คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : EPISODE 3 | OLD FLAME
DARK HOUSE
間違えている箇所もあります。
….
t h r e e
สิ่งที่เห็น
อาจไม่เป็นอย่างที่คิด
‘ถ้าอยากเจออาร์คตัวจริงเสียงจริง ก็ลองไปเฝ้าที่เดอะอานเซอร์ดูสิ’
หนึ่งในประโยคเพียงไม่กี่อย่างของแฟนคลับที่จริงเสียยิ่งกว่าจริง ลู่หานกำลังหัวเราะกับเรื่องชวนหัวเมื่อครู่ที่ว่า มีวงดนตรียอมจ่ายสามแสนวอนเพียงเพื่อจะขอขึ้นเล่นที่นี่ โดยมีจุดประสงค์ก็คือหวังให้อาร์คมาเห็น เพื่อนำไปสู่การยอมรับ แมวมอง หรืออะไรก็ตามแต่ เชื่อเถอะว่ามันตลกสิ้นดี จริงอยู่ที่พวกเขาชอบร้านนี้ แต่ก็ใช่ว่ามานั่งมองหาศิลปินรุ่นน้องประดับวงการเสียเมื่อไร
การแสดงครั้งล่าสุดที่อาร์คจดจำจนต้องหยิบยกกลับมาคุยกันก็เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน ใช่ ผู้ชายอึมครึมที่นั่งกระดกวิสกี้เงียบๆอยู่ตรงมุมหนึ่งของโต๊ะบาร์คนนั้นนั่นแหละ อี้ฟานแตะไหล่ของลู่หานแล้วกดให้นั่งลงที่เดิม สายตาของเขาทั้งสามคนมองไปทางเดียว และแน่ใจเสียด้วยว่าความคิดในหัวก็คงเป็นเรื่องเดียวกันอีก
เป็นเรื่องดีที่อาร์คดื้อจนผู้จัดการคิมยอมเออออห่อหมกให้มีการฉลองแบบไม่เป็นทางการในที่สุด แต่มีข้อแม้เด็ดขาดก็คือห้ามเมาคอพับแล้วมีเรื่องมีราวให้นักข่าวเอาไปกระพือได้เด็ดขาด ซึ่งอู๋อี้ฟานก็หวังจะให้เป็นเช่นนั้น เขาถึงได้ดุจงอินเอาไว้ว่าต้องคอยดูแลลู่หานให้ดีๆ คราวที่แล้วกว่าจะพาร่างเมาอ้อแอ้เหมือนคนไม่มีกระดูกนั่นขึ้นรถกลับคอนโดมิเนียมได้ ทั้งอี้ฟานและมินซอกก็หอบไปตามๆกัน
ร่างสูงนั่งลงยังเก้าอี้ทรงสูงข้างคนในประเด็นสนทนาเมื่อครู่ มือใหญ่ยกแก้ววิสกี้ขึ้นจรดริมฝีปากขณะมองอีกฝ่ายกระดกน้ำสีอำพันรสเดียวกันจนหมดแก้ว รายนี้เขาไม่ห่วงเท่าไรนัก อย่างที่รู้ๆกันว่าถ้าอาร์คมีดวลเหล้าเมาเป็นหมาเมื่อไร ให้พนันหมื่นวอนได้เลยว่ายังไงเจ้าของตำแหน่งมือกีต้าร์คนนี้ก็ชนะ
“ไม่ไปนั่งด้วยกันล่ะ”
“แค่อยากคิดอะไรเงียบๆ”
อี้ฟานฟังคำตอบน่าหงุดหงิดนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาหมุนตัวเองหันหน้าเข้าหาบาร์ คว้าเอาแก้วของชานยอลมารินวิสกี้จากขวดให้แล้วจึงส่งกลับไป “สองปีแล้ว ยังคิดไม่แตกอีกหรือไง”
ประโยคแทงใจดำจากหัวหน้าวงไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกดีนัก ปาร์คชานยอลดูเหมือนให้ความสนใจกับสิ่งของมากกว่าเพื่อนร่วมวงมาแต่ไหนแต่ไร ก็ไม่ใช่ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ดี เพียงแต่มันน่าจะดีได้มากกว่านี้ถ้าชานยอลเชื่อว่าตัวเองเป็นอาร์คอยู่บ้าง
คนตอบไม่อยากคุยเรื่องนี้ แต่จะให้คิดหาบทสนทนาใหม่มาเบนทิศทางก็ดูจะยากมากเกินไป อย่าว่าแต่นั่งล้อมวงกินเหล้าแล้วคุยอะไรสนุกๆเลย ลำพังอยู่คนเดียวแล้วหลับได้โดยที่ไม่คิดถึงเรื่องนั้น เขาก็แทบนึกไม่ออกว่าเคยทำมันได้บ้างหรือเปล่ามาตลอดสองปีนี้ ตั้งแต่ที่ตัดสินใจก้าวเท้าเหยียบเข้ามาในเนเบอร์ เซ็นสัญญา และลืมตัวตนเดิมๆที่ต่างจังหวัดทิ้งไป
“นายเคยลืมวันเกิดตัวเองไหมล่ะ” ชานยอลยิ้ม ส่งต่อคำถามกลับคืนไปยังคนข้างๆ ทว่าอี้ฟานไม่ได้ใช้เวลาคิดนานนัก
“ออกบ่อยไป จนมาเป็นอาร์คนี่แหละ”
ทั้งคู่หัวเราะให้กับมุกตลกที่เข้าใจได้แค่คนบนจุดยืนเดียวกัน ก่อนหน้านี้ชีวิตอาจจะไม่ได้เป็นสิ่งสลักสำคัญอะไรนัก แค่กิน เที่ยว เล่นดนตรี แล้วก็ทำตัวให้สนุกเข้าไว้ แต่มันไม่เหมือนกัน ตอนนี้อาร์คกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนนับแสนนับล้าน กลายเป็นความสำคัญของใครก็ตามที่ยึดมั่นพวกเขาเอาไว้ในจุดสูงสุด เป็นชีวิตที่มีมูลค่ามากกว่าจะตายทิ้งไปเสียเฉยๆ เพราะอย่างนั้นเราทุกคนถึงต้องเปลี่ยนไป
เริ่มจากลู่หานที่ต้องเลิกบุหรี่เพราะชีวิตของหมอนั่นคือเส้นเสียง จงอินต้องทิ้งสิ่งที่รออยู่ตรงหน้าเพียงเพื่อเลี้ยวเข้าทางที่ไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ และรวมถึงอู๋อี้ฟาน --
“มันนานเกินไปแล้วนะชานยอล”
“....”
“เราให้เวลานายคิดมานานเกินไปแล้ว” อี้ฟานเห็นว่าวิสกี้ในแก้วนั้นหมด แต่เขาไม่ได้หยิบมาเติมให้ทันทีเหมือนอย่างในครั้งแรก “ไม่ว่าจะเคยทิ้งอะไร แต่ตอนนี้อาร์คต้องเดินไปข้างหน้า”
“ฉัน --”
“เชื่อในสิ่งที่นายเป็นสิ เหมือนอย่างที่นายพูดวันนี้”
“....”
“แล้วก็เชื่อพวกเราด้วย”
หัวหน้าวงคงคิดจะพูดแค่นั้น มือใหญ่หยิบแก้วเปล่าของปาร์คชานยอลมารินของเหลวย้อมใจให้เป็นแก้วที่สองแล้วจึงลุกเดินกลับไปนั่งรวมกับคนอื่นๆตามเดิม ความอึดอัดระหว่างสมาชิกในวงเสมือนเป็นจุดเล็กๆที่คั่นไม่ให้พวกเขาแนบแน่นกับอย่างที่ควรจะเป็นสักที มันกินเวลามานานเกินไปอย่างที่อี้ฟานว่า
ปาร์คชานยอลเป็นแค่มือกีต้าร์ของอาร์ค แต่ก็ไม่เคยเป็นอาร์คสักที
เขาเคยเป็นเพียงแค่นักเรียนคนหนึ่งที่เรียนแทบไม่จบ เป็นเด็กเสเพลที่ใช้ชีวิตอย่างล่องลอยในแต่ละวันอย่างคนไร้ค่า ชานยอลไม่เคยคิดว่าเขาทำอะไรได้ดีมากไปกว่าหายใจ เขาเซ็นขายบ้านในราคาถูกสุดกู่หลังย่าเสีย หางานพิเศษทำเพื่อเช่าห้องพักรูหนูอยู่ในอพาร์ตเมนท์ซอมซ่อแห่งหนึ่ง จนกระทั่งได้จับเครื่องดนตรีเป็นครั้งแรกตอนอายุสิบสี่ ชานยอลลองดีดมันเล่นอย่างคนไร้ทักษะอยู่นานสองนาน แล้วก็เหมือนมีสีสันแต่งแต้มในชีวิต เขาทำงานพิเศษที่ร้านนั้นไปพร้อมๆกับจุดหมายซึ่งเริ่มเด่นชัดขึ้นมา
จากนั้นมา ปาร์คชานยอลเป็นนักดนตรี
ทั้งชีวิตของเขารู้จักแต่การทิ้ง เกิดมาก็ถูกทิ้งให้อยู่กับย่า ทิ้งชีวิตการเป็นนักเรียน ทิ้งบ้าน ทิ้งสังคม ทิ้งตัวตนของเด็กชายชานยอลคนเก่าและโตให้มากกว่าเด็กในรุ่นเดียวกัน เขาทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง และเมื่อได้ลงหลักปักฐาน เขาก็เลือกทิ้งมันอีก
ชานยอลบอกลาจงอินที่ขับรถมาส่งยังคอนโดมิเนียม เขากดหมวกแก๊ปสีดำลงต่ำจนกระทั่งพ้นล๊อบบี้โรงแรมและเข้าไปอยู่ในลิฟท์ ในหัวยังครุ่นคิดถึงเรื่องที่อี้ฟานพูดตอนอยู่ที่ร้านเหล้า ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง จากนั้นก็พาร่างอ่อนระเหยเดินไปบนพื้นกระเบื้องสีครีมที่ทอดยาวสู่ห้องเดอลุกซ์ซึ่งอยู่สุดทางเดิน ทาบคีย์การ์ดลงบนบานประตูไม้เมเปิ้ล และกดเปิดไฟเพียงเพื่อจะเห็นว่าภายในห้องกว้างที่มีทุกอย่างนี้ว่างเปล่าเพียงไร
ชานยอลลำบากใจกับจุดยืนของเขา นั่นคือสิ่งที่อี้ฟานจำกัดความให้ทุกคนในวงฟัง
ร่างสูงถอดหมวดแก๊ปวางบนโต๊ะรับแขกที่เต็มไปด้วยกระดาษเขียนเพลงระเกะระกะ ถอดเสื้อยืดสีดำเหม็นหึ่งโยนลงตะกร้า แล้วจึงทิ้งตัวลงให้แผ่นหลังเปลือยเปล่าสัมผัสกับกำมะหยี่โซฟา ยกสะโพกขึ้นนิดหน่อยเพื่อหยิบเอาซองบุหรี่กระเป๋าหลังออกมาวางไว้ แต่พอทำท่าจะกะเทาะออกออกมาสูบ สองมือก็ชะงักราวกับเปลี่ยนใจเมื่อนึกอะไรขึ้นได้
ผุดลุกไปเปิดตู้เก็บของทางด้านขวาแล้วหยิบเอาอะไรบางอย่างออกมาตั้งไว้ข้างหมวก มันมีลักษณะเป็นขวดแก้วใสที่ทอดตัวขึ้นมาเป็นบ้องสำหรับดูด มือแกร่งปัดเอากระดาษเขียนเพลงไปกองรวมๆกันอยู่ฝั่งหนึ่ง ไม่ได้สนใจที่มันปลิวตกไป พอตั้งท่าจะแกะห่อกระดาษที่ถูกขยำหุ้มก้อนสี่เหลี่ยมด้านในไว้ก็มีอันต้องชะงักหยุดอีก
ชานยอลอยากเลิกพฤติกรรมนี้ แล้วเขาก็เหมือนจะหยุดตัวเองไม่ได้ทุกครั้งที่เกิดคิดเรื่องเมื่อสองปีก่อนขึ้นมา
‘ฉันไม่อยากเห็นหน้านายอีก’
“....”
