจว่ามันมีเปอร์เซนต์มากเหลือเกินว่าถ้าเราออกไปแล้วจะกลับมาที่นี่ไม่ได้อีก ผมเชื่อว่าเรายังมองไม่เห็นอะไรนอกจากผืนทะเล ไม่มีจีพีเอสนำทาง เข็มทิศ หรือว่าเรด้าร์ที่ทำให้เชื่อว่าเรายังมีทางกลับลำถูกถ้าเกิดเจอทางตัน แต่ชานยอลไม่คิดอย่างนั้น ดวงตาเขาเป็นประกายและไม่หยุดนิ่ง ใจของเขาคงล่องลอยเหมือนกับนกนางนวลที่กำลังบินวนอยู่เหนือน่านน้ำ
คืนนั้นเรายังมีเซ็กส์และนอนกอดกันอย่างที่เป็นมาตลอดหนึ่งอาทิตย์ ทว่าใจผมมีแต่ความกังวล ผมไม่อยากอยู่ตัวคนเดียวอีกแล้ว ซึ่งน่ากลัวว่าหัวใจชานยอลคงไม่รู้สึกอย่างนั้น
วันต่อมาเขาเดินวนไปวนมาเพื่อหาทางโค้นต้นไม้ใกล้ที่นอนของเราลงมาใช้ แต่พอเห็นผมทำสีหน้าปั้นยาก ชานยอลก็จะแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและชวนผมนอนอ่านหนังสือเล่มเดิมๆเพื่อหลับกลางวันไปด้วยกันอีก แน่ล่ะ เขาทำได้ แต่ผมโมโหตัวเองชะมัดเลยที่แม้แต่ในโลกแบบนี้แล้วยังหลงเหลือความงี่เง่าอยู่อีก
ผมนึกอยากให้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น สูงขึ้นอย่างตอนที่เราเจอกันวันแรก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามเมื่อเราเริ่มเห็นยอดไม้และตึกสูงจากไกลสายตาลิบๆ ผมไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดเพียงแค่เห็นว่าโลกกำลังจะกลับมาเป็นอย่างเก่า คนพวกนั้นคงตายหมดแล้ว! ไม่เหลือใครแล้วนอกจากเรา ผมต้องการอย่างนั้น
มันแย่ชะมัดเลยนะว่าไหม ผมไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย
ในบ่ายวันหนึ่ง ผมยิ้มกว้างจนแก้มแทบฉีกเพราะเห็นยอดสีเขียวๆอันเป็นผลจากเมล็ดต้นพลับที่เราช่วยกันหว่านไว้ ตอนนี้ผมใส่เสื้อยืดสีดำตัวโคร่งของชานยอล แล้วก็วิ่งเท้าเปล่าลงไปตามแนวเขาเพื่อบอกข่าวดีข้อนี้ เราไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่เลย ผมจะพูดคำนี้ และสำทับซ้ำเข้าไปอีกว่าไม่มีอาหารอย่างอื่นที่ข้างนอกนั่นหรอก
แต่เขาก็ทำให้หัวใจของผมชาวาบด้วยการออกแรงลากท่อนไม้ขนาดต้นพลับสามต้นมัดรวมกันขึ้นมาจากน้ำ ชายกางเกงยีนส์สามส่วนของเขาเปียกชุ่ม นั่นทำให้เรื่องต้นพลับของผมกลืนหายลงไปในลำคอพร้อมกับสีหน้าตื่นตระหนกเล็กๆของชานยอลซึ่งมองสวนขึ้นมา จนได้สินะ ผมเกือบพูดออกไปอย่างนั้น แต่เขาก็ทำเหมือนนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะไม้ที่เขาหามาได้มันยังไม่พอต่อแพสำหรับหนึ่งคนเลยด้วยซ้ำ
“แบคฮยอน!”
