คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : ` ( 두근두근 ♡ 27 )
แบคฮยอนพบว่าจงอินกลับมาถึงห้องเรียนก่อนเขา ใบหน้านั้นเรียบเฉยและไม่แสดงอารมณ์ใดหลังจากการกระทำล่วงล้ำเมื่อหลายนาทีก่อน เขาเห็นกระทั่งสายตาของลู่หาน เซฮุน และคนอื่นที่มองมาด้วยความอยากรู้ แม้แต่อาจารย์ควอนที่น่าจะถามอะไรสักหน่อยยังเลือกเงียบไป บยอนแบคฮยอนมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้
“หายดีแล้วเหรอ”
“ครับ?” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เห็นอย่างนั้นอาจารย์ประจำชั้นจึงยอมพูดอีกรอบ
“จงอินบอกว่าเธอไม่ค่อยสบาย ถ้ายังไม่ดีขึ้นก็น่าจะนอนพักที่ห้องพยาบาลไปก่อน”
คนฟังเหลือบมองเจ้าของชื่อซึ่งแสดงความหวังดีช่วยไม่ให้เขาถูกเช็กขาดเรียน การเดินไปส่งสมุดการบ้านไม่เคยมีเหตุจำเป็นให้ต้องใช้เวลานานเกินสิบนาที แต่นี่จวนจะหมดคาบแรกแล้ว แม้แต่คนที่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก็ยังไม่กลับมา บางทีอาจารย์ควอนอาจคิดไปแล้วว่านักเรียนพวกนี้เหลวไหล ถ้าไม่ติดว่ามีข้ออ้างดีๆที่จงอินพูดช่วยเขาเอาไว้ก่อนหน้า
ร่างเล็กเดินสะโหลสะเหลไปจนถึงที่นั่งประจำ ความรู้สึกแปลกๆทำให้เขาเลือกที่จะเลี่ยงการมองจงอินตรงๆและทำเฉยเมยต่อทุกสิ่ง ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร สีหน้าแบบไหน หรือตอบว่าเกิดอะไรขึ้นหลังปล่อยให้ถูกพาแยกออกไปทั้งอย่างนั้น ความสับสนตีรวนในใจดวงเท่ากำปั้นจนปั่นป่วน ริมฝีปากร้อนฉ่าตอกย้ำภาพของปาร์คชานยอลคนนั้น
มือเรียวบีบเข้าหากันแน่นบนหน้าตัก บทเรียนไปถึงหน้าไหนแล้วก็ไม่รู้ แบคฮยอนไม่เคยคิดเลยว่ามีวันที่เขาจะรู้สึกกลัวชานยอลอย่างนี้ สองมือมันผลักไสอีกฝ่ายออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่เหมือนจูบตอนนั้น -- จูบที่อ่อนโยน แสนหวาน และบอกผ่านดวงตาว่าเรารู้สึกดีต่อกันแค่ไหน แล้วตอนนี้เราเป็นอะไรไปแล้ว
เขาฟุบหน้าลงบนโต๊ะโดยไม่สนใจคิมจงอินซึ่งยอมหันมามอง แม้แต่อาจารย์ควอนที่หันมาเห็นหนึ่งในนักเรียนละเลยบทเรียนบนกระดานก็ไม่คิดจะขว้างชอล์กใส่ สำหรับคนอื่นแล้ว บยอนแบคฮยอนอาจแค่กำลังอ่อนเพลียประสาคนไม่สบาย ทว่าจงอินรู้ดีแก่ใจ
มือหนาชะงักค้างกลางอากาศ จงอินลดมันลงแล้วหุบเข้าหาตัวเมื่อการกระทำของตัวเองมีส่วนช่วยตอกย้ำทุกอย่าง ท้ายแล้ว เขาก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กที่วู่วามคนหนึ่ง เวลาที่ต้องการอะไรมากๆ เรามักขาดสติ และกว่าจะรู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ย้อนคืนมาไม่ได้อีกแล้ว
นั่นสินะ แล้วเขาทำอะไรลงไป
“แบคฮยอน...” เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยชื่อคนข้างตัวเบาหวิว แต่จงอินแน่ใจว่าแบคฮยอนคงไม่ได้ยินมัน
เมื่อหันไปสบเข้ากับนายคนจีนที่ชื่อลู่หาน หมอนั่นทำหน้าตาหาเรื่องราวกับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คิมจงอินต้องเป็นคนผิดอยู่วันยังค่ำ และจะไม่น่าแปลกใจเลยถ้าหมดคาบช่วงเช้าแล้วเขาจะถูกต่อยหน้าเข้าให้
“แบคฮยอน...”
“อย่าเพิ่งยุ่งกับฉัน” เสียงที่ตอบกลับมาสั่นเครือ เจ้าของชื่อไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ “ไม่ใช่ตอนนี้...”
เพื่อนตัวเล็กไม่เคยปฏิเสธเขา แต่ประโยคเมื่อครู่นี้บอกจงอินว่าอะไรๆมันเปลี่ยนไปแล้ว
“บ้าเอ๊ย ติดต่อไม่ได้เลย”
ลู่หานยืนสั่นขาไม่หยุด มันน่าหงุดหงิดเสียจนโอเซฮุนอยากจะหาตุ้มถ่วงร้อยตันสักอันมาห้อยเอาไว้ นี่ไม่ใช่กิริยาที่ดีเลย ก็พอรู้อยู่ว่าลู่หานไม่ชอบจงอินเพราะเรื่องของชานยอลกับแบคฮยอน แต่เซฮุนไม่คิดว่านั่นเป็นเหตุผลที่คนตรงหน้าทำงุ่นง่านมาตั้งแต่เช้าโดยไม่บอกอะไรเขาสักคำ
“คงจะอยู่ในโรงเรียนนี่แหละ กระเป๋าก็ยังแขวนไว้ที่เก้าอี้”
มือเรียวกดวางสายหลังจากทนฟังเสียงตื๊ดอยู่นาน สายที่หกเข้าไปแล้ว ชานยอลก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรับไม่ว่าจะเป็นเบอร์เขาหรือเซฮุน แล้วทำไมสองคนนั้นถึงกลับเข้ามาก่อน สีหน้าแบคฮยอนก็ดูไม่สู้ดีเอาเสียเลย ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่
“จะบอกฉันได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น” เซฮุนยืนกอดอกพิงผนังดาดฟ้า คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความตึงเครียดที่ลู่หานร่วมก่อ หลายครั้งที่ลู่หานกับเซฮุนชอบมีลับลมคมใน แต่เขาไม่รู้ “ว่าไงลู่หาน”
คนถูกถามสูดลมหายใจลึก ทิ้งตัวลงนั่งยองๆหลบแสงแดดอ่อนที่ใต้ชายคาเล็กๆ ตาก็กลอกขึ้นมองคนรักป้ายแดงแววละห้อย ลู่หานทำท่าจะพูดอยู่หลายครั้ง แต่ก็เกาเรือนผมยุ่งเหยิงแก้เก้อเพียงเพราะนึกคำพูดดีๆไม่ได้ ตอนที่บอกว่าสองคนนั้นซัมติงกันก็นานมาแล้ว ถ้าให้เดาล่ะก็ เซฮุนก็รู้เท่าที่เขาเคยพูดนั่นแหละ
“ก็คิมจงอินไง”
“อ้อ...” คนฟังพยักหน้ารับ “แล้วยังไงต่อ”
ถ้าเป็นหนุ่มนักพนันล่ะก็ ป่านนี้ลู่หานคงรวยเละไปแล้ว “นายก็เห็นว่าหมอนั่นมันล่ามแบคฮยอนไว้กับตัวเองทุกทาง คนเขาชอบๆกันอยู่ แต่ดันมาโดนขัดแบบนี้มันน่าโมโหไหมล่ะ”
เซฮุนขมวดคิ้ว ถึงแม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ลู่หานเล่าสักเท่าไร แต่ก็พอนึกออกว่าตั้งแต่เปิดเทอมมา ไม่มีวันไหนที่เพื่อนอีกสองคนได้ตัวติดกันเช่นที่เคยเป็น ในทีแรกก็คิดเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่เพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง สิ่งที่โอเซฮุนเลือกทำต่อคือตัดมันออกจากสารบบความคิด
“คือยังไง คิมจงอิน --”
“คิดไม่ซื่อกับแบคฮยอน” ลู่หานต่อให้ ประโยคนี้ทำให้คนที่ไม่รู้อะไรเข้าใจแจ่มแจ้งและปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้ไม่ยาก “แต่ฉันไม่รู้ว่าเมื่อเช้าเกิดเรื่องอะไร หรือจะไปถามแบคฮยอนดี”
ร่างโปร่งก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ นี่เพิ่งเข้าพักเที่ยงมาแค่สิบห้านาทีเท่านั้น ยังมีเวลาอีกพักใหญ่ให้หนึ่งในเขาสองคนทำอย่างที่ลู่หานว่า แต่คนอย่างแบคฮยอนคงไม่ยอมพูดง่ายๆ หนำซ้ำชานยอลก็ยังหายไปโดยทิ้งทุกอย่างเอาไว้ ไม่ยอมรับโทรศัพท์ ไม่เข้าเรียน นี่มันต้องเป็นเรื่องร้ายแรงสักแค่ไหนนะ
“ไม่ไหวแล้วโว้ย!” ลู่หานผุดลุกขึ้นยืน ตั้งท่าจะเดิมดุ่มๆกลับเข้าไปในอาคารจนเขาต้องรั้งเอาไว้ “จะไปคุยกับแบคฮยอนให้รู้เรื่อง ไอ้หน้าอินหน้าดำที่ไหนก็ไม่สนแล้ว”
“ก็ใจร้อนเสียอย่างนี้” เซฮุนอยากบอกให้ลู่หานอินน้อยลงหน่อย ในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง จะไปใส่อารมณ์กับคนนู้นคนนี้ก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว ซึ่งใช่ มองจากมุมนี้ คิมจงอินอาจจะผิดเต็มประตู แต่อย่างไรมันก็เป็นเรื่องของคนสามคนที่คนนอกอย่างลู่หานไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง “คิดว่าไปตะคอกใส่แล้วจะช่วยอะไรได้”
“....”
