ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) RED SNITCH | sekai chankai (Hogwarts!AU)

    ลำดับตอนที่ #6 : 06 | NUMBING THE PAIN FOR A WHILE

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ค. 61


     

     

    RED SNITCH

    (AU!HOGWARTS)

    OSH | KJI | PCY

     

     

    ( 6 )

    NUMBING THE PAIN FOR A WHILE

     

     

     

    “โอ๊ย ในนามของกางเกงในเมอร์ลิน! นี่มันหนาวจนตับจะแข็งเลย”

     

     

    เสียงบ่นกระปอดกระแปดของคิมจงแดแทบไม่เข้าหู เขากระชับไม้กวาดนิมบัสรุ่นสองพันสิบสี่ในมือแล้วขึ้นขี่ ข้างบนมีสมาชิกทีมควิดดิชบ้านกริฟฟินดอร์กำลังบินจัดขบวนตามแผนตั้งรับที่กัปตันทีมได้วางเอาไว้ การแข่งขันนัดสุดท้ายประจำปีกับบ้านเรเวนคลอจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า ซึ่งคิมจงอินไม่สามารถอธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้เลยว่าเขากำลังใจหายเพียงใด

     

     

    ปาร์คชานยอลในฐานะเชสเซอร์มือหนึ่งขว้างลูกควัฟเฟิลใส่คีปเปอร์แล้วหักไม้กวาดหลบลูกบลัดเจอร์อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเชสเซอร์มือสามอย่างจงแดมาถึง กัปตันหนุ่มก็ยกกำปั้นขึ้นสุดแขน ก่อนจะทำสัญญาณมือให้เริ่มการซ้อมแบบเมื่อครู่นี้อีกครั้งหลังครบจำนวนคน

     

     

    จงอินไม่เคยถูกนับรวมอยู่ในแผนการใดเพราะเขาคือซีกเกอร์ ทักษะที่มีถูกงัดขึ้นใช้เพียงลำพัง ไล่ตามจับลูกสนิชสีทองครั้งแล้วครั้งเล่า สวนกับบรรดาสมาชิกทีมคนอื่นๆ ทั้งตัวจริงและตัวสำรอง

     

     

    อาจจะสักสองชั่วโมงหรือน้อยกว่า ชานยอลทำสัญญาณมือเพื่อเรียกทุกคนให้ลงสู่พื้นสนามซึ่งเต็มไปด้วยหิมะ หลังจากจับสนิชได้เป็นครั้งที่ร้อย ในที่สุดคิมจงอินก็แตะเท้ากับพื้นเป็นคนสุดท้าย ยังเหลือเวลาที่จองสนามเอาไว้อีกเกือบชั่วโมง แต่ชานยอลคงอยากใช้มันกับการประกาศเรื่องสำคัญมากกว่า

     

     

    “อย่างที่รู้กันว่าการแข่งครั้งหน้าจะเป็นครั้งสุดท้ายของปีเจ็ด” เสียงทุ้มต่ำว่าเสียงดังฟังชัด “นั่นหมายถึงจะต้องมีคนเข้ามาแทนที่ฉันกับแซม”

     

     

    แซม คลาฟลิน นักเรียนปีเจ็ดซึ่งเป็นคีปเปอร์ของทีมก้าวขึ้นไปยืนข้างกัปตันทั้งรอยยิ้ม ภาพที่เห็นทำให้สมาชิกคนอื่นๆ ใจหาย ทุกคนต่างรู้ดีว่าทั้งชานยอลและแซมเป็นผู้เล่นที่สำคัญกับทีมมากเพียงใด ชานยอลคือกัปตันและเชสเซอร์ที่ยอดเยี่ยม ในขณะเดียวกัน คีปเปอร์คลาฟลินก็คือผู้รักษาประตูที่เหนียวที่สุดของกริฟฟินดอร์ในรอบหลายปี

     

     

    “เฮ้ ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้น ได้เวลาของรุ่นใหม่ไฟแรงแล้วเพื่อน” แซมหัวเราะเบาๆ เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูง ผมสีบลอนด์หยักศก และมีรอยยิ้มที่น่ามองเหลือเกินสำหรับสาวๆ ข้างสนามควิดดิช “เราสองคนปรึกษากันว่าจะเลือกใครขึ้นเป็นตัวจริง”

     

     

    ชานยอลพยักหน้ารับคำของเพื่อน ในสมองทบทวนตำแหน่งสมาชิกทีมทั้งเจ็ดคนอีกครั้ง

     

     

    เชสเซอร์ ได้แก่ ปาร์คชานยอล (ปีเจ็ด), เอมิล มิลเลอร์ (ปีสี่), คิมจงแด (ปีห้า)

    บีตเตอร์ ได้แก่ แนทและอเล็กซ์ สองพี่น้องวอล์ฟ (ปีหก)

    คีปเปอร์ ได้แก่ แซม คลาฟลิน (ปีเจ็ด)

    และซีกเกอร์ คิมจงอิน (ปีห้า)

     

     

    “ฉันเลือกโคลิน แฮงค์ เป็นเชสเซอร์” กัปตันทีมว่า “ส่วนแซมเลือกดีแลน บรอสแนน”

     

     

    เจ้าของตำแหน่งคีปเปอร์คนใหม่ตะโกนเสียงดังลั่น ดีแลน บรอสแนน เป็นนักเรียนปีสามรูปร่างสูงใหญ่ ถึงกับสูงกว่าปาร์คชานยอลที่โดดเด่นกว่าใครในกริฟฟินดอร์ด้วยซ้ำ ส่วน โคลิน แฮงค์ ซึ่งถูกรับเลือกเป็นเชสเซอร์ตั้งแต่ปีสองถึงกับพูดไม่ออก แนทและอเล็กซ์โห่แซวว่าโคลินจะต้องร้องไห้แน่ๆ ซึ่งผิดคาดที่น้องเล็กคนใหม่ของทีมห้ามตัวเองได้ดีกว่าที่คิด จึงไม่ต้องตกเป็นตลกร้ายให้ถูกแซวอีกตลอดสี่ปีที่เหลือ

     

     

    “และแน่นอนว่าตำแหน่งสำคัญที่สุด”

     

     

    คนอื่นๆ รู้ดีว่าชานยอลกำลังจะเลือกกัปตันทีมคนใหม่ เอาเข้าจริงทุกคนในที่นี้มีความเห็นไปในทางเดียวกัน กัปตันคือตำแหน่งที่นำพาบ้านสิงโตสู่ชัยชนะในแต่ละปี ดังนั้นมันจึงไม่ควรตกเป็นของสองพี่น้องวอล์ฟ ที่ถึงแม้จะอาวุโสรองลงมาแต่ไม่เหมาะสมกับการเป็นผู้นำเลยสักนิดเดียว

     

     

    “จงอิน”

     

     

    เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นจากปลายเท้าเมื่อถูกเอ่ยเรียกเสียงเบาหวิว เป็นอีกครั้งในรอบหลายวันที่เขาได้สบกับดวงตากลมโตของชานยอลชัดๆ มันเข้มแข็ง อ่อนโยน และเต็มไปด้วยความหวังซึ่งถูกฝากฝังผ่านทางสายตา

     

     

    “เป็นนาย”

     

     

    คิมจงอินกะพริบตาปริบ สาบานได้ว่าเขาคิดว่าเป็นจงแด ไม่ใช่ตนเองที่กำลังถูกคนในทีมปรบมือใส่ล้อมหน้าล้อมหลังแบบนี้ ใครๆ ก็ว่าจงอินเป็นซีกเกอร์ที่โดดเด่นและบ้าระห่ำ หากจะทำให้กริฟฟินดอร์คว้าชัยต้องเป็นคนที่กล้าได้กล้าเสียอย่างนี้ ซึ่งนั่นมันช่างตรงกันข้ามกับที่เขารู้จักตนเองทุกอย่าง

     

     

    หลังจบการมอบตำแหน่งแบบไม่เป็นทางการ ว่าที่กัปตันทีมคนใหม่ก็รีบสาวเท้าตามชานยอลไปติดๆ จงอินอยากได้เหตุผลที่อีกฝ่ายเลือกเขา ซึ่งเอาแต่ละเมิดกฎและก่อปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     

     

    “ฉันเป็นกัปตันไม่ได้หรอก!

     

     

    ได้ยินอย่างนั้น กัปตันปาร์คก็หยุดฝีเท้าแล้วหมุนตัวกลับมาหา ปล่อยให้เพื่อนร่วมทีมที่เหลือเดินสวนเข้าไปในอาคารก่อนจนหมด

     

     

    รีบออกตัวตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ไม่สมกับเป็นนายเลย จงอินถ้าเป็นทุกทีเขาคงคิดว่าโดนชานยอลหยอกกระเซ้าเย้าแหย่เข้าให้ แต่เพราะตอนนี้ทั้งคู่ไม่ได้เป็นเหมือนเก่า ดังนั้นจงอินจึงรู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าดูโตกว่าเขาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง น้ำเสียง หรือแม้แต่การวางตัวถ้าเทียบกับแนท อเล็กซ์ หรือว่าจงแดแล้ว นายเป็นคนที่ตัดสินใจได้เด็ดขาดและมีภาวะผู้นำมากที่สุด อะไรที่นายคิดว่าตัวเองเป็น มันไม่เท่ากับทั้งหมดที่ฉันเห็นหรอก

     

     

    “แต่นี่มัน...” จงอินกลืนน้ำลายเหนียวหนืด เห็นทีคงจะต้องยอมแพ้ชานยอลไปทั้งอย่างนี้ การเป็นกัปตันทีมต้องทำอย่างไร เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ

     

     

    ช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับชานยอลน้อยลงทุกที จริงอยู่ว่าพวกเขายังติดต่อหากันได้ ส่งจดหมายนกฮูก รอวันหยุดคริสต์มาส หรือแม้กระทั่งนัดพบกันที่ฮอกส์มี้ด แต่มันก็ไม่คล้ายคลึงกับการอยู่ในรั้วโรงเรียนเดียวกัน ใช้ห้องนั่งเล่นร่วมกัน หรือแม้แต่คุยกันโดยไม่จำเป็นต้องคิดถึงการลาจาก ความรู้สึกที่เขามีให้คนคนนี้เต็มไปด้วยความสับสน มันปะทุขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อปาร์คชานยอลเป็นฝ่ายหายไป และจงอินก็ไม่สามารถจัดการจิตใจตนเองได้เลย

     

     

    อีกเรื่องหนึ่ง ยิ่งนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในห้องเก็บไม้กวาดก็ยิ่งหงุดหงิด เขาไม่ได้อธิบายอะไรออกไปและแน่ใจว่าลูคัส ทิลไม่มีทางพูดเรื่องนั้นให้เพื่อนสนิทฟังแน่ ลูคัสไม่ใช่คนปากสว่าง ถึงแม้จะไม่ได้ร้องขอให้เก็บเป็นความลับ แต่ทางนั้นก็คงไม่พูดเรื่องที่ไม่ใช่ปัญหาของตัวอยู่แล้ว

     

     

    ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าเรื่องที่เขาจูบกับโอเซฮุนแดงขึ้น ชานยอลจะยังยอมมองหน้ากันเหมือนอย่างตอนนี้หรือไม่

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    สลิธีรินคว้าชัยเหนือฮัฟเฟิลพัฟได้ในการแข่งขันนัดสุดท้าย ส่งผลให้คะแนนกำลังนำเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งถือว่าผิดคาดเอามากๆ ถ้าเทียบกับฟอร์มทีมของบ้าน ใครๆ ก็ว่าเป็นเพราะการนำของโอเซฮุน เจ้าชายผู้สมบูรณ์แบบจากตระกูลเลือดบริสุทธิ์ทรงอำนาจในโลกเวทมนตร์ เซฮุนคัดคนเข้าทีมอย่างพิถีพิถัน แจกแจงหน้าที่และวางแผนการสู้อย่างหลากหลาย ในช่วงต้นเกมสลิธีรินมักเป็นฝ่ายตั้งรับเพื่อวิเคราะห์แผนการของคู่แข่ง ก่อนจะทุ่มเวลาในช่วงท้ายเกมไปกับการบุกทะลวง จบด้วยคว้าลูกสนิชได้อย่างสวยงาม

     

     

    ถึงอย่างนั้นมันก็แลกด้วยอาการบาดเจ็บของซีกเกอร์ ในนาทีสุดท้ายของเกม เซฮุนพลาดตกจากไม้กวาดต่อหน้าต่อตาผู้ชมทั้งสนาม โชคดีที่ระดับความสูงไม่มาก แขนภายใต้เสื้อกีฬาสีเขียวจึงมีแค่แผลถลอก ต่อให้ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรแต่เขาก็ยินยอมที่จะเล่นละครตบตาร่วมกับ เซเลน่า โกเมซ ซึ่งตรงเข้ามาช่วยพยุงอย่างเป็นห่วงเป็นใย ทั้งสองครองความนิยมร่วมกันมาหลายครั้ง หากในความเป็นจริงแล้ว เจ้าชายสลิธีรินไม่ได้มีใจเสน่หาต่อหล่อนเลยแม้แต่น้อย

     

     

    เขาสวนกับคิมจงอินและพรรคพวกที่กำลังจะกลับหลังการแข่งจบสิ้น ข่าวล่ามาเร็วในหมู่นักกีฬาบอกว่าจงอินคือกัปตันทีมกรอฟฟินดอร์คนต่อไป นั่นทำให้เซฮุนตื่นเต้นพอดู แน่นอนว่าพอเห็นเขากับเซเลน่า อีกฝ่ายก็เริ่มทำหน้าที่คู่ปรับโดยไม่สนใจแรงรั้งแขนเสื้อจากคิมจงแดเลยแม้แต่น้อย

     

     

