คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ` ( 두근두근 ♡ 4 )
“...จะทำอะไร”
“...........”
“...........”
แทบจะชะงักตัวเองไว้ไม่ทันเมื่อคนที่ไม่ได้สติเกิดลืมตาโพลงขึ้นมาได้ถูกจังหวะ ซ้ำคิ้วเรียวนั้นยังขมวดเข้าหากันเสียจนอ่านความคิดจากสีหน้าได้ไม่ยาก เขาค่อย ๆ ถอยตัวออกมาอย่างนึกเสียดายหลังจากชั่งใจอยู่สองวินาทีว่าควรจะพูดอะไรต่อเพื่อทำลายความรู้สึกไม่ไว้ใจที่ก่อตัวขึ้นมานี้ดี
“คือว่า... เห็นนายไม่ฟื้นสักทีก็เลยเป็นห่วงน่ะ”
ว่าไปหน้าตายแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ได้ยินอย่างนั้นโอเซฮุนก็ค่อย ๆ คลายคิ้วที่ขมวดเข้าหากันและพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณ เมื่อเห็นอีกคนเดินไปเอาชุดคลุมอาบน้ำลู่หานก็ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก โชคดีที่หมอนี่ซื่อกว่าที่คิดไม่งั้นแผนสวมชุดลูกแกะของเขาคงมีอันต้องล้มเหลวแน่ ๆ
ว่าแล้วก็ลุกเดินตามไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เห็นร่างโปร่งกำลังจัดการผูกเชือกชุดคลุมอาบน้ำปิดจนมิดชิด ใบหน้านั้นยังคงเป็นสีเรื่อ ๆ เพราะอุณหภูมิจากการแช่น้ำร้อน ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะหันมาสนใจเขาสักนิด ก็พอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าอีกเหตุผลที่พวกผู้ชายพากันไม่ชอบคน ๆ นี้มันเพราะอะไร ไม่เชิงว่ามนุษยสัมพันธ์ติดลบ แต่น่าจะเรียกว่าเข้ากับคนอื่นยากมากกว่า แถมระดับความยากก็น้อง ๆ กำแพงเมืองเชียวล่ะ
แต่ไม่เป็นไร... เขาละชอบการทำลายจริง ๆ ♡
ถ้าจะให้ลำดับความน่าอายที่สุดในชีวิตล่ะก็ การเดินไปท้องร้องไปนี่แบคฮยอนขอจัดให้อยู่อันดับต้น ๆ นึกขอบคุณที่ร่างสูงข้าง ๆ ไม่ได้หันมาหัวเราะทุกครั้งที่ได้ยินมัน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...
“บอกแล้วว่าไส้ถั่วแดงยี่ห้อนี้น่ะอร่อยสุด ๆ ไปเลย”
ปาร์คชานยอลว่าพลางงับเอาขนมปังไส้ถั่วแดงในมือเข้าปากไปคำโต ๆ ผิดจากเขาที่ค่อย ๆ ละเมียดกินราวกับกลัวมันจะหมดยังไงยังงั้น เขาเห็นชานยอลกำลังแหงนหน้ามองท้องฟ้า ครั้นมองตามไปบ้างก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นดวงดาวระยิบระยับอยู่บนผืนผ้าใบสีน้ำเงินที่ดูจะสว่างกว่าทุกคืน
ที่กั้นอยู่ระหว่างทั้งสองคนก็คือนมสองกล่องและความเงียบ พอขนมปังคำสุดท้ายถูกเคี้ยวตุ้ย ๆ อยู่ในปากบรรยากาศอึดอัดก็แทบจะทวีคูณขึ้นมาในทันที
“อิ่มไหม?”
“อื้ม”ความเงียบโรยตัวลงมาอีกแล้ว...การจะหาเรื่องคุยน่ะมันยากขนาดไหนนะ ถ้ามันยากพอ ๆ กับที่เขารู้สึกในตอนนี้ล่ะก็ชานยอลจะต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนกัน คิดได้อย่างนั้นก็ตัดสินใจพูดเพิ่มไปให้มันยาวอีกหน่อย “อิ่มแล้วล่ะ...”
“อื้ม”
“.........”
“.........”
“อะ...!”