‘ออกไปสิ!’
“....”
‘ไสหัวออกไปจากชีวิตของฉันได้แล้ว’
เขาขยำกระดาษในมือแล้วปล่อยทิ้งไว้บนโต๊ะ มือสั่นๆนั้นกระเสือกกระสนไปหยิบซองบุหรี่ขึ้นมากะเทาะแล้วจุดสูบ ลมหายใจหอบถี่ ร่างสูงปล่อยทั้งตัวให้เอนลงนอนหงายบนโซฟาอย่างก่อนหน้าที่คิดจะพึ่งกัญชา ปอดรับเอานิโคตินเข้ามาจนอัดแน่น จากนั้นก็ปล่อยให้รูจมูกพ่นควันโขมงล่องลอยออกไปในอากาศ มันกลายเป็นหน้าของใครบางคน และชานยอลไม่ชอบเลย
ภาพขึ้นนั้นแล่นวาบขึ้นมาเป็นฉากๆ เริ่มจากที่เขาอยู่ในห้องน้ำชาย สูบบุหรี่เหมือนอย่างตอนนี้ ปล่อยให้ความตึงเครียดในหัวพรั่งพรูออกมาเป็นทะเลหมอก อีกสิบนาทีจะถึงคิวของเกลย์ขึ้นแสดงอีกรอบแล้ว แต่ทุกคนยังทำเหมือนกับความบกพร่องในครึ่งแรกนั้นเป็นเรื่องที่ควรมองผ่าน
ชานยอลรู้ตัวเองมาพักใหญ่ว่าการเล่นกีต้าร์ของเขานั้นเข้าไม่ได้กับจุนมยอน ลามไปถึงจังหวะกลองของคยองซู แต่แบคฮยอนและคนที่เหลือกลับมองมันเป็นแค่การผิดพลาดเล็กๆน้อยที่มีเรื่องอื่นสำคัญกว่า ชานยอลเป็นนักดนตรี เขาเขียนเพลงทุกเพลงขึ้นมากับมือ ยิ่งนานวันจุดบอดนั้นก็ยิ่งชัดขึ้นจนชายหนุ่มแน่ใจว่าเขาเป็นจุดด่างของการแสดง
ดนตรีของชานยอลนั้นหนักเกินไป ยิ่งเขาพยายามฝืนเพื่อให้สามารถไปกับคนอื่นๆได้ก็มีแต่จะยิ่งฆ่าตัวเอง และถึงจะเคยลองเกริ่นขึ้นมาในตอนที่ทุกคนหันหน้าเข้าหากัน แต่คำว่าไม่เป็นไรนั้นมีแต่จะยิ่งฉุดนักดนตรีอย่างเขาให้หยุดอยู่กับที่ และจมลงไป -- จนกระทั่งเห็นทุกอย่างมืดแปดด้าน
Rrrr
มองเบอร์ของอี้ฟานบนหน้าจอโทรศัพท์อย่างชั่งใจ รู้ว่าคงเป็นเรื่องที่ขอเวลาตัดสินใจไว้ตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว ชานยอลยังคงลำบากใจกับเรื่องนี้ เขาทิ้งเกลย์ไม่ได้ แต่ก็ไปไหนไม่ได้เหมือนกัน
แตร๊ง
แล้วการแสดงครึ่งหลังก็ยิ่งตอกย้ำความมืดบอดนั้นจนโลกทั้งใบกลายเป็นสีเทา ปาร์คชานยอลยืนหน้าชาอยู่บนเวทีเพียงเพราะเล่นเพลงเก่งของเกลย์พลาดและเกือบจะหยุดทุกอย่างเอาไว้ถ้าแบคฮยอนไม่แก้สถานการณ์ด้วยการร้องต่อไป ลมหายใจขาดช่วง เขาเสียสมาธิ สองหูก็คล้ายจะไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงซุบซิบจอแจถึงความผิดพลาด และถึงจะเล่นต่อได้ยอดเยี่ยม แต่ชานยอลรู้ดีว่ามีแต่ยิ่งฉุดเกลย์ให้ตกต่ำลงตามกัน
‘ไม่เป็นไรน่า มันผิดพลาดกันได้’
แบคฮยอนน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าชานยอลไม่เคยพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อระยะหลังมานี้มันเกิดขึ้นบ่อยจนเขาคิดว่าตัวเองไม่ควรไปยืนอยู่บนเวทีนั้น ทว่าทุกคนยังเอาแต่หลอกตัวเองว่านี่เป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน
‘เรื่องวันนี้ไม่เป็นไรหรอก’
‘อย่าคิดมาก’
‘เกลย์ก็ยังแสดงได้เจ๋งเหมือนเดิมนี่ ใช่ไหมล่ะ’
นั่นทำให้ชานยอลตัดสินใจรับโทรศัพท์ของอี้ฟาน เพราะนี่ไม่ใช่ที่ของเขา
“ถึงห้องดีแล้วใช่ไหม”
กรอกเสียงถามไปยังปลายสายเมื่อลู่หานโทรเข้ามาหลังจากนั้น ล่าสุดที่เดอะอานเซอร์ นักร้องนำของอาร์คเริ่มพูดอ้อแอ้ อี้ฟานที่กลัวจะมีเรื่องถึงได้เสนอให้แยกย้ายกันกลับโดยเจ้าตัวอาสาจะไปส่งเอง ส่วนก็ให้จงอินรับหน้าที่สารถีเพราะคอนโด ฯ ไปทางเดียวกัน ชานยอลไม่ได้มีความคิดจะซื้อรถเพราะทุกวันนี้ก็แทบไม่ได้ออกไปไหน ยกเว้นเดินขึ้นรถของมินซอกเพื่อไปทำงาน
( ถึงแล้ว อี้ฟานเพิ่งบ่นเสร็จแล้วกลับไปเมื่อกี้ ) อีกฝ่ายดูจะสร่างเมาขึ้นจนพูดรู้เรื่อง มันตลกดีที่ถึงแม้ชานยอลเป็นอย่างนี้ แต่ถ้ามีใครสักคนที่อยากบ่นด้วย ลู่หานก็จะชอบโทรมาฟังความเงียบจากเขาเสมอ บางทีนี่อาจเป็นกลยุทธ์สร้างความสนิทสนมกระมัง
สองปีมานี้ ปาร์คชานยอลเป็นส่วนเติมเต็มของอาร์คที่กลมกล่อม
“พรุ่งนี้มีงานสิบโมง ถ้ายังตื่นสายอีก คราวนี้คงมีพี่มินซอกผสมโรงเข้าไปด้วย” ช่วยพูดขู่อีกแรง ถึงแม้อารมณ์เขาจะไม่ดีนัก แต่เดี๋ยวอีกสักพักลู่หานก็วางไปเอง
( รู้แล้วๆ จะไปนอนแล้ว นายไม่น่าบ่นอีกคนเลยนะชานยอล )
คนบ่นหัวเราะเบาๆ บี้มวนบุหรี่เข้ากับที่เขี่ยแล้วหยัดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เลื่อนบานประตูเข้าสู่ห้องนอนให้เปิดออก กีต้าร์โปร่งกิ๊บสันอายุปีครึ่งยังคงตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งภายในห้องนอน ชานยอลหยิบมันขึ้นมาวางบนตักหลังจากนั่งที่เตียง ใช้ไหล่หนีบโทรศัพท์กับหูเอาไว้ มือก็ลองดีดคลอไม่เป็นเพลงจนคนในสายถามขึ้นมา
( ทำอะไรอยู่ )
“ไปนอนสิ” เขากรอกเสียงลงไป ริมฝีปากหยักยกรอยยิ้มเมื่อนึกถึงเพลงหนึ่งที่อี้ฟานเคยเลือกให้มันอยู่ในอัลบั้มล่าสุด “เดี๋ยวจะร้องเพลงให้ฟัง”
ถอดแหวนสีเงินวาววับออกจากนิ้วนางข้างขวา เผยให้เห็นรอยสักรูปแหวนสีดำที่สลักรอบโคนนิ้วเด่นชัดขึ้นมาในกรอบสายตา เขาลูบมันอยู่สามครั้ง จากนั้นจึงวางโทรศัพท์มือถือลงข้างตัวหลังเปิดสปีคเกอร์ จรดปลายนิ้วลงบนกีต้าร์ ริมฝีปากอิ่มขยับเปล่งเสียงทุ้มต่ำคลอทำนองเพลงแผ่วเบา
NICKELBACK - FAR AWAY (COVER BY ANTO)
“This time, This place
เวลานี้ ที่แห่งนี้
Misused, Mistakes
ถูกใช้แบบผิดๆ มีความผิดพลาดมากมาย
Too long, Too late
นานเกินไป สายไป
Who was I to make you wait
ฉันเป็นใครกันนะ ที่มาทำให้เธอต้องรอ”
ลู่หานเงียบไปแล้ว คิดว่าคงจะนอนฟังอย่างที่เขาสั่งให้ทำอยู่จริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ปาร์คชานยอลสนใจกลับเป็นใครบางคนซึ่งอยู่ไกลออกไป ใครที่มักจะทาบริมฝีปากลงมาแทนคำปลอบประโลม ใครที่ดึงเขาขึ้นจากการแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ และบอกว่าชานยอลไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป
ในตอนนั้นเขาแค่อยากจะพูดว่า ไปด้วยกันไหม? อยากจะจับมือของบยอนแบคฮยอนเอาไว้แน่นๆแล้วขอให้ฟังกันให้จบ แต่แล้วความขลาดกลัวก็แล่นขึ้นมาอุดปากเอาไว้ ชานยอลทำได้แค่เงียบ หยิบกระเป๋ากีต้าร์ไอบาเนซคู่ใจกับกระเป๋าเงินเพื่อออกมาจากห้องนั้นทั้งตัวเปล่า
เขาสะโหลสะเหลไปจนถึงสถานีรถไฟ ใช้เงินที่มีเหลืออยู่น้อยนิดซื้อตั๋วรอบแรกของวัน มองท้องฟ้าที่ค่อยๆสางจนกลายเป็นสีขาวสว่าง รอบตัวเริ่มมีผู้คน แต่ทุกอย่างล้วนไร้สีสันเหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนไม่มีผิด
มันว่างเปล่า
‘Just one chance
แค่โอกาสเพียงครั้ง
Just one breath
แค่เพียงลมหายใจ
Just in case there's just one left
เผื่อเอาไว้สำหรับบางอย่างที่มันหายไป
'Cause you know,
เพราะอะไรรู้ไหม
you know, you know
รู้ไหม?’
