ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) DARK HORSE | chanbaek hunbaek

    ลำดับตอนที่ #6 : EPISODE 5 | NEW BORN

    • อัปเดตล่าสุด 5 พ.ย. 59









     



    DARK HOUSE

         間違えている箇所もあります。

    ….

    f i v e

     

     




     

     

    จุดหมายไม่เคยสนใจวิธีการ

     

     

     

     







     

     

    ครับ ผมเคยอยู่วงเกลย์จริงๆ แต่เป็นเมื่อสองปีก่อนจะมาอยู่อาร์ค ซึ่งเราจากกันด้วยดีครับ

     

     

    ภาพของปาร์คชานยอลในการให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการใต้ตึกเนเบอร์ที่ดูเหมือนการแถลงข่าวขนาดย่อมถูกถ่ายทอดไปทั่วทุกช่องรายการข่าวบันเทิง ริมฝีปากอิ่มนั้นขยับเป็นรอยยิ้มซึ่งไมได้ทำราวกับว่านี่เป็นเรื่องใหญ่อะไรนักทำให้บรรยากาศโดยรอบผ่อนคลายลง ซ้ำข้างตัวยังมีสมาชิกของอาร์คอีกสามคนซึ่งยืนร่วมการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้

     

     

    หลังจากลงมาถึงโถงประชุม วงร็อคชื่อดังก็ไม่อิดออดต่อนักข่าวที่รุมเข้ามาหลังจากดักรออยู่ทางด้านล่างตึกนับตั้งแต่มีข่าว หนำซ้ำ หัวหน้าวงอย่างอู๋อี้ฟานยังออกปากเสริมอีกว่าผม ลู่หาน และจงอินเองก็เคยได้มีโอกาสรู้จักกับชานยอลมาตั้งแต่ตอนนั้น ทุกอย่างโอเคดีครับ

     

     

    แล้วภาพที่ถูกปล่อยว่อนโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับที่ชานยอลดึงตัวนักร้องนำของเกลย์ออกไปตามลำพังล่ะคะ

     

     

    ไม่ใช่ลำพังนี่ครับ มือกีต้าร์สวนเสียงเรียก เรียกไมค์ทุกตัวให้ย้อนกลับไปจ่ออยู่ที่เขาอย่างกับรู้อยู่แล้ว สมาชิกทุกคนมากับผม หรือว่าภาพนี้ไม่ได้ถูกถ่ายไว้?

     

     

    มีความหมายอะไรหรือเปล่าคะ

     

     

    เราเป็นเพื่อนเก่าที่ไมได้เจอกันตั้งสองปี แต่จะให้ผมกอดคอพวกเขาตรงนั้น ผู้เข้าประกวดคนอื่นๆก็คงจะเสียสมาธิใช่ไหมล่ะครับ

     

     

    คำโกหกซึ่งย้อนแย้งกับความเป็นจริงในใจบยอนแบคฮยอนถูกพ่นออกมาจากปากนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทันทีที่มือเรียวเล็กพยายามจะแย่งรีโมทโทรทัศน์มากดปิด โอเซฮุนก็กอดมันไว้แนบตัวพร้อมทั้งขยับหนีไปจนสุดโซฟา นั่นทำให้คนเป็นพี่หงุดหงิดยิ่งกว่าเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจุนมยอนยังดีดเบสเพลงคลอคสไตรค์อยู่ตรงนั้นและคยองซูนั่งกระดกเบียร์หน้าตาเฉย

     

     

    ไม่มีใครเป็นเดือดเป็นร้อนกับคำสั่งเก็บตัวให้อยู่แต่ภายในห้องนี้ หรือแม้แต่การที่มีแต่อาร์คซึ่งออกสื่อมาแก้ข้อครหาด้วยท่าทางสบายๆ ซ้ำยังยืนยันสัมพันธ์อันดีและฝากติดตามผลงานของวงเพื่อนสนิทได้อย่างหน้าตาเฉย ข้อความในอินเตอร์เน็ตต่างพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างถึงพริกถึงขิง คลิปการแสดงเก่าๆของเกลย์ถูกโพสลงเป็นว่าเล่นทั้งจากกลุ่มแฟนคลับเก่าๆและพวกที่ไปเสาะหามาจากแฟนคลับในท้องที่ แต่ที่ทำให้บยอนแบคฮยอนโมโหที่สุดคือแทบทุกคนเรียกเกลย์ว่าวงเก่าชานยอล

     

     

    สนิทบ้าสนิทบออะไร!

     

     

    ทิ้งตัวลงบนเตียงหลังจากปิดประตูเสียงดังใส่ไอ้บ้าทั้งสามคนทางด้านนอก หงุดหงิดกับท่าทางไม่รู้สึกรู้สาของคนอื่นๆหลังจากที่จงแดโทรมาแจ้งว่าทางบริษัทตัดสินใจให้เกลย์เก็บตัวเงียบๆแทนที่จะมีการแถลงข่าวตั้งแต่ยังไม่เปิดตัว แต่พอท้วงกลับไปเรื่องข่าว ปลายสายก็ตอบแค่ว่าจัดการให้แล้ว ให้รอดูทางโทรทัศน์

     

     

    แต่ใครจะคิด -- ใครจะคิดบ้างว่าไอ้วิธีดังกล่าวนั่นหมายถึงให้อาร์คยื่นมือลงมาช่วยด้วยคำพูดหนักแน่นและเสริมแต่งความจริงอย่างนั้น อ้อแน่ล่ะ จะพูดได้อย่างไรล่ะว่าปาร์คชานยอลน่ะทิ้งวงตัวเอง ยื่นไมค์มาทางนี้เลยสิ บ้าเอ๊ย

     

     

    เกลย์จะต้องตามเป็นเงาของหมอนั่นไปถึงเมื่อไร เพราะปาร์คชานยอลคนเดียวที่เป็นต้นเรื่องของทุกอย่าง แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร ทั้งกระแสบวกและลบในอินเตอร์เน็ตก็มีผลมาจากอาร์คทั้งสิ้น

     

     

     

     

    คิดถึง...

     

     

     

     

    ทุกครั้งที่หลับตาลง เสียงนั้นก็มักจะดังอยู่ข้างหูจนต้องเด้งตัวขึ้นมาหาอะไรดับความฟุ้งซ่านซึ่งเข้าเล่นงานจิตใจ แบคฮยอนเห็นว่าโลกทั้งใบกลายเป็นสีเทาหลังจากวันนั้น และใช่ เขาชอบเสียด้วย ชอบที่ได้ตอกหน้าปาร์คชานยอลไปทั้งหัวใจที่เจ็บเจียนตาย ความทรงจำเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายแผดเผาความรู้สึกจนมอดไหม้

     

     

    เขาย้ำกับตัวเองว่าถ้าเกลย์ที่เคยมีปาร์คชานยอลคือชีวิต อย่างนั้นแบคฮยอนคงตายไปแล้ว และคนตรงนี้ไม่ใช่บยอนแบคฮยอนคนเดิมอีก

     

     

    ริมฝีปากพึมพำเพลงท่อนหนึ่งออกมา

     

     

    ไม่มีอะไรที่เป็นนิรันดร์ เมื่อไรที่พูดเช่นนั้น

    ทุกอย่างก็คงลงเอยที่ความเจ็บปวด เดียวดาย

    ถึงแม้อยากเชื่อว่ามันมีอยู่

    แต่การโดนหักหลังกลับกลายเป็นแผลร้ายฝังลึก

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เฮสเทียเรียกประชุมเกลย์ในวันต่อมาว่าสามารถใช้โอกาสตรงนี้เป็นจุดขายได้ ซึ่งแน่นอนล่ะ แบคฮยอนเกือบจะเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ถ้าไม่ได้อีกสามคนที่เหลือคอยยั้งเอาไว้ว่าให้เก็บนี่เป็นเรื่องส่วนตัว กระแสของเกลย์แตกเป็นสองฝั่งใหญ่ๆ ฝั่งหนึ่งคือฝั่งที่สนับสนุนเพราะว่าได้ชื่ออาร์คและการเป็นอดีตสมาชิกของชานยอลรับประกัน ส่วนอีกฝั่งค่อนไปทางความรู้สึกเฉยๆจนถึงท้าทายถ้าเกลย์ไม่เจ๋งจริง นั่นเป็นเหตุผลที่แผนการตลาดทุกอย่างถูกล้มและต้องปรับเปลี่ยนกันยกใหญ่ในวันนี้

     

     

    “ที่จริงแล้ว ผมมีเรื่องหนึ่งจะเสนอ” คิมรยออุคม้วนกระดาษเอสี่ในมือหน้าเครียด ก่อนพูดก็ส่งสายตาหยั่งเชิงไปถึงตัวศิลปินที่รอฟังคำนั้นอย่างใจจดใจจ่อ “ผมคิดว่าเราไม่ควรเปิดตัวในชื่อเกลย์ ไม่อย่างนั้นคนก็ติดภาพลักษณ์วงเก่าของชานยอลอย่างนี้ไปเรื่อยๆ”

     

     

    เมื่อห้องทั้งห้องเงียบกริบ เขาจึงพูดสำทับซ้ำขึ้นมาอีก “ผมก็แค่เสนอน่ะ”

     

     