ร่างบางมองกล่องนมช็อกโกแลตเปล่า ๆ ที่ถูกโยนจากมือของใครอีกคนก่อนจะเผลอส่งเสียงออกมาเมื่อเห็นว่ามันกระทบกับขอบถังขยะแล้วกระดอนตกไปบนพื้นอย่างน่าเสียดาย เมื่อได้ยินเสียงคนข้าง ๆ หัวเราะออกมาถึงได้รู้ตัวว่ามันน่าขันแค่ไหนที่เขาลุ้นกล่องนมช็อกโกแลตอย่างออกหน้าออกตาขนาดนี้
ร่างสูงลุกขึ้นยืนก่อนจะเหลียวตัวกลับมายื่นมือให้ใครอีกคน บยอนแบคฮยอนผงะไปเล็กน้อย ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจึงเข้าใจว่าชานยอลรอรับกล่องนมที่เขากินหมดแล้วจึงได้ยื่นให้ มองดูอีกคนที่เดินไปเก็บกล่องนมที่โยนพลาดแล้วทิ้งลงถังขยะพร้อมกับกล่องที่รับมา
“แบคฮยอน...”
“เห?”
“นาย... สนิทกับเซฮุนเหรอ?”
พูดทั้ง ๆ ที่ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง ปาร์คชานยอลไม่เข้าใจตัวเองเลยที่ถามอะไรแบบนั้นออกไป นี่เขาชักจะงี่เง่าเกินไปแล้ว พอเห็นว่าแบคฮยอนเงียบนานเกินไป... ก็นึกอยากจะหันกลับไปเพื่อบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมา เพียงแต่ว่าพอได้เห็นสีหน้านั้นแล้ว...
อยากฟัง... อยากรู้...
“ก็ไม่ถึงกับสนิทหรอก...”ร่างบางตอบไม่เต็มเสียงนัก นึกย้อนไปถึงตอนที่โอเซฮุนแบกขนมเข้ามากองตรงหน้าเขา ตอนที่ช่วยเขาเก็บสมุดการบ้าน “ได้คุยกันเมื่อวันก่อนน่ะ...”
“............”
“แค่คิดว่า... ถ้าได้มีเพื่อนบ้างก็คงดี”
“............”
ทำไมกันนะ... ชานยอลนึกอยากจะตีหัวตัวเองขึ้นมาถนัด เขาชักจะเพี้ยนไปใหญ่แล้วที่รู้สึกโล่งใจอย่างนี้ เซฮุนเองก็เป็นเพื่อนใหม่ของแบคฮยอนเหมือนกับเขาเท่านั้นเอง แล้วเขาล่ะ...ทั้งที่อยากถาม... อยากให้บอกจากปาก...
“งั้นเหรอ...”
สุดท้ายแล้วก็ยอมแพ้ตัวเองที่พูดไปไม่ออก แค่ถามเรื่องหยุมหยิมอย่างเมื่อกี้ก็น่าอายจะแย่ ปาร์คชานยอลไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเขากำลังเป็นอะไรไป ไม่รู้ตัวว่าทำไมต้องยิ้มด้วยซ้ำ เหมือนคนบ้าเลยแฮะ
“ฉันดีใจนะที่ได้เป็นเพื่อนกับแบคฮยอน”
พูดไปอย่างนั้นแล้วก็เดินนำกลับไปตามทางที่ตรงเข้าสู่โรงแรมบนเนินเขา ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาควบคุมตลอดทาง เพราะไม่รู้จะพูดอะไร... และแบคฮยอนก็ดูจะยังไม่อยากพูดอะไรเหมือนกันจึงเอาแต่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้น
แสงไฟจากโรงแรมเด่นชัดในกรอบสายตาแล้ว เป็นอีกครั้งที่เขานึกอยากจะหันกลับไปถามแบคฮยอนว่า คิดว่าขาไปหรือขากลับเวลาผ่านไปเร็วกว่า? แต่ก็นั่นล่ะมันช่างไร้สาระและทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายบ้าบอเข้าไปทุกที
“ยอล...”
“?”
“ชานยอล...”
เสียงผะแผ่วดังแว่วราวกับมาตามสายลม ปาร์คชานยอลหยุดฝีเท้าแล้วเอี้ยวตัวกลับไปมองคนข้างหลัง แบคฮยอนดูลังเลที่จะพูดบางอย่างกับเขา ...บางอย่างที่เขาคิดว่าคงอยากฟังเอามาก ๆ
“ฉันเองก็ดีใจ... ที่มีชานยอลเป็นเพื่อนคนแรก...”