ก้าวเท้าขึ้นไปบนรถไฟแล้วเลือกที่นั่งลึกเข้าไปทางโบกี้หลังสุด สิ่งเดียวที่พกมาด้วยถูกวางพิงไว้บนที่นั่งเดียวกัน ชายหนุ่มเสยเรือนผมยุ่งเหยิงพลางกลอกสายตามองไปรอบๆ คนในโบกี้บางตา มันเงียบเสียจนไม่ต่างจากการอยู่เพียงลำพัง
มือแกร่งล้วงหยิบสร้อยหนังสีดำขาดออกมาจากกระเป๋ากางเกง ปลายนั้นยังห้อยอยู่กับลูกกุญแจสีเงินที่เขามีส่วนช่วยเลือกครึ่งหนึ่ง มันสะท้อนภาพดวงตาแดงก่ำทว่าไม่ชัดเจน แต่ชานยอลไม่รู้ว่าความพร่าเลือนนั้นเกิดจากสิ่งของหรือว่าเป็นน้ำตาของเขาเอง
ร่างในชุดแจ็กเก็ตหนังงอตัวลงกลั้นเสียงสะอื้นที่จุกแน่นจนหายใจไม่ออก ลมหายใจตะกุกตะกักขาดช่วง แล้วมันก็บีบหัวใจให้ไร้เลือดหล่อเลี้ยง ทุกอย่างหยุดการทำงานลง โลกทั้งใบมลายหายไปเพียงแค่คิดว่าข้างตัวของเขามีเพียงแค่กีต้าร์สมใจ
ใช่ ปาร์คชานยอลเลือกเองทั้งนั้น
เลือกให้ตัวเองขาดใจตาย
‘That I love you
ฉันรักเธอ
I have loved you all along and I miss you
รักเธอมาตลอด และฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน
Been far away for far too long
เราต่างห่างไกลกันมาแสนนาน
I keep dreaming you'll be with me and you'll never go
ฉันได้แต่ฝันว่าเธอจะอยู่กับฉัน และจะไม่จากไปไหน
Stop breathing if I don't see you anymore
ฉันคงหยุดหายใจ หากไม่ได้เห็นเธออีกแล้ว’
เขากดวางสายทั้งที่ไม่รู้ว่าลู่หานหลับหรือเปล่า แม้แต่ตอนนี้ สิ่งที่นอนข้างตัวก็ยังมีเพียงแค่กีต้าร์ ชานยอลรู้ดีว่าในสายตาคนอื่น เขาเป็นแค่หุ่นดนตรีที่ขาดน้ำหล่อเลี้ยง มองไม่เห็นใคร และขาดสีสันในชีวิตเหลือเกิน เขากระหายความสุข กระหายในสิ่งที่เขาเลือกจะเสีย เพื่อแลกมากับความเชื่อและตัวตน แลกกับความฝันที่พยุงคนไร้ค่าเอาไว้ให้ไม่ต้องรอเวลาตายไปวันๆ
หลายครั้งที่คิดจะกลับไป... กลับไปนอนลงบนเตียงโครงเหล็กแล้วก็นั่งเล่นกีต้าร์ที่โซฟาเก่าซอมซ่อสีแดงตัวนั้น แต่พอย้อนมองกลับไปทางเดิม บางทีคำว่าสะพานขาดอาจรุนแรงน้อยเกินไป
ชานยอลรู้อีกว่าควรบังคับตัวเองนอนได้แล้ว มือใหญ่เอื้อมไปกดปิดโคมไฟหัวเตียงและปล่อยให้แสงสีส้มดับวาบลง เขาหวังให้คืนนี้ได้หลับสนิท หวังให้ใครคนนั้นไม่ต้องมาเข้าฝันแล้วทำลายมันด้วยการปลุกให้ตื่นในตอนรุ่งเช้า ใครที่ชานยอลมีสิทธิ์กกกอด และยกให้เป็นโลกทั้งใบในตอนที่เขาเหนื่อยล้าแทบขาดใจ ใครที่คิดว่าเป็นความล้มเหลวเพียงหนึ่งเดียวเมื่อเขาตัดสินใจที่จะรัก
เมื่อมือล้วงเข้าไปใต้หมอน สัมผัสเข้ากับจี้ลูกกุญแจเย็นเยียบที่ได้นอนหนุนอยู่ทุกวัน
ชานยอลก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำสำเร็จได้อย่างไร
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง ตรงหน้าเขาคือโอเซฮุนในชุดเสื้อแขนกุดที่นั่งกอดกีต้าร์ไอบาเนซสีขาวเอาไว้พลางทำสีหน้าปั้นยาก เรือนผมสีทองซอยสั้นถูกเซ็ทขึ้นเป็นทรงเปิดหน้าผากซึ่งยิ่งขับให้ดวงหน้ารูปไข่หล่อเหลาขึ้นกว่าเดิม เชื่อเถอะว่าตอนแรกมันเป็นแค่ก้อนหน้าม้าขยุ้มๆบนหัว แต่พอคยองซูพูดออกไปตรงๆ เด็กนี่ก็หน้างอแล้วเสียเวลาหน้ากระจกเพิ่มอีกเกือบครึ่งชั่วโมงเพื่อเซ็ทเสยมันขึ้นไป
ส่วนคยองซูนั้นผิดคาด เรือนผมสีแดงที่เจ้าตัวเพิ่งยอมย้อมเมื่อไม่กี่วันก่อนถูกเซ็ทเป็นทรงเปิดเอียงไปข้างหนึ่ง เผยให้เห็นรอยไถติดหนังศีรษะที่เซฮุนจำกัดความว่ามันเท่และหลุดสุดๆ (จุนมยอนที่เป็นคนเชียร์ทรงผมถึงกับยิ้มด้วยความภูมิอกภูมิใจ) เสื้อยืดสีดำสโลปขาวแขนสามส่วนนั้นก็ดูเรียบง่ายในแบบเจ้าตัว แบคฮยอนสังเกตว่ามือที่ถือไม้กลองวิคเฟิร์สขนาดไฟฟ์เอนั้นสั่นเล็กๆด้วยความตื่นเต้น แต่มันต่างจากพี่ใหญ่ของวงอย่างจุนมยอนเสียเมื่อไร
ผมสีทองที่เจ้าตัวภูมิใจนักหนาแค่ถูกขย้ำด้วยมูสแต่งผมเพียงนิดหน่อย โดยเหตุผลก็คืออยากให้ผมปรกหน้านั่นพริ้วอย่างเป็นธรรมชาติเวลาผงกหัวตามจังหวะดนตรี แล้วก็ไม่รู้ว่าจุนมยอนไปเอาแฟชั่นพนักงานออฟฟิศนั่นมากไหน ไอ้เสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนที่ใส่กับกางเกงยีนส์แบบนั้นน่ะ ทั้งยังตื่นเกร็งเสียจนไม่รู้ว่าจะเล่นไหวหรือเปล่า
พวกเขาเงี่ยหูฟังเสียงจากวงประกวดวงแรกทางด้านนอก ความกดดันมันอยู่ตรงไหนรู้ไหม? ก็ตรงที่เกลย์จับสลากได้ขึ้นแสดงเป็นวงสุดท้ายของงาน ก่อนจะมีแสดงคั่นอะไรสักอย่าง จากนั้นจึงเป็นการประกาศผลคืนนี้เลย ข้อดีที่คยองซูหาได้จากเรื่องนี้ก็คือ เกลย์จะได้ขึ้นแสดงในตอนฟ้าเริ่มมืด ซึ่งมีไฟสปอร์ตไลท์วิบวับสวยงามกว่าตอนกลางวันเป็นไหนๆ นั่นเป็นข้อที่เรียกความมั่นใจได้มากทีเดียว
แบคฮยอนกลอกตามองคนด้านหลังเวทีที่เอาแต่เดินขวักไขว่ไปมา แต่ละวงมีคอนเซปท์และการแต่งตัวจัดจ้านประเภทที่ว่ากินกันไม่ลง เสียงซุบซิบพูดถึงวงตัวเก็งในการประกวดครั้งนี้ และถ้าการได้ยินนั้นมันจะทำลายความศรัทธาที่มีแล้วล่ะก็ พวกเขาทุกคนควรเลือกปิดหูไม่ดีกว่าหรือไง
ข้อเสนอแสนเย้ายวนมากว่าเงินรางวัลคือการที่ค่ายเพลงหลายต่อหลายค่ายต่างมาจับจองตัวดาวรุ่งกันในวันนี้ อันดับหนึ่งจะได้เซ็นสัญญากับเมโลดิก้า ค่ายยักษ์ใหญ่ติดอันดับหนึ่งในสามของประเทศ และยังเป็นสปอนเซอร์หลักร่วมกับเนเบอร์ในการสนับสนุนงานประกวดครั้งนี้ ส่วนอันดับสอง สาม ไปจนถึงแปดนั้นไม่มีใครรับประกันนัก ถ้าผลงานเข้าตาก็อาจพอมีค่ายเพลงเล็กหรือใหญ่มาติดต่อไป แต่ถ้าไม่ พวกเขาก็แค่เอาเงินรางวัลกลับบ้านและได้บอกใครต่อใครว่าติดหนึ่งในแปดของร็อคไรซิ่งคอนเทสต์ ซึ่งมันคงช่วยเพิ่มค่าตัวเวลารับงานได้ในระดับหนึ่ง