“ใจเย็นๆหน่อยเถอะ”
คนใจร้อนเสยผมลวกๆทีหนึ่ง ลู่หานยอมนิ่งคิดเพื่อตั้งสติหลังตัดสินใจบุ่มบ่ามทำอะไรลงไปก่อนหน้านี้ “ชานยอลต้องย้ายไปแทกู”
“อะไรนะ”
“ฉันเองก็เพิ่งรู้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว” เซฮุนไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ให้ตายเถอะ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ลู่หานเงียบอยู่ได้อย่างไร ชานยอลเองก็อีกคน ถึงจะไม่ได้สนิทกันจนคุยได้ทุกเรื่อง แต่อย่างน้อยก็น่าจะบอกกันบ้าง “หมอนั่นก็ไม่ได้อยากไปหรอก แต่ยื้อยาก พ่อแม่เขาเห็นตรงกัน”
เขายอมล้มกระดานใหม่ตั้งแต่ต้นเพื่อเรียบเรียงเหตุการณ์ทั้งหมดอีกครั้ง ในบรรดาทั้งสี่คนแล้ว ปาร์คชานยอลกับโอเซฮุนเรียกได้ว่าห่างกันมากที่สุด แต่คนที่น่าจะรู้ก่อนใครก็ควรเป็นแบคฮยอนเช่นกัน
“แล้วแบคฮยอนรู้เรื่องนี้หรือยัง”
ลู่หานไหวไหล่ ส่ายหน้า เหตุการณ์เมื่อเช้ากลับมาเป็นประเด็นให้ต้องขบคิดอีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆตอนนั้นกันแน่
สุดท้ายแล้ว เซฮุนก็เป็นฝ่ายเสนอตัวโทรหาบยอนแบคฮยอนเสียเอง ด้วยเหตุผลว่าถ้าเพื่อนอยู่กับคิมจงอิน จะได้ไม่มีการปะทะคารมณ์ใดเกิดขึ้นให้สถานการณ์มันยิ่งแย่อีก ซึ่งน่าแปลกใจนิดหน่อยที่หลังจากรับสาย แบคฮยอนบอกเซฮุนว่าอยู่ห้องสมุดเพียงลำพัง ถึงอย่างนั้นเซฮุนก็ไม่คิดปล่อยให้ลู่หานเป็นคนจัดการเรื่องนี้แน่
เขาสั่งให้อีกฝ่ายอยู่เฉยๆ หรือถ้าทนไม่ได้ก็คิดเสียว่ารับหน้าที่รอให้ชานยอลโทรมา ส่วนตัวเองแยกกลับเข้ามาในอาคารหลังจากบอกคนตัวเล็กว่าจะไปหา อนึ่ง แบคฮยอนสบายใจกว่าถ้าคนที่ต้องเจอเป็นเซฮุน พวกเขาต่างคนต่างเป็นคนพูดน้อย หนำซ้ำเซฮุนยังไม่มีนิสัยละลาบละล้วงเรื่องของใครหรือใช้อารมณ์เข้าว่าเพราะอยากเอาชนะ
ตลอดทั้งสัปดาห์มานี้ ข่าวซุบซิบเรื่องความสัมพันธ์แตกหักของเขากับคิมดานีถูกเอาไปตีความขยายเรื่องอย่างรวดเร็ว หกสิบเปอร์เซนต์ย้ำว่าโอเซฮุนก็เป็นเสือผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ ส่วนอีกสี่สิบเปอร์เซนต์นั้นแค่หัวเราะที่คู่นี้ไปไม่รอด มันไม่ต่างอะไรจากที่เขาเคยโดนมาตลอด แต่เซฮุนนึกห่วงว่าดานีที่เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดามาตลอดจะรับไหวหรือเปล่า
เมื่อคืนเขาแอบส่งข้อความหาเธอ พี่เซนาบอกว่าถ้าทำอย่างนี้แล้ว เขาจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ไม่ปล่อยให้ผู้หญิงตัดขาด แต่ถ้าต้องให้ทนนิ่งเฉยโดยรู้ทั้งรู้ว่าดานีต้องเจอกับอะไรบ้าง เซฮุนจะยอมเป็นคนที่แย่ไปกว่าเก่าสักนิดคงไม่เป็นไร
Rrrr
ตาเรียวรีกลอกมองอย่างเบื่อหน่ายพลางกดรับให้ปลายสายส่งเสียงดังเจื้อยแจ้ว ( เป็นอย่างไรบ้าง คุยกับแบคฮยอนหรือยัง )
“กำลังจะเข้าไป” ร่างโปร่งหยุดยืนอยู่หน้าห้องสมุด ตาก็เสมองไปทางอื่นแทนที่จะสบตอบเจ้าของเสียงซุบซิบนินทาหลายคน ขอบคุณสวรรค์ที่ลู่หานไม่อยู่ตรงนี้ “แค่นี้นะ”
( ทำไมช้านักล่ะเซฮุนนา -- )
ถอนหายใจออกมาหลังกดตัดสาย เซฮุนกดเช็กให้แน่ใจว่าเขาปิดเสียงโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะเอื้อมมือออกไปผลักเปิดประตูห้องสมุดและสอดส่องสายตามองด้านใน ห้องสมุดโรงเรียนนี้ดีอย่างหนึ่งคือบรรณารักษ์ทำงานเข้มงวด เมื่อไรที่โต๊ะไหนส่งเสียงดังรบกวนคนอื่นจะถูกเชิญออกทันที มีบางครั้งเหมือนกันที่ชายหนุ่มเลือกมาฆ่าเวลาที่นี่ เขากับแบคฮยอนใจตรงกันหลายเรื่อง
ใช้เวลามองหาอยู่ครึ่งนาที นัยน์ตาสีเข้มก็สบเข้ากับร่างเล็กที่นั่งหดตัวเองอยู่มุมหนึ่งของห้อง เซฮุนเดินลัดเลาะโต๊ะอื่นๆด้วยความระมัดระวังไม่ให้ชนเก้าอี้หรืออะไรที่อาจจะวางขวางทาง ในที่สุดเขาก็หยุดตัวเองที่โต๊ะด้านในสุด ติดกับบานหน้าต่างหลังม่านกรองแสงซึ่งเป็นประโยชน์เหลือเกินในหน้าร้อน
แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเล่มหนาที่ใช้เวลาอ่านหน้าเดิมมาเกือบสิบนาที อันที่จริง เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตอนเซฮุนโทรมานั้นอ่านถึงเรื่องอะไรแล้ว กลีบปากบางเหยียดยิ้มแทนการทักทาย ระหว่างเขากับคนตรงหน้าเป็นอย่างนี้จนเคยชินเสียแล้ว
“ไม่กินข้าวเหรอ” เซฮุนถาม จำได้ว่าแบคฮยอนมีข้าวกล่องของคุณนายบยอนพกติดกระเป๋ามาเสมอ
“ไม่ค่อยหิวน่ะ” คนตอบรู้สึกผิดนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่อยากให้คุณแม่รู้เลยว่าเขาปล่อยให้ข้าวกล่องของท่านเป็นหมันคากระเป๋าเสียแล้ว “เซฮุนมีอะไรหรือเปล่า”
อา... นั่นสินะ เป็นไปไม่ได้แน่ถ้าโอเซฮุนมีเหตุผลแค่ว่าอยากเจอเพื่อนเฉยๆ ในเมื่อคนที่ล่องหนเก่งที่สุดนับตั้งแต่เปิดเทอมไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเจ้าชายของโรงเรียน ใจแบคฮยอนไม่กล้ารับปากว่าจะคุยธุระกับเพื่อนรู้เรื่องหรือเปล่า เขากำลังพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด แม้ในหัวจะเอาแต่แฟลชแบ็คภาพในห้องวิทยาศาสตร์ราวม้วนฟิล์ม ย้อนขึ้นไปจนถึงตอนที่จงอินพูดอะไรแปลกๆและจู่โจมริมฝีปากเข้ามา