    ท่าจับสนิชสวยดีนี่จงอินหมายถึงการที่เขาพลัดตกลงไปไถลกับหิมะ พอถูกถากถางเช่นนั้นคนฟังก็ยิ้มรับ ช้อนดวงตาสีดำสนิทขึ้นมองริมฝีปากอิ่ม คิดในใจว่าจะจัดการหยุดความปากดีนี้อย่างไรดีเมื่อสบโอกาสครั้งต่อไป

     

     

    ขอบคุณ ฉันดีใจทีเดียวที่ไม่ต้องเจ็บตัวฟรีเหมือนอย่างนาย

     

     

    เขาอ้างถึงนัดการแข่งระหว่างกริฟฟินดอร์และสลิธีรินเมื่อเดือนก่อน คิมจงอินร่วงตกจากไม้กวาดจนแขนหัก นั่นยังไม่น่าเจ็บใจเท่ากับการที่เจ้าตัวไม่ได้ลูกสนิชไปในการแข่งครั้งนั้น มิหนำซ้ำยังกลายเป็นช็อตเด็ดประจำสัปดาห์ให้คนพูดถึงกันสนุกปาก

     

     

    นี่ ไปเถอะเซฮุน เธอเจ็บอยู่นะเซเลน่าเอ็ดเขา อีกทั้งยังออกแรงดึงแขนเบาๆ เพื่อให้เซฮุนไปห้องพยาบาลดีกว่ายืนต่อล้อต่อเถียง ใครๆ ก็รู้ว่าคิมจงอินคิดหาเรื่องโอเซฮุนเสมอนั่นแหละ ดูได้จากการแข่งนัดเดียวกันก็พอรู้ คนดีๆ ที่ไหนคิดจะดึงอีกฝ่ายให้ร่วงลงพื้นไปตามกันทั้งที่เซฮุนอุตส่าห์ช่วยกันเล่า

     

     

    กัปตันทีมสลิธีรินพยักหน้ารับ ถึงแม้ว่าจะอยากอยู่แกล้งจงอินต่ออีกสักหน่อย แต่อาการเจ็บแขนก็ทำให้สมองของเขาไม่ปลอดโปร่งเอาเสียเลย

     

     

    มีเรื่องจะคุยกับนายเยอะแยะเลยที่รัก

     

     

    ถ้าจูบว่าที่กัปตันบ้านสิงโตตรงนี้ได้ เซฮุนแน่ใจว่าตนเองคงไม่หยุดแค่การกระซิบกระซาบยั่วโมโหอย่างนี้แน่

     

     

    เธอไม่เห็นต้องไปต่อปากต่อคำกับเขา หมอนั่นน่ะมันพาลของแท้เซเลน่าบ่น หล่อนเป็นเพื่อนสาวที่ดีทีเดียว เมื่อไรที่เซฮุนไม่ต้องการให้คนมายุ่มย่าม เซเลน่าก็จะไม่ทำ แลกกับตอนที่เขาอารมณ์ดีแล้วช่วยกันหนุ่มๆ ออกไปจากเธอเป็นครั้งคราว ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ไม่เลวเลย ถ้าบอกว่าจริงๆ แล้วคิมจงอินสนใจเธอ ฉันก็เชื่ออยู่หรอก

     

     

    เขาหัวเราะเบาๆ เซนส์ผู้หญิงนี่น่ากลัว เว้นแต่มันกลับที่กลับทางไปสักหน่อยตรงกันข้ามเลยต่างหาก

     

     

    ได้ยินอย่างนั้นเซเลน่าก็ทำตาโต ฉันจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอแน่ มันฟังดูน่ากลัวเป็นบ้าซึ่งถ้าเป็นเอดิสันล่ะก็ หมอนั่นมีหวังตกใจจนเข่าอ่อน ตามด้วยซักไซ้ไล่เลียงด้วยความผิดหวัง และสรุปเอาว่าเขาถูกคาถาสะกดใจเป็นแน่

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    น่าผิดหวังว่าในปีสุดท้ายของการเป็นกัปตันทีม ปาร์คชานยอลไม่สามารถคว้าถ้วยชนะเลิศสมัยที่สองให้กริฟฟินดอร์ได้ ถึงแม้พวกเขาจะสามารถเอาชนะเรเวนคลอได้ในนัดสุดท้าย แต่คะแนนรวมก็ยังด้อยกว่าสลิธีรินอยู่ดี

     

     

    งานเลี้ยงฉลองถูกจัดขึ้นภายในห้องนั่งเล่นของบ้าน ส่งผลให้โถงกริฟฟินดอร์ยามนี้ดูแน่นขนัด ไม่เหลือที่ให้เหวี่ยงตัวเนียเซิลได้ด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าสองพี่น้องวอล์ฟไปสรรหาเหล้าน้ำผึ้งมาจากไหน แต่มันก็ทำให้ปาร์ตี้อำลาในคืนนี้เพิ่มความสนุกสนานขึ้นได้มาก ชานยอลกับแซมได้รับความสนใจเหลือเกินในคืนนี้ คงเป็นเพราะทุกคนอยากจะปลอบใจสองนักเรียนปีเจ็ดในทีมควิดดิชกระมัง

     

     

    จงอินทำท่าจะลุกไปหาแทมกับคีย์ แต่ก็ต้องชะงักหยุดเมื่อมีใครบางคนทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ

     

     

    ไง

     

     

    สวัสดี ลูคัสเขากลืนน้ำลายลงคอก่อนจะขยับนั่งจนหลังตรง เจ้าของผมสีบลอนด์ถือแก้วเหล้าองุ่นอยู่เช่นกัน หากสายตากลับมองมายังเขาแทนที่จะเป็นกลุ่มคนในงานเลี้ยงฉลอง ลูคัส ทิลไม่เคยทำให้จงอินรู้สึกอึดอัดเช่นนี้มาก่อน จนกระทั่งวันที่อีกฝ่ายบังเอิญเห็นเขาออกมาจากห้องเก็บไม้กวาดเมื่อเดือนที่แล้ว

     

     

    นายหลบหน้าฉันนานทีเดียวนะลูคัสว่า การหลบหน้ารุ่นพี่ที่อยู่บ้านเดียวกันนั้นทำได้ยาก แค่พยายามไม่เปิดโอกาสคุยกันสองต่อสอง เท่านั้นก็มากเกินพอแล้ว

     

     

    ขอโทษที ฉันแค่... อึดอัดใจ

     

     

    เขาสารภาพตามตรง ทำเอาลูคัสถอนหายใจเบาๆ แล้วเหลียวมองไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครกำลังฟังอยู่เคราเมอร์ลินเป็นพยาน ฉันแค่อยากจะบอกว่านายไม่จำเป็นต้องหลบหน้าฉันเลย คิมจงอิน ฉันไม่ได้ตัดสินอะไรในตัวนายจากเรื่องนั้น แล้วก็ไม่ได้คิดจะยื่นจมูกเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของใครด้วย

     

     