เสียงติ๊กของเข็มนาฬิกาแขวนผนังราวกับสัญญาณที่ทำให้ความกดดันมากขึ้นเท่าทวี เสียงกรี๊ดดังกระหึ่มทางด้านนอก ในขณะมองวงที่สองถูกเรียกไปสแตนด์บาย เซฮุนก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า โน้มตัวลงมาเอื้อมกอบกุมมือของแบคฮยอนเอาไว้แล้วบีบแน่นขึ้น จนคนถูกจับรู้สึกว่ามันทั้งร้อนและชื้นเหงื่อจนเหนอะหนะ
“ไปกับผมแป๊บหนึ่งได้ไหม”
คนตัวเล็กไม่ได้มีเวลามองเพื่อนร่วมวงอีกสองคนนัก เขาถูกลากผ่านทางเดินที่แออัดไปด้วยผู้คน เลี้ยวลัดเลาะจนมาหยุดอยู่ตรงทางเดินเล็กๆ แบคฮยอนไม่รู้ว่าจุดนี้ถูกเชื่อมไปที่ไหน แล้วก็มั่นใจเสียด้วยว่าเซฮุนก็แค่พาเขาเดินมั่วๆจนถึงบริเวณที่เงียบจนพอใจเด็กนี่
เด็กตัวสูงยืนทำสีหน้าปั้นยากอีกแล้ว ก่อนหน้านี้แบคฮยอนก็คิดว่าอีกฝ่ายแค่ตื่นเต้น แต่พอได้สบดวงตาคมที่มองมายังเขา เห็นแนวสันกรามที่ขึ้นรูปโครงหน้าชัดอย่างเด็กโตซึ่งเข้าสู่การเป็นผู้ชาย โอเซฮุนแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผากพลางสาวเท้าเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งเท้าแขนคร่อมร่างเล็กไว้กับผนังพลาสติกสีขาวทางด้านหลัง
ถึงตอนนี้ แบคฮยอนจึงรู้ว่าบรรยากาศแปลกๆระหว่างเขากับเซฮุนกำลังปะทุขึ้นอีกครั้ง
“มีอะไร เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ยอมพูด คนเป็นพี่จึงเลือกออกปากทำลายความน่าอึดอัดนี้ลงด้วยวิธีตีหน้าโหดที่ถนัดเป็นที่สุด เซฮุนในวันนี้ดูโตกว่าทุกวัน อาจด้วยรูปลักษณ์ ท่าทาง หรือสายตานั้นก็ตามแต่
“เรื่องที่ผมให้พี่เก็บไปคิด--” แต่พอเริ่มเปิดปาก เด็กนี่ก็ยังเป็นแค่เด็กอยู่วันยังค่ำ มันฉายแววของความขลาดกลัว เขินอาย และกลัวในสิ่งที่เลือกถามออกมา “พี่ว่ายังไงบ้าง”
คนฟังเลิกคิ้ว “เรื่องอะไร”
“พี่อย่าทำไขสือสิ” ใบหน้าของเซฮุนแดงก่ำ มันทั้งดูน่ารักแล้วก็ตลกในเวลาเดียวกัน “แบคฮยอน”
เจ้าของชื่อไม่ค่อยชอบเวลาที่เซฮุนเรียกชื่อเขาโดยไม่มีคำว่าพี่นำหน้านัก ยิ่งเป็นตอนนี้ สถานการณ์แบบนี้ คล้ายกับมันยิ่งลบระยะห่างที่ควรจะมีให้ใกล้กันยิ่งขึ้น แบคฮยอนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจอ่อนๆซึ่งถูกผ่อนออกมาอย่างเชื่องช้า
“นายควรเอาเวลาที่เหลือไปซ้อม”
“ผมจะทำ”
“....”
ปากนั้นอ้าอออกเล็กน้อย แต่แล้วก็เงียบไปราวกับอยากได้เวลาชั่งใจอีกสักหน่อย จนคนในวงแขนเริ่มขยับตัว เด็กหนุ่มก็โพล่งขึ้นมาเสียงแปร่ง “ผมจริงจังนะ”
“....”
“เรื่องที่พูดวันนั้น ผมจริงจัง”
อีกฝ่ายย้ำคำว่าจริงจังถึงสองรอบ แบคฮยอนถึงรู้ว่าตัวเองเชื่อไปในทางอื่นไม่ได้อีก ครั้งล่าสุดของเรื่องนี้คือเมื่อห้าวันก่อน ตอนที่เซฮุนขอเป็นส่วนหนึ่ง ขอให้เขายอมรับเรื่องที่กำลังถูกเด็กนี่รุกจีบเข้าจริงๆ หลังจากนั้นจะพูดจะทำอะไรก็ตามมาด้วยความอึดอัด เกลย์เอาแต่ซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อม แบคฮยอนถึงคิดว่าเขาคงสามารถมองผ่านเรื่องนี้ไปได้ แต่คงไม่ใช่กับเซฮุน
ร่างโปร่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบเอาสร้อยหนังสีดำห้อยจี้กุญแจอันที่เจอกันวันแรก เขาขอให้เซฮุนทิ้งมัน นอกจากจะไม่ทำแล้วยังกล้าเอามาให้เห็นในวันสำคัญอย่างนี้อีก
“ผมชอบเวลาพี่ใส่สร้อยแบบนี้” เด็กหนุ่มไม่เคยรู้ว่าสร้อยของแบคฮยอนหายไปไหน ระยะเวลาครึ่งปีที่ต้องเจอหน้ากันเกือบทุกวันมันไม่เคยโผล่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นบนคอ ในกระเป๋า หรือส่วนไหนๆ
“ฉันไม่--”
“นี่เป็นสร้อยของผม” เซฮุนสวน อันที่จริงสร้อยของเขาไม่เหมือนกับจี้กุญแจอันเก่านั้นเสียทีเดียว และไม่ว่าจะหาสร้อยเส้นนี้มาได้ใกล้เคียงแค่ไหน หรือนักร้องนำของเกลย์เคยมีความฝังใจกับมันมากเท่าไร “พี่ไม่มีสิทธิ์เกลียดนะ”
“....”
คำพูดทุกอย่างถูกกลืนหายลงไปในลำคอ ถึงจะรู้ว่าเผลอพาลเด็กคนนี้ไปเพียงเพราะผู้ชายคนนั้นอยู่หลายครั้ง ถึงอย่างนั้นบยอนแบคฮยอนก็ยังจัดการความรู้สึกตัวเองไม่ได้ เขาไม่อาจระงับความโกรธเคือง อิจฉา หรือการฝันถึงวันเก่าๆได้อย่างเช่นการห้ามฝนไม่ให้ตก
เซฮุนยกสองมือนั้นขึ้นก่อนจะสวมเส้นหนังลงมาบนคอร่างเล็ก ริมฝีปากบางเฉียบคลี่ยิ้มเมื่อนึกไปถึงครั้งแรกที่ได้มีโอกาสดูการแสดงของวงเกลย์ วันแรกที่ถูกเจ้าของกุญแจดอกนั้นกระชากหัวใจเขาออกจากฝูงผู้ชม เซฮุนรู้อีกว่าเขาคงกู่ไม่กลับ เพราะยิ่งมีโอกาสใกล้ชิด ฟังเสียงร้อง เห็นทุกมุมที่แบคฮยอนเป็นแบคฮยอน เขาก็เริ่มแน่ใจตัวเองว่าอยากเป็นโลกทั้งใบของใครสักคนขึ้นมาจริงๆ ต่อให้คนๆนั้นจะเป็นผู้ชาย หมา แมว หรืออะไรก็ช่าง
“ใส่นี่ขึ้นร้องเพลงนะ”
“....”
“แค่ครั้งนี้ พอลงจากเวทีแล้วจะถอดสร้อยของผมทิ้งไปเลยก็ได้”
บยอนแบคฮยอนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับรอยยิ้มข้างหน้านี้ ไม่รู้ว่าเขาควรกระชากมันออกแล้วยัดคืนใส่มือเซฮุนหรือแค่หลับหูหลับตาแล้วคิดว่านี่เป็นแค่เครื่องประดับชิ้นหนึ่งกันแน่ สะดุ้งน้อยๆเมื่อมือใหญ่ของเด็กตัวสูงเลื่อนมาทาบลงเหนือสะโพก และยังไม่ทันจะคิดออกว่าอะไรเป็นอะไร แบคฮยอนก็จำต้องเบี่ยงหน้าเลี่ยงริมฝีปากนั้นโดยอัตโนมัติ
“....”