สรรพนามแทนตัวนั้นเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้บยอนแบคฮยอนกำลังสบตากับเขา ถึงแม้มันดูขลาดอายและอ่อนไหวจนเหมือนจะหนีหายไปได้ทุกเมื่อก็เถอะ ถึงอย่างนั้น... ร่างสูงก็ยิ้มกว้างกว่าทุกที ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขารอฟังคำนี้อยู่ ...ได้เป็นเพื่อนคนแรกจริง ๆ สินะ
ดีใจจัง...
ว่าแล้วก็นึกขำกับสีหน้าที่เหมือนถูกบังคับให้พูดอย่างนั้นของแบคฮยอนเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันที่จะได้คุยอะไรกันมากขึ้น เสียงเอ็ดตะโรของอาจารย์ควอนก็ดังมาจากทางประตูเข้าตึกโรงแรมจนทั้งคู่ทำอะไรไม่ถูก
“นี่! นักเรียนตรงนั้น พวกเธอแอบออกไปข้างนอกมาใช่ไหม!”
“ว่ายังไง สารภาพมาซะดี ๆ”
ที่อยู่ตรงหน้าเขาคืออาจารย์ควอนและอาจารย์ฝ่ายระเบียบที่ขึ้นชื่อว่าดุยิ่งกว่าอะไรดี สิบนาทีที่โดนเทศนาเรื่องการทำผิดกฎและอันตรายนอกเหนือจากการดูแลของอาจารย์ ส่วนห้านาทีหลังคือการเค้นความผิดและคิดหาบทลงโทษดี ๆ ว่าจะทำยังไงให้หลาบจำ
“นี่ไม่คิดจะพูดอะไรกันเลยใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็วิ่งรอบสนามทั้งคืนแล้วไม่ต้องนอน”
แค่รอบสองรอบแบคฮยอนก็คิดว่ามันเหนื่อยมาก ๆ แล้ว โรงแรมบนเนินเขากว้างกว่าในเมืองหลายเท่า วิ่งรอบที่ว่าก็คือวิ่งรอบตึกสามตึกและสนามหญ้าทางด้านหน้า แค่นึกภาพตัวเองเป็นลมอยู่กลางทางก็รู้สึกแย่ขึ้นมา แล้วยังจะต้องถูกตัดคะแนนความประพฤติเมื่อกลับไปถึงโรงเรียนอีก
เพราะเขา... เพราะเขาคนเดียวแท้ ๆ
“ผมเป็นคนให้แบคฮยอนออกไปเป็นเพื่อนเองครับ” ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อคนข้างตัวยกมือขึ้นพร้อมคำสารภาพเท็จแบบนั้น ไม่จริงเลย... เขาต่างหากที่เป็นคนหิว บยอนแบคฮยอนคนนี้ต่างหาก
“ไม่ใช่นะครับ... ผม...” พูดได้แค่นั้นก็ต้องเงียบลงเพราะแรงบีบที่มือ ใบหน้านั้นกำลังหยักยกรอยยิ้มบอกว่าไม่เป็นอะไร
“แบคฮยอนเตือนผมแล้ว แต่ผมยืนยันจะออกไปเพราะว่าหิวครับ” น้ำเสียงนั้นมุ่งมั่นเสียจนเขาต้องก้มหน้าลงนิ่ง ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ...ทั้งที่ควรจะพูดออกไปแท้ ๆ
“ผม...” แม้ว่าอยากจะค้านออกไปแค่ไหน แต่เพียงแค่แรงบีบก็ที่มือก็ทำให้ทุกคำกลืนหายลงไปในลำคออย่างยากจะยอมรับ
เขานี่มันขี้ขลาดไปซะทุกเรื่อง
“ในเมื่อว่าง่าย ๆ งั้นครูก็จะแค่ตัดคะแนนความประพฤติพวกเธอ บยอนแบคฮยอน ในฐานะที่เธอห้ามเพื่อนไม่ได้เธอต้องโดนตัดคะแนนเหมือนกัน เข้าใจไหม”
“...ครับ”
แต่ถึงอย่างนั้นชานยอลก็โดนตัดคะแนนเยอะกว่าเขาถึงเท่าตัว แบบนี้มันไม่ถูกต้องเลยสักนิด แต่มือที่จับอยู่นี่กำลังขอร้องเขาว่าไม่ให้พูดอะไรออกไป ทุกครั้งที่เขาจะเอ่ยปากมันยิ่งบีบแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ถูกต้อง... ชานยอลจะมารับผิดแทนเขาได้ยังไงกัน
เพราะว่าดึกมากแล้วพวกเขาจึงถูกไล่ให้กลับห้องมากกว่าจะไปวิ่งรอบสนามอย่างที่ถูกขู่ไว้ ทางเดินเงียบเชียบเสียจนราวกับจะตอกย้ำความรู้สึกผิดในใจร่างบางให้เต็มกลืน ชานยอลเดินอยู่ข้างหน้าเขาเหมือนทุกครั้ง แผ่นหลังกว้างนั้นเคลื่อนไหวไปตามจังหวะการเดิน อาจจะกำลังนึกเสียใจอยู่ก็ได้
“ชานยอล...”