    ทั้งสี่คนมองหน้ากัน ก่อนโอเซฮุนจะเป็นคนแรกที่ยกมือเห็นด้วยเพราะเป็นสมาชิกที่เข้ามาทีหลัง เหลือแค่เกลย์โดยสายเลือดทั้งสามคนซึ่งขมวดคิ้วมุ่นอยู่พักใหญ่

     

     

    “ผมเห็นด้วย ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นอย่างนี้ไปแล้ว ชื่อเกลย์เองก็คงไม่ได้ส่งผลในทางบวกอย่างที่เราคาดหวังกันไว้” จงแดเสริมขึ้นด้วยทีท่าจริงจัง สองมือขยับขึ้นมาประสานบนโต๊ะแล้วว่าต่อ “พวกเธอเองคงไม่อยากถูกเรียกว่าวงเก่าของชานยอลไปเรื่อยๆ ก็ขอให้คิดเสียว่านี่คือการเริ่มใหม่จากศูนย์”

     

     

    ชื่อเกลย์นั้นมีความหมายเกินกว่าจะใช้เวลาตัดสินใจแค่ไม่กี่นาทีแล้วยอมทิ้งมันไปง่ายๆ ทั้งสามคนขอเวลาปรึกษาหารือเป็นการส่วนตัวและจะให้คำตอบเรื่องนี้ในภายหลัง นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ปฏิทินตั้งโต๊ะขนาดเล็กถูกขีดเขียนแผนการโปรโมตจนเต็มในหนึ่งชั่วโมงต่อมา

     

     

    จงแดเรียกเด็กฝึกงานทุกคนให้เข้ามาร่วมในห้องประชุมด้วย เพลงคลอคสไตรค์ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วถูกเปิดจนเสียงดังกระหึ่มไปทั่วห้องในขณะที่หลายต่อหลายคนหลับตาตั้งสมาธิในการฟัง แบคฮยอนได้ยินเสียงทุ้มของเด็กข้างตัวฮัมเบาๆตามไปด้วยตอนที่เพลงขึ้นท่อนฮุค

     

     

    “ผมว่าท่อนฮุคปังมาก” เด็กผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้นเป็นคำแรกหลังจากฟังรอบแรกจบ คนนี้แหละที่เกลย์เห็นว่าแอบขยับเท้าตามไปด้วยตลอดเพลง “เสียงเครื่องดนตรีทุกอย่างมันเด่นไปหมดเลย มัน -- ผมบอกไม่ถูก แต่ผมคนหนึ่งล่ะที่ชอบมาก”

     

     

    “มันฟังง่ายดีค่ะ ต่อให้คนที่ไม่ได้ชอบเพลงร็อคก็น่าจะชอบ”

     

     

    ในเมื่อความเห็นทุกคนบอกว่าผ่าน อย่างน้อยซิงเกิลแรกก็คงไม่คว้าน้ำเหลวสำหรับการเปิดตัวในฐานะศิลปิน หลังจากเรียบเรียงคลอคสไตรค์เป็นที่น่าพอใจแล้ว ทั้งสี่คนรวมถึงจงแดก็ใช้เวลาอีกหลายต่อหลายวันเพื่ออัดเพลงในซิงเกิลอีกสองเพลงและแก้มันซ้ำๆเพื่อใส่รวมอยู่ในซิงเกิล เพลงหนึ่งเป็นเพลงฟังสบายๆที่มีความยาวถึงห้านาทีครึ่ง ส่วนอีกเพลงเป็นอัลเทอร์เนทีฟร็อคจังหวะกลองหนักๆที่คงจะมันส์น่าดูเวลาขึ้นแสดงสด

     

     

    อีกชั่วโมงกว่าที่เพลงสามเพลงถูกเปิดวนไปวนมาเพื่อวิเคราะห์และวิจารณ์ออกมาในแง่การตลาด เด็กฝึกงานกลับออกไปแล้ว สิ่งที่ถูกฉายสไลด์อยู่บนหน้าจอคือลายมือหวัดๆของควอนโบอา หัวหน้าฝ่ายครีเอทีฟมาร์เก็ตติ้งของค่ายซึ่งกำลังชี้แสงจากพวงกุญแจเลเซอร์ขนาดเล็กไปตามแผนผังต่างๆที่คนในทีมช่วยกันร่างขึ้นมา

     

     

    “เราต้องสร้างตัวตนใหม่” โบอาพูดเสียงดัง “ฉันนึกไปถึงข้อเสนอของรยออุค นั่นมันเข้าท่าเลย อย่าหาว่าดูถูกเลยนะ แต่จุดนี้ พวกเธอเป็นศิลปินแล้ว ต้องมีความเปลี่ยนแปลงเพื่อขายได้เรื่อยๆ อย่าไปยึดติดกับอะไรที่เคยเป็น”

     

     

    เซฮุนพยักหน้าหงึกหงักเหมือนเด็กว่าง่าย จะว่าไปก็ยังเขินๆอยู่เหมือนกันที่เห็นหน้าตัวเองใหญ่บะเริ่มในกระดาษไซส์โปสเตอร์ที่ถูกติดอยู่ตรงบอร์ดด้านหน้าห้องประชุม ไม่อยากจะนึกถึงวันที่ต้องขึ้นไลฟ์คัมแบ็ค ออกรายการวาไรตี้ หรือเดินสายแสดงสดอะไรเทือกๆนั้นเลย อา... ให้ตายเถอะ นี่เขาจะมีโอกาสได้เจออาร์คตัวเป็นๆแบบครบทั้งวงอีกไหมนะ

     

     

    “เอาเป็นว่าผมโอเคนะ” เสียงของคยองซูโพล่งขึ้น มือกลองประจำวงหันไปมองนักร้องนำและมือเบสที่นั่งข้างกันเพียงครู่หนึ่งก่อนจะว่าต่อ “ยังไงนี่ก็เหมือนเริ่มใหม่อยู่แล้ว ผมโอเคถ้าเราจะสร้างภาพลักษณ์ใหม่ที่ไม่ใช่เกลย์”

     

     

    จุนมยอนอึกอักหลังจากฟังคำนั้น เขาและแบคฮยอนยังไม่มีคำตอบให้กับเรื่องนี้ โบอารู้ เธอถึงตัดสินใจพูดถึงแผนการโปรโมตต่อไปโดยไม่ทิ้งช่วงเสียเวลานานนัก

     

     

    “ช่วงนี้ สตูดิโอใหญ่แถวยงซานจะว่างช่วงราวๆวันที่สองถึงแปด การจัดเตรียมสถานที่สักสองวันน่าจะพอ แล้วถ่ายวันหนึ่งให้เสร็จ ถ้าได้เรื่องชื่อวงแล้วเนี่ย เดี๋ยวเราจะนัดประชุมกับทางโปรดัคชั่นอีกทีว่าสามวันนี่ไหวไหม ช่วงนี้พวกเธอก็ดูแลหุ่นแล้วก็หน้าตาผิวพรรณให้ดีๆหน่อยนะ ให้พี่โคดี้เขาแนะนำครีมเคริม เพราะทรงผมสีผมอะไรก็ใช้ได้แล้ว เอ้อ แล้วนี่คอนเซปท์ที่เราคุยกันไว้ คอสตูมเขาจะจัดการกันทันไหม”

     

     

    การประชุมหลังจากนั้นเป็นไปด้วยความจริงจัง พรีเมียร์เอ็มวีมีกำหนดการอีกสองเดือนนับจากนี้ สัปดาห์หน้าประชุมร่วมกับโปรดัคชั่นเรื่องการถ่ายทำมิวสิควีดีโอและบรีฟคอนเซปท์อีกครั้ง ตำแหน่งการยืนจากซ้ายไปขวาที่พวกเขาจะต้องจำและทำแบบนี้ไปตลอดคือคยองซู จุนมยอน แบคฮยอน และเซฮุน เพราะว่าสูงโดดนำพี่ๆ เด็กหนุ่มจึงกลายเป็นคนที่ต้องใส่ใจเรื่องการยืนพอสมควร ความปรานีอีกเรื่องคือพวกเขาถูกวางคาแรคเตอร์ไม่ต่างจากตัวจริงนัก ในทีแรก จุนมยอนกลัวเหลือเกินว่าจะต้องมีภาพลักษณ์ราชาอย่างอาร์คหรืออะไรที่แฟนตาซีกว่านี้ แบคฮยอนถูกสั่งให้ยิ้มและพยายามทำตัวผ่อนคลายมากขึ้น เชื่อเถอะว่าเจ้าตัวถึงกับทำหน้าเหยเกตอนที่โบอาบอกว่านักร้องคือเอนเตอร์เทนเนอร์ของวง และอย่าตีหน้าเครียดตลอดเวลา

     

     