ทั้งคู่มองกันนิ่งงัน ถึงแม้คนตัวเล็กจะปฏิเสธการจูบครั้งแรกโดยไม่รู้ตัว แต่ในครั้งต่อมาโอเซฮุนก็ทำมันสำเร็จเมื่อแบคฮยอนยืนเฉยๆเหมือนคนแข็งเป็นหิน เขาดีใจที่ไม่ถูกต่อยออก แม้ว่าสิ่งที่ได้มานั้นจะบ่งบอกไม่ได้ก็ตามว่าคนเป็นพี่เกิดอยากตอบรับหรือปฎิเสธ
เด็กหนุ่มอายุสิบแปดปีเคยจูบอยู่บ้างเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังสอดลิ้นได้อย่างเก้ๆกังๆ มันกวาดเอาทุกความรู้สึกทั้งมวลมาไว้ที่ตัวเองอย่างเอาแต่ใจ จับรั้งมือที่ออกแรงผลักอยู่ตรงช่วงอกนั้นวาดไปบนผนัง ทว่าถึงจะขาดอากาศหายใจตาย เซฮุนก็ไม่กล้าละริมฝีปากออกเพราะเขาคงต้องการมันเป็นครั้งที่สอง
ทุกอย่างหยุดลงอ้อยอิ่ง ใบหน้าหล่อเหลาทาบหน้าผากชนกับคนตัวเล็กกว่า ปล่อยให้ลมหายใจอุ่นๆผ่อนรดใบหน้าอย่างมีความสุขเมื่อคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น แบคฮยอนมองสบเขา นัยน์ตาเรียวรียังฉายแววความตระหนกเล็กๆ เชื่อเถอะว่ามันดูน่ารักมากกว่าจะชวนให้รู้สึกผิดเป็นไหนๆ
“เมื่อกี้ผมโกหก”
“....”
“เพราะถ้าพี่ถอดสร้อยนี่ออก ผมจะร้องไห้ให้ดู”
แล้วพอแบคฮยอนทำท่าจะขยับตัว เขาก็อดใจไม่ไหวแล้วทาบทับริมฝีปากลงไปอีกครั้ง
“ง่วงเป็นบ้า”
เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ขาวหาวหวอดเมื่อรถตู้สีดำค่อยๆชะลอลงจนจอดนิ่งในที่สุด เขาได้ยินเสียงดนตรีและเสียงกรี๊ดดังกระหึ่มเต็มสองหู แล้วก็ยิ่งรู้สึกเหมือนหูจะแตกมากขึ้นไปอีกเมื่อหัวหน้าวงเอื้อมมือไปเลื่อนประตูรถเปิดออก เผยให้เห็นกลุ่มผู้ชมที่ใกล้ที่สุดกำลังกรีดร้องขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งที่เห็นอาร์คตัวเป็นๆ ยิ่งการที่ดนตรีบนเวทีเพิ่งจบลง กลุ่มคนก็ยิ่งหันมาสนใจกับการปรากฏตัวเกินความคาดหมายของวงร็อคระดับประเทศ คิมมินซอกจัดแจงให้พวกเขาเดินเลี่ยงไปยังทางเดินด้านขวาที่ทางงานจัดเตรียมไว้ให้ อาร์คอยู่ในชุดสีดำคล้ายกับที่ใส่ในการแสดงโชว์ทั้งสัปดาห์มานี้ อาจจะต่างกันที่รายละเอียดนิดหน่อย อย่างเช่นผ้าลายสกอตต์สีแดงที่ผูกเป็นสามเหลี่ยมอยู่บนคอลู่หาน ห้อยต่ำพ้นจากเสื้อตัวบนของอู๋อี้ฟาน คาดปิดครึ่งหน้าคิมจงอิน หรือแม้แต่ที่ผูกอยู่บนต้นแขนขวาของปาร์คชานยอล
“มีวงเจ๋งๆบ้างไหมพี่มินซอก” ลู่หานเอ่ยปากถามผู้จัดการวงที่มาสแตนด์บายรออยู่ก่อนหน้า แต่คนฟังไม่ได้ใส่ใจคำถามนั้นเท่าไรนัก
“ก็พอใช้ได้”
อาร์คเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว เพราะอย่างนั้นอีกครึ่งชั่วโมงนับจากนี้ก็ให้นั่งเล่น นอนงีบ หรือแม้แต่สูบบุหรี่คุยกันสบายๆเพื่อรอจนการประกวดจบ และทีมงานต้องใช้เวลาทำการเซ็ทเวทีสำหรับอาร์คอีกราวสิบนาที วันนี้พวกเขาจะเล่นทั้งหมดสามเพลง แทร็ปขึ้นเพลงแรก เพลงช้าที่ชานยอลเป็นคนแต่งอยู่เพลงที่สอง และปิดท้ายด้วยเพลงโปรโมตที่ดังถล่มทลายในอัลบั้มที่แล้ว
เสียงกรี๊ดต้อนรับวงต่อไปดังขึ้นทางกลุ่มผู้ชมกลางแจ้ง ถ้าไม่มีการคลาดเคลื่อน นี่ก็คงเป็นวงสุดท้ายของงานนี้ พิธีกรชายพูดคั่นรายการระหว่างเซ็ทเครื่องดนตรีด้วยน้ำเสียงคึกคะนอง และยังไม่ทันเดินจนถึงตัวอาคารด้านหลังดี ร่างสูงที่สะพายกระเป๋ากีต้าร์ก็ต้องชะงักเท้าหยุดแล้วหันขวับไปตามต้นเสียงของพิธีกรทันที
“และวงสุดท้ายของวันนี้! ขอเชิญพบกับ เกลย์!!!!”
หัวใจทั้งดวงหยุดนิ่งเพียงแค่ได้ยินชื่อ นอกเหนือจากปาร์คชานยอลแล้ว ชื่อเกลย์ก็หยุดอาร์คทั้งวงให้ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความสนใจ อี้ฟานหันไปกระซิบบอกมินซอกเกี่ยวกับเหตุผลที่พวกเขาขอเสียเวลาสูบบุหรี่สักสิบนาที
“ไม่ใช่แค่ชานยอลแล้วมั้งที่เจ๋ง คนที่เหลือก็พากันมาถึงรอบนี้ได้” จงอินพูดขึ้น แต่หัวหน้าวงแค่กอดอกก่อนตอบเสียงเรียบ
“ก็รอดูไปก่อน”
ร่างกายหยุดการทำงานเพียงแค่เห็นว่าใครบางคนกำลังจับไมค์และขาตั้งให้เข้าที่ เสียงเทสไมค์นั้นยิ่งกระตุกใจคนฟังให้ไหววูบเมื่อได้ยินเสียงที่เลือนหายไปจากชีวิตมาตลอดสองปี อีกสองคนยังเป็นจุนมยอนกับเบสสเปคเตอร์ คยองซูกับไม้กลองวิคเฟิร์ส และตำแหน่งสุดท้ายถูกแทนที่ด้วยเจ้าของกีต้าร์สีขาว เมื่อจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ด้านข้างเวทีซูมผ่าน ชานยอลถึงเห็นว่ามันเป็นไอบาเนซเอสซีรีส์
“สวัสดีครับ พวกเราวงเกลย์!”
ONE OK ROCK - DECISION
บยอนแบคฮยอนพูดใส่ไมค์ ทั้งทรงและสีผมนั้นเปลี่ยนไปจากเมื่อสองปีก่อนนิดหน่อย กระนั้นทุกรายละเอียดของอีกฝ่ายเขาก็ยังจำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มือข้างขวาที่จับไมค์นั้นสะท้อนแสงวาววับบนแหวนเงินเกลี้ยง หัวใจเขาปวดหนึบและผิดหวังเมื่อรู้ตัวว่าอีกฝ่ายเลือกทำแบบเดียวกัน
เพลงที่ไม่เคยได้ยินดังขึ้นในวินาทีที่สิบเจ็ดของเสียงดนตรี เพียงแต่มัน – เกลย์ไม่ใช่อย่างที่เกลย์เคยเป็นแล้ว
‘Another day
Another life
I wanna live it to the fullest
A little work
A lotta play
Alright’
ชานยอลไม่ได้ยินเสียงผิวปากชื่นชมของลู่หานที่ยืนห่างออกไปนิดหน่อย สายตาของเขาจับจดเพียงการแสดงบนเวทีนั้น ฟังดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อคแปลกหูที่ไม่ใช่กลิ่นอายโพสฮาร์ดคอร์อย่างเมื่อก่อน
‘Tracing the path to where my footsteps lead
Isn't all there is to my life
We'll never be as young as we are now’
ร่างสูงคิดถึงสัมผัสตอนนั้น ตอนที่เขานั่งซ้อนข้างหลังแบคฮยอนเพื่อสอนให้เล่นกีต้าร์เป็นครั้งแรก มือของชานยอลใหญ่กว่าอีกฝ่ายมาก แล้วมันก็ปิดมือเล็กจนเกือบมิดเมื่อเขาทาบทับลงไป แบคฮยอนพยายามจะเล่นกีต้าร์คลอเสียงร้องเพลงที่แต่งเองเป็นครั้งแรก รอยยิ้มนั้นถูกส่งมาเพื่อขอความเห็น แล้วก็กลายเป็นว่าปาร์คชานยอลนั่งเล่นเพลงอะคูสติกให้คนรักฟัง
‘You say it's all right
You say it's OK
It's up to you? Is that the truth? Tell me
I'm feeling used, will no one save me?’
ผู้ชมนับพันโยกหัวตามจังหวะเพลง ทุกคนล้วนชูมือขึ้นจนสุดแขน มองดูนักร้องนำที่ยกขาตั้งลอยขึ้นจากพื้น มือกีต้าร์หมุนตัวไปรอบๆทั้งที่มือยังระวิงอยู่บนคอร์ด มือเบสก้าวขึ้นมาเหยียบขาข้างหนึ่งบนลำโพง แล้วก็มือกลองที่ควบคุมศีรษะของคนทั้งงานได้อย่างใจนึก
“ว้าว วงเก่าชานยอลเจ๋งนะเนี่ย” ลู่หานพูคคำว่าเจ๋งเป็นครั้งที่สองต่อจากจงอิน อาร์คไม่เคยทำแนวดนตรีแบบนี้ แล้ววงส่วนใหญ่ที่เข้าประกวดก็ชอบเลือกแต่เพลงเค้นพลังเสียงแล้วว้ากปลุกอารมณ์คนดูเพราะคิดว่านั่นจะทำให้ชนะได้ “คิดว่าเมโลดิก้าจะเอาวงนี้ไหม”
“ไม่รู้สิ” จงอินตอบ “ถ้าไม่ได้ล็อคใครไว้ล่ะก็ ไม่แน่หรอก”
‘You say it's all right
Does that make it OK?