ระหว่างที่เดินหนีกลับขึ้นมาบนยอดเขา ผมก็รู้ได้ว่าไม่เคยรู้สึกโกรธขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ผมหาที่ระบายโดยการคิดพาลไปถึงทุกอย่างที่พัดพาชานยอลมาที่นี่ ให้เขามาเจอเกาะนี้ ให้บรรยากาศทุกอย่างเป็นใจสำหรับการเริ่มต้นความสัมพันธ์ในคืนนั้น พอย้อนกลับไปมองแล้วมันเฮงซวยหมดทุกอย่างเลย
ผมเด็ดเอายอดต้นพลับเล็กๆที่เพิ่งขึ้นแล้วเหวี่ยงออกไป แต่มันก็ตกอยู่ใกล้ๆเพราะไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะลอยละลิ่วได้ไกลกว่านี้ ใช่ มันไม่มีสำคัญอะไรแล้ว ลำพังอยู่ตัวคนเดียวน่ะ แค่ลูกพลับต้นเดิมผมก็อยู่ได้ ไม่ต้องมีอะไรมาเพิ่ม ไม่ต้องให้ที่นี่ดูยิ่งใหญ่จนใครหน้าไหนนึกอยากจะมาก็มา
ผมโคตรงี่เง่าเลย แต่ผมห้ามตัวเองไม่ได้แล้ว
ชานยอลเดินตามขึ้นมาตัวเปล่า เขาคงทิ้งท่อนไม้นั่นไว้ใกล้ๆชายฝั่งด้านล่างตรงที่ผมเพิ่งเดินจากมาเมื่อครู่ ดวงตากลมโตไหววูบเมื่อเห็นยอดต้นพลับสีเขียวตัดกับสีดิน จากนั้นเขาก็ก้มลงกอดประโลมผมที่นั่งอยู่กับพื้นเอาไว้ กลิ่นเหงื่อของเขาทำเอาผมอยากร้องไห้ ยิ่งถูกวงแขนนั้นโอบรัดเอาไว้ ผมก็ยิ่งโกรธตัวเองจนไม่รู้จะให้อภัยได้อย่างไร
“ดึงมันทิ้งทำไม” เขากระซิบถาม แต่ผมไม่คิดว่าเขาอยากรู้จริงๆหรอกในเมื่อผมกำลังไร้สติขนาดนี้
ทั้งที่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา แต่ทั้งร่างของผมกลับสะอื้นตัวโยน ชานยอลพยายามกอดผมแน่นขึ้น ปากก็พร่ำพูดให้ใจเย็นๆแล้วจะได้มาคุยกันดีๆ อ้อใช่ ใช่เลย เราไม่ได้เปิดใจคุยกันมานานมากแล้ว เขาทำตัวหลบๆซ่อนๆ ในขณะที่ผมก็แกล้งทำเฉยทั้งที่รู้อยู่เต็มอก
คืนนั้นเรานอนกอดกันภายใต้ข้อตกลงที่ว่าจะพูดทุกอย่างในใจออกมาจนหมด ผมเริ่มระบายเกี่ยวกับความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เขาปล่อยให้มันเกิดขึ้นมาตลอดระยะเวลาเกือบเดือนนี้ ร่างกายของเราเปลือยเปล่า ผมห่มเสื้อของเขาแทนผ้าห่ม แล้วก็ปล่อยให้ปลายนิ้วโป้งของชานยอลลูบวนอยู่ที่หัวไหล่ซ้ำๆในขณะที่พรั่งพรูทุกอย่างออกไปเหมือนระเบิด
“ฉันหาไม้มาสร้างบ้านให้เรา” เขาบอก นั่นยิ่งทำให้ผมตกใจยิ่งขึ้นไปอีก “ไม้พวกนี้มันผุมากแล้ว ฝนตกมาทีความชื้นก็ทำให้ราขึ้น”
ทั้งที่ปากขยับเล่าถึงความในใจจนผมรู้สึกผิด ทว่าตาของเขากลับเหม่อมองไปทางต้นพลับที่เราใช้เป็นอาหารหลักอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ผมไม่เข้าใจสายตาของชานยอลในตอนนี้นัก แต่เอาเป็นว่าผมเข้าใจผิด ผมตีความหมายสิ่งที่เขาสร้างขึ้นระหว่างเราในแง่ลบเกินไป อาจด้วยเพราะความกังวล ยึดติด หรือผมคงเป็นโรควิตกจริตขึ้นมาจริงๆเสียแล้ว
“คิดอะไรอยู่” ผมถามในตอนที่ชานยอลกำลังเคลื่อนตัวอย่างเนิบนาบอยู่ข้างบน ปาร์คชานยอลเมื่อเดือนก่อนคนนั้นหายไปจริงๆแน่แล้ว เพราะตอนนี้เหลือเพียงแต่ชานยอลคนที่ขมวดคิ้วครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา เขาแค่อยากให้ผมเชื่อใจ หรือต้องการอะไรที่มากกว่านั้น