    “วางแผงซิงเกิลกับปล่อยเอ็มวีวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด ทีเซอร์เคาท์ดาวน์ตัวแรกวันที่ยี่สิบเก้า ทีเซอร์ตัวต่อมาวันที่สอง แล้ววันพฤหัสที่เก้าก็ไปออกพรีเมียร์ในรายการมิวสิคสตาร์ เดี๋ยวจะโทรไปจองคิวเขาไว้” เซฮุนเหล่มองไปทางคยองซู เห็นมือกลองนิติศาสตร์ของวงกำลังใช้ปากกาสไตลัสจดยิกๆลงไปในแอพพลิเคชั่นสเก็ตดวลของจอโทรศัพท์ขนาดห้านิ้วครึ่ง หูก็ฟังพี่โบอาร่ายยาวทวนตารางงานอีกครั้ง จำได้ว่ารายการมิวสิคสตาร์เป็นรายการเดียวกับที่อาร์คใช้เปิดตัวซิงเกิลแทร็ป “แล้วก็วันศุกร์ที่สิบ ขึ้นไลฟ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเคไลฟ์”

     

     

    ทั้งสี่คนทำปากเป็นรูปตัวโอเมื่อชื่อเคไลฟ์ถูกเอ่ยขึ้นมา ช่วงเวลาสุดสัปดาห์วันศุกร์นั้นถูกจดจำไปแล้วว่าสามารถดูความเคลื่อนไหวของวงการเพลงในเกาหลีได้จากช่องเคบีซีกับเคไลฟ์ (Korea Broadcasting Corporation) ถ่ายทอดการแสดงสดไร้ลิปซิงค์ของบรรดาศิลปินทั้งสายร็อคและป๊อบ ส่วนวันเสาร์ต้องยกให้ช่องเอสทีวี (Seoul TV) ที่นับว่าเป็นคู่แข่งเชือดเฉือนกันอย่างฉลาดฉกรรจ์กับเคบีซี มีเรตติ้งเกาะตามกันมาติดๆ

     

     

    “ส่วนวันเสาร์ --”

     

     

    “ออกเอ็มแคปติเวทที่เอสทีวี” เซฮุนพูดสวนทั้งหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ ใบหน้าหล่อเหลานั้นขับดวงตาประกายระยับที่แสดงความพออกพอใจหลังจากหัวหน้าครีเอทีฟมาร์เก็ตติ้งพยักหน้า “เหมือนฝันเลย”

     

     

    “ผมเสนออะไรหน่อย” คิมจงแดโพล่งขึ้นหลังจากนั่งฟังแผนการตลาดทั้งหมดอยู่นาน ทุกอย่างจัดว่าเข้าที่เข้าทางทีเดียวถ้าดูจากระยะเวลาและความพร้อมของเกลย์ เพียงแต่ถ้าเน้นขายงานเพลงจริงๆ ลำพังไอ้ที่ว่ามาก็คงไม่พอ “ผมไม่อยากให้ทิ้งกระแสของเกลย์ในช่วงนี้ เราเหมือนมีอาร์คกรุยทางให้อยู่แล้ว ไม่ควรเงียบไปเฉยๆตั้งสองเดือน”

     

     

    ฝ่ายครีเอทีฟมาร์เก็ตติ้งและอาร์ตไดเรคเตอร์ผงกหัวเห็นด้วยกับความคิดนี้ เว้นเสียก็แต่คนเดิม แบคฮยอนพยายามนิ่งเอาไว้อย่างที่เพื่อนร่วมวงว่า แต่ก็แสดงอาการออกมาโดยการขยับนั่งเก้าอี้จนหลังตรง นั่นทำเอาจุนมยอนกับคยองซูใจหายใจคว่ำในขณะที่เซฮุนยังไม่รู้เรื่องรู้ราว

     

     

    “ทำไลฟ์ เซสชั่นไหม”

     

     

    ทุกคนให้ความสนใจกับไอเดียนี้

     

     

    “หนึ่งเดือนครึ่งจากนี้ ถ้าเราทำไลฟ์เซสชั่นปล่อยออกไปสักสองตัว คัฟเวอร์เพลงที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้ก็น่าจะไม่เลว”

     

     

    “ไอเดียดีนะจงแด ซื้อ” ควอนโบอาขยับปลายปากกาเลเซอร์ชี้ไปทางโปรดิวเซอร์หนุ่มประจำค่าย ในเมื่อตารางงานไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว เรื่องการทำไลฟ์เซสชั่น เธอจึงยกให้เป็นหน้าที่ของโปรดิวเซอร์ที่ดูแลศิลปินกับฝ่ายครีเอทีฟให้รับผิดชอบเรื่องนี้แทน

     

     

    “ไง อยากร้องเพลงไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”

     

     

    “แทร็ป!” เซฮุนตอบคนแรกอีกแล้ว คยองซูกลัวเหลือเกินว่าสักวันหมอนี่จะเซ็นชื่อตัวเองบนหน้าปกอัลบั้มแล้วส่งไปให้สมาชิกในอาร์คแบบเรียงตัว

     

     

    บยอนแบคฮยอนกลอกตาขึ้นมองเพดาน นี่ถ้าไม่ติดที่รู้แก่ใจว่าโอเซฮุนเป็นแฟนคลับตัวยงของวงนั้นแล้วก็ไม่รู้เรื่องของเกลย์เมื่อสองปีก่อนแล้วล่ะก็ เขาคงคิดว่ากำลังถูกเด็กนี่ตีหน้าซื่อกวนประสาทเข้าให้ หงุดหงิดตัวเองเต็มทนที่ต้องมามีปฏิกิริยาทุกครั้งเวลานึกถึงผู้ชายคนนั้น ทั้งที่คนที่ปล่อยให้ปาร์คชานยอลเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตคือเขาเองแท้ๆ ไม่อยากพาลไปทั่วเหมือนคนควบคุมตัวเองไม่ได้อีก

     

     

    “เอาสิ” สองคู่หูหันขวับหลังจากนักร้องนำตอบรับเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงสบายๆ เป็นไปได้อย่างไร แบคฮยอนเนี่ยนะจะร้องคัฟเวอร์เพลงของอาร์ค “ไหนๆก็จะอาศัยเรื่องนี้อยู่แล้วนี่ เพื่อนร้องเพลงของเพื่อนก็คงไม่เป็นไร”

     

     

    ทุกครั้งที่โมโห แบคฮยอนมักจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนแพ้ ภาพของชานยอลบนเวทีในวันนั้นสอนให้ชายหนุ่มเรียนรู้ว่าการไม่รู้สึกรู้สาต่ออะไรเลยต่างหากที่น่ากลัวที่สุด ถ้าต้องทิ้งตัวตนเพื่อความฝัน การไปให้ถึงเป้าหมายโดยใส่ใจวิธีการให้น้อยลงคงดีกว่าอย่างนั้นใช่ไหม ได้ เขาจะคว้าชายเสื้อของอาร์คเอาไว้ ปิดหูปิดตาทำเกลย์ให้เป็นวงที่เจ๋งที่สุด และพอถึงตอนนั้น -- ถ้าเราได้เผชิญหน้ากันแล้ว แบคฮยอนจะเอาชนะเกมครั้งนี้ ต่อให้ต้องกลายเป็นใครสักคนที่มองไม่เห็นตัวตนในหน้ากระจกอีกต่อไปก็ตาม

     

     

    “แล้วก็การตัดสินใจอีกเรื่อง”

     

     

    ริมฝีปากบางขยับพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ตาเรียวรีมองปราดผ่านโปรดิวเซอร์ เพื่อนร่วมวง จนหยุดอยู่ที่ภาพโปรโมตของวงตัวเองบนจอฉายสไลด์

     

     

    “ผมขอลงเสียงว่าให้ทิ้งชื่อเกลย์

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    คิมจุนมยอนตึงไปนิดหน่อยหลังจากเจอคะแนนเสียงสามต่อหนึ่ง พวกเขาอยู่ในระหว่างการเรียบเรียงเพลงแทร็ปขึ้นใหม่ภายใต้ความดูแลของคิมจงแด แบคฮยอนเป็นคนสุดท้ายที่น่าเชื่อว่าจะลงคะแนนเสียงนั้น แต่ถ้าถามว่าโกรธไหม โอ้ไม่หรอก อย่างน้อยๆให้เขาได้งอนสักสองสามวันเถอะ

     

     

    ทั้งสี่คนกลับมาขลุกอยู่ที่สตูดิโออัดเสียงของเฮสเทียอีกครั้งหลังหายจากมันไปนานสองสัปดาห์ จริงๆแล้ว ไลฟ์เซสชั่นไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่นักถ้าเทียบกับการโปรโมตด้านอื่นๆ ศิลปินที่อยู่ตัวแล้วนิยมทำมันเพื่อรักษากระแสในระหว่างที่ไม่มีงานเพลงชิ้นใหม่ แต่นี่จงแดใช้มันเป็นการเปิดตัวกลายๆ การออกแบบวิธีถ่ายทำเน้นวิธีเรียบง่ายแต่ต้องจุดความสนใจ เด็กฝึกงานคนหนึ่งเสนอการส่ายโคมไฟไปมาท่ามกลางฉากสีดำ จากนั้นอาร์ตไดเรคเตอร์จึงเสนออีกว่า อย่างนั้นก็ไม่ต้องเห็นหน้าชัดในวีดีโอ ให้เน้นถ่ายกึ่งเงาซิลูเอท เน้นภาพระยะไกล กลาง แล้วก็โคลสอัพเฉพาะส่วนที่เคลื่อนไหว

     

     