ไม่มีอะไรให้แบคฮยอนตั้งตัวได้สักอย่าง ใจเขาปั่นเหมือนเครื่องซักผ้า ต่างกันที่มันไม่มีเวลาบอกว่าเรื่องนี้จะหยุดลงเมื่อไร
เซฮุนสูดลมหายใจลึก ด้วยความที่ไม่ใช่คนจาบจ้วงหรืออ้อมค้อมเก่ง และการหาตรงกลางให้สถานกาณ์เช่นนี้ เขาก็ไม่ได้คิดมาก่อน “จะว่ามีมันก็ใช่”
แบคฮยอนมองเพื่อนชายกระแอมไอเบาๆ เซฮุนดูเหมือนลู่หานเข้าไปทุกทีแล้ว
“ฉันไม่ได้อยากยุ่งเรื่องของนายหรอกนะ แต่เรามาคุยกันตรงๆสักครั้งได้ไหม” ใบหน้าหล่อจับจ้องคนตรงข้ามฝั่งโต๊ะ ชั่งใจว่าแบคฮยอนจะรู้จุดประสงค์ของการชวนสนทนาในครั้งนี้ไหม “อะไรที่นายไม่สบายใจ ให้คิดว่าฉันเป็นเพื่อน แล้วก็ -- ถ้านายอยากระบาย”
เขาพยายามอ้างอิงคำพูดพี่เซนาเข้าไว้ เพราะเซฮุนเจอมาแล้ว และมันได้ผลดีทีเดียวตอนที่พี่สาวพูดคาดคั้นอ้อมๆอย่างนั้น เอาเข้าจริง ชายหนุ่มคิดว่าเขาไม่ควรมานั่งอยู่ตรงนี้เพื่อถามแบคฮยอนด้วยซ้ำ ถ้าเพื่อนเลือกที่จะไม่พูดแต่แรก ความอยากรู้อยากเห็นติดลบของเขาคงทำให้ภารกิจนี้ล้มเหลวตั้งแต่ไม่กี่นาทีแรก
ทว่าผิดคาด แบคฮยอนยอมคิดทบทวนมันด้วยสีหน้าปั้นยาก
“ฉันรู้ว่ามันคงลำบากใจที่จะพูด แต่ที่พวกเราเป็นอย่างนี้ ไม่ดีเลย”
“....”
“อย่างน้อยถ้าฉันช่วยอะไรได้...”
“ฉันไม่รู้จะทำยังไง” คนตัวเล็กสวนขึ้น การที่ตาเรียวเล็กเหลือบมองไปรอบๆยามเริ่มพูดเรื่องนี้ทำให้เซฮุนย้ายตัวเองไปนั่งอีกฝั่ง ข้างกันเพื่อให้เสียงนั้นสามารถพูดเบาราวกระซิบ “ฉันรู้สึกไม่ดีจริงๆ เซฮุน”
โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นอีกแล้ว ถ้าให้เดาล่ะก็คงเป็นลู่หาน แต่เขาคงไม่กดรับเพื่อฟังเสียงบ่นไร้สาระตอนนี้แน่ๆ จะมีอะไรมากไปกว่าอยากรู้เรื่องเร็วเท่าถ่ายทอดสดกัน
“ขอโทษนะ แต่มัน...”
“เรื่องชานยอลเหรอ” ใบหน้านั้นสบมองเขาอย่างตกใจ คนพูดกระแอมไอนิดหน่อย นึกกระดากอยู่เหมือนกันที่ต้องแสดงตัวว่ารู้ ลองคิดว่าถ้าเป็นเรื่องตัวเองบ้างก็คงไม่รู้จะรู้สึกอย่างไร “คือ... ขอโทษนะที่ฉันรู้มาสักพักแล้ว”
ถ้าเป็นในเวลาปกติ แบคฮยอนคงหน้าแดงเป็นลูกตำลึงแล้วถามว่ารู้ตั้งแต่เมื่อไร หากแต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่ทุกคนมีเรื่องให้เครียดมากกว่าจะรู้สึกตื่นเต้นดีใจกับรูปแบบความสัมพันธ์แปลกๆซึ่งเฝ้าปิดจากสายตาเพื่อนมาตลอด คนตัวเล็กได้แต่ลดสีหน้าลงพลางพยักรับ อายอยู่ไม่น้อยที่ต้องเป็นหนึ่งในเรื่องเช่นนี้ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนผู้ชาย เขาหวังอย่าให้เซฮุนนึกรังเกียจ แต่ก็รู้ว่ามันคงเป็นไปได้ยากเหลือเกิน
“ขอโทษนะ”
หนุ่มตัวสูงเลิกคิ้ว “ขอโทษทำไมกัน”
“ก็เรื่องนี้มัน... คือ -- มันไม่ใช่เรื่องที่จะให้เซฮุนมารับได้”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า” เขาฝืนยิ้มให้แบคฮยอนทีหนึ่ง มองรอบๆจนแน่ใจว่าจะไม่มีใครได้ยินเรื่องนี้แล้วว่า “อย่าคิดว่าฉันหรือลู่หานจะคิดอะไรแบบนั้น มันไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน”
เซฮุนไม่รู้จะบอกอย่างไรว่าเขากับอีกคนก็เพิ่งพ้นจุดนั้นมาหมาดๆ อย่างหนึ่งที่เซฮุนได้เรียนรู้จากเรื่องนี้คือเราไม่สามารถแก้ไขความรู้สึกได้ เมื่อไรที่เกิดขึ้นแล้ว ทางเลือกมีแค่เดินหน้าหรือถอยหลัง เพราะแม้แต่เขาที่ก้าวพลาดไปครั้งใหญ่โดยการดึงดานีเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่คำพูดของพี่เซนาก็กระตุ้นให้เซฮุนคิดได้ การฝืนใจไม่ได้ทำให้เราดิ้นไปทางใดได้เลย
ทั้งเขาในตอนนั้นและแบคฮยอนในตอนนี้เหมือนปลาขาดน้ำ
ชั่งใจอีกว่าควรบอกเรื่องลู่หานเพื่อให้อีกฝ่ายเบาใจขึ้นไหม แต่เอาเป็นว่าเซฮุนยังไม่กล้าพอที่จะเป็นคนพูดก่อน เพราะขืนลู่หานเห็นว่าคนอื่นรู้ มีหวังได้ทำตัวประเจิดประเจ้อกว่าที่เป็นอยู่แน่
“ฉันรู้สึกดีกับชานยอลเหลือเกิน แต่ทุกครั้งที่รู้ตัวเองอย่างนั้น ใจมันก็เจ็บไปหมด”
ไหล่สองข้างห่อเล็กลงในขณะที่มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมอกซ้ายเอาไว้ ราวกับความรู้สึกตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาอัดแน่นลงสู่ใจตอนนี้ในคราเดียว เป็นครั้งแรกที่ได้ระบายกับใครสักคน ใครที่เขาไม่เคยคิดว่าจะบอกความลับนี้
“ไม่ใช่ว่าเป็นใครก็ได้ แต่ฉัน -- แค่กับชานยอล”
ภาพรอยยิ้ม อ้อมกอด คำพูดให้กำลังใจ ทุกอย่างที่รวมกันเป็นพระอาทิตย์ของเขาช่างสวยงามและอบอุ่น แบคฮยอนไม่เคยคิดว่าตัวเองจะรู้สึกกับชานยอลอย่างนี้ เขากลายเป็นคนเห็นแก่ตัว หวงแหน และเจ็บปวดเหลือเกินเมื่อเห็นพระอาทิตย์มอบความใจดีให้ใคร
กระนั้นแล้ว โอเซฮุนไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว เขามองไม่เห็นปัญหา
“ฉันกลัว เซฮุน... กลัวจริงๆ”
“อะไรที่ทำให้นายกลัว”