ซึ่งแน่นอน ผมเดาถูกว่าชานยอลคงไม่ยอมตอบ จากคนที่พูดเก่งและมักจะเปิดบทสนทนายามว่างเสมอกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด ใบหน้าซูบตอบของเขาดูแก่ขึ้นอีกเป็นสิบปีเวลาที่ตีหน้าเครียดอย่างนี้ ผมไม่รู้ว่าเรายังต้องคิดอะไรนักหนา ในเมื่อที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว
“ขอโทษนะ”
ผมไม่เข้าใจ
ไม่เข้าใจว่าเขาพูดมันเป็นครั้งสุดท้าย
เช้าวันนั้นอาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมตื่นขึ้นมาพบกับความว่างเปล่า เพียงแต่ครั้งนี้มันถาวร ผมรุดไปรอบๆเกาะเพียงเพื่อดูว่าเขาอาจจะกำลังง่วนอยู่ตรงไหนสักที่ ยิ่งที่นี่กว้างขึ้น ผมก็ยิ่งต้องเหนื่อยและรู้สึกว่าชานยอลไกลออกไปมากเหลือเกิน
น้ำลดลงไปจากเมื่อวานอีก ที่สุดสายตามียอดตึกโผล่พ้นน้ำขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว ความรู้สึกไม่สู้ดีในใจผมบอกว่าเขาไม่อยู่ที่นี่ แต่ผมไม่เชื่อ แล้วก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อกเมื่อพบแล้วว่าลางสังหรณ์นั้นไม่ค่อยโกหกกันเท่าไร ไม่มีท่อนไม้ที่ชานยอลลากขึ้นมาเมื่อวันก่อน เขาสะสมมันไว้เป็นกองขนาดใหญ่ ไม้แท่งยาวต่างพายอันนั้น ทุกอย่างหายไปรวมถึงเชือกที่เคยเหลือจากการเลาะแพเมื่อนานมาแล้วก็หายไปด้วย
เขาโกหกผม หรือเขาคิดจะไปแต่แรกแล้ว
ทั้งที่สมองคิดอย่างนั้น แต่หัวใจของผมกลับท้วงเรียกให้มองขึ้นไปยังต้นพลับเพียงหนึ่งเดียว ผลลูกพลับเหลืออยู่น้อยมาก แต่ก็มากพอให้กินได้คนเดียวระหว่างรอมันออกผลใหม่เมื่ออากาศเย็นขึ้นกว่านี้ และนอกจากยอดสีเขียวที่ผมเพิ่งดึงทิ้งเพราะแรงโมโหเมื่อวานแล้ว พื้นดินรอบข้างก็ไม่มีวี่แววของอาหารใดเหลืออยู่เลย
น้ำในแอ่งผ้าใบยังคงเต็มจากฝนตกครั้งล่าสุด แต่ขวดน้ำหายไปหนึ่งอัน นี่เป็นคำตอบที่ชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไรดี ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อไป ไม่รู้แม้กระทั่งว่าที่ดินผืนใหญ่ตรงนี้ถูกสร้างมาเพื่อผมคนเดียวหรือเปล่า แล้วข้างนอกนั้นเขาจะเป็นยังไง จะตายอยู่กลางผืนน้ำ หรือพบเจอใครคนอื่นอย่างที่เขาสวดภาวนาให้โลกนี้มาตลอด ผมไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจว่าเขาจะทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร ทั้งที่เขาบอกว่าที่นี่ดีที่สุด แต่ชานยอลก็ยังละทิ้งเรือโนอาห์ด้วยเหตุผลสองข้อ
ข้อแรก เขาอาจต้องการสิ่งที่ดีกว่า อย่างที่เขาเคยทำมาก่อน
ส่วนข้อสอง เขาต้องการให้ผมอยู่รอด
ผมจิบกาแฟดำในแก้วหลังจากเช็กอีเมลในโทรศัพท์มือถือแล้วว่าสิ่งที่สั่งลูกน้องในสายงานไปนั้นเรียบร้อยดี ผมต้องอยู่บ้านจนลืมวันลืมคืนเพราะแค่ไอ้อาการเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆในฤดูหนาว เดาว่าคนอื่นคงกลัวจะเอาเชื้อไข้ไปแพร่ใส่เสียมากกว่า