    พอถึงวันถ่ายทำจริงๆแล้วน่าตื่นเต้นเป็นบ้า อย่างกับซ้อมถ่ายมิวสิควีโอสำหรับวันมะรืนอย่างไรอย่างนั้น พวกเขาอยู่ในห้องสตูดิโอเล็กๆและจัดแจงตัวเองอยู่หน้าเครื่องดนตรีประจำตัว มีลำโพงแอมป์ กลองชุด ไมค์ไดนามิค ส่วนเบสกับกีต้าร์นั้นห้อยอยู่ที่คอเจ้าของซึ่งเต๊ะท่าหล่อรอเต็มแก่แล้ว

     

     

    จงแดอยากได้แบบลองเทคยาวตั้งแต่ต้นจนจบเพลง โดยมีข้อจำกัดเพียงแค่สามรอบและต้องเลือกครั้งที่ดีที่สุดนำไปตัดต่อลงสื่อโซเชียลมีเดีย จนกระทั่งวันนี้ ไม่มีใครตัดสินใจเรื่องชื่อวงได้ว่าจะมีชื่อไหนที่ดีไปกว่าเกลย์หริอเปล่า ใช่ รู้ดีว่านี่คือการยึดติด แต่เกลย์ไม่ได้เพิ่งมีแค่สองเดือน สองปี มันนานกว่านั้น เก็บกักเอาความทรงจำช่วงที่ดีที่สุดในชีวิตของทั้งสามคนเอาไว้ โอเซฮุนจึงได้แต่นิ่งเงียบเพราะเขายังไม่ได้หยั่งรากลึกถึงขนาดพี่ๆ และไม่ว่าจะหาชื่อไหนมา คนที่เหลือก็เอาแต่ส่ายหน้าพร้อมทั้งมีเหตุผลหลายแปดมาบอกว่าไม่ถูกใจเอาเสียเลย

     

     

    แทร็ปเวอร์ชั่นของเก -- ของวงน้องใหม่ใช้เวลาถ่ายทำนานถึงสี่ชั่วโมง จงแดตัดสินใจว่าให้ลิงค์เสียงเอาจากเทคสุดท้ายเพราะน่าจะดีที่สุด ไลฟ์เซสชั่นแรกนี้มีกำหนดให้ลงในวันเสาร์หน้า นั่นหมายถึงเหลือเวลาคิดเรื่องชื่อวงอีกเพียงหกวันเท่านั้น

     

     

    “อ้าว”

     

     

    ในขณะที่กำลังเก็บของ เด็กฝึกงานชื่อแจฮยอนเบี่ยงตัวจากคอมพิวเตอร์ซึ่งกำลังโอนถ่ายไฟล์จากเมมโมรี่การ์ดลงเครื่อง มือก็ยกสมาร์ทโฟนขึ้นระดับใบหน้าและส่งต่อให้จงแดซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด โปรดิวเซอร์หนุ่มอุทานออกมาทันทีว่าตายล่ะ เรียกความสนใจจากทั้งสี่คนรวมถึงแผนกครีเอทีฟคนอื่นๆด้วย แบคฮยอนและคยองซูละมือออกจากกระเป๋าทันทีเมื่อเห็นสีหน้าปั้นยากของจงแด ใจกลัวว่าจะมีข่าวไม่สู้ดีออกมาอีกหลังจากที่เพิ่งผ่านพ้นเรื่องเบาะๆอย่างเหตุการณ์วันประกวดไป

     

     

    พอเห็นว่าแบคฮยอนเดินตรงเข้ามาทำท่าจะหยิบไปดูเอง จงแดก็รีบส่งโทรศัพท์คืนให้แจฮยอน พร้อมทั้งกระแอมไอเสียงดังเพื่อบอกข่าวร้ายนั้นจากปากตัวเอง

     

     

    “อาร์ค”

     

     

    ชื่อนี้กระตุกใจว่าที่ศิลปินให้ไหววูบอีกแล้ว

     

     

    “อาร์คจะออกซิงเกิลรีแพคเกจวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด วันเดียวกับเรา”

     

     

    สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในใจจุนมยอนคือ เขาต้องต่อสายหาชานยอลให้เร็วที่สุดเพื่อถามถึงความจงใจนี้ด้วยตัวเอง ไหนพี่โบอาบอกว่าเรื่องกำหนดการยังเป็นความลับจนกว่าจะคิดชื่อวงได้ หริอถ้าชานยอลตอบกลับมาว่านี่คือเรื่องบังเอิญ มันคงเป็นตลกร้ายชั้นยอดทีเดียว ถามใจว่ากลัวไหม พวกเขายังไม่ทันจะได้ตั้งตัวได้ซ้ำ นั่นน่ะวงอัลเทอร์เนทีฟร็อคอันดับหนึ่งในตอนนี้เลยนะ

     

     

    เรียกได้ว่าชนกับอาร์คเข้าจังๆ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    Calling for your -- DEVIL SIDE

     

     

     

     

    “เอาอันนี้แหละ เยี่ยม! เยี่ยมไปเลยลู่หาน” ทันทีที่ร้องท่อนสุดท้ายจบ จางอี้ชิงก็จัดการกดปุ่มสีแดงบนแป้นคีย์บอร์ด เลื่อนปิดดนตรีทุกอย่างแล้วส่งเสียงพูดไปถึงคนในห้องกระจกผ่านไมค์ติดต่อที่ตั้งอยู่ทางขวา นักร้องนำของวงยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ ชูสองแขนขึ้นจนสุดแล้วหมุนตัวไปรอบๆ ก่อนจะเดินเซเหมือนคนเมาแล้วออกมาทางประตูเก็บเสียงหนาเกือบฟุตทางซ้ายมือ

     

     

    เพลงโปรโมตแรกในซิงเกิลรีแพคเกจถูกอัดเสร็จสมบูรณ์แล้ว วันนี้ตรงกับวันธรรมดาและเป็นช่วงท้ายของการขึ้นไลฟ์โปรโมตตามรายการเพลงต่างๆ ซึ่งแทนที่จะได้มีเวลาพัก แต่อาร์คก็ต้องรีบอัดเพลงใหม่ให้กำหนดการวางแผงรีแพคเกจในอีกสองเดือนข้างหน้า แทร็ปดังถล่มทลาย ทำลายสถิติอัลบั้มเก็ทอเวย์ (GET AWAY) ที่เคยทำไว้เมื่อปีที่แล้วเสียราบคาบ  ซึ่งสามเดือนที่เป็นระยะห่างระหว่างอัลบั้มเต็มกับรีแพคเกจนั้นถือว่าเป็นเวลามาตรฐาน อีกสองเพลงที่เหลือก็หินพอสมควร โปรดิวเซอร์หลักประจำวงถึงได้สั่งให้พวกเขาดูแลตัวเองให้ดี โดยเฉพาะลู่หาน ห้ามทำอะไรที่เสี่ยงไปถึงเรื่องเสียงเด็ดขาด

     

     

    พอพี่มินซอกไม่อยู่ โปรดิวเซอร์จางก็เล่นพูดเหมือนกันอย่างกับนัดไว้ อี้ฟานกับชานยอลได้แต่หัวเราะน้อยๆเวลาเห็นลู่หานแหย่คนพูดทั้งยังแสร้งทำหน้าทะเล้นเป็นลิง ก่อนร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อยืดลายเฮฟวี่เมทัลจะลุกเดินไปหยิบเอากีต้าร์ทรงอาร์จีบนขาตั้งลงเก็บในกระเป๋ากีต้าร์ชนิดแข็งสีดำ ส่วนประตูซึ่งหนาไม่แพ้บานที่ลู่หานเพิ่งใช้แรงทั้งชีวิตเพื่อเปิดมันก็เมื่อครู่ก็ถูกดันเข้ามาจากทางด้านนอก คิมจงอินในชุดเสื้อยืดสีขาวๆแบบสบายๆ มือซ้ายอุ้มเจ้าพุดเดิ้ลทอยสีน้ำตาลเอาไว้หลังจากขอตัวกลับไปให้อาหารมันเมื่อชั่วโมงที่แล้ว

     

     

    “ว้าว จังกู ~” ลู่หานปรี่เข้าไปอุ้มไอ้ตัวเล็กขึ้นมาแนบอก มือก็ลูบขนที่ขดเป็นวงนั้นอย่างหมั่นเขี้ยว

     

     

    “ไม่ใช่ นั่นมงกูต่างหาก” ให้นักร้องอุ้มได้ไม่นานก็ปล่อยให้มันลงไปวิ่งเล่นไปมาบนพื้น อี้ชิงไม่เคยว่าที่จงอินนำหมาเข้ามาในห้องอัดเสียง อาจเพราะเจ้าสามตัวไม่ได้มีนิสัยส่งเสียงดังอย่างตัวอื่นๆที่เคยเจอมา หนำซ้ำยังไม่ขับถ่ายเละเทะ เว้นแต่ไปสะกิดเจ้าของแล้วเขาจะไม่สนใจเท่านั้นแหละ “อ้าว นี่อัดกันเสร็จแล้วเหรอ”

     

     