What's best for you is less for me
It's my decision’
ปาร์คชานยอลไม่เห็นตัวเองอยู่บนเวทีนั้นในช่วงโซโล่กีต้าร์ เขาไม่เห็นเกลย์อย่างที่เคยเห็น ไม่รู้สึกถึงภาพเก่าๆเพราะถูกเด็กผมทองคนนั้นกลบเสียหมด มือที่จับสายสะพายบนบ่ากำแน่นจนชื้นเหงื่อ ตากลมโตมองร่างเล็กของคนในความฝันกำลังหันหลังชนกันกับมือกีต้าร์คนใหม่ ทุกคนดูเข้ากันได้ -- และยิ่งย้ำเตือนว่าการตัดสินใจเมื่อสองปีก่อนไม่ผิด แทนที่ความหนักอึ้งในใจจะเบาขึ้นเมื่อเห็นวงเก่าสามารถไปต่อได้โดยไม่มีเขา แต่ลึกๆแล้ว... หัวใจของชานยอลกลับบีบรัดกว่าที่เคย
‘Never Never Never Never Again
It's my life my life my life my life to live’
ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว และมันจะไม่มีวันหวนคืน
ร่างสูงเดินนำคนอื่นเข้าไปทางด้านในอาคารเพียงลำพังทั้งที่เพลงยังไม่จบ เขายังได้ยินเสียงของแบคฮยอนแว่วมาจากทางด้านนอก และถึงจะอยากฟังต่อมากแค่ไหน แต่ชายหนุ่มก็เลือกปิดประตูห้องพักเดี่ยวของตัวเอง เหนือหน้าอกของชานยอลลุกเป็นไฟ แม่กุญแจสีเงินยวงร้อนวาบราวกับอยากแผดเผาให้จมลงไปในความรู้สึกแย่ๆที่กำลังเกิดขึ้น
ปาร์คชานยอลเดินไปวางกระเป๋ากีต้าร์ลงบนโซฟาแล้วทิ้งตัวนั่งข้างกัน เขาถอดแหวนที่นิ้งนางออก จับจ้องมันด้วยดวงตาไหววูบ ก่อนจะกลบเกลื่อนทุกอย่างด้วยการหยิบเอาบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตขึ้นมาจุดสูบพร้อมๆกับเสียงเคาะประตูที่ดังตามมา
‘You say it's all right
You say it's OK
It's up to you? Is that the truth? Tell me
I'm feeling used, will no one save me?
They say it's all right
Does that make it OK?
What's best for them
Not listening
It's my decision’
“ทำไมถึงหนีเข้ามาเสียล่ะ” ลู่หานนั่นเอง ชานยอลไม่ได้สนใจนักที่อีกฝ่ายทิ้งตัวลงนั่งข้างๆโดยยอมถูกรมด้วยควันบุหรี่ ถ้าผู้จัดการคิมมาเห็นก็คงจะปรี๊ด แต่มันคงไม่เกิดขึ้นง่ายๆในห้องพักเดี่ยวของเขาหรอก
ชานยอลหัวเราะกับคำว่าหนี อย่างกับนักร้องนำเดาใจมือกีต้าร์ออกอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ตอบ คนถามก็แค่ยักไหล่ไม่ยี่หระแล้วเอื้อมตัวผ่านไปหยิบเอาซองบุหรี่ จากนั้นจึงกะเทาะออกมาตัวหนึ่ง ถึงจะเป็นคนไม่ค่อยพูดอะไร ทว่าชานยอลก็รู้ว่าเขาควรจะคว้าข้อมือของลู่หานเอาไว้เพราะไม่ต้องการให้ทำอะไรบ้าๆอย่างเช่นฝ่าฝืนข้อห้ามนี้
“ให้เป็นความลับของเราสองคนได้ไหมล่ะ” ดวงหน้าหวานระบายยิ้ม “แค่ตัวเดียว”
ปลายมวนจ่อเข้ากับแสงไฟที่อีกฝ่ายคาบอยู่คาปาก ลู่หานโน้มใบหน้าเข้ามาเพื่อต่อบุหรี่โดยไม่ใช้ไฟแช็ค จากนั้นกลีบปากรูปกระจับก็พ่นควันสีขาวออกมาร่วมกับทางจมูก เปลือกตานั้นหลับพริ้มด้วยความโหยหา มันทำให้ชานยอลนึกไปถึงที่เคยรู้มาว่าเมื่อก่อนคนข้างๆเขาก็เป็นสิงห์อมควันไม่ต่างกัน
“ถ้ากลับมาติดอีกจะทำยังไง” นั่นคือสิ่งที่มินซอกและเนเบอร์กลัวที่สุด ซึ่งเจ้าของปัญหาก็รู้ดีว่าไม่ได้ทำตัวให้น่าเชื่อมั่นนักในฐานะนักร้องนำวงอาร์ค ลู่หานเป็นคนดื้อ และยิ่งเป็นเรื่องสำคัญมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องแอบดื้อเงียบๆมากเท่านั้น
“แค่ตัวเดียว ทำให้หายคิดถึงยังไม่ได้เลย”
คนฟังหัวเราะ คาบบุหรี่ไว้ที่ปากอีกครั้งแล้วยืดตัวขึ้นถอดแจ็กเก็ตบาลเมนพาดไว้ที่พนัก แผ่นหลังเอนลงจมกับเบาะกำมะหยี่ สองขายกขึ้นพาดยาวไปบนโต๊ะรับแขกสูงฟุตครึ่ง ไม่เข้าใจนักหรอกว่าทำไมลู่หานถึงได้เลือกให้เขาเป็นคนเก็บความลับกัน
“รู้ไหมชานยอล ฉันน่ะโคตรชอบบุหรี่เลย”
ชานยอลแค่ฟังต่อไป ระหว่างนั้นก็พ่นกลิ่นแบล็คเมนทอลให้ลอยคลุ้งไปในอากาศ
“แต่ก็เพราะมีสิ่งที่สำคัญกว่า เราถึงต้องเลือกทางที่คิดว่าดี”
ความนัยจากประโยคของลู่หานไม่ได้สะกิดใจให้คิดว่าอีกฝ่ายรู้ เขายังคงเงียบอยู่อย่างนั้น หัวใจที่เต้นช้าลงหลังจากความเจ็บปวดทำงานอย่างเกียจคร้าน แต่มันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก ในเมื่อปาร์คชานยอลยังมีชีวิตอยู่ตอนนี้
ชะงักไปเมื่อคนข้างๆแย่งบุหรี่มวนที่สองไปจากปาก คิ้วหนาขมวดมุ่นเมื่อควันนั้นถูกพ่นรมหน้าเขา แต่ลู่หานก็แค่หัวเราะหลังจากเพิ่งผิดคำพูดไปซึ่งๆหน้า
“ฉันชอบมีความลับน่ะ”
“ฟู่ว ~”
จุนมยอนผ่อนลมหายใจเมื่อลงมาถึงข้างหลังเวที การแสดงของเกลย์จบแล้ว ทั้งเพลงช้า เพลงเร็ว แล้วก็ทุกสิ่งที่อยากโชว์ให้โลกรู้ ซึ่งถ้าไม่ได้สำคัญตัวเองจนเกินไป พวกเขาคิดว่าผลตอบรับจากผู้ชมไม่เลวเลย
“ฉัน -- ฉันเกือบตีพลาด” คยองซูพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มือหยาบเล็กตามแบบฉบับมือกลองนั้นยกขึ้นขยุ้มเรือนผมสีแดงที่ถูกเซ็ทอย่างดีจนยุ่งเหยิง
“แต่ก็ไม่ได้พลาดใช่ไหมล่ะ” พี่ใหญ่ของวงพูดปลอบใจ พูดก็พูดเถอะ แม้แต่หัวใจของเขายังเต้นเป็นจังหวะเพลงสุดท้ายที่เล่นไปอยู่เลยด้วยซ้ำ ความรู้สึกเวลาอยู่บนเวทีใหญ่นี่มันสุดยอดจริงๆ เหมือนกับนิ้วจะแข็งขึ้นมาได้ทุกเมื่อ แล้วก็เป็นลมตายได้ตั้งแต่เสียงกรี๊ดแรกอย่างไรอย่างนั้น
เป็นหนึ่งไม่กี่ครั้งของช่วงปีหลังที่บยอนแบคฮยอนยิ้มกว้าง ทั้งใจเบาโหวงขึ้นมาเมื่อความหนักใจทั้งหมดที่ถ่วงเอาไว้ถูกยกออกไปจนหมด ครั้นหันไปเจอคนที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ข้างๆ ไอ้ความสบายใจเมื่อครู่ก็ราวกับจะหนักขึ้นมาอีกกะทันหัน ในเมื่อความรู้สึกเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนยังคงเด่นชัด ยากเหลือเกินที่จะต้องทำไม่รู้ไม่ชี้เมื่อระยะห่างระหว่างเขากับเด็กคนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว
เซฮุนเช็ดกีต้าร์ไอบาเนซสีขาวคู่ใจแล้วค่อยๆเก็บลงกระเป๋า จุนมยอนก็ทำแบบเดียวกัน จากนั้นทั้งสี่คนจึงนั่งจับกลุ่มเพื่อถกถึงความผิดพลาดและสิ่งที่สามารถปรับปรุงได้ รวมถึงแสดงความภาคภูมิใจของเกลย์ ไม่ว่าในอีกหนึ่งชั่วโมงนับจากนี้ผลจะออกมาเป็นอย่างไร การแสดงชุดเมื่อครู่คือทุกอย่างของความเต็มที่เท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้ในตอนนี้ มันดีแล้ว ดีกว่าที่คาดเอาไว้ด้วยซ้ำ
“นายสุดยอดเป็นบ้าเลยเซฮุน” จุนมยอนตบหลังของน้องเล็กดังป้าบ และถึงจะแกล้งทำเสียงโอดครวญ แต่เซฮุนก็ชอบที่มีมือของคยองซูตบหลังเขาลงมาเป็นครั้งที่สองเหมือนกัน