“หืม?”
เป็นครั้งที่สองของวันที่ส่งเสียงออกไปแบบนั้น อีกฝ่ายชะงักฝีเท้าและหันกลับมามอง แบคฮยอนกำลังก้มหน้า ลาดไหล่นั้นสั่นเทาเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ นิ่งขึ้นเมื่อมือที่แนบอยู่ข้างลำตัวกำแน่นเข้าหากันเสียจนเกร็งไปทั้งตัว
“ขอโทษนะ”
และสิ่งที่ได้รับตอบกลับมาก็คือรอยยิ้มกว้างอย่างที่ชานยอลมักจะมอบให้เขาเสมอ สายตาที่พร่ำบอกว่าไม่เป็นไร เสียงหัวเราะที่ให้รู้ว่าไม่ถือสา ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแท้ ๆ ...แต่ทำไมถึงดีกับเขาขนาดนี้นะ
ตึก... ตึก... ตึก... ตึก...
อีกครั้งที่ใจเต้นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ปาร์คชานยอลสบถด่าหัวใจเขาที่มันชักจะงี่เง่าขึ้นทุกวัน แค่เห็นสีหน้าอย่างนั้นก็ชวนทำให้ว้าวุ่นใจขนาดนี้แล้ว
เดินเกาหัวเสียจนผมซอยสั้นนั้นยุ่งไม่เป็นทรง แบคฮยอนจะกำลังมองเขาอยู่หรือเปล่า อยากหันไป... แต่ก็ไม่ชอบที่จะเห็นสายตาคู่นั้นหลบไปทางอื่นเลยสักนิด
‘ผมแค่... มองหน้านายไม่ไหวน่ะ’
เขาเองก็เริ่มที่จะมองหน้าเจ้าตัวไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันคนละความหมายกันก็เถอะ แต่สำหรับปาร์คชานยอลน่ะ... คนที่สดใสกว่าใครก็คือบยอนแบคฮยอนตอนยิ้มต่างหาก
อยากจะทำดีด้วยเยอะ ๆ ...ถ้าจะทำให้ได้เห็นแบคฮยอนในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
...และไม่มีใครเคยเห็น
“อุณหภูมิในร่างกายร้อนเกินไปเขาว่าให้ใส่เสื้อบาง ๆ นะ”
ว่าพลางชี้เสื้อยืดสีขาวของตัวเองเป็นตัวอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นโอเซฮุนกลับนิ่วหน้าแล้วเมินเอาผ้าเช็ดตัวไปพาดที่ราว ทฤษฎีเชื่อถือไม่ได้อีกแล้ว หมอนี่เอาแต่หาเรื่องชวนเขาคุยมาตลอดทาง ตั้งแต่เรื่องจางอ๊กจองยันทางกลับบ้าน ก็ประมาณว่าไม่ชินนักหรอกที่มีคนมาตีสนิท แถมดูจะกระตือรือร้นเกินไปเสียด้วย
“นี่ เซฮุน”
“ว่า” หันกลับไปมองว่าคนตัวเล็กกว่าคิดจะพูดอะไรอีก ลู่หานกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่าสีหน้าแบบนี้มันดูกวนประสาทกว่าปกติ พอเห็นเขาทำสีหน้าไม่พอใจลู่หานก็ผิวปากแล้วฉีกยิ้มใสซื่อใส่อีกครั้งจนชวนให้หงุดหงิดไม่ลง ร่างนั้นก้าวเข้ามาช้า ๆ ก่อนจะแตะลงที่สันกรามแผ่วเบา
“นายน่ะ... ไม่ได้ชอบผู้หญิงงั้นเหรอ”
“จะบ้าหรือไง!” อดไม่ได้ที่จะสวนกลับไปทันควัน หมอนี่ยั่วโมโหเขาหรือไง แล้วยังเป็นในแบบที่ไม่มีใครพูดมาก่อนเสียด้วย ทุกคนคิดว่าเขาเป็นเสือผู้หญิง เป็นคนไม่ดีหรืออะไรที่ใกล้เคียงกับคำนั้น คิดมาตลอดว่าช่างเถอะ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าใครมีความคิดยังไง แต่ไอ้เรื่องที่จะมาใส่ร้ายว่าเป็นโฮโมแบบนี้น่ะ...
