ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) DARK HORSE | chanbaek hunbaek

    ลำดับตอนที่ #5 : EPISODE 4 | OPPOSITE DIRECTION

    • อัปเดตล่าสุด 5 พ.ย. 59









     



    DARK HOUSE

         間違えている箇所もあります。

    ….

    f o u r

     

     




     

     

    เพราะแตกต่าง

    เราถึงสวนทาง

     

     

     

     







     

     

    “แล้วก็มาถึงช่วงสำคัญ ใครจะได้เป็นผู้ชนะในการประกวดร็อคไรซิ่งในปีนี้!

     

     

     

     

    บยอนแบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของสัมผัสอุ่นที่เพิ่งกุมมือเขาเอาไว้ โอเซฮุนหันมาฉีกรอยยิ้มตื่นเต้นในขณะที่ตาเรียวรีเบิกสู้แสงสปอร์ตไลท์ซึ่งส่องวาบผ่านชีวิตนับสิบบนเวที แปดทีมสุดท้ายเกาะกลุ่มเรียงกันเป็นหน้ากระดาน จุนมยอนเหลียวมองทางซ้ายมือที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวเก็งในการประกวด ส่วนทางขวาคือวงที่ขึ้นแสดงเป็นวงแรก ทุกคนล้วนเหมือนคนไม่มีสมาธิ มือที่กอบกุมกันไว้เป็นกลุ่มก้อนนั้นชื้นเหงื่อจนน่าอึดอัด ตอนนี้คยองซูไม่ได้หวังให้เกลย์เป็นที่หนึ่งแล้ว ยิ่งเห็นกลุ่มคนหลายพันทางด้านล่างกำลังจ้องมองมา เขาก็ยิ่งรู้สึกอยากให้ตัวเองเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น เสียงตะโกนเป็นชื่อหลายๆวงดังแทรกกันจนฟังไม่ได้ศัพท์ ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินชื่อเกลย์เป็นหนึ่งในนั้น

     

     

    พิธีกรชายเดินไปเดินมาอยู่ทางด้านหน้า ในมือนั้นคือผลประกาศรางวัลสุดแสนยิ่งใหญ่สำหรับนักดนตรีค่อนประเทศ กรรมการหกคนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในวงการเพลง ทั้งนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์มือฉมัง นักร้องรุ่นใหญ่ที่เป็นตำนาน หรือแม้แต่เจ้าของค่ายชั้นนำอย่างเนเบอร์และเมโลดิก้า พวกเขาก็แค่ยิ้มอย่างที่ไม่บอกอะไรมากไปกว่าสนุกมาก

     

     

    “รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง”

     

     

    แบคฮยอนหวังไม่ให้พิธีกรพูดชื่อเกลย์ออกมาตั้งแต่ผลรางวัลแรก บางทีเขาคงหวังสูงไปหน่อย แต่เชื่อเถอะว่าถ้าใครได้มายืนอยู่บนเวทีนี้เพื่อเห็นว่าทุกคนชอบเพลงของเกลย์มากแค่ไหน พวกเขาก็จะไม่สนใจรางวัลที่สามอย่างนี้เหมือนกัน

     

     

    เซฮุนบีบมือเล็กของนักร้องนำแรงขึ้นอีกแล้ว แบคฮยอนเดาใจเด็กคนนี้ไม่ออก

     

     

     

     

    “เกลย์”

     

     

     

     

    ทั้งสี่คนหันมามองหน้ากันด้วยรอยยิ้มกว้าง แน่นอนว่ามันเร็วไปหน่อย ถึงไม่มีใครเกิดอยากกระโดดโลดเต้นออกไปรับรางวัลอย่างที่ได้คุยโอ่กันไว้ เว้นเสียแต่คยองซูที่ถอนหายใจราวกับว่ามีเหตุผลดีๆกลับไปหาแม่ที่บ้านนอกแล้ว พวกเขายังทะเยอทะยานได้มากกว่านี้ ไปได้มากกว่านี้ แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไรเกลย์ถึงได้แค่ที่สาม

     

     

    ป้ายเงินรางวัลสองล้านวอนถูกยื่นให้จากมือของประธานค่ายเนเบอร์ เขาเป็นผู้ชายวัยกลางคนหน้าตาใจดี ภายใต้ชุดสูทนั่นมีเนื้อหนังแต่ไม่ถึงกับอ้วน นาฬิกาโรเล็กซ์บนข้อมือเป็นสีเงินวับ และริมฝีปากนั้นก็พึมพำว่ายินดีด้วยถึงสามครั้ง

     

     

    ปาร์คชานยอลเดินมาสมทบยังที่นั่งพิเศษซึ่งถูกจัดเตรียมไว้ให้อาร์ค เขาออกมาทันได้เห็นการประกาศวงรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง และเห็นป้ายเงินรางวัลที่เกลย์ถืออยู่ก่อนหน้า ร่างสูงในชุดแจ็กเก็ตหนังทิ้งตัวลงนั่งยังโซฟาเดี่ยวเพียงตัวเดียวซึ่งถูกปล่อยว่าง ลู่หานกับจงอินแค่ยิ้มแห้งๆ ในขณะที่อี้ฟานหน้าบึ้งตึง ข้อดีเพียงเรื่องเดียวของตอนนี้คือคิมมินซอกไม่อยู่ที่นี่

     

     

    “มัวทำอะไรอยู่”

     

     

    ชานยอลไม่ตอบคำถาม ไม่ตอบแม้กระทั่งสาเหตุของดวงตาแดงก่ำหรือเรื่องที่เขาขลุกอยู่ในห้องส่วนตัวนานนับครึ่งชั่วโมงจนทุกคนในวงต้องช่วยกันกลบเกลื่อนเมื่อประธานเนเบอร์ถามถึงสมาชิกที่ออกมานั่งโชว์ตัวในฐานะแขกกิตติมศักดิ์ไม่ครบคน ชานยอลเห็นแค่ว่าบยอนแบคฮยอนไม่คิดเฉียดสายตาผ่านมาทางนี้ แม้แต่จุนมยอนหรือคยองซูที่พยายามจะหลบเลี่ยงมันไปเช่นกัน

     

     

    วันนี้ไม่ใช่วันที่เกลย์ได้เป็นที่หนึ่ง พวกเขายังไม่ถูกเลือก

     

     

    ชานยอลยังเห็นอีกว่าเด็กมือกีต้าร์ใหม่คนนั้นจ้องอาร์คตาเป็นมัน สายตาเหมือนกับตัวเขาเมื่อหลายปีก่อน มันทั้งทะเยอทะยาน บริสุทธิ์ แล้วก็ปิดความตื่นเต้นเอาไว้ไม่มิดในเมื่อจุดหมายมาอยู่ตรงหน้า สิ่งหนึ่งที่คาใจชายหนุ่มคือมือที่กอบกุมกันในตอนนั้น เขาไม่เข้าใจ -- ไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียวว่าในตอนนี้บยอนแบคฮยอนอยู่ในสถานะแบบไหน ทั้งร้องไห้และคว้าเอาหัวใจปาร์คชานยอลหายไป แต่แล้วก็กระทืบมันซ้ำอีกครั้งทั้งที่รู้ว่าทุกอย่างต่างต้องแลกด้วยความเจ็บปวด

     

     

    ร่างสูงค่อยๆหยัดตัวขึ้นยืนตามสมาชิกในวงคนอื่นๆ แสงแฟลชสาดกระทบเสี้ยวหน้าเมื่อพิธีกรประกาศเรียกผู้เกี่ยวข้องกับงานขึ้นไปถ่ายรูปร่วมกับแปดทีมสุดท้ายบนเวที แบคฮยอนยืนไกลชานยอลไปมากโข แต่อย่างน้อยเพี้ยวเสี้ยววินาทีที่โชคชะตาเล่นตลก เขาก็ถูกดวงตาสั่นไหวคู่นั้นทำให้เขวไปอีกครั้ง