    แน่นอน จงอินรู้อยู่แล้วว่าลูคัสจะไม่พูด แต่เขาก็แค่ไม่สะดวกใจอาฮะ

     

     

    ดี ฉันไม่อยากเรียนจบไปโดยที่ถูกกังวลว่าเป็นคนปากสว่างอีกฝ่ายยิ้มกว้าง เป็นความจริงว่าลูคัสไม่เคยถามเขาสักคำเรื่องโอเซฮุน อีกทั้งยังไม่เปิดปากพูดถึงมันและยอมให้หลบหน้ามาตลอดสองสัปดาห์ด้วย จงอินไม่ได้สนิทกับลูคัสถึงขั้นอยากเจอ แต่กอปรกับการที่ชานยอลเองก็อยากรักษาระยะห่างกับเขา จึงทำให้สองหนุ่มยิ่งสวนกันไปคนละทาง

     

     

    ฉันรู้ว่านายไม่ใช่คนอย่างนั้น และฉันผิดเอง ลูคัส หลายครั้งฉันก็ไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไง

     

     

    คิมจงอินไม่รู้ว่าลูคัสเข้าใจไปอย่างไร อีกทั้งยังไม่มีคำอธิบายดีๆ สำหรับเรื่องในครั้งนั้น ท้ายแล้วเขาก็แค่ปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปตามน้ำ เลือกเดินออกจากงานเลี้ยง และตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปสำหรับความวุ่นวายในชีวิตตอนนี้ จะเป็นเรื่องการคุกคามของโอเซฮุนหรือปาร์คชานยอลที่ใกล้จะเรียนจบก็ดี

     

     

    ตอนนี้จงอินหยุดยืนอยู่บริเวณทางเดินบนชั้นเจ็ดของอาคาร เขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของรูปภาพสุภาพสตรีอ้วนว่าจะไปไหนดึกๆ ดื่นๆ ซีกเกอร์หนุ่มก็แค่อยากคิดอะไรเงียบๆ เพียงลำพังบ้าง เขาอาจเป็นคนใจกล้าบ้าบิ่น ทำอะไรดันทุรังจนดูเหมือนไม่มีหัวคิด แต่ในความเป็นจริงจงอินยินดีจะให้ตนเองถูกมองอย่างนั้น อย่างน้อยมันก็ดูเป็นเขา ไม่ใช่ผู้ชายโง่เง่าซึ่งตัดสินใจอะไรเด็ดขาดไม่ได้สักอย่าง

     

     

    หิมะปลายฤดูหนาวเริ่มละลาย เป็นสัญญาณว่าใกล้จบปีการศึกษาเต็มทีแล้ว เรื่องระหว่างเขากับชานยอลเหลือเวลาอีกไม่มาก จงอินเคลียร์กับลูคัสได้ภายในไม่กี่ประโยค แต่พอเป็นกับกัปตันทีมแล้ว แค่เห็นสายตาเจ็บปวดแบบนั้น อะไรๆ ก็ดูยากไปเสียหมด

     

     

    เมื่อชานยอลตัดสินใจก้าวข้ามความเป็นเพื่อนด้วยการจูบเขาที่ฮอกส์มี้ด จงอินก็เหลือแค่สองทางเลือกว่าจะพัฒนาไปเป็นคนรัก กอด จูบกันมากขึ้น หรือว่ายอมเสียเพื่อนและพี่ชายที่ดีที่สุดไป ถึงแม้เขาวอนขอการประวิงเวลามาครั้งแล้วครั้งเล่า รวมถึงชานยอลก็รับปากว่าจะเป็นเพื่อนให้ได้ แต่คิมจงอินเข้าใจความจริงข้อนี้ดี จะเขาหรือชานยอลก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว

     

     

    ตอนนี้คนคนนั้นอาจยังยิมพูดคุยหรือยิ้มให้กันบ้าง แต่เมื่อไรที่เรียนจบไป ปาร์คชานยอลก็ไม่มีความจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับคิมจงอินอีก

     

     

    เพียงคิดได้แค่นั้นก็เจ็บ เจ็บหัวใจเจียนจะบ้า

     

     

    คิมจงอินได้ยินเสียงฝีเท้า เขาตัดสินใจหลบเข้าหลังมุมอับของเสาหินริมผนังเพื่อซ่อนสีหน้าไม่น่าดูชมของตนเอง ป่านนี้แล้วบรรดานักเรียนน่าจะพากันอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้าน ไม่ออกมาเดินเพ่นพ่านที่ระเบียงอย่างนี้ อีกทั้งบนชั้นเจ็ดนี่ก็มีแค่ห้องนั่งเล่นของกริฟฟินดอร์ เช่นนั้นก็คงเป็นอาจารย์สักคนในโรงเรียนไม่ก็ฟิลช์เดินตรวจตรายามดึกกระมัง

     

     

    แต่ผิดคาดว่าเจ้าของฝีเท้านั้นคือใบหน้าที่จงอินคุ้นเคย ถึงกับจำได้แม่นยำในโสตประสาทมากกว่าใครในโลกที่รู้สึกเกลียดขี้หน้าเลยด้วยซ้ำ โอเซฮุนอยู่ในชุดไปรเวตอย่างสเวตเตอร์คอเต่าสีดำสวมทับด้วยเสื้อคลุมกันหนาว มีสีหน้าขึ้งเครียดขณะเดินไปเดินมาหน้ากำแพงโล่งบริเวณหนึ่งของทางเดิน จากที่เอาแต่คิดไม่ตกเรื่องตนเอง คราวนี้จงอินรู้สึกสงสัยเสียมากกว่าว่าเจ้าคนน่ารังเกียจกำลังทำอะไรกันแน่

     

     

    แล้วเขาก็ลืมไปเสียสนิทว่าตำแหน่งนั้น...

     

     

    ฮอกวอตส์มีเรื่องเล่าของห้องลับสุดพิเศษอยู่หนึ่งห้อง มันไม่มีประตู หน้าต่าง หรือแม้แต่ป้ายบอกทางใดๆ เพื่อเชิญชวนให้คนใช้งาน บางคนว่ามีจริงแต่บางคนก็ว่าไม่ มิหนำซ้ำยังไม่แน่ชัดเลยว่าห้องดังกล่าวตั้งอยู่ส่วนใดของฮอกวอตส์ ซึ่งน่าตกใจทีเดียวว่าหลังจากเซฮุนเอาแต่เดินไปเดินมาอยู่บริเวณนั้น จู่ๆ บนกำแพงก็ปรากฏประตูแบบสองบานเปิดขึ้น จงอินไม่ทันได้จ้องมองให้ชัดเพราะมัวจดจ่ออยู่กับเจ้าคนน่าสงสัย พอรู้ตัวอีกที เจ้าขายแห่งสลิธีรินก็หยุดเดินแล้วผลักมันเปิดออกต่อหน้าต่อตาเขาเสียแล้ว

     

     

    เขาเห็นว่าหลังบานประตูเป็นห้องหนังสือขนาดย่อม เหมือนจะมีเก้าอี้ เชิงเทียนส่องแสงสลัวๆ แต่มากกว่านั้นก็มองไม่ทันเสียแล้ว เซฮุนปิดประตูจากด้านในด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ และหลังจากนั้น ประตูก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากกำแพงเหมือนมันไม่เคยมีอยู่อีกครั้ง

     

     

    ถึงตอนนี้จงอินไม่รู้ว่าจะให้ความสนใจกับเรื่องใดก่อน ระหว่างการที่ห้องต้องประสงค์มีอยู่จริง หรืออะไรๆ ที่โอเซฮุนกำลังทำอยู่ ซึ่งมันต้องชั่วร้ายแน่!