ผมกดรีโมทปิดภาพข่าวยามเช้าบนจอทีวี เอนตัวพิงเก้าอี้ไม้ทรงคันทรีที่เคยเอาเสี้ยวเงินจากน้ำพักน้ำแรงซื้อมาเมื่อปีที่แล้ว มองเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามซึ่งว่างเปล่า สองสามปีมานี้ผมทำอะไรด้วยตัวคนเดียวมากพอสมควร นอกจากจะคุ้นชินกับมันได้แล้ว ผมกลับรู้สึกว่าบ้านกว้างๆนี้ก็อิสระดีเหมือนกัน
ผมอยู่อย่างที่เคยอยู่ นอนดูบอลจนดึกแล้วตื่นมาปิ้งขนมปังกินทั้งที่ใส่แค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวโดยไม่ต้องอายใคร ตั้งแต่ใครคนนั้นเก็บเสื้อผ้าออกไปจากที่นี่ ผมก็แน่ใจแล้วว่าคนอย่างผมคงเหมาะกับการอยู่ตัวคนเดียวเป็นที่สุด สิ่งที่เคยเกิดขึ้นก็ลืมมันไปจนเกือบหมดสิ้นแล้ว ถ้าคุณได้ลองมาอยู่ว่างๆ อ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำไปซ้ำมา คุณจะรู้เลยว่าเวลานั้นยาวนานเสียจนสร้างโลกใหม่ได้เลย
ผมเจียดเวลาไปรดน้ำต้นพลับที่สวนหลังบ้าน ดูแลฟูมฟักมันอย่างที่ทำมาตลอดหลายปี ความเหม่อลอยทำให้ผมทอดมองไปยังดินโล่งเตียนส่วนอื่นๆ ผมปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น เว้นเสียแต่พลับต้นนี้ที่ยังอยู่มาได้เรื่อยๆจากความรู้ด้านเกษตรเท่าหางอึ่งของผม
เสียงออดดังลั่นภายในตัวบ้าน นั่นทำให้คิ้วขมวดมุ่นด้วยความแปลกใจขึ้นมาทันทีที่มีใครมารุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวได้ตั้งแต่เช้าตรู่ ผมแน่ใจว่าไม่มีธุระกับใครที่พร้อมตามมาถึงบ้าน ผมไม่ได้มีเจ้าหนี้ ไม่เหลือใครที่มีความผูกพันธ์พิเศษด้วยแล้วแม้แต่พ่อแม่หรือญาติ
แล้วร่างทั้งร่างของผมก็หยุดนิ่งไปหลังจากเปิดประตูนั้น ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหายใจไม่ออก มันขาดช่วงและจะล้มตึงลงไปเสียให้ได้เพียงแค่เห็นร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนส์ยืนอยู่ตรงหน้า ยิ้มนั้นส่งมาให้ผม มือก็ลากกระเป๋าเดินทางผ่านพื้นหินกระเบื้องอย่างทุลักทุเล
“สวัสดี”
เขาพูดก่อน หลังจากลากกระเป๋าใบใหญ่นั้นมาหยุดอยู่หน้าประตูได้ ดูเขาจะยิ่งมีเวลาขบขันผมมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ให้ตายเถอะ ผมไม่รู้ว่าลมอะไรพัดเขามาอีก คิดจะไปไม่ลาแล้วยังมีหน้ากลับมาหรือไง ผมโกรธ โกรธอย่างวันที่เขาทำอมพะนำไม่พูดและทิ้งให้ผมอยู่ที่นี่เพียงลำพังด้วยความใจร้ายเหลือคณา
ใบหน้าเขาดูอ่อนเยาว์ขึ้นมาก ร่องรอยความเครียดที่เคยมีก็จางหายเสียจนเกือบจะเหมือนกับวันแรกที่เราเจอกัน เขาตั้งท่าจะเข้ามากอดผมแต่ดูยังไม่กล้า ก็ผมทำหน้าบึ้งตึงใส่เขาเต็มสูบเลยน่ะซี นั่น แล้วยังยิ้มไม่เลิกอีก จะเอายังไงกันแน่
“ดีจังที่หาทางกลับเจอ”
เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยออกจากปาก และก่อนที่จะจรดริมฝีปากมาฉาบฉวยความคิดถึงไปจากผม เขาก็แกล้งแบมือออกให้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่หยิบติดไม้ติดมือกลับมาด้วย มันคือเมล็ดพันธุ์มากมายที่เขาหามาได้ มากจนแน่ใจได้เลยว่าเราไม่ต้องออกไปดิ้นรนหรือพะวงหาสิ่งนอกสายตาอีก
เกินพอสำหรับเราสองคน
และตลอดไป
#OHARHAFIC
M
ความคิดเห็น