    “เสร็จแล้ว” อี้ฟานตอบ มองดูมือกลองที่ระริกระรี้เดินไปหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์ที่มีจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ขึ้นแถบเวฟเสียงนับสิบอันเอาไว้ อี้ชิงจัดการคลิกอยู่ราวๆสี่ถึงห้าที เสียงเพลงที่เพิ่งถูกมิกซ์อย่างคร่าวๆก็ดังกระหึ่มไปทั้งห้อง ถึงยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก แต่ก็มากพอให้เห็นภาพรวมของเพลงในอีกราวสามสัปดาห์ข้างหน้าเมื่อโปรดิวเซอร์มิกซ์มันเสร็จ

     

     

    “ตอนเริ่มเพลงนี่เห็นภาพเลย”

     

     

    จงอินตื่นเต้นไม่น้อยหลังจากรู้ว่าคอนเซปท์ในซิงเกิลรีแพคเกจนี้มาพร้อมกับความเท่อย่าบอกใคร เขาแทบจะรอให้ถึงวันที่ได้ขึ้นแสดงหมดทั้งสามเพลงไม่ไหว อยากได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งของแฟนคลับ ได้ยินเพลงถูกเปิดตามที่ต่างๆไม่เว้นแม้แต่จอขนาดใหญ่เหนือใจกลางเมือง หลังปรากฏการณ์ของกับดักแล้ว ทุกคนจะต้องได้รู้ซึ้งถึงปีศาจ

     

     

    พวกเขามีคิวอัดเพลงต่อไปในวันรุ่งขึ้นตั้งแต่สิบโมงเช้า ส่วนวันมะรืนต้องไปไกลถึงเชจูเพื่อขึ้นแสดงในงานเทศกาลสำคัญที่ถูกว่าจ้างเป็นพิเศษ ค่ายเพลงน่ะชอบงานจ้างอย่างกับอะไร เพราะอย่างนั้น พวกเขาถึงได้ต้องวิ่งวุ่นไปทัวร์จังหวัดนั้นทีนี้ที บางครั้งถึงขั้นบินไปต่างประเทศแล้วก็บินกลับมาเพื่อทำงานต่อเหมือนหุ่นยนต์

     

     

    Rrrr

     

     

    เสียงโทรศัพท์จากกระเป๋าสะพายของมือกีต้าร์เกือบจะถูกละเลยเมื่อทั้งห้องยังมีแต่เสียงเพลงใหม่ล่าสุดที่ถูกเปิดซ้ำไปซ้ำมาเพื่อมองหาจุดแก้ไข จงอินตัดสินใจตีกลองใหม่อีกครั้งเผื่อว่าถ้าที่เล่นไปยังไม่ดีพอ อี้ชิงบอกว่าไลน์กีต้าร์โอเคแล้ว ชานยอลถึงได้ขอตัวออกไปรับโทรศัพท์ทางด้านนอกโดยมีมงกูวิ่งพันแข้งพันขา ร้อนจนเขาต้องออกปากเรียกลู่หานให้มาช่วยจับมันเอาไว้ไม่ให้ออกไปข้างนอก

     

     

    ชานยอลไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาติดต่อกับมือเบสของเกลย์อย่างจุนมยอน เหตุผลง่ายๆก็คืออี้ฟานยังติดใจเรื่องข่าวนั้นจนถึงกับกำชับเอาไว้ว่าอย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ซึ่งชายหนุ่มเข้าใจจุดยืนตัวเองดี หมดเวลาตัดพ้อเสียดายอดีตแล้ว

     

     

    “พี่จุนมยอน” ทันทีที่กรอกเสียงทุ้มไปยังปลายสาย เสียงเบาราวกระซิบของจุนมยอนก็ส่งมาคล้ายอยากตะโกนเต็มแก่

     

     

    ( เฮ้ย นี่มันหมายความว่ายังไง! )

     

     

    “ครับ?”

     

     

    ( อาร์คจงใจปล่อยรีแพคเกจวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดใช่ไหม )

     

     

    หนุ่มร่างสูงขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายจะสื่อเท่าไรนัก “ใช่ จงใจ”

     

     

    ( ว่าแล้วไง อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น นาย -- เดี๋ยวเถอะปาร์คชานยอล มาให้ต่อยหน้าซะดีๆ )

     

     

    “เดี๋ยวก่อน” ชานยอลขอให้อีกฝ่ายหยุดอาการโวยวายนั้นเอาไว้เสียก่อน เขางงไปหมดแล้วว่านี่มันเรื่องบ้าอะไร ทำไมคิมจุนมยอนจะต้องมาสนใจเรื่องวันปล่อยซิงเกิลของอาร์คนักหนา “พี่ช่วยอธิบายมาทีว่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดมันทำไม”

     

     

    เท่าที่จำความได้ การติดต่อกันครั้งล่าสุดก็ค่อนข้างเป็นไปด้วยดี เขาหัวเราะและยังบอกอีกด้วยว่าให้เกลย์สู้ๆ ไว้รอให้ไปเจอกันบนเวทีแล้วมาเล่นคู่กันอีกสักครั้ง แต่พอมาตอนนี้ ดันกลายเป็นว่าเผลอไปทำให้ทางนั้นขุ่นเคืองด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งขึ้นมาอีก ซึ่งชานยอลก็คิดไม่ออกเสียด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น

     

     

    ( นี่ไม่รู้จริงหรือว่าทำไขสือวะ ) ดูเหมือนจะใจเย็นลงบ้างแล้วแต่ก็ยังทำเสียงแข็งไม่เลิก พอตอบออกไปว่าไม่รู้ อีกฝ่ายถึงได้ทำเสียงฮึดฮัดแล้วยอมบอกสาเหตุของความโมโหโกรธาครั้งนี้ออกมาเสียงเครียด ( เกลย์จะออกซิงเกิลเปิดตัววันที่เจ็ด แล้ววันนี้ เนเบอร์ก็ดันประกาศออกมาอีกว่าอาร์คจะวางแผงวันเดียวกัน จะให้คิดยังไง )

     

     

    คนฟังถึงกับบางอ้อเมื่อได้ลองปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้ากับความอคติที่มีต่อตัวเอง ตากลมโตมองผ่านช่องกระจกเล็กๆตรงประตูเข้าไปทางด้านในห้อง อี้ฟานกับโปรดิวเซอร์กำลังพูดอะไรสักอย่างกับจงอินที่อยู่ในห้องอัดเสียง ส่วนลู่หานเล่นกับหมามงกู ปาร์คชานยอลยินดีให้คำสาบานตอนนี้เลยว่าไม่มีอาร์คคนไหนสนใจเกลย์ถึงขนาดไปขอร้องค่ายให้ออกซิงเกิลวันเดียวกันแน่นอน

     

     

    “เรื่องบังเอิญ” เข้าใจความเครียดของฝั่งเฮสเทียยิ่งกว่าใครทั้งหมด เขาเองก็มีวิญญาณของเกลย์อยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น อีกครึ่งในตอนนี้อยู่ที่อาร์ค “พี่ฟังผมให้จบก่อนนะ นี่มันเป็นเรื่องธรรมดามากที่เลขวันสวยๆจะถูกใช้เพื่อความสำคัญอะไรสักอย่าง ถ้าไม่เชื่อ พี่ก็รอดูอีกหน่อย ไม่ใช่มีแค่อาร์คหรอกที่จะออกซิงเกิลวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด”

     

     

    หลังจากวางสายและพูดให้อีกคนเข้าใจได้ ริ้วความเครียดบนใบหน้าของมือกีต้าร์หนุ่มก็ฉายชัดขึ้นมาถึงแม้ว่ามันไม่ควรเกิดอีก แง่หนึ่ง เขาเอาใจช่วยเกลย์ยิ่งกว่าใคร แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมีใครมารับผิดชอบเมื่อความบังเอิญนี้เกิดขึ้นและส่งผลลบต่อวงที่กำลังจะเดบิวต์ใหม่ หรือต่อให้เกลย์ไม่เข้าใจจริงๆ ชานยอลแน่ใจว่าเดี๋ยวก็คงจะได้รู้เอง

     

     

     

     

    ถึงทุกอย่างจะยากไปสักหน่อย แต่ขอให้สู้จนถึงที่สุด

     

     

    เราจะได้เจอกันไวๆ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “เอายังไง หรือจะเลื่อนออกไปก่อน”

     

     

    เรื่องแผนวางซิงเกิลของอาร์คถูกเรียกประชุมในวันรุ่งขึ้นทั้งสีหน้าเครียดๆของใครหลายคน โบอาพึมพำคำว่าพลาดถึงสามครั้งตั้งแต่เธอเข้ามาภายในห้องนี้ เรื่องการวางแผงในวันเดียวกันนั้นคงไม่ใช่เรื่องใหญ่นักถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติ แต่นี่คือเปิดตัวของวงใหม่กับวงอันดับหนึ่งของประเทศ ฉะนั้นไอ้เรื่องที่จะคว้ารางวัลหรือขึ้นไปติดลมบนชาร์ตเพลงก็ไม่ต่างอะไรจากถูกของยักษ์ชนลงมาอีกขั้น โดยเฉพาะอันดับหนึ่ง ไม่มีทางเลย

     

     

    ความกดดันตกอยู่ที่เฮสเทียเรคคอร์ดล้วนๆ เพราะไม่มีใครได้ข่าวของอาร์คมาก่อน อย่างแย่ที่สุดก็คงแค่เวลาเหลื่อมล้ำ โบอาถึงได้พึมพำว่าพลาดที่เธอไม่ทันคิดถึงสถานการณ์แย่กว่านั้น

     

     

    “ไม่เป็นไรนี่ครับ” แบคฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงที่ตรงข้ามกับใบหน้ามึนตึงของเจ้าตัว มือที่เคาะโต๊ะหยุดลงก่อนจะเปลี่ยนเป็นกำแน่นทั้งยังขยับเปลี่ยนรูปร่างไปมา “จะชนกับอาร์คไปเลยก็ได้”

     

     

    “นายไม่รู้หรอกว่านี่มันสำคัญยังไง” จงแดท้วงขึ้นหลังจากได้ยินประโยคนั้น คงมีแค่แบคฮยอนนั่นแหละที่เชิดจมูกรั้นขึ้นแล้วก็ทำราวกับว่าไม่ยี่หระต่อเหตุการณ์

     

     

    “รู้สิ” ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่สุ้มเสียงก็อ่อนลงราวกับวอนขอ “เพราะว่ารู้ดีกว่าใคร ผมถึงได้ขอโอกาสพวกคุณ”

     

     

    “....”