     

     

    “มองกล้องก่อน” ลู่หานกระซิบบอก

     

     

    คนถูกเตือนแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ก่อนหันมองไปข้างหน้าเมื่อแน่ใจตัวเองแล้วว่าเขาอาจจะผ่านวันนี้ไปไม่ได้ หากยังทำตัวลนลานให้คนอื่นจับสังเกตได้อยู่อย่างนี้

     

     

    ความเจ็บที่อกซ้ายทำให้ชานยอลทุรนทุรายเหลือเกิน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ได้ตั้งที่สามเลยนะ” คยองซูยืนมองเช็ครางวัลในมือหน้านิ่ง เงินสองล้านวอนไม่ใช่น้อยๆ มันมากพอจะให้กินอาหารมื้อหรูๆที่บ้านนอกไปได้สักหนึ่งสัปดาห์ หรือซื้อเบียร์มาเมาไม่อั้นสักหกสิบลัง แต่ก็นั่นแหละ ใครจะไปทำอย่างนั้นกัน

     

     

    “จากนี้ก็... กลับไปเก็บของกัน ใช่ไหม?” จุนมยอนเป็นคนแรกที่พูดขึ้นอีกรอบหลังจากเก็บเบสสเปคเตอร์ลงกระเป๋าเรียบร้อย คืออันที่จริง เขาก็คิดว่ารางวัลที่สามมันไม่ได้แย่อะไรนัก และถึงจะเป็นคนหวังสูง แต่แบคฮยอนน่าจะสำคัญตัวเองได้ว่าอย่างน้อยเกลย์ก็ฝ่าฟันนับร้อยทีมเข้ามาจนถึงจุดนี้ ดูอย่างเด็กเซฮุนนี่สิ ยังยิ้มเล็กยิ้มน้อย แถมฝากรอยปากไว้บนแก้มพี่ๆทุกคนด้วยการกระทำน่าขนลุกนั่นอีก

     

     

    “ครับ หรือพวกพี่จะอยู่ต่อล่ะ ไหนๆก็ได้เงินมาแล้ว”

     

     

    “ไม่เอาหรอก” พี่ใหญ่เบะปาก “ไอ้เงินห้าแสนวอนนี่ เผลอๆใช้ไปแป๊บเดียวก็หมดแล้ว สู้กลับไปให้แม่เก็บไว้รอฉันแต่งเมียดีกว่า”

     

     

    “โอ้โห น่ารักเชียว --” ยังพูดแซวไม่ทันจะจบ ไหล่ซ้ายก็ต้องเบี่ยงหลบกำปั้นหนักๆที่ตั้งท่าจะซัดเข้าให้ โอเซฮุนหัวเราะร่า ยังไม่วายหันไปหยอกนักร้องนำซึ่งยืนเก็บกระเป๋าอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เรื่องที่แบคฮยอนหายไปกับปาร์คชานยอลตอนนั้น เด็กหนุ่มก็นึกไม่ออกเลยว่านอกจากยิ้มตอนประกาศรางวัลบนเวทีแล้ว ริมฝีปากแบคฮยอนยังฉีกออกกว้างกว่านี้ได้หรือเปล่า

     

     

    ทว่าเรื่องดีๆอย่างหนึ่งก็คือ สร้อยกุญแจเขายังอยู่บนคอนั้นเป็นอย่างดี

     

     

    ยังมีอีกหลายวงที่ติดต่อพูดคุยกันเพื่อสร้างเครือข่ายหลังจากนี้ แต่ถ้าดูจากสายตาแปลกๆพวกนั้นแล้ว เดาได้เลยว่าหนึ่งในกลุ่มเพื่อนนักดนตรีคงไม่มีเกลย์อยู่แน่ อ้อ คุณก็ลองมีมือกีต้าร์วงอันดับหนึ่งของประเทศมาถูลู่ถูกังออกไปก่อนการประกาศผลรางวัลดูสิ ขอให้การไม่มีนักข่าวอยู่แถวนี้ในตอนนั้นถือเป็นโชคดีแล้วกัน

     

     

    ผู้ชมส่วนใหญ่ทยอยกลับบ้านกันไปเกือบหมดแล้ว ที่เห็นตอนนี้จึงเป็นลานโล่งๆใต้แสงสปอร์ตไลท์ที่มีเศษขยะเกลื่อนกลาด พวกคนใหญ่คนโตรวมทั้งอาร์คก็ไม่อยู่ที่นี่แล้วเช่นกัน แบคฮยอนได้ยินเด็กนั่นพูดเบาๆ (แบบที่ได้ยินกันทั่ว) กับคยองซูว่าเสียดายเรื่องที่ไม่ทันได้ขอลายเซ็นชานยอล แต่คนอย่างมือกลองของเกลย์จะตอบอะไรได้นอกจากตีหน้านิ่งใส่อีกดอก

     

     

    และถึงจะพูดอย่างนั้น แต่คิมจุนมยอนก็เป็นต้นคิดชักชวนทุกคนหารเงินกันซื้อเบียร์สองลังเพื่อเลี้ยงฉลองในคืนนี้ ไม่มีใครพูดเรื่องอดีตสมาชิกอีกหลังจากเซฮุน แต่ทั้งสามคนต่างรู้แก่ใจว่าภายในหัวนั้นไม่ได้ว่างเปล่าอย่างที่แสดงออกมา

     

     

    “อ่า...”

     

     

    ชะงักฝีเท้าหยุดได้ทันก่อนที่จะชนคนตรงหน้าเข้า ผู้ชายร่างสมส่วน ใส่แว่น กับทรงผมแสกกลางที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่พวกแฟชั่นจ๋าเปิดประตูโผล่พรวดออกมาจากรถคันหนึ่ง โบกมือยิ้มทักทายให้พวกเขาพร้อมทั้งขยับปากว่ารอก่อน ทั้งที่หูก็ยังแนบอยู่กับโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดพลางกรอกเสียงคุยกับปลายสาย

     

     

    “พวกเขามาแล้ว ได้เรื่องยังไง ผมจะติดต่อกลับไปอีกทีครับ”

     

     

    ทั้งสี่คนไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาต้องหยุดเพียงแค่เพราะว่าชายแปลกหน้าบอกให้รอ และหลังจากวางสาย ผู้ชายคนนั้นก็หยิบบางอย่างออกมาจากสมุดบันทึกขนาดเท่าฝ่ามือก่อนจะทันได้พูดอะไรให้หายข้องใจเสียอีก

     

     

     

     

     

    ‘JONGDAE KIM - Record Producer

    HESTIA RECORDS’

     

     

     

     

     

    บนนามบัตรเขียนไว้อย่างนั้น

     

     

    “....”