     

     

     

     

     

     

     

    “มันก็ดีอยู่หรอกที่หมู่นี้นายสนใจฉัน แต่มันทำเอาฉันไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเลยนี่ซี”

     

     

    คิมจงอินสะดุ้งโหยงจนคล้ายกับการกระโดด ก่อนจะหันหลังไปมองต้นเสียงซึ่งฉีกยิ้มกรุ้มกริ่มทักทายเขา เป็นไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อก่อนหน้านี้อีกฝ่ายยังอยู่ตรงนั้น... ระหว่างล็อกหนังสือประวัติศาสตร์เวทมนตร์อยู่เลยแท้ๆ จงอินละอยากกัดลิ้นตนเองเป็นการลงโทษนัก อุตส่าห์ใจกล้าแอบสะกดรอยตามหมอนี่เข้ามาถึงห้องสมุดแล้วแท้ๆ แต่เผลอคาดสายตาไปให้ความสนใจคริสตัล จองกับแฟนใหม่ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะอ่านหนังสือครู่เดียว กลับถูกเป้าหมายจับได้ให้ขายขี้หน้า

     

     

    โอเซฮุนยกหนังสือเล่มหนาขึ้นวางบนบ่า ที่ปกเขียนว่า การศึกษาพัฒนาการพ่อมดศาสตร์ในยุคปัจจุบัน ส่วนอีกมือล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกงสบายใจเฉิบ เป็นการเต๊ะท่าที่น่าหมั่นไส้จนอยากเตะข้ามทะเลสาบไปให้ไกล

     

    เขากระแอมไอ ทำยืดอก หลังตรง มองสู้ตาคนตรงหน้าไม่ให้เสียเชิง “ฉันน่ะหรือสนใจนาย มีแต่คนไม่มีดีเท่านั้นแหละที่จะหลงตัวเอง”

     

     

    “น่าเสียดายจัง ฉันก็หลงคิดไปว่านายอยากอยู่ใกล้ๆ ถึงขนาดแอบตามเข้ามาในนี้เสียอีก”

     

    คุณชายตระกูลโออมยิ้ม หลังจากการแข่งควิดดิชนัดสุดท้ายแล้วก็ไม่มีโอกาสได้กลั่นแกล้งคิมจงอินสักเท่าไรนัก ไหนจะมัววุ่นๆ กับการสอบว.พ.ร.ส.แล้วยังต้องทำงานเป็นผู้ช่วยให้ศาสตราจารย์ซลักฮอร์นในการคิดค้นน้ำยาตัวใหม่ จะได้เห็นหน้าให้หายคิดถึงก็แค่ตอนอยู่ในโถงอาหารเท่านั้น เหลือเชื่อว่าสุดท้ายแล้วกัปตันคนใหม่แห่งทีมควิดดิชบ้านกริฟฟินดอร์จะพาตนเองมาหาถึงนี่ เซฮุนยอมเปลืองตัวเป็นเป้าสายตาให้ด้อมๆ มองๆ อยู่นาน ชายหนุ่มรู้แก่ใจว่าตนเองคงกำลังถูกจับผิดไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน

     

     

    จงอินหรี่ตามองเจ้าของผิวขาวซีดพลางลอบสำรวจว่ามีส่วนใดในร่างกายเซฮุนที่ผิดแปลกไปจากปกติบ้าง หลังจากเห็นหมอนี่ใช้ห้องต้องประสงค์บนชั้นเจ็ดเมื่อสัปดาห์ก่อน เขาก็เอาแต่ครุ่นคิดสงสัย สลัดเรื่องนี้ออกไปไม่พ้นจนแทบอ่านวิชาสมุนไพรศาสตร์ไม่รู้เรื่อง

     

    แต่ไม่ทันไร เซฮุนก็ลากเขาไปยังชั้นหนังสือด้านในสุด จนเกือบจะถึงบริเวณชั้นหนังสือต้องห้าม แสงแดดอ่อนๆ จากริมทะเลสาบส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ปรากฏเป็นเงาพาดจางๆ บนใบหน้า

     

     

    “นาย...!

     

     

    “ชู่ว” คนในชุดคลุมสลิธีรินแตะนิ้วบนริมฝีปากตนเองเพื่อส่งสัญญาณให้เขาสงบปากสงบคำแต่โดยดี เป็นที่รู้กันว่าห้องสมุดให้ความสำคัญกับความเงียบสงบเหนือสิ่งอื่นใด หากมีใครสักคนโหวกเหวกขึ้นมาล่ะก็ บรรณารักษ์อย่างมาดามฟินช์คงจะไม่ปล่อยให้ชื่อ นกแร้งที่ได้อาหารไม่เคยพอ ของเธอเป็นเพียงสมญานามขำๆ แน่ “คงไม่อยากให้ใครเห็นฉันกับนายอยู่ด้วยกันใช่ไหม”

     

     

    พออีกฝ่ายให้เหตุผลแบบนั้นแล้วเขาก็ปฏิเสธไม่ออก จึงทำได้แค่ผลักโอเซฮุนออกไปให้ห่างตัว ลำพังแค่ต้องกระซิบกระซาบคุยกันก็ขนลุกจะแย่

     

     

    “ถอยไปห่างๆ” เจ้าคนน่ารังเกียจหัวเราะเบาๆ คล้ายไม่รู้สึกรู้สากับท่าทีของเขา ซึ่งตรงนี้จงอินคิดว่าน่าโมโหสิ้นดี “มีอะไรให้ขำนัก”

     

     

    “เปล่า” เซฮุนใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือหนังสือเกลี่ยเรือนผมเขาเบาๆ และถึงแม้จะถูกปัดออกทันที แต่อีกฝ่ายก็ยังยิ้มไม่หุบ “แค่คิดว่าทำไมนายถึงได้มีการระวังตัวที่ต่ำนัก”

     

     

    พอถูกเตือนด้วยสายตาจาบจ้วงอย่างนี้แล้ว คิมจงอินก็รู้สึกโกรธได้ง่ายดายเหลือเกิน แหงล่ะ เขายังจำได้ไม่ลืมว่าหมอนี่ทำอะไรเอาไว้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นในห้องน้ำพรีเฟ็คหรือที่ห้องเก็บไม้กวาด แต่ก็เพราะแบบนั้นไม่ใช่หรือไง เขาถึงได้อยากจะเอาคืนด้วยการจับให้ได้ว่าคนไม่น่าไว้ใจอย่างโอเซฮุนกำลังคิดอะไรเลวๆ อยู่กันแน่

     

     

    “พอดีว่าฉันเป็นพวกชอบเสี่ยง มันคุ้มจะตายถ้าได้ทำให้นายโดนไล่ออกจากฮอกวอตส์”

     

     

    “...” แวบหนึ่งที่นัยน์ตาเจ้าเล่ห์ฉายแววเย็นชาจนคนถูกมองขนลุกซู่ ปฏิกิริยาเท่านี้ก็มากเกินพอแล้วสำหรับการยืนยันว่าสิ่งที่เขาคิดมันถูกต้อง “นายรู้อะไรมา?”