คนตัวเล็กส่ายหัวช้าๆ “มันเหมือนมีกำแพง” ดวงตาวาววับด้วยหยาดน้ำใสที่รื้นขึ้นมานั้นสั่นระริก “พอรู้ว่าจะต้องก้าวไปข้างหน้า กำแพงนั้นก็ขวางฉันเอาไว้”
คราวนี้เซฮุนเงียบไป เขาแค่กำลังพยายามทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ พยายามคิดว่าตัวเองในตอนที่กลัวเรื่องลู่หานนั้นเป็นอย่างไร เหมือนไหม เผื่อว่าถ้ามีตัวช่วยดีๆสักทาง เซฮุนจะเป็นมันให้แบคฮยอน “แล้วกำแพงนั้นคืออะไร”
ถ้าไม่ได้ลู่หานอธิบายเรื่องราวทั้งหมดมาก่อนหน้านี้ โอเซฮุนคงเป็นแค่คนๆหนึ่งที่ดีแต่นั่งฟังและช่วยอะไรไม่ได้ ในเมื่อเขาขอมาอยู่ตรงนี้แทนลู่หาน เซฮุนก็แค่คิดว่าหมอนั่นจะพูดอะไรบ้าง จะพูดกับคนตรงหน้าเหมือนอย่างที่เขาเอื้อนเอ่ยออกไปไหม ใช่ ลู่หานอาจทำได้ดีกว่านี้ หากอย่างหนึ่งที่ชายหนุ่มแน่ใจคือแบคฮยอนรู้ตัวเองดีอยู่แล้ว
“ถ้าชานยอลชัดเจนกับนายขนาดนี้ แล้วอะไรคือกำแพงที่ถูกสร้างขึ้นมาล่ะแบคฮยอน”
“....”
“ตัวนายเอง หรือว่าใคร”
เซฮุนไม่ใช่คนพูดเยอะ เขาจึงเลือกที่จะยิ้ม ส่งผ่านความหมายทุกอย่างทางแววตาเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจเสียที
“บางที ชานยอลอาจติดอยู่ที่กำแพงนี้เหมือนกันก็ได้”
ตามกำหนดการแล้ว พลุดอกแรกจะถูกจุดขึ้นตอนสามทุ่มตรงเหนือแม่น้ำฮัน เพื่อแย่งชิงวิวสวยๆจากริมแม่น้ำ คนส่วนใหญ่จึงนิยมไปรวมตัวอยู่ที่สวนสาธารณะยออิโดจนแน่นขนัดไปทั่วทุกส่วน ถึงอย่างนั้น ทุกคนก็เต็มใจที่จะเบียดเสียดในคืนที่มีเพียงปีละครั้ง ซึ่งคงเว้นเสียแต่บยอนแบคฮยอน ร่างเล็กเดินแทรกผู้คนเพื่อไปให้ถึงร้านกาแฟก่อนสองทุ่ม นัดหมายเดิมของเขากับจงอินคือที่นี่ และถึงจะไม่ได้ตอบข้อความที่ส่งเข้ามานับสิบ แต่แบคฮยอนกลับเลือกใจร้ายให้ข้อความสุดท้ายเมื่อตอนหกโมงเย็นไม่ได้
‘ถึงนายไม่มา แต่ฉันก็จะรออยู่ที่เดิม’
หัวใจดวงเล็กตุ้มๆต่อมๆเมื่อเห็นป้ายร้านอยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว จงอินคงรออยู่ที่นั่น และเขาไม่มีอารมณ์จะนึกภาพอิริยาบถใดของคู่นัดหมายอย่างที่ชอบทำถ้าตัวเองไปถึงทีหลัง ใจจริงอยากผิดนัดเสียให้รู้แล้วรู้รอดเพราะเรื่องเมื่อเช้า ไม่อยากเจอหน้าคิมจงอินตอนนี้ แต่ด้วยนิสัยและความรู้สึกดีๆที่มีให้ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนตลอดหลายปีนี้ทำให้แบคฮยอนใจอ่อน
แล้วก็เป็นดังคิดเมื่อเจ้าของผิวสีแทนยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน นี่เป็นจุดนัดพบชั้นเยี่ยม เพราะอย่างนั้นทันทีที่เขาไปถึง มือหนาก็คว้าเข้าที่ข้อแขนแล้วพาให้เดินออกไปจากความน่าอึดอัดด้วยกัน เมื่อพ้นเสียงจอแจมาได้ จงอินยิ้มแล้วว่า “มีวิวดีๆจะพาไป”
เขาออกแรงเล็กน้อยเพื่อขืนให้หลุดจากแรงกอบกุม ทว่าจงอินก็คงรู้ถึงได้ใช้แรงที่มากกว่าพาคนตัวเล็กไปตามที่ตั้งใจเอาไว้ด้วยรู้ว่าแบคฮยอนไม่น่าจะดื้อมากเท่าไรเพราะยังเห็นแก่คิมจงอินอยู่บ้าง
จุดชมพลุดีๆที่จงอินว่าไม่ได้อยู่ในสวนยออิโดด้วยซ้ำ เวลาสิบนาทีแรก พวกเขาหมดไปกับการเดินขึ้นเขาหลังโรงงานแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก มันใกล้กับสวนพอจะเดินเท้าได้ แต่ก็เหนื่อยมากอยู่ดีต่อให้ขึ้นมาถึงและได้เห็นวิวทิวทัศน์ทั้งเมืองผ่านตรงนี้
บยอนแบคฮยอนไม่อยากอยู่กับผู้ชายคนนี้สองต่อสองด้วยซ้ำ แต่เพราะรู้ว่าถึงปฏิเสธ จงอินก็ยังมีหนทางมากมายอย่างเช่นไปที่บ้านและบอกคุณแม่ว่านัดกันเอาไว้ ถึงตอนนั้น เขาก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและยอมออกไปด้วยความอึดอัดสาหัสสากันต์กว่านี้ ซึ่งไม่มีเหตุผลดีๆที่จะต้องเลือกทางนั้นเลย ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้ผิดนัดวันนี้ได้ แต่วันจันทร์ก็ต้องเจอกันและทนอยู่กับสถานการณ์เช่นนั้นอยู่ดี
เพราะขนาดสร้างพื้นที่ส่วนตัว จงอินก็ยังทำได้ถ้าต้องการ
เราต่างเงียบใส่กันและกันทั้งที่รู้ว่าต้องรออีกตั้งหลายนาทีกว่าพลุดอกแรกจะถูกจุด ขนาดว่าเสียเวลาให้การเดินขึ้นมาที่นี่มากแล้ว แบคฮยอนกลับไม่คิดว่าจะเสียให้ความเงียบมากกว่า ความอยากรู้และข้อกังขาในใจส่งให้สายตาของคนทั้งคู่เหลือบมองกันเป็นระยะ
‘กับปาร์คชานยอล จะไม่ตอบจริงๆหรือว่าเป็นอะไรกัน’
จงอินถามขึ้นหลังจากส่งการบ้านที่ห้องพักอาจารย์เสร็จ ในตอนนั้น แบคฮยอนคิดแค่อยากกลับเข้าห้องเรียนให้ไวที่สุด เขาจึงไม่อยากตอบคำถามของเพื่อนสักเท่าไร
คนสูงกว่าดึงเอาร่างที่เดินข้างกันให้หลุบเข้าไปในทางเลี้ยวเข้าห้องน้ำ ตรงนี้ไม่ใช่มุมอับนัก และสายตามองคนตรงหน้าก็ไม่ใช่ความนิ่งเฉยเช่นที่แสร้งทำกลบเกลื่อมาตลอด จงอินคิดว่าตัวเองทนไม่ไหว เขาอยากรู้ อยากได้คำตอบจากปากว่าแบคฮยอนยังเป็นคนเดียวกับเมื่อสองปีก่อนจริงหรือเปล่า
‘ตอบฉัน’ เสียงทุ้มคาดคั้น ‘นายเมินฉันตั้งแต่เมื่อไร แบคฮยอน’
คนถูกถามอึกอัก ท่าทางยึกๆยักๆอยากจะออกจากสภาพล่อแหลมนี้เร่งให้คนใจร้อนยิ่งปะทุเชื้อไฟ ‘ไม่ใช่อย่างนั้น...’