     

     

    แม้ว่าอยากพูดอะไรมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครทำได้ดีมากไปกว่าการอ้าปากค้างมองใบหน้าซึ่งกำลังยิ้มแป้นในขณะที่เก็บปากกาลงในกระเป๋าเสื้อ “การแสดงวันนี้ พวกคุณเยี่ยมมากจริงๆ”

     

     

    “เอ้อ... ครับ คุณมาชวนเราไปเป็นนักร้องเหรอ -- โอ๊ย!" การที่มือไวกว่าปากนั้นเป็นเรื่องปกติสำหรับมือกลอง ครั้นเงยหน้าขึ้นมาเจอคยองซูซึ่งกำลังตีหน้านิ่งมองคนพูดซึ่งกำลังลูบหัวป้อยๆ จุนมยอนก็รู้ตัวได้ในทันทีว่าเขาเป็นต้นเหตุของเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากจากคิมจงแด

     

     

    แบคฮยอนยกมือขึ้นกุมขมับ นี่ใจคอจะขายหน้าตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าเรื่องเลยไหม

     

     

    “ครับ พูดอย่างนั้นก็คงไม่ผิด” ผิดคาดอีกที่จงแดยอมรับอย่างง่ายดาย “ถ้าพวกคุณไม่รีบมากนัก เราลองไปหาที่คุยกันแถวๆนี้ดีไหมครับ ไปรถผมก็ได้”

     

     

    ใครปฏิเสธโอกาสก็โง่แล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่สมาชิกเกลย์ทั้งสี่คนพากันมานั่งอัดอยู่ในรถของโปรดิวเซอร์ค่ายเพลงเล็กๆซึ่งขึ้นชื่อว่ากำลังโตอย่างเฮสเทียเรคคอร์ด หลังจากเกี่ยงกันก่อนขึ้นรถ ท้ายแล้ว บยอนแบคฮยอนก็เป็นผู้เสียสละในการนั่งเบาะข้างคนขับ และปล่อยให้อีกสามคนนั่งทำตาวาวเรียงกันอยู่ยังเบาะหลังในขณะที่ฟังเขาโต้ตอบบทสนทนากับเจ้าของรถ

     

     

    “ผมชอบเพลงดีซิสชันของพวกคุณมากเลยนะ ขอเดาได้ไหมครับว่าใครเป็นคนแต่ง” จงแดพูดทีเล่นทีจริงในประโยคหลัง ซึ่งแบคฮยอนก็แค่ยิ้ม แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเดาถูก “คุณแต่งใช่ไหม นักร้องนำ”

     

     

    “อ่า... ไม่ครับ เราช่วยกันแต่ง”

     

     

    “ผมไม่ได้พูดถึงขั้นตอนการเรียบเรียง แต่ผมพูดถึงเนื้อร้องแล้วก็ทำนองแรกเริ่ม ผมเดาถูกหรือเปล่าครับ”

     

     

    “ครับ เดาถูก” เซฮุนโพล่งตอบแทน “เพลงส่วนใหญ่ในวง พี่เขาเป็นคนแต่งครับ”

     

     

    หลังได้รับคำตอบที่แน่นอน คนทายถูกก็ได้แต่ยิ้ม “ผมว่าแล้ว” และไม่พูดอะไรอีกจนกระทั่งถึงร้านกาแฟสไตล์ลอฟท์ที่ดูท่าเจ้าตัวจะคุ้นเคยดี จงแดมีที่นั่งประจำอยู่ทางมุมหนึ่งของร้าน และแทบไม่ต้องดูเมนู เขาก็เอ่ยสั่งได้ทันทีที่พนักงานเดินมาถึง พร้อมสั่งอาหารรองท้องอีกสองสามอย่าง “ให้ผมเลี้ยงพวกคุณนะ ถือว่าเป็นการฉลองให้กับวันนี้”

     

     

    กาแฟไม่ได้แย่ไปกว่าเบียร์สักเท่าไรหรอก แต่พูดก็พูดเถอะ พอให้มานั่งจ้องภาษาอังกฤษที่เป็นชื่อกาแฟเรียงตับกันถึงสองหน้าแล้ว คิมจุนมยอนเป็นคนแรกเลยที่แสดงออกทางสีหน้าว่าเขาคิดอะไรไม่ออกมากไปกว่าคำว่าคอฟฟี่

     

     

    “โกโก้กับช็อกโกแลตมันต่างกันตรงไหนวะ”

     

     

    เซฮุนหัวเราะเล็กน้อยเมื่อคนข้างๆหันมากระซิบกระซาบ “มอคค่าลาเต้ไหมพี่ ผมว่าอันนี้อร่อย”

     

     

    คยองซูออกปากสั่งเลม่อนไอซ์ที ส่วนแบคฮยอนดื่มลาเต้ร้อน และไอซ์มอคค่าลาเต้อีกสองสำหรับพี่ใหญ่และน้องเล็กของวง หลังได้เครื่องดื่มครบทุกแก้วและวาฟเฟิลแฮมสองจานกับเค้กสองก้อนแล้ว จงแดก็คิดว่าเขาควรเข้าเรื่องธุระสำคัญในมื้อดึกวันนี้เสียที

     

     

    “พวกคุณรู้ความหมายของเฮสเทียไหม” เขาเปิดบทด้วยคำนี้ เซฮุนแค่บอกว่าคุ้นๆ แต่โดยรวมคือทุกคนส่ายหน้า “เฮสเทียเป็นเทพแห่งเตาผิงและเปลวไฟ คุณอาจจะคิดว่ามันไม่ได้ฟังดูเท่หรือยิ่งใหญ่ แต่ความสำคัญที่แท้จริงของเฮสเทียนั้นคือเปลวไฟที่อยู่รอบๆตัวเรา”

     

     

    “....”

     

     

    เฮสเทียเรคคอร์ดเติบโตได้อย่างเทพเจ้าเฮสเทีย ด้วยงานเพลงที่โดดเด่น ติดหู และแทรกซึมอยู่ในกลุ่มคนฟังทุกเพศทุกวัย ถึงแม้ว่าถ้าไปเทียบกับเนเบอร์หรือเมโลดิก้าซึ่งเป็นค่ายยักษ์ใหญ่แล้ว เฮสเทียจะยังนับว่าใหม่อยู่มากก็ตาม

     

     

    “พูดกันตรงๆเลยนะเกลย์ หลังจากที่ได้ดูการแสดงในวันนี้ เฮสเทียสนใจอยากเป็นเชื้อไฟให้พวกคุณ “

     

     

    “ทำไมล่ะครับ” เป็นเสียงของบยอนแบคฮยอนที่ตัดสินใจยิงคำถามนั้นออกไป คำถามที่เขาต้องการวัดใจว่าโปรดิวเซอร์ตรงหน้าให้คุณค่าเกลย์ได้ถึงเพียงไหน “ทำไมคุณถึงตัดสินใจเลือกพวกเรา”

     

     

    “ผิดแล้ว แบคฮยอน”

     

     

    “....”

     

     

    “ผมกำลังขอให้พวกคุณเลือกเราต่างหาก”

     

     

    และก่อนที่จะเข้าเรื่องรายละเอียดในการเซ็นสัญญา เซฮุนคิดว่าเขาควรโทรกลับไปหาป้าจองที่อพาร์ตเมนท์เรื่องค่าเช่าหลังจากนี้เสียแล้วหลังจากที่เห็นแบคฮยอนยิ้มให้กับคำตอบนั้น

     

     

    ใช่ ถามเรื่องค่าเช่ารายเดือนเลยแล้วกัน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ว่าไง วันนี้จะไปดื่มกันที่ไหนดี”

     

     

    อู๋อี้ฟานเงยหน้าขึ้นมองคนจากเบาะหลังที่ชะโงกหน้ามาคุยกับเขาด้วยน้ำเสียงทะเล้น ดื่มอีกแล้ว ลองได้มีวันไหนที่อยู่ครบคนเป็นต้องจบลงอย่างนี้ทุกที แน่นอน สองวันที่ผ่านมานี้เขาปฏิเสธได้ แต่ใช่ว่าวันนี้จะง่ายเสียเมื่อไรล่ะ ในเมื่อพรุ่งนี้ตารางงานของอาร์คถูกเขียนไว้ตัวโตๆเสียแล้วว่าวันหยุด

     

     

    “อานเซอร์” ร้อยวันพันปีคิมจงอินก็ไม่เคยเบื่ออานเซอร์ จะว่ามันใกล้ที่พักของพวกเขาทั้งสี่คนที่สุดก็ดูไม่ใช่เหตุผลที่อ้างได้ทุกครั้งไป บางทีคงต้องส่งคนไปสืบแล้วว่าหมอนี่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับที่นี่นักหนา

     

     