“ถ้าได้เป็นนักร้องขึ้นมาจริงๆล่ะก็ ขอผมยืนตรงกลางโปสเตอร์ได้ไหมล่ะ”
ทั้งสี่คนหัวเราะครืนเมื่อเด็กแสบพูดพลางใช้มือทำท่าเก๊กหล่อตรงปลายคาง ด้วยความเอ็นดูหรือหมั่นไส้ก็ตามแต่ คยองซูเลยแกล้งพูดแซวขึ้นมาอีกเสียง “อย่าเลย เวลานายยิ้มโคตรเหมือนตาแป๊ะ”
“โธ่พี่ ใครๆก็บอกว่ามันเป็นเสน่ห์นะ” ไม่พูดเปล่า ยังหันไปกระทุ้งคนข้างๆหาแนวร่วมด้วย “ยิ้มผมน่ารักจะตาย เนอะแบคฮยอน”
อาจจะมีแค่แบคฮยอนกระมังที่ดูเหมือนคนจัดการความรู้สึกตัวเองไม่ได้ตลอดเวลา ไม่ทันที่คนตัวเล็กจะได้ตอบอะไร เสียงกรี๊ดกร๊าดทางด้านนอกก็ดังฮือขึ้นอย่างกับจะทำให้ตึกถล่มลงมาได้ ผู้เข้าประกวดหลายคนรีบละจากข้าวของที่พากันเก็บแล้ววิ่งอ้อมไปทางด้านหน้าเวที เหลือไม่ถึงครึ่งที่ยังนั่งงงอยู่ จนกระทั่งเสียงดนตรีแรกดังขึ้น โอเซฮุนก็เป็นคนแรกของเกลย์ที่ดีดตัวผึงอย่างกับสปริง
“อะไร!?” จุนมยอนผงะ เห็นน้องเล็กยิ้มกว้างจนเหมือนหน้าจะระเบิด แถมเท้าก็เหยียบพื้นรัวๆอย่างคนไม่ติดที่
“พี่ไม่ได้ยินหรือไง รีบไปเร็ว!” มือของแบคฮยอนถูกคว้าเอาไว้ ร่างเล็กลอยตัวลุกขึ้นแล้วจึงต้องสาวเท้าวิ่ง โดยที่จุนมยอนกับคยองซูได้แต่เดินตามมาด้วยความงุนงง เห็นอย่างนั้นเซฮุนจึงหันกลับมาตะโกนบอกเสียงดัง “การแสดงพิเศษวันนี้ก็คืออาร์ค”
‘I know we could cross over rainbows
I wish that we could aim the sun again
I know we could dream for tomorrow
To share the long forgotten glamorous days’
ฟ้าข้างนอกมืดแล้ว สิ่งเดียวที่เป็นแสงสว่างภายในงานร็อคไรซิ่งคอนเทสต์จึงมีเพียงสปอร์ตไลท์และไฟบนเวทีที่ส่องสว่างขึ้นพร้อมกับเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของลู่หาน แทร็ปซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวของอัลบั้มล่าสุดยิ่งเรียกเสียงกรี๊ดให้ดังกระหึ่ม เมื่อผู้ชมเกินครึ่งในทีนี้เพิ่งจะมีโอกาสได้ดูมันเป็นครั้งแรก
ยิ่งใกล้เวทีมากขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนขาของเขาจะหยุดการทำงานลงให้ได้ เซฮุนยังคงฉีกรอยยิ้มตื่นเต้นและมองไปข้างหน้า และเพียงแค่เขาออกแรงรั้ง มือนั้นก็หลุดและหายไปท่ามกลางฝูงชนที่เบียดเสียดกันอยู่ตรงทางเข้าข้างเวทีอย่างง่ายดาย
บยอนแบคฮยอนได้แต่หยุดยืนนิ่งกับที่ เสียงกีต้าร์ของใครบางคนเด่นชัดขึ้นในโสตประสาท ผู้คนรอบตัวเริ่มผงกหัวขึ้นลงตามจังหวะเพลง ไม่รู้ว่าเซฮุนอยู่ที่ไหน จุนมยอนและคยองซูยังตามมาหรือเปล่า คนข้างหลังยังพยายามดันร่างของเขาให้ไปรวมกับกลุ่มคนที่แน่นขนัดขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งแสงสปอร์ตไลท์ทอดผ่าน เสี้ยวหน้าของใครบางคนทางซีกซ้ายของเวทีก็ปรากฏขึ้นในกรอบสายตา
“เพลงต่อไป” ลู่หานพูดผ่านไมค์ เขาไม่รู้ว่านี่มันผ่านไปนานแค่ไหน ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเพลงเมื่อครู่จบลงเมื่อไร “มือกีต้าร์ของเราแต่งให้ทุกคนที่หัวใจยังเจ็บปวด”
ท่ามกลางเสียงกรี๊ด มือแกร่งนั้นเริ่มขยับบนคอร์ดกีต้าร์เพื่อนำบทเพลง ได้ยินเสียงจากใครสักคนใกล้ๆนี้พูดว่ามันเป็นเพลงที่ปาร์คชานยอลแต่งขึ้นทั้งหมดและถูกบรรจุอยู่ในอัลบั้มด้วย ร่างเล็กถูกดันแรงขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงเพลงที่สอง เขาอยู่รวมกับฝูงชนด้านหน้าเวที และจากเสี้ยวหน้า ตอนนี้แบคฮยอนเห็นริมฝีปาก จมูก และดวงตาทั้งสองนั้นอย่างชัดเจน
“ฮาร์ทเอค”
ONE OK ROCK - HEARTACHE (COVER BY CODY CLEGG)
‘So they say that time
เขาว่ากันว่าเวลา
Takes away the pain
จะช่วยเยียวยาความเจ็บปวด
But I’m still the same
แต่ฉันก็ยังคงเจ็บอยู่เหมือนเดิม’
แม่กุญแจบนคอนั้นทำให้แบคฮยอนตัวแข็งทื่อ สีหน้ามือกีต้าร์ของอาร์คสงบนิ่ง ดวงตาลุ่มลึกมองผ่านออกไปแสนไกล เห็นคนหลายพันที่ยอมกลายเป็นจุดเล็กๆเพื่อดูการแสดงนี้ แทบไม่มีเสียงโห่ร้องดังขึ้นอีกแล้ว ทั้งบริเวณมีเพียงแค่เสียงของพระเจ้าอย่างลู่หานดังก้องราวกับจะอาบท้องฟ้าให้กลายเป็นสีคราม
‘And they say that I
และเขายังว่ากันอีกว่า
Will find another you
เดี๋ยวก็คงเจอคนใหม่
That can’t be true
นั่นน่ะ มันไม่จริงเลย’
ลมหายใจของปาร์คชานยอลกระตุกวูบเมื่อสายตาสบเข้ากับใครในความฝัน ใครที่เป็นเจ้าของบทเพลงบนกระดาษโน้ตหลายต่อหลายแผ่นภายในห้องของเขา รวมถึงเพลงนี้ เพลงที่บยอนแบคฮยอนกำลังยืนฟังมันอยู่ตรงหน้า ความสับสนในใจทำเอาร่างมือกีต้าร์หนุ่มโงนเงน ตากลมโตมองกลับลงไปที่ไอบาเนซสีดำไม่ได้อีก มันรังแต่จะจับจ้องคนด้านล่าง คนที่ทำให้บทเพลงแห่งความคิดถึงนี้มีค่ากว่าครั้งไหนๆ
‘Why didn’t I realize?
ทำไมฉันถึงคิดไม่ได้นะ
Why did I tell lies?
ทำไมฉันต้องโกหก
Yeah I wish that I could do it again
ฉันได้แต่หวังว่าจะสามารถทำมันได้อีกครั้ง
Turnin’ back the time
ย้อนเวลากลับไป
back when you were mine (all mine)
ไปตอนที่เธอยังเป็นของฉัน (ของฉัน)’
บทเพลงขับกล่อมคนฟังให้ตกอยู่ในห้วงภวังค์ ทุกครั้งของจังหวะกลอง แบคฮยอนรู้สึกเหมือนใจเขาถูกอะไรสักอย่างทุบเพื่อหวังให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ลมหายใจขาดช่วง รอบตัวกลายเป็นสีเทาเวิ้งว้างอย่างในวันที่เหมือนจะขาดใจตายวันนั้น
‘So this is heartache?
ความปวดใจมันเป็นอย่างนี้สินะ
So this is heartache?
ความเจ็บตรงหัวใจมันเป็นอย่างนี้ใช่ไหมล่ะ
I gathered all that I’ve regretted
ความเสียใจที่อัดอั้นอยู่ภายใน
And they turned into my tears, oh baby
ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นหยาดน้ำตา’
ตาคมปลาบของชานยอลจ้องมองมาไม่ละสายตา มันบีบคั้นใจของทั้งคู่ให้รู้สึกเจ็บปวดกว่าครั้งไหนๆ ชานยอลอยากกระโจนลงเวทีไปเสียเดี๋ยวนี้ อยากเขวี้ยงกีต้าร์ทิ้งไปข้างๆ อยากปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปและมีเพียงเขาที่วิ่งย้อนกลับทางเดิม
‘Your smile on that day,
รอยยิ้มของเธอในวันนั้น
I remembered how it changed
กลับกลายมาเป็นเพียงภาพความทรงจำ
I miss you
คิดถึงเธอเหลือเกิน’
“อยู่นี่เอง”
เสียงแปร่งตะโกนเรียกที่ข้างหู โอเซฮุนกอบกุมมือคนข้างๆไว้แน่นเพราะกลัวว่าการเบียดเสียดนี้อาจทำให้พลัดหลงกันอีก แต่เมื่อชะโงกมองอีกคนให้ชัดขึ้น ความวูบโหวงในอกนี่เป็นสิ่งที่เซฮุนไม่ชอบเอาเสียเลย
“พี่?”