ดวงตาคมกลอกขึ้นเล็กน้อย เห็นใครบางคนกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาตามระเบียงทางเดินด้วยทีท่าร้อนใจ ใครคนนั้นที่ถูกยกขึ้นเป็นบทสนทนาน่าหงุดหงิดแห่งปี และคิมจงอินไม่เคยได้คำตอบที่อยากได้เลยสักครั้ง เขาต้องทำอย่างไร -- สิ่งใดที่จะสนองความเอาแต่ใจนี้
‘ถ้านายไม่ตอบ...’
ไม่พูดเปล่า จงอินทำมันโดยมีจุดประสงค์ และเป้าที่หมายมั่นปั้นมือให้หันมาเห็นก็ชะงักฝีเท้าลงทั้งที่เกือบจะผ่านไปแล้วด้วยซ้ำ โอ้ มองให้เต็มตาเถอะปาร์คชานยอล มองว่าเขากำลังจูบบยอนแบคฮยอนแบบไหน
จะเอาอย่างไร จงอินท้าทายผ่านทางสายตาเช่นนั้น
และเขาเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ น่ากลัวเหลือเกินว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่ต้องถอยหนี เมื่อแบคฮยอนยังคงยืนมองวิวทิวทัศน์ของเมืองด้วยริมฝีปากที่เม้มเป็นเส้นตรง ในใจนั้นคงกำลังคิดอะไรอยู่มากมาย อะไรที่เขาคิดว่าคงรู้เพียงส่วนหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เสี้ยวหน้านั้นไม่บอกอะไรชายหนุ่มเลย
จงอินคิดมาเสมอว่าแบคฮยอนนั้นซื่อตรง ดูออกง่าย ไม่มีอะไรเหนือไปกว่าความคาดคิดจนสามารถควบคุมได้สบายๆเพียงแค่ตีกรอบไว้ให้ แต่เหนือแผนการทั้งหมดที่วางไว้ จงอินไม่เคยนึกถึงจุดเปลี่ยนเลย มันเกิดขึ้นระหว่างที่เขาไม่อยู่ และเราก็ไม่ได้สนใจโซเชียลเน็ตเวิร์คหรือมีเวลามากพอให้ต้องมานั่งอัพเดทข่าวสารกันและกัน
“แบคฮยอน” เขาทดลองเรียก ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ แบคฮยอนคงจะหันมาทำหน้าเหรอหราและถามว่ามีอะไร “เรื่องเมื่อเช้า --”
“จงอินจูบฉันทำไม”
แต่ผิดคาด อีกฝ่ายโพล่งมันสวนขึ้นมาหลังเก็บกดความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้ภายใต้สีหน้าทุกข์ใจ ทั้งที่มันชัดเจนออกอย่างนั้น ทว่าคิมจงอินกลับไม่เข้าใจว่าตอนนี้ เขาหรือคนตรงหน้าที่เป็นฝ่ายคุมเกมกันแน่
ร่างหนาแค่นยิ้ม วิวทิวทัศน์ของโซลตอนกลางคืนไม่ได้น่ามองสักเท่าไรแล้ว “ที่ถามก็เพราะไม่รู้ใช่ไหม หรือแค่อยากให้พูดชัดๆ”
“....”
“ฉันคิดจริงๆนะแบคฮยอน ว่าระหว่างฉันกับนาย ใครทำเฉยเก่งกว่ากัน”
จงอินตอบไม่ตรงคำถามเอาเสียเลย หลายปีที่รู้จักกันมา นับครั้งไม่ถ้วนที่ชายหนุ่มทำท่าทางอย่างนั้นแต่ไม่ใช่กับเขา แม้แต่คำพูดคำจาท้าทายที่ให้รู้ว่านี่คืออาการไม่สบอารมณ์ ทำไมระหว่างเราถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ สองสัปดาห์ที่ผ่านมาเปลี่ยนอะไรในตัวจงอินอย่างนั้นหรือ
หากนี่เป็นเวลาที่เขาควรพูด คิมจงอินก็จะพูด
“ฉันเป็นเพื่อนกับนายมาสี่ปี”
“....”
“และฉันไม่อยากเป็นแล้ว”
คนฟังอยากอุทานอะไรสักอย่าง หากแต่ลำคอของเขาแห้งผาก แม้แต่จะเปล่งเสียงเบาหวิวออกไปยังทำไม่ได้ เมื่อครู่นี้จงอินพูดอะไร มัน -- เขาต้องการเวลาทบทวนและตีความอีกสักหน่อย
“นายคิดว่ามันแย่แค่ไหนที่ต้องรู้ตัวว่าชอบเพื่อนตัวเองทั้งที่มันสายไป” มือนั้นยกขึ้นลูบใบหน้าคมแรงๆทีหนึ่ง ความรู้สึกมากมายไม่อาจกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ความทรงจำในห้องเรียนคล้ายกับตอนนี้ ชุดนักเรียนมัธยมต้น สายตาที่เปลี่ยนไป และการกอดคอเดินไปด้วยกันทั้งที่หัวใจเต้นแรงกว่าเคย ทั้งหมดนั้นจงอินเจอกับมัน
“ตั้งแต่เมื่อไร...”