    “ฉันไม่ห่วงอี้ฟานหรอก ยังไงคุณหัวหน้าวงก็ปล่อยเราสองคนไปเมาหัวราน้ำกันเองไม่ได้ สู้ถามคนนี้ดีกว่า” ถึงต้นประโยคนั้น ลู่หานจะคุยกับมือกลองของวงด้วยน้ำเสียงขบขัน ทว่าในท้ายประโยคหลัง เป้าสายตากลับหยุดอยู่ยังคนที่ไม่เคยยินดียินร้ายกับการสังสรรค์ใดๆทั้งสิ้น เขารู้ว่าปาร์คชานยอลได้ยินมันเต็มสองหู

     

     

    ภาพของใครบางคนยังปั่นป่วนอยู่ในความคิดของมือกีต้าร์หนุ่ม ใครที่เขาพยายามสลัดออกเท่าไรก็ทำไม่ได้ คำตำหนิของอี้ฟานผ่านเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา มันเทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกที่ต้องแบกรับมาตลอดสองปีนี้ นอกจากตัวเองแล้ว ชานยอลก็ไม่คิดว่าต้องมีใครมาเข้าใจอีก

     

     

    “เฮ้ ชานยอล”

     

     

    จงอินสะกิดเบาๆ ลู่หานบอกว่าเอ่ยปากถามไปตั้งสองรอบแล้ว ได้ยินอย่างนั้นคนถูกชวนก็ถอนลมหายใจแผ่วเบาแล้วว่า “เอาสิ”

     

     

    สองปีนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย แบคฮยอนเคยโกรธเขาอย่างไรมันก็ยังคงเป็นอย่างนั้น เขาคงหวังกับการเจอกันครั้งนี้มากเกินไป ทุกอย่างเปลี่ยนไป เปลี่ยนอย่างที่ไม่มีเส้นทางให้เดินย้อนกลับได้อีกแล้ว และหากทางเดียวที่เหลืออยู่คือต้องเดินต่อไปข้างหน้า ชานยอลคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่เขาต้องลืมตัวตนในสมัยที่ยังเป็นเกลย์ทิ้งไปสักที ที่นั่งอยู่ตรงนี้ มีแต่ปาร์คชานยอลวงอาร์คเท่านั้น

     

     

    รอให้เราไปเจอกันข้างหน้าก็แล้วกัน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เอาเข้าจริงแล้ว พวกเขาก็ได้ใช้บริการอพาร์ตเมนท์ของป้าจองอีกแค่ไม่ถึงสองสัปดาห์ เพราะหลังจากตัดสินใจเซ็นสัญญากับเฮสเทียเรคคอร์ดไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทางค่ายก็ใจป้ำด้วยการจัดหาที่พักย่านซอแดมุนเพื่อให้สามารถเดินทางไปกลับระหว่างฝึกซ้อมได้สะดวก คุณอีซูมานบอกว่าค่าใช้จ่ายเดือนละสองแสนวอนในระหว่างนี้มันไม่มากเกินไปนัก ถ้าเทียบกับการต้องร่วมงานกันอีกถึงห้าปีเต็ม (เป็นประธานที่ใจดีจังนะว่าไหม)

     

     

    แน่นอนว่าโปรดิวเซอร์ที่เป็นผู้ควบคุมผลงานเพลงและดูแลพวกเขาระหว่างอยู่ในบริษัทคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากจงแด จุนมยอนและคยองซูเองไม่ค่อยเข้าใจแฟชั่นสำอางของคนเมืองกรุงนัก ไอ้ประเภทกางเกงขาเต่อๆ เสื้อสีสันจัดจ้าน หมวกปีกบาน หรือแม้แต่แว่นตาไร้ไลนส์ที่ไม่รู้จะใส่ไว้ทำไม ทั้งหมดนั่นอยู่บนตัวคิมจงแดหมดเลย!

     

     

    “นี่ไง พวกกางเกงสีๆแบบนี้ก็น่าจะโอเคนะ นายลองซื้อมาใส่ดูสิ” ว่างจากการซ้อมมานั่งกินมื้อเย็นด้วยกันเมื่อไร โปรดิวเซอร์หนุ่มก็ชอบเปิดเว็บแฟชั่นต่างๆนานาให้ดูผ่านสมาร์ทโฟน พร้อมทั้งแนะนำให้พวกเขาเริ่มหัดแต่งตัวตามสมัยเสียบ้าง “แล้วก็ไอ้เสื้อโปโลลายทางอย่างนี้น่ะ เลิกใส่ไปได้เลย”

     

     

    โดคยองซูก้มลงมองเสื้อโปโลใส่สบายของตัวเองด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ตอนเช้าก็ทีหนึ่งแล้วที่เซฮุนทักว่าถ้าทำผมแดงแล้วก็อย่าใส่เสื้อที่มันไม่เข้ากันอย่างนี้อีก ขอทีเถอะ มาถึงก็ขลุกตัวอยู่ในห้องซ้อมไม่ได้ไปอวดใครที่ไหน ทำไมจะต้องแต่งอะไรให้มากความด้วย

     

     

    “เรามาคุยเรื่องเพลงกันดีไหม”

     

     

    แบคฮยอนโพล่งขึ้น ตลอดสัปดาห์ที่เริ่มฝึกซ้อมอย่างเป็นจริงเป็นจังนั้นพวกเขายังไม่มีเพลงเป็นของตัวเอง หมายถึง -- จงแดมักจะให้ร้องพวกเพลงของศิลปินคนอื่นๆ โดยให้เหตุผลว่าระหว่างนี้เพลงในอัลบั้มยังเขียนไม่เสร็จ เกลย์จะต้องได้เดบิวต์ด้วยเพลงที่บ่งบอกถึงความเป็นเกลย์

     

     

    โปรดิวเซอร์ยิ้มอีกรอบหลังฟังเสียงท้วงนั้น เขาวางชิ้นไก่ลงในจานก่อนจะใช้ปลายนิ้วนางที่ไม่เปื้อนเปิดสมุดขนาดเท่าฝ่ามือเล่มเดียวกับที่เจอกันครั้งแรกเมื่อเดือนที่แล้ว ในนั้นมีลายมือขยุกขยุยถูกเขียนไว้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในหน้าหลังๆนั้นเป็นข้อดีข้อด้อยของเกลย์แทบจะทั้งหมด

     

     

    “ดี งั้นเรามาพูดถึงจุดแข็งและจุดที่ควรปรับปรุงกัน เริ่มจากแบคฮยอน” นักร้องนำกลืนน้ำลายดังเอื้อก สองคิ้วขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติเมื่อผลจากการฝึกซ้อมมาหลายวันนี้กำลังจะถูกสรุปออกมาเป็นข้อๆ “เสียงของนายมีพลังดีมาก อินเนอร์เยอะ แต่ถ้าพูดในทางเทคนิคแล้วยังไม่ดีเท่าที่ควร”

     

     

    ปลายปากกาถูกชี้ไปยังคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ในมือทุกคนได้แต่ถือไก่ค้างไว้ ฟังคำติชมถึงหัวใจหลักของวงพลางคิดตามไปด้วย ใจก็เริ่มเรียบเรียงข้อด้อยของตัวขึ้นมาทีละอย่างสองอย่าง และรอลุ้นว่าจะมีอะไรอีกหรือไม่หากมาจงแดพูดถึง

     

     

    “บางทีก็ร้องดังกังวาน แต่บางทีก็แผ่วลงเสียอย่างนั้น บาลานซ์เสียงยังไม่ค่อยดีนะ พอหวีดสูงขึ้นมากๆแล้วมันฟังดูเหนื่อย ลองซ้อมแบบไม่มีดนตรีดูบ่อยๆ แล้วก็จากนี้ให้ตื่นไปวิ่งจ็อกกิ้งทุกเช้า ต่อไปใคร -- โอเค จุนมยอน” เจ้าของชื่อค่อยๆวางชิ้นไก่ในมือลงบ้าง ความรู้สึกที่คล้ายจะถูกเชือดที่นี่มันยังไงกัน “ฉันชอบลีลาเบสนายนะ ชัดเจน ไม่บวม แต่ช่วงมิดเบสมันจะมีบ้างที่โด่งเกินไป ตรงนี้พยายามฝึกซ้อมให้มากๆ แต่ทั้งลายกีต้าร์และเบสมันเสริมกันอยู่แล้ว ส่วนเซฮุน นายเล่นดีเลยล่ะ สำเนียงเด่น แต่บางทีมันจะฟังออกเลยว่าลน ให้ใจเย็นๆลงอีกนิด ความหนักเบามันน่าจะบาลานซ์กันมากกว่านี้ แล้วเพลงจะแน่นขึ้น”