     

     

    เซฮุนขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีกหนึ่งก้าว หนังสือพัฒนาการพ่อมดศาสตร์ถูกวางเก็บบนชั้นหนังสือใกล้มืออย่างลวกๆ เจ้าชายแห่งบ้านสลิธีรินทำเหมือนตั้งใจเล่นงานเขาด้วยบางวิธีการ จงอินไม่คิดว่าตนเองจะแพ้ แต่ก็หลายครั้งหลายคราเหลือเกินที่เขาถูกคนตรงหน้าอ่านความเคลื่อนไหวแล้วตลบหลังได้สำเร็จ

     

     

    โชคดีว่ามีเสียงโต้เถียงกันเบาๆ ของนักเรียนในล็อกหนังสือใกล้ๆ โชคดียิ่งกว่าที่นี่คือห้องสมุดซึ่งมีคนอยู่มากมาย อย่างไรโอเซฮุนก็คงไม่กล้า

     

     

    ผิดคาดว่าเขาถูกกระชากหลบจากบริเวณติดผนังให้มาซ่อนอยู่อีกด้านของชั้นหนังสือ ล็อกวิชาอักษรรูนโบราณแทบจะเป็นมุมอับของห้องสมุดไปโดยปริยายเมื่อนักเรียนน้อยคนนักที่จะสนใจภาษายากๆ อย่างรูน! สายตาของโอเซฮุนตอนนี้กำลังจับจ้องมองทิศทางต้นเสียงอย่างเคร่งเครียด ทุกครั้งที่ลงมือกลั่นแกล้งเขา อีกฝ่ายดูไม่ได้สนใจว่าจะมีใครมาพบเจอซึ่งผิดจากเวลานี้ลิบลับ

     

     

    แต่หลังจากนั้นอีกเพียงเสี้ยววินาที ตาสีเข้มคู่นี้ก็กลับมาฉายแววกะลิ้มกะเหลี่ยดังเช่นปกติ

     

     

    “อะไรที่นายคิดว่าจะไล่ฉันออกจากฮอกวอตส์ได้อย่างนั้นหรือ”

     

     

    ทีแรกจงอินคิดว่าถ้าได้ขู่อีกฝ่ายนิดๆ หน่อยๆ คงจะน่าสนุก แต่หลังจากเห็นสายตาเมื่อครู่นี้แล้ว เขาตัดสินใจเปลี่ยนความคิดทันที

     

     

    “ยังไม่รู้ แต่ฉันจะหามันจนเจอแน่”

     

     

    เซฮุนกระตุกยิ้ม เลื่อนริมฝีปากเข้ามาใกล้ใบหูเขาแล้วพูดด้วยเสียงแหบพร่าที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน “หลังการสอบว.พ.ร.ส. ฉันจะยอมให้นายตรวจเช็กทุกๆ อย่างเลยดีไหม?”

     

     

    คนฟังขมวดคิ้ว หมอนี่ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่เสนอตัวให้เขาจับผิดทื่อๆ อย่างนี้ หรือโอเซฮุนมั่นใจมากว่าคนอย่างคิมจงอินจะจับไม่ได้ไล่ไม่ทันกันเล่า หมายความว่าต่อให้เขาบอกออกไปเรื่องห้องประสงค์ ก็ยังยินยอมจะให้เข้าไปเห็นกับตาอย่างนั้นหรือ

     

     

    แน่นอนว่าคิมจงอินยิ้มตอบ “เชื่อก็บ้าแล้ว... บราคีอาบินโด

     

     

    ไม้กายสิทธิ์ที่จงอินลอบถือส่งแรงปะทะบางอย่างเข้าใส่เซฮุนจนถอยหลังกระแทกกับชั้นหนังสือ ทั้งแขนและมือหุบลงแนบติดลำตัวราวกับถูกรัดด้วยเชือกที่มองไม่เห็น มาดามฟินช์ส่งเสียงถามดังลั่นว่าเกิดอะไรขึ้น จงอินแน่ใจว่าหล่อนคงสาวเท้ามาเจอคุณชายสลิธีรินในสภาพดูไม่จืดในไม่ช้า คราวนี้เป็นทีให้เขาหัวเราะเบาๆ เชิงขำขันคนตรงหน้าบ้างแล้ว

     

     

    “ถ้านี่ไม่ใช่ห้องสมุดล่ะก็ ฉันจับนายลอยกลับหัวแน่ๆ”

     

     

    เขาเสียบไม้กายสิทธิ์ไว้ในเสื้อคลุมตามเดิม ก่อนจะเดินยิ้มจากไปโดยไม่แยแสสีหน้าไม่สบอารมณ์ของโอเซฮุนแม้แต่น้อย จริงอยู่ว่าพักหลังมานี้จงอินทำตัวให้หมอนี่ประมาทได้ว่าเขาไม่มีน้ำยา ลองถูกเล่นงานคืนแบบไม่ทันได้ตั้งตัวบ้าง จะได้รู้ว่าที่ใช้ช่องว่างเล่นงานคู่ปรับคนนี้มาครั้งแล้วครั้งเล่ามันน่าเจ็บใจอย่างไร

     

     

    คิมจงอินจากไปแล้ว เซฮุนได้แต่หัวเราะสมเพชตนเองที่พลาดท่าจนได้ ยอมรับโดยสัตย์จริงว่าเมื่อสักครู่นี้คุณชายตระกูลโอไม่มีสติมากนัก เมื่อไรที่สูญเสียความสุขุม ผลตอบแทนของมันมักจะเจ็บแสบเสมอ

     

     

    “อีแมนซิปาเร” ทันทีที่ใช้ความพยายามจนหยิบไม้กายสิทธิ์ในเสื้อคลุมได้ เขาก็แก้คาถามัดตัวได้ทันก่อนที่มาดามฟินช์จะตามเจอ เซฮุนคว้าหนังสือ การศึกษาพัฒนาการพ่อมดศาสตร์ในยุคปัจจุบัน แล้วเดินออกจากจุดเกิดเหตุได้เฉียดฉิว ต่อให้ตนเองเป็นคนถูกใช้คาถาใส่ก็ช่าง แต่นกแร้งแห่งห้องสมุดคงจะบ่นไม่เลือกบุคคลนักหรอก

     

     