“ก่อนไปจีนไม่กี่สัปดาห์” สาวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นอีกก้าว ริ้วรอยแห่งความตึงเครียดฉายชัดบนใบหน้าคนสูงกว่า “ฉันรู้ว่าถ้าชอบนายเข้าจริงๆแล้ว อาจจะต้องรอไปอีกสองปี”
เป็นอีกครั้งที่ในหัวของบยอนแบคฮยอนเขาโพลน เขาทำอะไรไม่ถูก กระทั่งจะควบคุมตัวเองให้มองตอบคนตรงหน้าด้วยแววตาอย่างไรยังทำไม่ได้ ตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว พลุจะถูกจุดขึ้นตอนไหน และหลังจากนี้เราจะเป็นอย่างไร บางทีจงอินคงจะเตรียมใจมาแล้วสำหรับคืนนี้ แต่แบคฮยอนไม่ใช่
“ฉันบอกทุกคนว่านายมันตัวโชคร้าย กุเรื่องมนตร์ดำโง่ๆแล้วกระจายข่าวผ่านพวกหลงเรื่องชวนเชื่อเพื่อให้นายไม่เหลือใคร รู้ไหมว่าฉันทำเพื่ออะไร”
ตอนนี้หัวใจคงมีขนาดเท่าเม็ดถั่ว มันบีบเข้าหากันแน่นจนปวด จากนั้นในอกวูบโหวง และคงไม่เหลืออะไรถ้ายังต้องฟังเรื่องต่อจากนี้ คำสารภาพที่แบคฮยอนไม่คิดว่ามันจะออกมาจากปากคนที่เขาแคร์มากที่สุด ชายหนุ่มเคยสงสัยว่ามันมาจากไหน และเขาไม่เคยอยากอยากย้อนเวลากลับไปในตอนที่ไม่รู้เท่านี้มาก่อน
“ทำไม...”
“ฉันไม่อยากให้ใครเข้าใกล้นาย”
“....”
“มันจริงใช่ไหม ว่านายนึกถึงแต่ฉัน”
ไม่รู้กระทั่งว่าน้ำตาที่รื้นขึ้นนี้มาจากไหน คำถามมากมายจุกอยู่ตรงลำคอเหมือนก้อนดินเหนียวใหญ่ๆ มันอุดความรู้สึกดีๆที่หล่อเลี้ยงเขาตลอดมา “ทำไมใจร้ายอย่างนี้”
ความเจ็บปวดที่ต้องถูกทุกคนถอยห่าง การทำรายงานและต้องนำเสนอเพียงลำพังทั้งที่รู้สึกอายเต็มกลืน แบคฮยอนไม่เคยนับว่าตัวเองนอนร้องไห้เพราะเรื่องนี้กี่ครั้ง ไม่เคยนับว่าความบอบช้ำที่เก็บสะสมภายใต้ความหวังว่าจะมีอะไรดีๆเกิดขึ้นมันมากมายแค่ไหน ระหว่างสิ่งที่จงอินต้องการกับที่เขาต้องพบเจอนั้น แบคฮยอนอยากรู้ว่าตาชั่งจะให้ค่าน้ำหนักของสองสิ่งเท่าไร
มือหนายื่นมาตรงหน้าหมายจะแตะท่อนแขน หากแต่คงถึงทีความเจ็บปวดของคิมจงอินบ้างแล้ว เมื่อผลลัพธ์ของสิ่งที่เขาทำคือการถูกถอยหนีทั้งน้ำตา
“ขอโทษนะ...” แบคฮยอนอยากคิดว่านี่เป็นเรื่องสองด้าน แต่ตราบใดที่ยังมีหัวใจและความรู้สึก เขาทำไม่ได้ “แต่ฉันโกรธจงอินจริงๆ”
ที่ว่าชอบ จงอินชอบเขาเหมือนตุ๊กตาหมีหรือเปล่า ชอบเหมือนรถของเล่นคันใหม่ เสื้อผ้า จักรยาน อะไรก็ตามที่แค่เก็บใส่ตู้แล้วไม่ต้องสนใจว่าชีวิตจิตใจของมันจะเป็นเช่นไร เพราะเขาคิดว่าไม่ต่างกันกับของพวกนั้นเลย
ร่างเล็กยังยืนอยู่ได้อย่างไรเมื่อไร้เรี่ยวแรงขนาดนี้ แสงไฟจากบ้านเรือนในตอนกลางคืนกลายเป็นโบเก้ดวงเล็กๆเมื่อมองผ่านม่านน้ำตามากมายซึ่งพรั่งพรูออกมา หากจงอินพูดเพราะคิดว่านี่เป็นสิ่งที่เขาอยากฟัง แบคฮยอนก็เข้าใจแล้วว่ากำแพงสูงใหญ่ที่โอบล้อมตัวเขามาตลอดคืออะไร
ถ้าลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้เสีย --
Rrrr
เบอร์โทรศัพท์ของลู่หานดังเรียกเจ้าของเครื่องในตอนสองทุ่มสี่สิบนาที ใจของแบคฮยอนไม่ได้รอพลุแต่แรก ลมเย็นพาร่างกายให้หนาวสะท้านเพราะความโดดเดี่ยวอย่างน่าประหลาด ต่อให้ต้องอดทนขนาดนั้น แต่ไม่มีวันใดที่แบคฮยอนจะเหงาเท่านี้มาก่อน
เขากดรับสายลู่หาน สูดลมหายใจลึกและพยายามปั้นน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ลู่หาน”
( แบคฮยอน! โธ่เอ๊ย คือฉันเพิ่งรู้จากเซฮุนว่าไม่ได้บอกเรื่องสำคัญกับนายไป ) นักฟุตบอลประจำโรงเรียนส่งเสียงโวยวายมาแต่ไกล เชื่อเถอะว่าจงอินมองภาพนี้ด้วยความรู้สึกไม่สู้ดีนัก ขนาดเรื่องที่เราพูดสำคัญปานนี้ แบคฮยอนยังไม่เห็นเขาเป็นที่หนึ่งเลย
“เรื่องอะไรเหรอ”
พอต้องพูดเข้าจริงๆ ลู่หานก็อึกอัก แบคฮยอนได้ยินปลายสายหันไปซุบซิบบางอย่างและมีเสียงเซฮุนตอบกลับมาเบาๆ ตอนนี้สองคนนั้นอยู่ด้วยกัน มีแต่เขาที่มายืนทำอะไรตรงนี้ (เฮ้ ฟังนะ )
เขาไม่แน่ใจนักว่าต้องเตรียมใจเพียงไรกับเรื่องที่ลู่หานพูด
( คือฉันคิดว่าชานยอลมันก็คงยังไม่ได้บอกนาย -- ใช่ไหม เรื่องที่... ) ทำไมถึงเงียบไปอย่างนั้น หัวใจคนรอฟังเต้นโครมครามจนเหมือนจะหยุดเพียงแค่มีชื่อของใครบางคนถูกเปล่งออกมา เรื่องนี้เป็นเรื่องแบบไหน ใครคนนั้นยังไม่ได้บอกอะไรเขาอย่างนั้นหรือ ( เรื่องที่จะต้องย้ายโรงเรียน )
“เอ๋...” แค่ชั่ววินาที หัวใจของแบคฮยอนหยุดเต้นไปแล้วจริงๆ
( นั่นไงเซฮุน ชานยอลยังไม่ได้บอกแบคฮยอนจริงๆด้วย! )
เสียงของลู่หานไกลออกไปจนเขาไม่ได้ยินอะไรอีก โทรศัพท์ยังแนบอยู่ตรงใบหู บางทีจากนี้แบคฮยอนอาจจะต้องพึ่งเครื่องช่วยฟัง วุ้นแปลภาษา หรืออะไรก็ตามที่ช่วยดึงสติสตังของเขาในการรับสารให้ได้
คิมจงอินยังคงยืนอยู่ตรงหน้า มองมาด้วยสายตาที่ยากจะเข้าใจว่าอะไรคือตรงกลางระหว่างทั้งคู่ แบคฮยอนเห็นกำแพงเช่นนั้นก่อตัวขึ้นอีกแล้ว มันบดบังร่างของจงอินจนมิด และทำให้โลกทั้งใบของเขามืดลงในพริบตา มือที่ถือโทรศัพท์ตกลงข้างตัวทั้งที่ไม่ทันได้ขอโทษเพื่อนก่อนด้วยซ้ำ