‘It’s so hard to forget
การลืมเป็นเรื่องยาก
It was so hard that we tied a knot in the end,
ปมที่ถูกผูกก็ยิ่งเเน่นขึ้นทุกที
Yeah, so hard to forget
ใช่ มันลืมยากจริงๆ
My weakness strongly pushed me to my limits
ยิ่งออกแรงดึงมากเท่าไร ปมก็ยิ่งผูกแน่นมากกว่าเดิม
You and all the regret
ทั้งเธอ ทั้งความเจ็บปวดเสียใจ
We got separated as it got untied
เราแก้ไขอะไรไม่ได้นอกจากการจากลา’
เพลงของปาร์คชานยอลทำให้พวกเขาหวนกลับไปสู่เจ็ดร้อยวันที่แล้ว กลับไปในตอนที่ความคิดถึงไม่มีค่าใดๆ เมื่อแบคฮยอนยังหัวเราะได้ แต่งเพลง เล่นกีต้าร์ และจูบบอกคนตรงหน้าว่าการแสดงเมื่อครู่มันยอดเยี่ยมเพียงใด
ที่ผ่านมาเราต่างทำอะไรอยู่
เราปล่อยให้เจ็ดร้อยวันนั้นบอกอะไรเราบ้าง
‘It hurts right now, that hurts
ตอนนี้มันเจ็บปวด เจ็กมากจริงๆ
I want to forget you right away.
ฉันอยากลืมเธอเหลือเกิน’
เซฮุนประคองปลอบคนข้างตัวโดยที่ไม่รู้เหตุผลของเรื่องนี้ น้ำตาแบคฮยอนไหลอาบใบหน้าทั้งที่พยายามกลั้นมันไว้แทบขาดใจ ไม่มีเสียงสะอื้นลอดผ่านริมฝีปากบางเฉียบ ดวงตาคู่นั้นมองผ่านไปทางอื่นแล้ว และถึงจะรู้สึกเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่ชายหนุ่มรู้ดีกว่าใครว่ามันคงไม่มีทางหันกลับมาทางนี้อีก
‘So this is heartache?
ความปวดใจมันเป็นอย่างนี้สินะ
So this is heartache?
ความเจ็บตรงหัวใจมันเป็นอย่างนี้ใช่ไหมล่ะ
I gathered all that I’ve regretted
ความเสียใจที่อัดอั้นอยู่ภายใน
And they turned into my tears, oh baby
ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นหยาดน้ำตา
Your smile on that day,
รอยยิ้มของเธอในวันนั้น
I remembered how it changed
กลับกลายมาเป็นเพียงภาพความทรงจำ
I miss you
คิดถึงเธอเหลือเกิน’
“นายเล่นพลาดนะชานยอล”
เสียงเข้มของหัวหน้าวงตำหนิขึ้นในขณะที่อาร์คเดินกลับเข้าหลังเวทีหลังจากจบเพลงสุดท้าย ใช่ว่าเขาไม่รู้เรื่องที่อีกฝ่ายไม่ค่อยมีสมาธิในวันนี้ ถ้าอี้ฟาน จงอิน หรือแม้แต่ลู่หานไม่สามารถกลบเกลื่อนความผิดพลาดนั้นไว้ได้ เนเบอร์ก็คงจะต้องขายหน้าในงานประกวดใหญ่อย่างร็อคไรซิ่งเพราะวงอันดับหนึ่งเล่นแย่ต่อหน้าคนหลายพัน
“ชานยอล!?”
ปาร์คชานยอลไม่สนใจเสียงนั้น ไม่สนใจแม้แต่ว่าอู๋อี้ฟานและคิมมินซอกจะร้องเรียกเมื่อชายหนุ่มยัดเอากีต้าร์ในมือให้ลู่หานถือไว้และหันหลังวิ่งตรงไปยังทางเดิน ในหัวของเขามีแค่ภาพบยอนแบคฮยอนกำลังร้องไห้เมื่อหลายนาทีก่อน เพลงที่เจ้าตัวรู้ถึงความหมายของมันมากกว่าใครๆ
กรอบสายตามองผ่านผู้เข้าประกวดที่กำลังทยอยกันกลับเข้ามาข้างหลังเวทีอีกฝั่ง ชานยอลเมินเสียงฮือฮาของคนที่เขาแทรกตัวผ่านอย่างร้อนใจ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมมือกีต้าร์ของอาร์คถึงมาที่นี่ ทั้งที่คิดว่าควบคุมตัวเองได้แล้ว แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้... ทำไม่ได้เลยเมื่อเห็นคนในความคิดยืนอยู่ตรงนั้น
“....!”
แบคฮยอนสะดุ้งเฮือกเมื่อข้อมือถูกคว้าไว้โดยคนที่คาดไม่ถึง ใบหน้าแบบที่เขาไม่ได้มองชัดๆมาตลอดสองปีกำลังปรากฏอยู่ตรงหน้า แววตาจริงจังของปาร์คชานยอลสั่นไหว และท่ามกลางความตื่นตกใจของคนที่เหลือ ร่างเล็กก็ถูกดึงให้วิ่งตามไปยังอีกทางของอาคาร เสียงของเซฮุนและจุนมยอนตะโกนไล่หลัง แต่กลับไม่มีทีท่าว่าผู้ชายที่พาเขาวิ่งไปยังที่ไหนสักแห่งนี้จะยอมหยุดเอาไว้ตามเสียงรั้งเรียกของใคร
ประตูห้องถูกเหวี่ยงปิด แล้วเสียงเคาะเรียกจากทางด้านนอกในนาทีต่อมาก็ไม่มีความหมายใดๆอีก
“....”
“....”
ความอึดอัดโรยตัวลงมาจนทำให้หายใจไม่ออก ลมหายใจขาดช่วงและเป็นอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีใครพูดอะไรออกไป คนตรงหน้าอยู่ในชุดแจ็กเก็ตหนังและมีผ้าสีแดงผูกอยู่ที่ต้นแขนขวา ตากลมโตแดงก่ำเหมือนคนที่กำลังจะร้องไห้ มันจับจ้องเขาไม่วางตา แบคฮยอนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ไม่รู้ว่าอาจเกิดอะไรขึ้นเมื่อต้องเจอกันอีกครั้ง
และทันทีที่อ้าปากจะพูดอะไรออกไป ร่างสูงใหญ่ก็โถมลงมาจนเขาจมลงไปใต้วงแขน ศีรษะนั้นกดอยู่ที่ไหล่ลาด ยิ่งพยายามออกแรงผลักหนีเท่าไร ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายยิ่งออกแรงกอดแน่นขึ้นจนทั้งร่างสั่นเทา
“คิดถึง...”
เสียงของชานยอลเครือไปด้วยแรงสะอื้น แม้ว่าคนตัวเล็กยังคงขัดขืน แต่ความโหยหากลับรัดรึงทั้งคู่จนไร้ซึ่งช่องว่างใดๆ ถ้าหัวใจแห้งแล้งมาตลอดสองปี วันนี้ฝนที่ตกลงมาก็คงจะร้อนเกินไป เพราะแทนที่แบคฮยอนจะตื้นตันไปด้วยความสุข ทว่าเขารู้สึกเหมือนจะตายอย่างไรอย่างนั้น
“--ไป”
“....”
“ออกไป”
แต่แล้วเขาก็ทำมันจนสำเร็จ ใบหน้าของแบคฮยอนแดงขึ้งเป็นริ้ว น้ำเสียงดังขึ้นจมูก ทุกความเย็นชา โกรธเคือง และเดียดฉันท์ถูกสาดใส่ปาร์คชานยอลผ่านทางแววตาคู่นั้น
เราต่างเคยเป็นน้ำหล่อเลี้ยงของกันและกัน เป็นไม้ค้ำ เป็นสายจูง เป็นโลกทั้งใบที่ทำให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างมีความหมาย เราเคยเป็นกุญแจที่ถูกไข เราเคยเป็นทุกสิ่งทุกอย่างเกินกว่าคำนิยามใดๆที่เคยมีมา เราเคยเป็นเรา
แล้วตอนนี้เราเป็นอะไรไปแล้ว?
“อย่ามาแตะต้องฉัน”
แบคฮยอนพูดลอดไรฟัน เหนืออกนั้นปรากฏจี้รูปกุญแจสีเงินยวงโผล่พ้นคอเสื้อ ชานยอลเห็นมันเต็มสองตา ลำคอของเขาแห้งผากเกินกว่าจะส่งเสียงแหบพร่านี้ให้ดังออกไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ “ของใคร”
ชายหนุ่มไม่ได้รับคำตอบนั้น ไม่ได้อะไรเลยนอกจากการนิ่งมองบยอนแบคฮยอนซึ่งถอยกลับไป แวบหนึ่งที่เปิดออกจนเห็นข้างนอก บานประตูก็ถูกดันปิดจากร่างสูงที่เข้ามาซ้อนทับทางด้านหลัง สองแขนชานยอลรวบกอดคนในวงแขนเอาไว้แน่น
“ได้โปรด... แบคฮยอน” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู “สร้อยนั่นของใคร”
ชานยอลไม่รู้ว่าจะมีทางใดที่ทำให้เขาสามารถเจ็บปวดได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ไม่รู้ว่าสองปีที่ผ่านมานี้เขาสามารถทนอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้เขาทนไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียวถ้าแบคฮยอนต้องหายไปอีก
ร่างเล็กไม่พยายามที่จะหันกลับมามอง อีกฝ่ายก็แค่ยืนนิ่งๆเพียงเพื่อพ่นคำพูดเฉยชาออกมาจากปากเพื่อกรีดใจของคนทั้งคู่ให้ยับเยินกว่าที่เป็นอยู่
“สองปีแล้ว --”
“....”
“ยังคิดว่ามันเหลืออะไรอยู่อีก”
หลังสิ้นประโยคนั้น มือของคนตัวสูงถูกแกะออกอย่างง่ายดาย
“มันไม่เหลืออะไรแล้ว”
และในช่วงวินาทีที่เห็นว่าแววตาวูบไหวนั้นกำลังโกหก ร่างของบยอนแบคฮยอนก็เดินจากไปกับสมาชิกวงเกลย์ที่รออยู่ทางด้านนอก ทั้งคิมจุนมยอนและโดคยองซูเหลียวมองเขา เช่นเดียวกับเด็กผมทองคนนั้นที่จ้องมองมือกีต้าร์วงอาร์คด้วยแววตาเป็นประกายชื่นชม
คนที่คว้ามือของแบคฮยอนเอาไว้
‘So this is heartache?’
________________________________________
อยากให้ฟังเพลง เพราะนี่คือฟิคเพลง
55555555555555555555555555555555555
#ficdarkhorse
M
ความคิดเห็น