ลู่หานมองมือของตัวเองที่ถูกปัดออกแล้วก็ระบายยิ้มออกมาอย่างไม่ใครใส่ใจนัก ขี้หงุดหงิดชะมัด ผิดไหมนะที่เขาอยากจะเห็นสีหน้าอ่อนแอแบบนั้นอีก สีหน้าที่อย่างกับว่าอยากให้ใครก็ได้เข้าถึงอย่างนั้น
“โทษที ก็แค่ถามไปเฉย ๆ น่ะ ไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก” ยกสองมือขึ้นในระดับศีรษะเป็นท่ายอมแพ้ พอถูกอีกคนจ้องเขม็งมาอย่างนั้นก็เลยเลือกจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงพาซื่ออย่างที่จำมาจากเด็กสาวแรกแย้ม “เห็นว่านายดูไม่ค่อยชอบสนิทกับพวกผู้หญิง แต่ฉันคงใช้คำพูดผิดไปสินะ”
กลับลำได้หน้าตาเฉยเสียจนคนตรงหน้าดูผ่อนคลายลงในที่สุด โอเซฮุนถอนหายใจก่อนจะเบนสายตาหนีแก้เก้อ “ก็ไม่ใช่ว่าไม่ชอบสนิทหรอกนะ”
แต่มิตรภาพของเขากับมิตรภาพที่พวกผู้หญิงต้องการมันเป็นคนละอย่างน่ะสิ แค่เริ่มจากเพื่อนร่วมห้อง... สุดท้ายแล้วทุกคนก็บอกว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับเขาแต่ต้องการมากกว่านั้น มากเข้าจนโดนเพื่อนผู้ชายหมั่นไส้และค่อย ๆ หายไปทีละคน...
‘ฉันไว้ใจเห็นนายเป็นเพื่อน แต่นายกลับแย่งแฟนของฉันได้ลง!’
‘ฉันชอบเซฮุนนะ ส่วนคนอื่นน่ะช่างเถอะจ้ะ’
“...........”
“...........”
“ถ้าเลือกได้... ก็ไม่ขอใกล้ชิดใครจะดีกว่า”
ตัดบทด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเดินเลยไปยังเบาะนอนของตัวเอง ทว่าแรงรั้งจากใครอีกคนกลับทำให้เขาลื่นชายผ้าห่มที่ยืนเลยออกมาจากที่นอนจนเสียหลักและเผลอจับแขนอีกคนตอบโดยอัตโนมัติ
เร็วเท่าความคิด ลู่หานใช้แรงที่มีดึงรั้งอีกคนไว้ไม่ให้หงายหลังล้มลงไป ร่างโปร่งถลาไปตามแรงดึงจนชนเอาอีกฝ่ายหลังกระแทกติดกับตู้เสื้อผ้า ใช้มือข้างที่ว่างยันตู้ไว้เพื่อไม่ให้ชนซ้ำเข้าไปอีกรอบ ในขณะที่อีกมือยังคงจับรั้งเรียวแขนไว้เช่นเดียวกับคนตรงหน้า
“เกือบไปแล้ว...”