มือเล็กกระชับเสื้อตัวนอก มันดูเป็นเขามากกว่าการที่จะเสยผมแรงๆหรือสบถคำหยาบเหมือนอย่างเวลาลู่หานทำ “ฉันต้องไปแล้ว”
“เรายังคุยกันไม่จบเลยแบคฮยอน” จงอินว่าเสียงแข็ง แค่รับโทรศัพท์ก็ว่าหักหน้าเขามากแล้ว เชื่อเถอะว่าคนตรงหน้านี้คงเป็นคนละคนกับเด็กผู้ชายที่แบกรับข้อกล่าวหาไร้สาระมาตลอด แบคฮยอนอาจจะยอมนิ่งฟังเมื่อเขากดดันอย่างนี้ แล้วใจเล่า ยังอยู่รอเพื่อนคนนี้พูดความรู้สึกบ้างหรือเปล่า “ฉันขอโทษ... รู้ว่าที่ทำไปมันไม่ถูก แต่เหตุผลของฉันก็เพราะนาย -- นายล้วนๆ”
ร่างหนาเดินเข้ามาเพื่อกุมมืออีกคนเอาไว้ จงอินไม่ได้อดทนรอตั้งสองปีเพียงเพื่อจะให้แบคฮยอนโกรธ แน่นอน เขาเตรียมใจเอาไว้ว่าคงไม่ดีแน่ถ้าเลือกสารภาพออกไป แต่จงอินก็แค่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้
“อย่าเพิ่งไป” เขาวอนขอ “ได้โปรด แบคฮยอน... อยู่กับฉันก่อน”
คนตัวเล็กไม่รู้ว่าครั้งนี้ความเอาแต่ใจของจงอินมีมากแค่ไหน อยากจะอยู่และเป็นอย่างที่อีกฝ่ายต้องการเพราะเราคือเพื่อนกัน แต่อีกอย่างที่เหนือความคาดหมาย คือแบคฮยอนไม่รู้ว่าปาร์คชานยอลมีอิทธิพลต่อใจเขาขนาดนี้ ไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าจะให้อภัยจงอินได้ไหม หรือสามารถกลับไปเป็นอย่างเดิมได้หรือเปล่า เขาอยากขอเวลาให้ตัวเองคิดเรื่องนี้อีกครั้งเช่นกัน
“ขอโทษนะที่ฉันอยู่ดูพลุกับนายไม่ได้ แต่มันเป็นเพราะว่าฉัน --”
“จะเอาอย่างนี้จริงๆใช่ไหม” คิมจงอินไม่คิดเช่นกัน ว่าจะมีวันที่เขาถูกเพื่อนตัวเล็กปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยถึงเพียงนี้ “ถ้านายเดินไปจากฉันตอนนี้...”
“ฉันชอบชานยอล”
แบคฮยอนขืนมือออกจากการกอบกุมของอีกฝ่ายแล้วยกมันขึ้นปากน้ำตาอย่างลวกๆ ไม่ชอบเลย สิ่งที่เพิ่งชัดเจนขึ้นมาเดี๋ยวนี้ -- สิ่งที่แบคฮยอนกล้าพูดตอบเซฮุนได้เต็มปาก กำแพงนั้นก็คือเขาเอง เขาที่ไม่ชัดเจนและทำให้อะไรต่อมิอะไรแย่ลงเพียงเพราะความขลาดกลัวบ้าๆ
ถ้าไม่คว้าไว้ก็จะเสียไป
“เพราะอย่างนั้น เหตุผลของจงอินถึงไม่พอ”
โอ นี่มันคงชัดเจนจริงๆแล้ว ร่างเล็กถอยออกไปจากเขา หันหลังกลับและเดินออกไปจากตรงนี้โดยที่ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีคำข่มขู่แบบไหนหลุดออกมาจากปากเพื่อนอายุสี่ปีคนนี้อีก คิมจงอินเป็นผู้ชายมีความรักที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองโง่ แต่แล้วเขาก็แพ้เพียงเพราะดูถูกความรู้สึกและเลือกใช้วิธีบงการทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อผลลัพธ์ แบคฮยอนมีชีวิตจิตใจ ไม่ใช่ของเล่นที่จะจับหันไปทางไหนก็ได้
ริมฝีปากแค่นยิ้มให้กับความจริงโง่ๆที่คนบางคนเลือกมองข้าม
หลังโทรกลับไปสายแรก ลู่หานไม่ได้กดรับ แต่พอโทรไปหาเป็นสายที่สองก็ดันขึ้นโทรไม่ติดเพราะอีกฝ่ายติดต่อมาพร้อมกันอีก กว่าจะได้ยินเสียงเพื่อนนักฟุตบอลโวยวายโล่งอกเพราะนึกว่าเขาเป็นอะไรไป แบคฮยอนก็ลงมาจนเกือบถึงหลังโรงงานที่เป็นทางขึ้นไปข้างบนนั้นแล้ว
( ให้ตายเถอะแบคฮยอน! อยู่ดีๆก็เงียบไปแบบนั้น นึกว่านอนร้องไห้ขี้มูกโป่งเสียแล้ว )
“ขอโทษนะ” คนถูกดุพูดคำแรกออกไปโดยไม่ลังเล แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาตัดพ้อตัวเองว่าทำให้คนอื่นเป็นห่วงอีกแล้ว “ฉันอยากไปหาชานยอล”
( ให้มันได้อย่างนี้ซี ฉันกับเซฮุนติดต่อมันไม่ได้มาทั้งวัน เผลอแป๊บเดียวก็แวบมาเอากระเป๋าหายไปแล้ว )
“ลู่หานพอจะรู้ไหมว่าชานยอลอยู่ที่ไหน”
( เรื่องนั้น -- ) แบคฮยอนชะงักฝีเท้าที่ริมฟุตปาธ พลุดอกแรกถูกจุดขึ้นฟ้าแล้วกระจายตัวออกเป็นวงกลมดอกไม้หลากสีสัน จากนั้นจึงตามด้วยดอกที่สอง ที่สาม ระหว่างนี้ทั้งเขาและลู่หานแทบไม่ได้ยินเสียงกันและกัน ความร้อนใจมันน่าหงุดหงิดเหลือเกิน แบคฮยอนนึกชอบตัวเองเวลาใจเย็นมากกว่า ( แบคฮยอน! แบคฮยอน เฮ้! ได้ยินไหม )
“ได้ยิน!” จำต้องตะโกนแข่งเสียงพลุตอบกลับไป เสียงดังนี้คงจะไม่หยุดลงง่ายๆแน่ในช่วงห้านาทีแรก
( ฉันไม่รู้ที่อยู่ของชานยอล! ไม่เคยมีใครไปบ้านหมอนั่น! )
“....” อีกแล้วที่บยอนแบคฮยอนเสียมารยาทโดยการเงียบใส่เสียงพูดของลู่หาน หากใจเคว้งคว้างจนไม่รู้จะพูดคำใดออกมา
ตาเรียวรีแหงนขึ้นมองพลุบนฟ้ากลางคืน มันสวยงาม แต่ว่าไร้ความหมายต่อหัวใจของเขาเหลือเกิน ไม่มีอะไรที่ทำได้จริงๆแล้วใช่ไหมในตอนนี้ แบคฮยอนพยายามโทรหาปาร์คชานยอลหลังจากวางสายของลู่หาน แต่จนแล้วจนเล่าก็มีเพียงเสียงโอเปอเรเตอร์ปฏิเสธตอบกลับมา
จะทำอย่างไรดี ไม่อยากให้ชานยอลหายไปเลย
คืนนั้นเขานอนไม่หลับ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าอยู่เฉยๆและคอยรับโทรศัพท์ของลู่หานกับเซฮุนเป็นระยะ อันที่จริง แบคฮยอนไม่เห็นความจำเป็นที่เซฮุนจะต้องขอโทษขอโพยเขาเสียยกใหญ่กับการลืมบอกเรื่องสำคัญอย่างนั้น ประเด็นที่น่าเศร้าใจก็คือทั้งที่มีโอกาส แต่ชานยอลยังเลือกเมินเฉยและไม่พูดถึงเรื่องนี้สักคำ ทั้งที่ยืนตรงหน้ากันอย่างนั้น --