     

     

    กลายเป็นว่าโดคยองซูเป็นคนที่เล่นดีที่สุดในสายตาและหูของโปรดิวเซอร์คิม แต่ไหนแต่ไรจังหวะกลองของเขานั้นหนักแน่น แล้วก็เป๊ะมากพอที่จะคุมเพลงทั้งเพลงให้ไม่เหลื่อมล้ำไปตามความผิดพลาดอื่นๆ ถึงอย่างนั้น คยองซูก็คิดว่ามันยังไม่พอ การที่ถูกชมว่าดีแล้วไม่ได้ทำให้เขาอยากฝึกซ้อมน้อยลงกว่าเดิม ส่วนแบคฮยอนนั้นเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ใช้เวลากินมื้อเย็นอีกไม่ถึงห้านาที ชายหนุ่มก็เป็นคนแรกที่เลี่ยงตัวเองกลับเข้าไปในห้องเก็บเสียงทางด้านในเพื่อฝึกซ้อมตามลำพังระหว่างรอ จงแดนับว่าใจดีมากแล้วถ้าเทียบกับสายตาของนักทำเพลงมือฉมังคนอื่นๆ

     

     

    เขาต้องดีให้มากกว่านี้

     

     

    เกลย์จะต้องไปได้ไกลขึ้น ไม่อย่างนั้นคงไล่ตามอาร์คไม่ทัน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ไง”

     

     

    ถึงปากจะเอ่ยทักไปอย่างนั้น แต่สายตาหลุกหลิกของคิมจุนมยอนกลับเหลียวมองรอบตัวหลังจากตัดสินใจออกมาตามนัดที่อีกฝ่ายโทรมาเมื่อวาน ถึงจะไม่ได้กำชับว่าห้ามบอกใคร แต่จุนมยอนรู้ว้าเสี่ยงยังกับอะไรดีที่เขาใจอ่อนจนมาอยู่ที่นี่ได้ในที่สุด

     

     

    ปาร์คชานยอลอยู่ในชุดฮู้ดสีดำและหมวกแก๊ปที่เจ้าตัวหวังว่าจะพอช่วยอำพรางออร่าศิลปินได้ พวกเขานัดเจอกันที่ร้านเบียร์เล็กๆในย่านซอแดมุน อ้อ หมอนี่เป็นฝ่ายมาหาเองน่ะนะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนบ้านนอกอย่างจุนมยอนไม่ต้องเสียค่าแท็กซี่ไปไหนไกลทั้งที่ไม่ค่อยรู้ทาง พอได้เห็นหน้าค่าตาชัดๆแล้ว คนอายุมากกว่าก็คิดจริงๆว่าชานยอลหล่อขึ้นหลายเท่าตัว มือใหญ่ยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ ตาก็จับจ้องลองเชิงว่าเขาจะโกรธเคืองอย่างที่แบคฮยอนเป็นหรือเปล่า

     

     

    ขอตอบเลยว่าก็ใช่ แต่เป็นช่วงแรกๆน่ะนะ

     

     

    “ไม่คิดว่านายจะโทรมา”

     

     

    ชานยอลยิ้ม ก่อนจะถอดหมวกแก๊ปออกเมื่อแน่ใจแล้วว่าร้านนี้เป็นส่วนตัวมากพอที่จะไม่มีแฟนคลับที่ไหนผ่านมาเห็น เรือนผมสีควันบุหรี่ขับให้ใบหน้าหล่อเหลาดูขาวผ่อง (ถึงจะจำได้ว่าเมื่อวันประกวดยังผมดำอยู่เลยก็เถอะ) แขนขวาภายใต้แขนเสื้อที่ถูกถกขึ้นนั้นปรากฏรอยสักที่สันแขนเป็นทางยาว และรอยสักรูปแหวนที่ดำที่นิ้วนางข้างขวาก็ยังเด่นชัดเช่นที่เคยเป็นเสน่ห์เมื่อสองปีก่อน

     

     

    “ลังเลอยู่นานเหมือนกัน กลัวโทรไปแล้วพี่จะตัดสายใส่”

     

     

    “ก็ว่าจะทำ” คนตอบแสร้งตีหน้านิ่ง แล้วริมฝีปากก็ค่อยๆคลี่ยิ้มออกมาหลังจากนั้น “พูดเล่นน่า แล้วนายเป็นไงมาไง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”

     

     

    “อย่างที่พี่เห็น”

     

     

    “เออ ดังเปรี้ยงปร้างเป็นพี่ชานยอลแล้ว” จุนมยอนกัดทีเล่นทีจริง แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่เจ็บเท่าที่ชานยอลกลัวว่าอีกสองคนจะทำหรอก ชายหนุ่มกดสายตาลงเล็กน้อยในขณะมองไปข้างหน้า ย้อมใจด้วยเบียร์ในแก้วอีกสักรอบแล้วจึงกล่าวเสียงแผ่ว

     

     

    “ถึงจะเพิ่งมาพูดเอาตอนนี้ แต่ผมขอโทษนะที่ตัดสินใจแบบนั้น”

     

     

    “มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ให้โกรธล่ะ” ในฐานะคนที่เล่นดนตรีคู่กันแล้ว ไอ้เรื่องที่จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟทั้งที่ก็พอเดาเหตุผลได้อยู่แล้วมันคงใจร้ายใจดำเกินไปหน่อย เจ้าของเรือนผมสีทองยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบบ้าง หูก็รอฟังคำตอบจากรุ่นน้องที่เคยจากไปไม่ล่ำไม่ลา “ถ้าตอบแค่ว่าอยากดัง อันนี้จะโกรธจริงๆ”

     

     

    “ผมคิดว่าพี่ก็พอรู้”

     

     

    คนฟังเงียบไปอีก ริมฝีปากได้รูปเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง “แค่นั้นจริงๆเหรอวะ” ยิ่งพอชานยอลพยักหน้า เขาก็ได้แต่แค่นหัวเราะแล้วกระดกเบียร์จนหมดแก้ว “ก็สมเป็นนายดี”

     

     

    ใช่ ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้นล่ะก็ ไม่มีทางที่คนเล่นลายคู่กันอย่างเขาจะไม่รู้ถึงปัญหาข้อนั้น หลายครั้งที่มือเบสและกีต้าร์ต้องซ้อมหนักกว่าคนอื่น แต่ไม่ว่าจะมากเท่าไร แต่คนจริงจังอย่างปาร์คชานยอลกลับยิ่งอึดอัดและทำได้แย่ลงเรื่อยๆเพียงเพื่อปรับจูนตัวเองให้เข้ากับเกลย์ ทุกคนรู้ว่ามันยาก โดยเฉพาะเขา ถึงอย่างนั้นจุนมยอนก็เป็นคนแรกที่พูดคำว่าไม่เป็นไรแบบขอไปที

     

     

    เพราะถ้ายอมรับขึ้นมาเมื่อไร คงเป็นเรื่องใหญ่ที่เกลย์ต้องทำใจยอมรับการหามือกีต้าร์คนใหม่

     

     

    “ขอต่อยสักทีได้ไหมวะ แล้วจะหายแค้น”

     

     