ลู่หานผิวปากโล่งอกที่ช่วยให้อีกฝ่ายไม่ต้องหัวกระแทกพื้นเป็นรอบที่สองของวัน เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องถูกเลื่อนเปิดออก ก่อนสายตาของชานยอลและแบคฮยอนจะมองมาที่พวกเขาอย่างตกตะลึง แบคฮยอนหน้าแดงขึ้นมาโดยไม่ทันรู้ตัวเมื่อภาพที่เห็นคือโอเซฮุนกำลังยืนคร่อมคนตัวเล็กกว่าจนหลังแนบติดตู้เสื้อผ้า ซ้ำยังอยู่ใกล้กันเสียจนเข้าข่ายล่อแหลมเหมือนอย่างในซีรีย์หลังข่าว
หากแต่ภาพตรงหน้าก็มืดลงเพราะมือของใครอีกคนที่เลื่อนมาปิดตาเขาไว้ไม่ให้เห็นภาพบัดสีบัดเถลิง สองคนนี้มีอะไรกันตอนที่เขาไม่อยู่นะ หรือว่าเซฮุนจะเป็นเสืออย่างที่พวกผู้หญิงว่ากัน...
“เอ่อ... ขอโทษนะ”
เป็นเสียงของชานยอลที่พูดออกไปเก้อ ๆ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้โอเซฮุนรีบผละออกห่างจากอีกคนแล้วเดินเลี่ยงไปทิ้งตัวลงบนที่นอนเงียบ ๆ เขาชินกับการโดนเข้าใจผิดแล้วล่ะ ชินเกินกว่าที่จะออกปากอธิบายอะไรออกไปแม้แต่คำว่า...
“ไม่มีอะไรหรอกน่า” ลู่หานเอ่ยออกตัวเสียงใส ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องได้อย่างแนบเนียนเสียจนคนมาใหม่คล้อยตามได้อย่างง่ายดาย “ว่าแต่พวกนายไปไหนกันมา อย่าบอกนะว่าไปเดินกินลมชมวิวเอาป่านนี้”
“มะ... ไม่ใช่” แบคฮยอนแทรกตอบขึ้นมาลนลาน ทำเอาร่างสูงข้าง ๆ หัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น “คือว่าฉันหิว... ชานยอลก็เลยพาไปคอนวีเนียนน่ะ”
“แล้วก็โดนอาจารย์ควอนสอยพร้อมตัดคะแนนเมื่อกลับไปถึงโรงเรียน” พูดราวกับมันเป็นหัวข้อคุยเล่นที่ไม่มีอะไรเอาเสียเลย แน่นอนว่าลู่หานไม่ใส่ใจนัก เขาเพียงยักไหล่รับรู้ก่อนจะทิ้งตัวลงบนที่นอนของตนบ้างเท่านั้นเอง
ห้องทั้งห้องมืดสนิทมาครู่ใหญ่ ๆ แล้ว ลู่หานยันตัวขึนนั่งก่อนจะทอดมองชานยอลซึ่งนอนข้าง ๆ เลยไปถึงแบคฮยอนที่คงจะหลับสนิทไม่ต่างกัน และท้ายสุดคือแผ่นหลังของใครบางคนที่นอนหันหน้าไปอีกทาง
‘ถ้าเลือกได้... ก็ไม่ขอใกล้ชิดใครจะดีกว่า’
พอนึกถึงคำพูดนั้นแล้วความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวอย่างช่วยไม่ได้ ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนก่อนจะจัดแจงลากเอาเบาะนอนอ้อมผ่านศีรษะของทุกคนไป มาจนถึงริมสุดอีกฝั่ง ทิ้งตัวลงนอนติดกับคนที่กำลังลืมตาขึ้นมอง แม้แต่ในความมืด ชายหนุ่มก็เดาได้ว่าเซฮุนคงกำลังขมวดคิ้วแน่ ๆ
“ทำอะไร?”
“กลัวผีน่ะ ♡” ตอบกลับไปหน้าตาเฉยแล้วแกล้งหลับตาทั้งที่ยังตะแคงเข้าหาอีกฝ่ายอย่างนั้น เขาไม่ได้ยินเซฮุนพูดอะไรอีกนอกจากเสียงหายใจซึ่งแรงขึ้น ก่อนที่มันจะผ่อนลงและสม่ำเสมอในที่สุด
ลืมตาขึ้นมองใบหน้านั้นโดยอาศัยเพียงแสงสลัวภายในห้อง ถึงมันจะไม่ค่อยเห็นอะไรนัก แต่เขาก็ยังคงมองอยู่อย่างนั้นด้วยสีหน้าที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าคิดจะทำอะไรเป็นต่อไป
______________________________________
พาร์ทหน้าลู่ฮุนค่ะ
แฮ่ก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ความคิดเห็น