     

     

    “ขอร้องล่ะครับ เราไม่ได้กลัวอาร์คเลย”

     

     

    ต่อให้อยากสำทับซ้ำอีกว่านี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องความผยองอวดดีที่แบคฮยอนมี แต่จากที่รู้จักกันมาสองเดือน จงแดรู้ว่ามันมากกว่านั้น มากกว่าคำว่ากลัวก็คืออดีตที่เด็กพวกนี้ไม่พูดถึงและใช้ความพยายามทั้งหมดทุ่มเทไปกับผลงานเพลงอย่างไม่ย่อท้อ เอาเป็นว่าเขาหมดคำพูด ที่เหลือก็ขอให้ฝ่ายการตลาดกับควอนโบอาตัดสินแล้วกัน

     

     

    “มันไม่ได้ส่งผลแค่พวกเธอนะแบคฮยอน รู้หรือเปล่าว่าถ้าซิงเกิลแรกพังไม่เป็นท่า ไอ้เรื่องที่จะออกอัลบั้มต่อๆไปก็คง --” โบอาไม่กล้าพูดให้จบ เธอเห็นมานักต่อนักแล้วว่าการมั่นใจในตัวเองจนมองไม่เห็นความจริงมันเป็นอย่างไร เกลย์เป็นวงที่เยี่ยมในระดับหนึ่ง และมันไม่ควรหยุดอยู่แค่นี้

     

     

    “ให้เราลองดูเถอะนะครับ”

     

     

    คนสุดท้ายที่ควรจะพูดอะไรแบบนี้เห็นคงเป็นโอเซฮุน เด็กหนุ่มในชุดเสื้อผ้าแฟชั่นหยัดตัวขึ้นจากท่าพิงพนัก หยุดหมุนเก้าอี้เล่น นัยน์ตานั้นฉายแววความมุ่งมั่นอย่างที่เป็นการยืนกรานกับทุกคนในทีนี้ว่าพวกเขาไม่ได้อวดดี ไม่ได้หยิ่งผยอง หรือมั่นใจว่าตัวเองจะเจ๋งไปกว่าวงไหนๆที่เคยมีมา แต่อย่างหนึ่งที่เกลย์มีคือความตั้งใจ และจะไม่ยอมถอยตั้งแต่ก้าวแรกเพียงแค่เพราะมีคำว่าอุปสรรคติดเตือนตรงปากทาง

     

     

    ถ้าไม่เชื่อ พี่ก็รอดูอีกหน่อย ไม่ใช่มีแค่อาร์คหรอกที่จะออกซิงเกิลวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด

     

     

    จุนมยอนเงียบไปเมื่อนึกถึงคำพูดของรุ่นน้องหลังจากคุยกันไปเย็นเมื่อวาน เขายังนึกภาพสิ่งที่ชานยอลเตือนไม่ออก แต่ไอ้ครั้นจะให้กลัวจนพูดขัดกับสองคนต่อหน้าด้วยการยอมเลื่อนกำหนดวางแผงซิงเกิลออกไป จุนมยอนก็คิดว่ามันขี้แพ้เหลือเกิน

     

     

    แล้วถ้ามันแย่ล่ะ?

     

     

    ถ้ามันแย่ ถ้าเกลย์เป็นอย่างที่ควอนโบอาพูดขู่ ถ้าอีซูมานส่ายหัวให้แผนการออกอัลบั้มต่อไปแล้วทิ้งสัญญาของพวกเขาเป็นหมันอีกตลอดสี่ปีกว่า รับงานจ้างถูๆไถๆแค่พอกินพอใช้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ศรัทธาในการเป็นศิลปินจะพังทลายลงไหม เรื่องนี้ก็ไม่มีใครแน่ใจนัก ยิ่งใกล้ความจริงเข้าไปเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งรู้ว่ามันไม่ง่าย ยิ่งต้องสู้เท่าไร ก็ยิ่งรู้ว่าปัจจัยของการอยู่ในวงการนี้กลับมีมากมายเหลือเกิน

     

     

    “ได้โปรดให้โอกาสเราเถอะนะครับ”

     

     

    โดคยองซูถอยเก้าอี้และส่งตัวเองยืนขึ้นเพื่อโค้งศีรษะค้างเอาไว้ จากนั้นเซฮุนกับแบคฮยอนจึงทำตาม เหลือแค่คิมจุนมยอนซึ่งเพิ่งลุกขึ้น แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความลังเลมหาศาลถ้าเทียบกับความแน่วแน่ของอีกสามคนที่เหลือ นี่เขากำลังทำอะไรอยู่ กำลังกลัวอย่างนั้นใช่ไหม ในหัวมีแต่ภาพโปสเตอร์ของเกลย์ที่ถูกแปะทับด้วยโปสเตอร์วงอื่นๆเสียจนมิด นึกภาพซีดีเพลงขายไม่ออกและวางอยู่เต็มแผงร้านต่างๆ นึกภาพตัวเองเป็นแค่ไอ้งั่งที่ได้แต่นั่งกอดเบสคู่ใจนอนอยู่บ้านและฝันลมๆแล้งๆว่าจะถูกเรียกเข้าบริษัทอีกเมื่อไร

     

     

    บ้าเอ๊ย เขานี่มันหมาขี้แพ้ชะมัดเลย

     

     

    จุนมยอนไม่ได้พูดอะไรเลยนอกจากการก้มหัวลงตามคนอื่นๆ ถอยไม่ได้แล้ว คำนี้มันตีกันวุ่นวายอยู่ในหัวพร้อมๆกับคำพูดของชานยอล ได้ยินเสียงทีมการตลาดคนอื่นๆหันไปปรึกษากันด้วยบทสมมติและความเป็นไปได้ทั้งในทางดีร้าย อย่างน้อยๆต่อให้ผลการขอร้องครั้งนี้ออกมาว่าไม่อนุมัติ จุนมยอนก็ยังมีเหตุผลดีๆปลอบใจตัวเองอย่างเช่นคำว่ามันปลอดภัยกว่า

     

     

    “ตกลง” ควอนโบอาเป็นคนพูดคำนี้หลังการปรึกษาหารือ หน้าสวยๆนั้นดูมั่นใจขึ้นกว่าเมื่อครู่มาก เธอคงไม่อยากพูดคำว่าพลาดอีกเมื่อได้ตัดสินใจให้วันที่เจ็ดเดือนเจ็ดเกิดขึ้นตามกำหนดการเดิม “พยายามให้มากขึ้น ทำให้รู้ว่าเฮสเทียคิดถูกที่เลือกเสี่ยงกับพวกเธอ”

     

     

    ไม่มีใครถอนหายใจโล่งอกสำหรับผลการประชุมในครั้งนี้ ทุกฝ่ายต่างต้องทำงานหนักขึ้น เมื่อได้เปิดประตูรับความกดดันมหึมาให้เข้ามาบั่นทอนความมุ่งมั่นทั้งหมดจนเสียศูนย์ไปถึงหลายครั้ง อนึ่ง เกลย์ต้องเจอกับอะไรมากมายขนาดนี้ในการเดบิวท์ เดิมพันของเฮสเทียทั้งหมดคือการรอดูว่าเกลย์จะจดจำความรู้สึกในตอนนี้ไว้และผลักดันตัวเองอย่างไร จงสู้ให้มากกว่าตอนที่คิดจะเริ่ม และทะเยอทะยานให้มากกว่าตอนร้องขอโอกาส

     

     

    สี่คนนั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิมแล้ว ทั้งหันไปมองหน้ากันเพื่อเรียกความมั่นใจที่จะรวมกันเป็นหนึ่งนับจากนี้ ชั่วนาทีนั้น เซฮุนคิดบางอย่างขึ้นได้ บางอย่างที่มาพร้อมกับไฟลุกโชนในใจ เขาถึงขยับเก้าอี้เข้าจนเกือบชิดโต๊ะ ยกมือขึ้นมากลางอากาศ แต่กลับเก้อเขินไปในตอนที่ทุกสายตามองตรงมา

     

     

    “ผมแค่อยากจะเสนอชื่อวงใหม่”

     

     