    “พี่อยากเป็นข่าวหรือไง” คนตรงหน้าหัวเราะเบาๆ “ช่วงนี้ผมมีงานตลอด เอาไว้ว่างเมื่อไรจะให้ต่อย”

     

     

    นั่นทำให้คนเป็นพี่พอใจกับคำตอบ ถึงการคาดโทษนี้จะไม่ได้ดูจริงจังอะไรนัก แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเจ้าของใบหน้าหล่อๆนั่นยอมหันให้แต่โดยดี จุนมยอนก็พร้อมจะซัดมันอย่างไม่ต้องสงสัย ขอทีเถอะ ไอ้นิสัยกวนตีนหน้าตายแบบนี้มันไม่เคยหายไปจากไอ้คนตรงหน้าเลยจริงๆ

     

     

    “ผมได้ข่าวว่าเกลย์เซ็นสัญญากับเฮสเทีย” ชานยอลเปิดบทสนทนาเรื่องใหม่ มือเอื้อมวางแก้วเบียร์ลงยังฝั่งตรงข้ามหลังจากรินให้จนเต็มแก้ว

     

     

    “ข่าวไวเป็นบ้า นี่ยังไม่เปิดตัวเลยนะเนี่ย” จุนมยอนกระดกเบียร์รวดเดียวครึ่งแก้ว ปากก็พูดโอ่ แล้วจึงดื่มที่เหลือพลางโน้มตัวไปข้างหน้า “อาร์คก็ยืนไว้ให้มั่นๆเถอะ เกลย์มาแล้ว”

     

     

    แล้วจึงทำนิ้วชี้กับนิ้วโป้งเป็นรูปกระบอกปืน

     

     

    “ปัง”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ONE OK ROCK – Clock Strike (off vocal.)

     

     

     

     

     

    บยอนแบคฮยอนไล่สายตามองโน้ตดนตรีในกระดาษแต่ละแผ่นขณะแจกจ่ายไปตามหน้าที่ของแต่ละคน ทำนองเพลงถูกเขียนจนเสร็จจากมือของนักแต่งเพลงที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดของค่าย ซ้ำโอเซฮุนยังจำได้เสียด้วยว่าเพลงบีลีฟของวงฟลิคเกอร์ที่ดังถล่มทลายเมื่อหลายเดือนก่อนก็มาจากปลายปากกาของคุณซองทงอิล

     

     

    “ผมคิดว่าเพลงนี้น่าจะเหมาะกับเกลย์ที่สุดในตอนนี้”

     

     

    “เนื้อร้องยังเขียนไม่เสร็จเหรอครับ” แบคฮยอนถาม เพราะเขายังไม่เห็นตัวอักษรสักตัวหลังจากที่จงแดบอกว่าเพลงโปรโมตถูกเขียนเสร็จแล้ว

     

     

    “เรื่องนั้นน่ะ” ทั้งนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์มองหน้ากัน แต่ท้ายสุดแล้วทงอิลก็เป็นคนตอบ “จงแดเขาบอกว่าอยากให้พวกเธอเขียนกันเอง”

     

     

    “ครับ?”

     

     

    “พี่ทงอิลเขาชอบเพลงดีซิสชั่นมาก แล้วก็เพลงอื่นๆที่นายแต่งทิ้งไว้แล้วเอามาให้ฉันดู เราเลยลงความเห็นกันว่า งั้นอัลบั้มแรกก็ให้เกลย์มันมีความเป็นเกลย์แบบสุดๆไปเลย”

     

     

    พอได้รับคำสั่งมาอย่างนั้น เวลาอีกทั้งสัปดาห์ที่ให้ฝึกซ้อมกันได้แบบสบายๆก็ถูกเทไปให้กับเนื้อเพลงซึ่งถูกเขียนๆลบๆอยู่หลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าโอเซฮุนจะเปิดประตูห้องนอนเข้ามาตอนไหน ก็มักเผลอเตะเข้ากับแผ่นกระดาษขยำเกลื่อนกลาดห้อง และแบคฮยอนไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าที่มันยังไม่ทับคนตัวเล็กตาย ก็เป็นเพราะมีคนช่วยเก็บขยะที่น่ารักอยู่ตรงนี้หนึ่งคน

     

     

    “เป็นไงบ้าง” เท้าแขนซ้อนหลังคนที่เพิ่งจะเสยผมตัวเองอย่างลวกๆในขณะที่ปากก็พึมพำอะไรบางอย่างไปด้วย คิ้วเรียวขมวดมุ่นโดยไม่รับรู้ถึงการมาในระยะประชิดของใครคนอื่น เห็นอย่างนั้นเด็กหนุ่มจึงได้แต่ถอนหายใจ แล้ววางแก้วเครื่องดื่มเย็นๆลงบนโต๊ะแทนเสียงทักทายทั้งหมด

     

     

    แบคฮยอนเพิ่งจะถอดหูฟังออกก็ตอนนี้ “เซฮุน?”

     

     

    “ผมเอาโค้กมาให้ มีน้ำตาลบ้าง หัวจะได้แล่นๆ” มือใหญ่ลากเกาอี้ล้อเลื่อนอีกตัวมานั่งข้างๆ คนเป็นพี่กลับไปจดต่อกับการเขียนเพลงอีกแล้ว ส่วนเกินที่กำลังอู้ซ้อมอย่างเขาถึงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าเลื่อนเก้าอี้หมุนไปรอบๆห้องแล้วกลับมาหยุดอยู่ที่เดิม

     

     

    พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง

     

     

    “พี่” เขารั้งคอเสื้ออีกฝ่ายออกเล็กน้อย สีหน้าบึ้งตึงขึ้นเมื่อเห็นว่าบนคอนั้นคือความว่างเปล่า “สร้อยผมไปไหน”

     

     

    “วางอยู่หน้ากระจกน่ะ เอาไปเลยก็ได้”

     

     

    อันที่จริง เซฮุนเพิ่งจะมีโอกาสได้สังเกตชัดๆว่าหลังจากวันประกวด เขาก็ไม่เห็นจี้กุญแจสีเงินวับที่ตัวเองบังคับให้แบคฮยอนใส่แล้ว แล้วนั่น -- มันไม่ใช่การให้ยืมใส่เท่ๆสักหน่อยกัน นี่แกล้งไขสือจริงๆหรือเปล่าที่ถอดสร้อยเขาออกหน้าตาเฉยแบบนี้ ทำร้ายจิตใจกันสิ้นดีเลย

     

     

    “ไม่เอา” ร่างโปร่งเลื่อนเก้าอี้เข้าไปใกล้ขึ้น มือที่กอดอกก็คลายออกจากกันแล้วจับรั้งโต๊ะเขียนหนังสือเอาไว้เป็นหลัก “ผมไม่เอาคืน”

     

     

    “อะไรอีก”

     

     

    “แบคฮยอน”

     

     

    โอเซฮุนเลื่อนเก้าอี้พลางชะโงกตัวหา ร่างเล็กก็ยิ่งถอยตัวเองออกจากเด็กที่ชอบก่อกวนได้ทันก่อนจะถูกขโมยจูบอย่างวันนั้นอีกครั้ง พอถูกหลบเลี่ยงกันอย่างนี้ คนคุกคามก็ได้แต่ถอนหายใจตาละห้อย ตั้งท่าจะลุกหนีไปแต่ก็ยังขาดความใจแข็งอีกหน่อย ท้ายแล้วทั้งคู่ก็ชะงักค้างกันอยู่ในท่าเดิม

     

     

    “นี่พี่จะหักอกผมจริงๆแล้วใช่ไหม”

     

     

    “พูดเรื่องอะไร” แบคฮยอนขมวดคิ้ว ชักจะพูดไม่ได้ไปไม่เป็นกับความเอาแต่ใจของเด็กนี่เต็มทีแล้ว

     

     

    “แบคฮยอน”

     

     

    “เรียกทำไมอีก”

     

     