    มือขาวซีดยกขึ้นเสยเรือนผมอย่างหัวเสีย เพราะอย่างนี้ไม่ใช่หรือไงเล่า เขาถึงต้องหัดสกัดกั้นความรู้สึกนึกคิดของตนเองให้มากกว่านี้ แค่ถูกคิมจงอินสงสัยเข้าหน่อยก็ร้อนตัวเสียได้ พอมานึกดูแล้วจึงแน่ใจว่าอีกฝ่ายคงยังไม่รู้อะไรแน่นอน เพราะสิ่งที่โอเซฮุนกำลังทำอยู่นั้นไร้ซึ่งหลักฐาน ไร้ซึ่งคนรับรู้ จะมีก็แต่หัวใจซึ่งค่อยๆ ดำดิ่งลงสู่ความมืดมิดเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

     

     

    ซึ่งสิ่งนี้เท่านั้นที่คิมจงอินไม่มีทางเห็น และไม่มีวันเห็น

     

    เพราะหัวใจของโอเซฮุนอยู่นอกสายตาของคนคนนั้นเหลือเกิน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ในที่สุด สองสัปดาห์แห่งการสอบสุดหฤโหดก็มาถึง หิมะละลายหมดแล้ว อีกทั้งอากาศก็เริ่มจะร้อนขึ้นจนนักเรียนบางคนเลือกที่จะไม่ใส่สเวตเตอร์ในเครื่องแบบนักเรียน การสอบถูกจัดเป็นหนึ่งวันต่อหนึ่งวิชา โดยช่วงเช้าจะเป็นการสอบข้อเขียน ส่วนช่วงบ่ายเป็นการสอบภาคปฏิบัติ สำหรับวันแรกนั้นนักเรียนปีห้าต้องเข้าสอบวิชาเวทมนตร์คาถา ซึ่งถ้าใครตั้งใจเรียนในมากพอก็คงจะไม่รู้สึกหวั่นเกรงนัก

     

     

    คิมจงอินผ่านการสอบวันแรกมาได้ด้วยสภาพอิดโรย เขาแน่ใจว่าตนเองคงไม่สอบตก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ถึงระดับเกินความคาดหมายหรือเปล่า ทุกวิชาที่ลงสอบในว.พ.ร.ส. (การสอบวิชาพ่อมดแม่มดระดับสามัญ) จะส่งผลถึงการเลือกเรียนต่อเฉพาะทางในชั้นปีหกและปีเจ็ด นักเรียนส่วนใหญ่จึงเคร่งเครียดและกดดันกับมันมาก เท่าที่ได้ยินมาจากแทม เห็นว่าเมื่อคืนนี้คริสตัลถึงกับอาเจียนเพราะตื่นเต้นเกินเหตุ ยังไม่รวมถึงอีกหลายคนที่เริ่มมีอาการประหลาด และดูจะแปลกมากยิ่งขึ้นเมื่อผ่านพ้นการสอบในวันแรกไป

     

     

    เขาไม่เคยรู้สึกว่าวิชาของศาสตราจารย์ฟิเลียส ฟลิตวิกจะยากเย็นขนาดนี้มาก่อน ยิ่งเมื่อถูกคุมสอบด้วยเจ้าหน้าที่จากกระทรวงซึ่งใช้สายตาดุจดังผู้คุมวิญญาณคอยสอดส่องหาการทุจริตในห้องสอบ พอพ้นออกมาแทนที่จะได้หายใจหายคอให้คล่อง กลายเป็นว่าต้องรีบมาเปิดหนังสือติวสอบวิชาแปลงร่างต่อในวันพรุ่งนี้  แล้วยังตามมาด้วยวิชาสมุนไพรศาสตร์ในวันมะรืนอีก โชคดีว่าวิชาปรุงยาถูกจัดเวลาอยู่สัปดาห์หน้า ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องอาเจียนออกมาเป็นตัวหนังสือจริงๆ อย่างแน่นอน

     

     

    ถัดจากการสอบว.พ.ร.ส.ก็จะเป็นการสอบส.พ.บ.ส. (การสอบวัดระดับความรู้พ่อมดเบ็ดเสร็จสมบูรณ์) ของพวกปีเจ็ดตามมาติดๆ ป่านนี้ชานยอล ลูคัส หรือแม้แต่แซมก็คงกำลังอ่านหนังสือกันหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนกัน เขารู้ว่าสามคนนั้นทำได้และจะทำได้ดีแน่ๆ ถึงอย่างนั้นก็อดใจหายไม่ได้เมื่อพบว่าปีสุดท้ายที่ได้อยู่ในรั้วโรงเรียนเดียวกันกับปาร์คชานยอลกำลังจะหมดลงแล้ว

     

     

    หลังการสอบวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดในวันพฤหัสบดี จงอินจึงฝากบอกผ่านลูคัสว่าเขามีเรื่องคุยกับชานยอลก่อนการสอบส.พ.บ.ส.จะมาถึง

     

     

    เมื่อขึ้นมาถึงหอคอยดูดาว เขาก็พบว่าชานยอลยืนรออยู่ก่อนแล้ว

     

     

    ปกติแล้วที่นี่ห้ามไม่ให้นักเรียนชั้นปีใดขึ้นมาโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะอย่างนั้นมันจึงเป็นสถานที่ที่เงียบเชียบและเป็นส่วนตัวที่สุดแม้ว่าจะอยู่ในช่วงสอบ ครั้งนี้คิมจงอินไม่ได้สวมเสื้อคลุมมาด้วย แม้จะเป็นตอนกลางคืนแล้ว แต่เขาก็ยังอยู่ในชุดนักเรียนผูกเนกไทสีแดงสลับเหลืองเช่นเดียวกับตอนที่ไปหาลูคัสอยู่ดี ผิดกับชานยอลซึ่งสวมเสื้อแขนยาวใส่สบายเช่นที่มักจะเห็นในห้องนั่งเล่น ใต้ดวงตากลมโตปรากฎรอยหมองคล้ำเพราะการอดหลับอดนอนฝืนอ่านหนังสือ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อดีตกัปตันทีมควิดดิชดูดีน้อยลงแต่อย่างใด

     

     

    “ถ้าเรียกฉันมาเพื่อจะทำให้เครียดหนักกว่าเก่าล่ะก็ ฉันจะไม่ให้อภัยนายเลย คิมจงอิน” ชานยอลพูดติดตลก ผมสีดำปลิวตามแรงลมจนดูยุ่งเหยิง หากแต่นั่นก็ไม่น่ารำคาญเท่ากับเสียงหัวใจเขาในตอนนี้เลย

     

     

    “ฉันกลัวว่าหลังจากสอบส.พ.บ.ส.แล้ว นายจะยิ่งหลบหน้าเก่งกว่าเก่าน่ะซี”

     

     

    “...” อีกฝ่ายชะงักไปนิดหน่อย “อย่างนั้นก็น่าจะดีไม่ใช่หรือ เป็นอย่างที่เราเป็นมาตลอดหลายเดือน อีกเดี๋ยวมันก็ง่ายแล้ว”