    คำนี้เสียดเข้าไปในหัวใจของอีกสามคน มันถึงเวลาแล้วสินะที่เกลย์จะกลายเป็นอย่างอื่นหลังผ่านอะไรด้วยกันมาขนาดนี้ เซฮุนฉายแววพราวระยับในดวงตา มันไม่ใช่ชื่อที่เขาคิดเล่นๆและพ่นเรื่อยเปื่อยอย่างที่ทำมาตลอดหลายวันนี้ ชื่อนี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกกับมันอย่างแรงกล้า เขาคาดหวังว่าทุกคนในห้องนี้จะชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือคนในวง

     

     

    “ไม่เอาแลคโตบาซิลัส บาร์บีคิวพลัสอะไรนั่นแล้วนะ” คยองซูโอดเสียงเรียบ เรียกเสียงหัวเราะขัดความตึงเครียดเมื่อครู่ได้ชะงัดนัก

     

     

    “โธ่พี่ ไม่ใช่แล้ว อันนี้เท่กว่ากันเยอะ” คนถูกแซวยิ้มภูมิใจ ชี้นิ้วไปยังนักร้องนำ มือเบส และมือกลองเรียงตัว “ตั้งใจฟังนะ”

     

     

    “ว่ามา” แบคฮยอนตัดรำคาญ เซฮุนลีลาเยอะเสมอนั่นแหละเวลาที่อยากอวดอะไรเป็นพิเศษ ลองพูดมาแล้วมันไม่ใช่ชื่อที่เจ๋งพอสิ พ่อจะจะหันไปตบบ้องหูเข้าให้

     

     

     

     

    “ดาร์คฮอร์ส (DARK HORSE)”

     

     

     

     

    “....” ทุกคนเงียบกริบไม่เว้นแม้แต่คิมรยออุคที่ชอบส่งเสียงว้าวออกมาถ้ามีอะไรโดนใจ ยอมรับว่านั่นทำให้เซฮุนเขว เขาเกือบจะห่อไหล่ทำหน้างอแล้วเชียว ถ้าไม่ติดว่าเสียงสววรค์ของคนข้างๆเอ่ยมันออกมาทั้งรอยยิ้มเล็กๆ

     

     

    “ฉันชอบ” แค่แบคฮยอนชอบคนเดียว เด็กโข่งก็คิดว่าความเก่งกาจที่เขามีนั้นทำให้โลกสว่างจ้าขึ้นมาทันตา โอ้ แน่นอนล่ะ ผ่านนักร้องนำขาโหดคนนี้ไปได้ ต่อให้มีแผ่นดินไหวอยู่ตรงหน้าก็คงไม่มีใครกลัว

     

     

    “มันแปลว่าอะไร ไอ้ดาร์คฮอร์สเนี่ย”

     

     

    จุนมยอนรู้จักแค่คำว่าดาร์คที่หมายถึงความมืด เอ้อ ก็ยอมรับมาตลอดหลายปีนี้อยู่แล้วว่าไม่เก่งภาษาอังกฤษอะไรนั่นเท่าไร แต่ถ้าลองได้รู้ความหมายและเข้าใจมันแล้วล่ะก็ ใครจะอวดชื่อวงให้คนอื่นฟังได้ดูภาคภูมิเท่าคิมจุนมยอนนั้นคงไม่มีอีกแล้ว

     

     

    “ม้ามืด”

     

     

    คยองซูตอบทั้งเสียงกลั้วหัวเราะ มันคลอไปกับของคนอื่นๆในห้องไม่เว้นแม้แต่สาวสวยดุอย่างโบอา “ท้าทายน่าดูเลยนะชื่อนี้ จะเอากันหรือเปล่า ไหนๆก็กะชนระเบิดตั้งแต่วันเปิดตัวแล้วนี่”

     

     

    ว่าที่ศิลปินมองหน้ากันอีกแล้ว ให้ถูกบงการหรือออกคำสั่งแค่ไหน หากเรื่องชื่อที่จะใช้แทนตัวพวกเขาไปตลอดชีวิตการเป็นศิลปินนั้นไม่มีใครเลือกเข้ามาก้าวก่ายนัก ไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นมาก่อน มิวสิควีดีโอจะถ่ายพรุ่งนี้แล้ว แต่สมาชิกวงยังเลือกชื่อกันไม่ได้จนถึงตอนนี้

     

     

    “เอาเลย ไม่เท่เหรอ” เซฮุนชะโงกหน้าหาอีกสองคนที่เหลือ หลังจากได้แบคฮยอนมาเสริมแล้วหนึ่ง แล้วพอคยองซูพยักหน้า เด็กนั่นก็ร้องเฮออกมาเสียงดังจนจุนมยอนอดจะหมั่นไส้ไม่ได้ ได้ ม้ามืดก็ม้ามืด จะออกตัวแรงให้สมชื่อเลยคอยดู

     

     

    “ตกลงเอาเป็นชื่อดาร์คฮอร์สครับ”

     

     

    คยองซูยิ้ม ในขณะที่หัวหน้าครีเอทีฟมาร์เก็ตติ้งพยักหน้าแล้วจึงกดปากกาลงกับโต๊ะเพื่อเขียนภาษาอังกฤษนั้นลงไป จากนั้นจึงดึงเอาเรื่องการถ่ายทำมิวสิควีดีโอพรุ่งนี้ขึ้นมาพูดย้ำอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน

     

     

     

     

    ดาร์คฮอร์สถือกำเนิดขึ้นแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ชานยอล! มาดูนี่”

     

     

    หลังจากแวะออกไปห้องน้ำกับจงอิน ลู่หานก็กวักมือเรียกเขามานั่งข้างๆทันทีที่เข้ามาถึงห้องแต่งตัว อาร์คมีเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงสำหรับการเตรียมตัวขึ้นแสดงไลฟ์เอ็มแคป เรือมผมสีเทาถูกเซ็ทเป็นทรงรับกับชุดแจ็กเก็ตสีดำซึ่งเปิดให้เห็นรอยสักใหม่ตรงแขน มือกลองหัวขาวเคยแซวเข้าไปทีว่าชักจะเถื่อนขึ้นเรื่อยๆ น่ากลัวมือกีต้าร์ของอาร์คจะเสพติดรอยสักรองจากบุหรี่เข้าสักวัน

     

     

    “อะไร” ชานยอลไม่ใส่ใจความกระตือรือร้นของลู่หานนัก ทั้งยังยืนนิ่งอยู่แถวประตูเพื่อให้ช่างทำผมจัดแต่งมันใหม่อีกรอบในขณะที่มือล้วงหยิบซองบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากะเทาะใส่มือ

     

     

    “ดาร์คฮอร์สคัฟเวอร์เพลงแทร็ปด้วย”

     

     

    “แล้วมันน่าตกใจตรงไหน คนก็คัฟเวอร์เพลงเรากันเป็นสิบเป็นร้อย” จงอินทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้ากระจก ข้างๆอี้ฟานที่เอาแต่สไลด์สมาร์ทโฟนเพื่อเช็กข่าวคราวของวง เดาว่าในหัวคงคิดอยู่แน่ๆว่าจะอัพอินสตราแกรมวันนี้อย่างไรดี “แล้วดาร์คฮอร์สนี่วงอะไร เคยได้ยินแต่เพลงของเคธี่ เพอร์รี่”

     

     

    ถึงตรงนี้ ลู่หานทำหน้าราวกับนึกอะไรขึ้นได้ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นยิ้มร้ายอย่างผู้ชนะไปให้มือกีต้าร์ตัวสูงที่เหลือบมองเขาหน้านิ่งพลางพ่นควันออกทางจมูก

     

     

    “ก็ไม่ยังไง อ๋อ... ตอนแรกวงนี้ชื่อเกลย์ใช่ไหมล่ะ”

     

     

    ไม่ถึงครึ่งนาทีจากนั้น อีกสามคนก็เดินเนียนๆมานั่งอัดกันอยู่บนโซฟาบุหนังสีเขียวขี้ม้าอย่างกับลืมไปแล้วว่าไอ้ทางทางฟอร์มจัดเมื่อครู่มันทำอย่างไร อึ้งที่สุดเห็นจะเป็นอี้ฟานนั่นแหละ ดวงตาคมหรี่ลงจับผิดตั้งแต่นักร้องนำเลื่อนนิ้วไปกดปุ่มเพลย์บนหน้าแชนเนลยูทูป จงอินจ้องมองหน้าจอเล็กๆด้วยความสนใจนักหนา ส่วนชานยอลเอาแต่ขมวดคิ้วที่เห็นชื่อดาร์คฮอร์สแล้วตามด้วยชื่อเพลงแทร็ป แทนที่จะเป็นเกลย์

     

     

    เสียงกีต้าร์ดังขึ้นก่อนอะไรอื่น จากนั้นจึงเป็นเสียงของบยอนแบคฮยอนที่ดังขึ้นตาม

     

     

     

    Girugamesh - Glamorous Sky

     

     

     

    ‘I could have seen the other side

    Taking a step into the sky

    Ah, I'm always late’

     

     

     

     