    ไม่พูดเปล่า โอเซฮุนยังทำเหมือนกันวันนั้นไม่มีผิด สองมือเลื่อนลงยึดเก้าอี้เอาไว้ไม่ให้อีกคนถอยหนีไปได้ และถึงแบคฮยอนจะเอนหลังไปจนสุดเมื่อเซฮุนเข้ามาใกล้ เด็กแสบก็ยิ่งได้ใจด้วยการกดจูบแรงๆแล้วจึงผละออกเลียริมฝีปากโชว์ “ชอบจัง”

     

     

    ทันทีที่นักร้องนำเงื้อมือขึ้นจะตบบ้องหู เซฮุนก็คว้ามันไว้แล้วกดจูบลงมาเป็นรอบที่สอง ทำอย่างนี้จนเขาชักจะชินกับไอ้ความสัมพันธ์แปลกๆแบบนี้เข้าให้แล้ว สองขายาวเกี่ยวเอาขาเก้าอี้เอาไว้ไม่ให้เลื่อนไปไหน มือก็รั้งคนตัวเล็กให้เข้ามาระหว่างขา ถึงปากจะเอาแต่ปฏิเสธ ทว่าแบคฮยอนก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้น ทุกอย่างไปไกลจนเขาไม่รู้ว่าควรปฏิเสธรสจูบครั้งที่สามนี่อย่างไรดี

     

     

    ความรู้สึกเหงาอาจทำให้รู้สึกดีกับเรื่องแบบนี้ได้ชั่วครู่ชั่วยาม ถึงอย่างนั้น หลังจากหมดครั้งที่สาม มือเล็กก็ดันหัวไหล่ออกฝ่ายออกเบาๆเพื่อเตือนว่าวันนี้เซฮุนได้ไปมากเกินพอแล้ว พอเป็นแบบนี้ เด็กโข่งก็เลิกงอแง ซ้ำยังหันมาจริงจังกับเนื้อเพลงที่วางอยู่บนโต๊ะทั้งที่ยังยิ้มไม่หุบ

     

     

    “ผมชอบท่อนนี้นะ ไม่มีอะไรที่เป็นนิรันดร์ เมื่อไรที่พูดเช่นนั้น ทุกอย่างคงลงเอยที่ความเจ็บปวด พี่เพิ่งเขียนได้เท่านี้เหรอ”

     

     

    “มันติดตรงนี้ ก่อนจะเข้าฮุค” แบคฮยอนหมุนเก้าอี้หันเข้ามาหาโต๊ะ ส่งต่อปากกาให้มือที่ยื่นมาขอมันไปจากเขา เซฮุนควานหาเศษกระดาษแถวๆนั้นแล้วเขียนอะไรบางอย่างทั้งที่ฮัมดนตรีในลำคอไปด้วย

     

     

    “เป็นไง ผมเพิ่งคิดออกต่อจากที่พี่เขียนไว้เมื่อกี้”

     

     

    หลังจากส่งให้ก็ตั้งท่ากอดอกเพราะมั่นใจว่าคงได้รับคำชม อ้อ นั่นรวมถึงการที่แบคฮยอนร้องตามแล้วก็ยิ้มออกได้ด้วยน่ะนะ แค่นั้นก็มากเกินพอแล้วสำหรับเสือยิ้มยากอย่างคนที่เขาชอบคนนี้ เมื่อท่อนของเซฮุนเข้ามาเติมเต็ม เนื้อเพลงก็เหมือนจะพรั่งพรูออกมาจนเสร็จได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงจากนั้น ทุกอย่างง่ายขึ้นเมื่อมีคนมานั่งเล่นกีต้าร์คลอให้นักร้องนำได้ลองร้องดู

     

     

    อาจจะเหลือบางท่อนที่ต้องแก้อีกนิดหน่อย ถึงอย่างนั้นก็ราวกับเห็นอักษรภาษาอังกฤษเรียงตัวเป็นชื่อเพลงบนหัวกระดาษจนต้องโพล่งออกมา

     

     

    “คลอคสไตรค์ (Clock Strike) นายว่าชื่อเพลงนี้เป็นไง”

     

     

    คนฟังครุ่นคิดอยู่นิดหน่อย แล้วจึงยิ้มออกได้เมื่อเข้าใจความหมายของเพลง “เวลาที่เป็นนิรันดร์”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    อย่างหนึ่งที่ยังทำใจให้ชินไม่ค่อยได้เลยก็คือการมองภาพลักษณ์ใหม่ของเพื่อนร่วมวง จะอะไรเสียอีก ก็เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก่อนการถ่ายภาพที่ใช้สำหรับโปรโมต พวกเขาถูกสไตลิสต์ฉะเสียเละ ไม่เชิงว่าถูกด่าหรอกนะ แต่ไอ้อะไรที่มั่นใจนักหนาว่าเคยดีก็ถูกเปลี่ยนจนหมด เริ่มจากสีผมของคิมจุนมยอน (แยงกี้หรือไง) แว่นตาในเวลาปกติของโดคยองซู (โธ่เอ๊ย เป็นศิลปินน่ะมันต้องดูดีตลอดเวลา) ทรงผมของบยอนแบคฮยอน (มันเอาท์ไปนานแล้วจ้ะทรงนี้) แต่ดูเหมือนคนที่ฆ่าไม่ตายที่สุดจะเป็นโอเซฮุน หมอนั่นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทุกครั้งที่ถูกชมว่าหล่ออย่างกับอเมริกันแบดบอย

     

     

    เพลงคลอคสไตรค์ถูกจงแดกับคุณทงอิลช่วยกันปรับแก้ให้สมบูรณ์ที่สุดและอัดเสียงร้องเสร็จไปเมื่อสองวันที่แล้ว คยองซูได้นอนลอยลำคนแรกเพราะอัดเสียงกลองก่อน ตามด้วยเบส กีต้าร์ ร้องนำและคอรัสเป็นอย่างสุดท้าย ทุกคนเงอะๆเงิ่นๆเป็นที่สุดเวลามีกล้องมาคอยถ่ายทำเบื้องหลังไว้ทำสกู๊ปโปรโมตหลังออกซิงเกิล

     

     

    อย่างที่สองคือโอเซฮุนน่าหมั่นไส้สิ้นดีที่ขำพรืดออกมาตอนเห็นอาร์ตไดเรคเตอร์จัดการใช้โปรแกรมโฟโต้ช็อปยืดขาของอีกสามคนให้สูงยาวเข่าดีที่สุดในภาพโปรโมต จากที่หล่อมากอยู่แล้ว ทุกคนก็ยิ่งหล่อขึ้นเป็นกองเมื่อตาสองข้างถูกปรับขนาดให้เท่ากัน ความลับอีกข้อคือเด็กแสบสมคบคิดกับคยองซูเอาไว้แล้วเรื่องที่จะขอภาพต้นฉบับจากฝ่ายครีเอทีฟไปปรินท์คู่กับภาพรีทัชแล้วแปะไว้หัวเตียงของทุกคน

     

     

    นั่งรอฟีดแบ็กหลังจากทางค่ายปล่อยภาพรวมแรกออกไปทางเว็บไซต์ออฟฟิเชียล หลายคนบอกว่าน่าสนใจและจะรอติดตาม ทว่าคนส่วนมากยังรอเปรียบเทียบเกลย์กับบลันเชตต์ (Blanchett) วงซึ่งชนะอันดับหนึ่งของร็อคไรซิ่งที่ได้เซ็นสัญญากับเมโลดิก้าในเวลาพอๆกัน

     

     

    “โชว์ให้โลกเห็นไปเลยว่าเกลย์มีดีอะไรบ้าง” จงแดพูดไว้อย่างนั้น เอาเป็นว่าโดนใจ

     

     

    แต่กลางห้องประชุมระหว่างพูดคุยกันเรื่องแผนโปรโทตและคอนเซปท์มิวสิควีดีโอ เจ้าของตำแหน่งแอดมินโคออดิเนเตอร์ก็เดินเข้ามาหน้าเครียด ในมือมีแผ่นกระดาษเอสี่ที่ปรินท์จากเครื่องอิงค์เจ็ทของทางบริษัท มันถูกแจกจ่ายให้เกลย์ชุดหนึ่ง ส่วนอีกสี่ชุดเป็นของคิมจงแด ทีมครีเอทีฟ ทีมการตลาด และประธานอีซูมาน

     

     

    “....”