     

     

    ง่ายในแบบของชานยอลคืออะไร คิมจงอินเข้าใจมันอย่างถ่องแท้แล้ว นั่นหมายถึงความห่างเหินภายใต้รอยยิ้มนุ่มละมุนที่คนตรงหน้ามักจะส่งมาให้ หมายถึงการพูดคุยด้วยนำเสียงอ่อนโยนแต่น้อยเท่าที่จำเป็น และอาจจะหมายถึงการตัดขาดโดยสิ้นเชิงเมื่อไม่มีเหตุและผลให้ทั้งสองต้องเกี่ยวข้องกันอีก

     

     

    “นาย... ทำไม่ได้สินะ”

     

     

    ตอนนี้ฉันยังวนเวียนอยู่รอบตัวนายก็เพราะมีความหวัง แต่สักวันเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แน่

     

     

    เขาใช้ดวงตาสีเข้มสบมองคนตรงหน้า ชานยอลสงบนิ่งไม่ผิดไปจากที่คาดเอาไว้ ไม่แม้แต่จะแสดงความร้อนรน กระตือรือร้น หรือเอ่ยถามออกมาสักคำว่าเขากำลังพูดถึงสิ่งใด สัญญากลางสนามควิดดิชในช่วงสิ้นปีปรากฎขึ้นชัดเจนตลอดเวลาที่คนทั้งคู่ต้องอยู่ร่วมบ้าน เข้าซ้อมกับทีมควิดดิช หรือพยายามมองข้ามความกระอักกระอ่วนและยิ้มพูดคุยต่อกัน แต่มาวันนี้ความอดของปาร์คชานยอลกำลังจะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว หากไม่ต้องอยู่ใกล้ ใจที่รักเพียงข้างเดียวก็ไม่ต้องทรมานอีก

     

     

    “ใช่ ฉันพยายามแล้ว” คนถูกถามเอ่ยตอบเสียงเรียบ

     

     

    ได้ยินอย่างนั้นจงอินก็สูดลมหายใจลึก สาวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว นับหนึ่งถึงสามในใจแล้วค่อยๆ ยกมือสั่นเทาขึ้นแตะใบหน้าอีกฝ่าย

     

     

    “ถ้าอย่างนั้น... ฉันจะพยายามเอง”

     

     

    หลบซ่อนส่วนที่มืดมนเอาไว้ลึกสุดใจ

     

     

    ปาร์คชานยอลเบิกตาโพลงเมื่อรู้สึกได้ถึงริมฝีปากอิ่มอุ่นซึ่งทาบทับลงมา ดูเหมือนว่าการส่งต่อตำแหน่งกัปตันทีมจะเป็นการส่งมอบความกล้าไปด้วย แม้เป็นเพียงแค่การแตะริมฝีปากลงมาผะแผ่วเพียงไม่กี่วินาทีก็ผละออก แต่นี่มันเหนือคาด เหนือคาดชัดๆ กับการที่คิมจงอินจะเป็นฝ่ายจูบก่อน

     

     

    อดีตกัปตันหนุ่มยกปลายนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองไม่ได้ฝันไป เห็นอย่างนั้นจงอินก็อายจนแทบบ้า ถึงกับบ้าบิ่นยิ่งกว่าการไล่จับลูกสนิชครั้งไหนๆ ที่เขาเคยทำมาเสียอีก

     

     

    “นี่มัน...” เสียงทุ้มพูดเบาหวิว “หมายความว่ายังไง”

     

     

    จงอินถอนหายใจ “มาคิดๆ ดูแล้วฉันก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจนาย ไม่เลยสักนิด ดังนั้นมันคงไม่เป็นไรถ้าจะยุติความอึดอัดระหว่างเราแบบนี้”

     

     

    “...”

     

     

    “อย่าหนีหน้าจากฉัน อย่าขาดการติดต่อ และอย่าทำเหมือนเราไม่เคยรู้จักกัน”

     

     

    คิมจงอินไม่รู้ว่าทำถูกต้องหรือไม่ ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้แย่อะไรนัก เขายังไม่ได้ตกลงคบกับชานยอล แค่ไม่ปฏิเสธหากจะค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์อย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังจากนี้ สักวันหนึ่งความรู้สึกที่มีคงเพิ่มพูนมากขึ้นตามกลไกที่มันควรจะเป็น

     

     

    เขาคิดเช่นนั้น จนกระทั่งชานยอลเป็นฝ่ายเลื่อนใบหน้าเข้ามาจูบเสียเอง วงแขนที่โอบรัดทั้งร่างของเขาเอาไว้ช่างแข็งแกร่งสมกับเป็นเชสเซอร์มือหนึ่ง และเพียงแวบเดียว ที่ใบหน้าของโอเซฮุนเมื่อยามรุกเร้าเขาในห้องเก็บไม้กวาดกลับปรากฎขึ้นในห้วงคิด

     

     

    จงอินหลับตาลงหวังขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้น เขาอยากดื่มด่ำกับรสจูบของชานยอลเพื่อมโนภาพว่าการคบหากับอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร ถึงอย่างนั้นในหัวก็ยังเต็มไปด้วยภาพในห้องน้ำพรีเฟ็คเมื่อคืนงานพร็อม น่ารังเกียจเสียจนเผลอใช้สองมือผลักคนตรงหน้าออกโดยไม่รู้ตัว

     

     

    ชานยอลตกใจนิดหน่อย ถึงอย่างนั้นก็ยิ้มออกมาและกดศีรษะเขาจนจมอก

     

     

    “ขอโทษที ฉันแค่ดีใจจนห้ามตัวเองเอาไว้ไม่ไหวน่ะ”

     

     

    ฝังลงไปให้ลึกกว่านี้... กับความทรงจำเหล่านั้น นอกจากน่ารังเกียจแล้วจงอินก็ไม่รู้จะให้ค่าอะไรกับมันอีก


     

     

     

     

     

    -------------------------------------------



    สปอยล์ให้ทราบโดยทั่วกันว่า ตอนหน้าจะเป็นพาร์ทสุดท้ายของการเป็นนักเรียนปีห้า

    และเป็นพาร์ทสุดท้ายในฐานะนักเรียนปีเจ็ดของปาร์คชานยอลค่ะ

    อีกทั้งยังจะเป็นจุดเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่าง ที่ส่งผลถึงเนื้อเรื่องในอนาคตด้วย

    ใครจะกรีดร้องดีใจ หรือน้ำตาตกใน... อะก็ยังไม่แน่ เรื่องยังอีกไกล


    เดาพล็อตกันแม่นเหมือนจับวางเลยอะ.... 55555555555555

    ชอบอ่านเวลาเดาพล็อตมากเลยค่ะ สนุกและตื่นเต้นว่าจะมีใครเดาถูกมั้ยนะ เอะๆ


    ชอบไม่ชอบยังไง คอมเมนท์หรือติดแท็กเป็นกำลังใจให้กันได้ที่ #เรดสนิช นะคะ



     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×