    อาร์คสัมผัสได้ว่าเวอร์ชั่นนี้ต่างจากต้นฉบับอย่างพวกเขานิดหน่อย อาจด้วยเนื้อเสียง หรือดนตรีที่ซอฟท์ลงกว่าเสียงกีต้าร์ของชานยอลหรือจังหวะกลองของจงอิน และถึงแม้จะไม่จัดจ้านเท่าลายเบสของอี้ฟาน ทว่าลู่หานก็เผลออมยิ้มออกมาเสียแล้วหลังจากเป็นคนแรกที่เปิดใจฟังอย่างเป็นกลางได้

     

     

     

     

    ‘I could've done the same routine

    Showing the old and golden scene

    I'm lying again, to make them go’

     

     

     

     

    นักร้องนำในชุดเสื้อลายสก็อตจับขาตั้งไมค์ด้วยสองมือ ไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่เห็นอย่างนี้ ตาของชานยอลถึงเอาแต่จับจ้องแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายนั้นราวกับต้องมนต์สะกด ก่อนจะเผลอยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรกที่เห็นใบหน้าของอดีตคนรัก เมื่อคิดติดตลกว่านี่คงไม่ต่างอะไรจากแหวนแต่งงาน

     

     

     

     

    ‘Wearing again my rocking shoes

    Over the puddles made of tears

    Flash back, I know you're clever

    I remember’

     

     

     

     

    “ลายดนตรีทุกชิ้นเด่นเท่ากันหมดเลย” ลู่หานชอบจังหวะกลองแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไอ้ลีลาการเล่นแบบที่เด็กผมทองกำลังทำอยู่นั่นมันเด่นกระแทกตาอย่างกับอะไรดี ถึงอยากจะหันไปเพื่อหาแนวร่วมอย่างจงอินมากแค่ไหน แต่ลู่หานอยากดูมันให้จบในรอบเดียว เขาชอบความรู้สึกแรก แล้วก็คิดว่าครั้งต่อๆไปอาจจะไม่ชอบเท่านี้

     

     

    ยิ่งตรงนี้ ตรงที่จังหวะกลองรัวเป็นจังหวะเพื่อส่งให้กีต้าร์เล่นนำขึ้นมาท่อนฮุค มันเจ๋งสุดๆ (โอเค ลืมต้นฉบับแบบอาร์คไปสักประเดี๋ยวแล้วกันว่าก็เป็นแบบนี้แหละ)

     

     

     

     

    ‘I know we could cross over rainbows

    I wish that we could aim the sun again

    I know we could dream for tomorrow

    To share the long forgotten glamorous days’

     

     

     

     

    ในหัวของชานยอลยังติดใจอยู่ตรงคำว่าดาร์คฮอร์ส เขาไม่คิดว่าเกลย์จะตัดใจเปลี่ยนชื่อวงได้ในระยะเวลาสั้นๆอย่างนี้ ไม่คิดว่าเรื่องราวหลายปีที่ผ่านมาจะจบลงพร้อมกับการถือกำเนิดในฐานะศิลปินใหม่ ภาพลักษณ์ทุกคนไม่ได้เปลี่ยนจากที่เขาเคยเจอมาก อาจจะต่างกันที่ความรู้สึก อารมณ์ทางดนตรี อะไรก็ตาม ชานยอลไม่เห็นภาพตัวเองในหน้าจอเล็กๆนั่นแล้ว

     

     

    ไอ้ความรู้สึกแบบตอนนั้น -- มันเกิดขึ้นทั้งที่นี่เป็นเพลงของเขาเอง

     

     

    ชายหนุ่มไม่เคยเห็นแบคฮยอนยิ้มในตอนที่ร้องเพลง ไม่เคยเห็นแม้แต่ลูกเล่นทางสายตาที่สื่อผ่านเสียงซึ่งเปล่งร้องและท่าทางการเดินไปมาในระหว่างเว้นจังหวะร้องอย่างนั้น มันใกล้แล้วจริงๆใช่ไหม ใกล้จุดที่ปาร์คชานยอลต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่าเขากับคนพวกนี้ฉีกขาดกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว

     

     

    เราต่างเดินกันไปคนละทาง ไปเพื่อพานพบกับจุดหมายที่คาดหวังและเคยร่วมฝันกันด้วยความเป็นส่วนหนึ่งส่วนใด เสียงดนตรีทำให้ใจของมือกีต้าร์หนุ่มเต้นตุบ หนักหน่วง รุนแรง และบีบรัดจนแน่นขึ้นในทุกจังหวะกลอง สำหรับคนที่จับไอบาเนซเหมือนกันแล้ว เด็กนี่โดดเด่นทั้งฝีมือและลีลา ซึ่งมันทำให้อดีตอย่างเขาใจหาย

     

     

     

     

    ‘Sunday

    Monday

    And another Tuesday

    Wednesday

    Thursday, you're still away’

     

     

     

     

    แม้กระทั่งหลับตา ชานยอลก็ยังไม่สามารถซ้อนตัวเองกลับไปได้บนดนตรีแบบนี้ มันบอกให้เขายอมแพ้ แล้วก็ลืมตาขึ้นมองดาร์คฮอร์สในฐานะคู่แข่งเสียที

     

     

     

     

    ‘Friday

    Saturday, I'll be lonely everyday

    And then climb high up to the moon

    And I somehow hope to hear you cry’

     

     

     

     

    กำลังวิ่งตามมาแล้ว

     

     

    ริมฝีปากอิ่มแย้มยิ้มออกมา ขณะขยับพูดโดยไม่มีเสียงเป็นคำว่า ตามมาให้ทัน

     

     

     

     

    ‘I know we could cross over rainbows

    I wish that we could aim the sun again

    I know we could dream for tomorrow

    To share the long forgotten glamorous days’

     

     

     

     

    หลังจบเพลง ภาพทั้งสี่คนก็ดับวูบโดยไม่มีการพูดอะไรกับคนที่กำลังดูอยู่เว้นเสียแต่สายตาในท่อนสุดท้าย ให้ตายเถอะ! ลู่หานรู้สึกเหมือนกับเพลงแทร็ปยังดังอยู่ในใจเขาจนอยากจะลัดคิวไปขึ้นแสดงบนไลฟ์เสียเดี๋ยวนี้เลย เปลือกตาบางกะพริบปริบๆ หลังตั้งสติได้ กวางหนุ่มก็เอี้ยวตัวหันไปหาหัวหน้าวงที่ยังนั่งนิ่งเช่นตอนก่อนเริ่มเพลงพร้อมกับยิ้มเผล่แล้วพูดเสียงค่อย

     

     

    “อี้ฟาน... ฉันควรจะกดไลค์ไหมอะ”

     

     

    จงอินจัดการเรื่องนี้ด้วยการแทรกมือเข้ามากดไปบนปุ่มไลค์นั้นแทนที่เจ้าของเครื่อง และพอถูกมือเบสหันมามองขวับ ก็แกล้งกลอกตาไม่รู้ไม่ชี้แล้วลุกเดินไปหยิบบุหรี่ของตัวมาจุดสูบ ปากก็เหยียดยิ้มมองมือกีต้าร์ของวงที่แกล้งทำเป็นหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเนียนๆ อย่าให้เดาเลยว่าคงแอบเสิร์ชหาแอคเคาท์ของเฮสเทียเรคคอร์ดเพื่อกดติดตามไปแล้วแน่ๆ

     

     

    “ก็ดี” อี้ฟานเป็นคนเดียวที่ฟอร์มจัด เชื่อเถอะว่าถ้าวงเก่าชานยอลเล่นไม่ดี หมอนี่ไม่ยอมนิ่งดูจนจบเพลงหรอก อย่างที่ทำเมื่อตอนวันประกวดร็อคไรซิ่งนั่นไง

     

     

    บางครั้ง อาร์คก็เป็นแค่คนธรรมดาที่พ่ายแพ้ให้ดนตรีดีๆเท่านั้นเอง

     

     

    “ในแชนเนลบอกว่าเอ็มวีออกวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด” ลู่หานอมยิ้มขณะพูด ดวงตาเป็นประกายนั้นไม่ได้มีแค่แววชื่นชมอย่างเดิมแล้ว มันวาววับไปด้วยความสนุกสนานบางอย่าง จงอินเข้าใจมันเพราะนึกย้อนไปถึงตอนที่อาร์คยังไม่เป็นอาร์ค แล้วกวางน้อยของพวกเขานี่แหละที่เป็นคนแรกในการพูดท้าทายกับทางบริษัท เรื่องที่จะคว้าอันดับหนึ่งของรายการเพลงเปิดตัวได้อย่างไร “แบบนี้ก็คงขึ้นเคไลฟ์เหมือนกันสินะ”

     

     

    แล้วก็หลังจากสัปดาห์แรกในการแสดงนั้น อาร์คถูกพูดถึงในฐานะวงที่น่าจับตามองเป็นอันดับต้นๆ ขยี้วงที่เดบิวท์ขึ้นมาไล่เลี่ยกันเสียจนจมดิน

     

     

    “น่าสนุกดีแฮะ อยากเจอไวๆจัง”

     

     

    และบางครั้ง อาร์คก็เป็นราชาที่กระหายในอำนาจยิ่งกว่าใครทั้งหมด


     

     

     

     

     

     






     

    ________________________________________

     

    ขอบคุณการทำงานในค่ายเพลงที่ทำให้มาถึงจุดนี้ได้
    / กราบประสบการณ์

     

    #ficdarkhorse







     



    M
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×