     

     

    ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นตัวแข็งทื่ออย่างกับถูกสายฟ้าฟาด ภาพถ่ายของทั้งสี่คนรวมถึงปาร์คชานยอลวงเกลย์ซึ่งเดินออกไปกับหนึ่งในสมาชิก แม้จะไม่ชัดเท่าที่ควรเพราะความเร็วชัตเตอร์ แต่มันก็มากพอให้สื่อเอามาเล่นข่าวได้หลังจากเกลย์เปิดตัวเป็นศิลปิน

     

     

    “จริงหรือเปล่า” จงแดถาม ย้ำอีกรอบเมื่อเห็นสีหน้าของทุกคนไม่สู้ดีนัก “ใช่ปาร์คชานยอลคนนั้นจริงๆเหรอ”

     

     

    คยองซูเป็นคนแรกที่ยอมรับความจริงข้อนั้น ไม่ต้องเห็นจงแดตบหน้าผากตัวเอง หรือแม้แต่ประธานอีตีหน้าเครียด พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าการเปิดตัวครั้งนี้คงไม่ง่ายอย่างที่ตั้งใจกันไว้

     

     

    “พวกนายรู้จักกับอาร์คเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า” คนที่นั่งอยู่ทางหัวโต๊ะออกปาก ถ้าเป็นอย่างที่ในข่าวนี่โหมจริงๆ เป็นได้ว่ากระแสจากประชาชนจากนี้อาจเอนเอียงไปในทางต่อต้านเมื่อถูกยัดความคิดที่ว่าเกลย์ได้สร้างความเคลือบแคลงใจระหว่างการประกวด

     

     

    “แค่ชานยอลครับ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น เราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับอาร์ค”

     

     

    เซฮุนสะกิดจุนมยอนที่กำลังอธิบายเรื่องทุกอย่างให้ดูย่อหน้ากึ่งกลาง ข่าวนี้ขุดคุ้ยถึงขั้นที่บอกว่า ปาร์คชานยอล (อาร์ค) เคยเป็นสมาชิกของวงเกลย์มาก่อน มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ถ้าพวกเขามีเหตุผลให้เรื่องเมื่อวันประกวดมากพอ จงแดประสานสองมือขึ้นบนโต๊ะหลังจากถอดกรอบแว่นเปล่าออก ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องการแก้ข่าวต่างๆนานา ลำพังถ้าตัดรูปฉุดกระชากลากถูนี่ออกไปแล้วบอกว่าเป็นเพื่อนกัน มันคงจะง่ายขึ้นมาก

     

     

    ใช่ ไอ้เหตุการณ์เจ้าปัญหานี่อย่างเดียวเลย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “คงไม่ถึงขั้นต้องแถลงข่าวหรอกมั้ง”

     

     

    อู๋อี้ฟานรับเอาโทรศัพท์มือถือคืนจากมืออีกฝ่ายแล้วพูดกัดไปตามประสา ปาร์คชานยอลยังนั่งกอดอกตีหน้าเครียด นึกโมโหตัวเองที่ไม่ทันคิดหน้าคิดหลังจนทำให้เกิดเรื่อง วิธีแก้ปัญหาของเรื่องนี้คงไม่ยาก ข่าวอาจจะเงียบไปเองถ้าไม่ใช่ว่าเกลย์กำลังมีกระแสที่น่าสนใจอยู่ในตอนนี้ พวกเขาล้วนอยู่ในสายตาของสื่อ

     

     

    “มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ ให้สัมภาษณ์ไปว่าเพื่อนเก่าบังเอิญเจอกันก็พอแล้ว”

     

     

    “เพื่อนเก่า” อี้ฟานทวนคำจงอิน หากแต่สายตาก็หันไปมองคนต้นเรื่องที่ไม่ยอมพูดอะไรมากไปกว่าการถอนหายใจ “ที่ลากกันไปคุยลับๆล่อๆอย่างนั้นน่ะเหรอ”

     

     

    “ว้าว” ลู่หานแสร้งทำตาโต “อย่าให้นักข่าวได้ยินประโยคนี้เชียว ไม่งั้นสาววายกรี๊ดกันสนั่นแน่”

     

     

    ดวงตาคมมองนักร้องนำที่ชอบพูดไร้สาระไม่เป็นเรื่อง ก่อนจะถูกดุด้วยคำพูดคำจาเชือดเฉือน ทั้งชานยอลและลู่หานก็ถูกช่วยชีวิตไว้ได้ด้วยคิมมินซอกซึ่งกลับเข้ามาทั้งที่มือยังถือโทรศัพท์เอาไว้ สีหน้าของผู้จัดการหนุ่มเคร่งเครียด ก่อนจะเดินมานั่งลงยังที่ว่างบนโซฟาข้างๆมือกีต้าร์และบอกเล่าถึงปลายสายซึ่งเพิ่งวางจากกันไปเมื่อครู่นี้

     

     

    “เฮสเทียติดต่อมาเรื่องข่าว”

     

     

    “เขาว่าไงบ้าง”

     

     

    “ตอนนี้วงเกลย์โดนกระแสโจมตีหนักมาก เพราะอีกหกวงที่เหลือให้สัมภาษณ์ว่าเห็นเหตุการณ์นั้นกันหมด เพราะฉะนั้น เฮสเทียต้องการให้อาร์คช่วย” ก็ไม่ผิดคาดไปจากที่คิดไว้เท่าไร ลองวงที่ยังไม่มีชื่ออย่างเกลย์ออกมาพูดเองก็คงไม่มีใครยอมโอนอ่อนตาม ทั้งหาว่าเส้นบ้างล่ะ ไม่โปร่งใสบ้างล่ะ กระแสจับตามองก็ยิ่งแรงขึ้นกว่าเก่าเมื่อสื่อปล่อยข่าวออกมาในจังหวะพอดิบพอดี ซึ่งถ้าไม่ใช่อาร์คที่ออกมาพูดเสียเอง เรื่องก็คงไม่เงียบไปง่ายๆจนกว่าจะถึงตอนเดบิวท์

     

     

    อู๋อี้ฟานคิดตามที่ผู้จัดการว่าอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาคมฉายประกายวาววับ “ช่วยวงนั้น แล้วอาร์คจะได้อะไร”

     

     

    ถึงตอนนี้ ร่างสูงของมือกีต้าร์หนุ่มหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูง สีหน้านั้นไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก แต่ความดุดันในแววตากลับไม่มากไปกว่าคำพูดตรงประเด็นที่อาร์คจะต้องพบเจอแน่ๆถ้าเลือกเงียบกับเรื่องนี้ต่อไปโดยไม่ทำอะไรเลย

     

     

    “ได้ช่วยฉันให้ไม่ต้องกลายเป็นคนที่อยากดังจนทิ้งวงตัวเองไง”

     

     

    เพราะไม่ถึงวันหลังจากนั้น ภาพของปาร์คชานยอลก่อนหน้าจะเปิดตัวในฐานะวงอาร์คก็ว่อนเต็มอินเทอร์เน็ตอย่างที่เจ้าตัวพูดไว้ไม่มีผิด

     


     

     

     

     

     

     






     

    ________________________________________

     

    ชอบไม่ชอบยังไง ส่งกำลังใจให้กันหน่อยนะคะ :D

    #ficdarkhorse



    ไม่เข้าใจเลย แฟชั่นคนเมืองกรุง




     



    M
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×