ตอนนี้ เจ็บหัวใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย
บรรยากาศเช้านี้ไม่ดีเอาเสียเลย ทั้งที่คิดว่ามาเร็วแล้ว แต่โอเซฮุนก็ยังเห็นว่ามีคนที่มาเช้ากว่าเขากำลังนั่งรออะไรบางอย่างอยู่ จากนั้นไม่นาน คิมจงอินเปิดประตูเข้ามา จัดการเก็บกระเป๋า ทำธุระทุกอย่างโดยไม่ละสายตาจากคนตัวเล็กที่นั่งซึมกระทืออยู่ที่เดิมบนโต๊ะ ยึกๆยักๆกันอยู่อย่างนั้น กระทั่งเจ้าของผิวสีแทนเป็นฝ่ายยอมเลี่ยงตัวออกไปและกลับเข้ามาอีกทีตอนออดคาบโฮมรูมดัง
จันทร์ที่สามของการเปิดเทอม อาจารย์ควอนทิ้งคาบโฮมรูมวันนี้ให้จุนมยอนจัดการเรื่องงานโรงเรียนแทน เป็นเรื่องธรรมดาที่อาจารย์ที่ปรึกษาจะปล่อยให้นักเรียนตัดสินใจกันเองและมีหน้าที่สนับสนุนอยู่ห่างๆ ส่วนข้างกันนั้นคือบยอนแบคฮยอนที่ได้แต่ยืนเฉยๆ สมุดการบ้านเล่มสุดท้ายเป็นของลู่หานซึ่งเพิ่งวางส่งอย่างเฉียดฉิวตั้งแต่หลายนาทีที่แล้ว และถ้ายังไม่เดินเอาไปไว้ที่ห้องพักครูตอนนี้ มีหวังโดนอาจารย์อีเจ้าของวิชาคณิตศาสตร์บ่นด้วยคำเจ็บๆแสบๆอย่างที่พวกมาสายชอบโดนแน่
จงอินรู้จากคำเสียดสีของลู่หานว่าเกิดเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นบ้าง และใช่ หมอนี่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาถูกเพื่อนตัวเองหักอกเรียบร้อยแล้ว แถมแบคฮยอนยังโกรธเสียจนไม่มีให้แม้แต่คำทักทายดีๆ หรือเห็นคิมจงอินอยู่ในสายตา ตราบใดที่เรื่องของปาร์คชานยอลยังครอบคลุมจิตใจขนาดนั้น
บอกเลยว่าเขาทนไม่ไหว ถึงจะไม่ได้พัฒนาความสัมพันธ์ แต่ให้ตัดใจเหมือนสองปีที่ผ่านมามันสูญเปล่า จงอินก็ทำไม่ได้เช่นกัน
“ฉันยกไปส่งให้” ร่างหนาถือวิสาสะรวบเอากองสมุดมาไว้แนบลำตัวโดยที่คนตรงหน้าไม่ได้พูดอะไร ความมีน้ำใจทำให้ร่างเล็กรู้สึกผิด แต่มันชั่งใจระหว่างเหตุการณ์คลับคล้ายคลับคลาเมื่อวันศุกร์ แบคฮยอนไม่อยากอยู่กับเขาสองต่อสองตอนนี้ “ถ้ายังโกรธอยู่ ก็เห็นฉันเป็นเพื่อนห่างๆคนหนึ่งและให้โอกาสไถ่โทษบ้าง”
จงอินไม่เคยนึกหงุดหงิดตัวเองเท่านี้มาก่อน เท่าที่จำได้ แบคฮยอนเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่เขาคิดว่าจะต้องอ่อนข้อให้เสียด้วยซ้ำ แล้วดูตอนนี้เถอะ ถ้าปาร์คชานยอลลาออกไปจริงๆ ไม่ซึมยิ่งกว่าตอนที่ถูกเขาปรามาสว่าเป็นตัวโชคร้ายเลยหรือไง
“ขออนุญาตครับ” อ้าปากพูดส่งๆแล้วพาตัวเองเข้ามาในห้องพักครูอย่างทุลักทุเล การบ้านกองนี้ต้องเอาไปส่งไว้ที่โต๊ะอาจารย์คิม แล้วก็นั่นไง พอเห็นหน้าก็อ้าปากจะบ่นเรื่องเอางานมาส่งสายเลยสินะ “พอดีเพื่อนอีกคนไม่สบายน่ะครับ ผมเลยเอามาส่งแทน”
เขาอาจจะตกนรกหมกไหม้ก็ได้ที่โกหกเก่งเป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้ ไอ้เรื่องรู้สึกไม่ดีน่ะช่างเถอะ ถ้ามันทำให้รอดจากการต้องอยู่ในห้องนี้นานๆ จงอินก็ยอมทำ
หากแต่ถ้าเขาออกไปเลยก็คงดี ถ้าสายตาไม่เหลือไปเห็นโต๊ะของอาจารย์ควอนทางด้านในซึ่งมีใครคนอื่นนั่งอยู่ตรงนั้น โอ้ อย่าบอกนะว่าที่ไม่ได้เข้าเรียนก็เพราะจะทำเรื่องลาออกจริงๆแล้ว ที่นั่งข้างกันนั่นคงเป็นปาร์คคนพ่อ
ความคิดเลวๆบอกคิมจงอินว่าคงดีที่ศัตรูหัวใจหายไป แต่มันต้องดีกว่านี้แน่ถ้าไม่ใช่หลังจากที่เขาถูกตัดรอนความรู้สึกเกินเพื่อนและแบคฮยอนพูดชัดเจนออกมาเสียขนาดนั้น ร่างหนาเดินล้วงกระเป๋ากางเกง กลอกตามองไปทางนู้นทีนี้ทีอย่างเบื่อหน่าย ในหัวสั่งว่าไม่ต้องริทำอะไรที่พระเอกเขาทำกันเด็ดขาด
แต่พอต้องนั่งลงข้างหน้าหงอยๆของแบคฮยอน มองดูเพื่อนตัวเล็กทำเฉยชาใส่และเรียนเหมือนคนไม่มีกะจิตกะใจแล้ว จงอินก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด นี่มันบ้าสิ้นดีที่เขาเกิดมีสำนึกมาเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะเรื่องที่ตัวเองทำเอาไว้ก็ตอนนี้ ดีๆหน่อยเถอะน่า คนจะย้ายโรงเรียน ใครจะไปห้ามได้
เอื้อมมือไปเปิดพลิกหน้าหนังสือให้แบคฮยอนตามบทเรียนบนกระดาษ แต่พอใกล้เข้าหน่อย สายตาทิ่มแทงของนายบุคคลที่สี่อย่างลู่หานก็ทิ่มแทงมาจากข้างหลังอย่างกับกลัวเขาจะทำอะไรอีกอย่างนั้นแหละ นี่ยอมอดทนมาสองปี ปั่นแผนการทุกอย่างขึ้นมาแทบตายเพื่อให้เรื่องมันเป็นอย่างนี้เหรอวะ
“แบคฮยอน” สาบานได้ คิมจงอินไม่เคยเกลียดตัวเองมากเท่านี้มาก่อน “ฉันเห็นชานยอลกำลังคุยกับอาจารย์ควอนอยู่ในห้องพักครู”
เขากระซิบ ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น ร่างเล็กก็หันมามองจงอินอย่างไม่เชื่อสายตา ริ้วแดงปรากฏบนใบหน้า ตาสองข้างเบิกโพลง และท่าทีลุกลี้ลุกลนที่ราวกับว่าไม่สามารถทนนั่งติดเก้าอี้ได้แล้วอย่างนั้นคืออะไรกัน โชคดีที่เขารั้งอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทันก่อนจะลุกยืนเต็มความสูงให้อาจารย์บ่นเล่น ไม่เป็นงานเอาเสียเลย
“แกล้งกุมหัวเข้าไว้” จงอินสั่ง ก่อนจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นยืนเสียเองแล้วว่า “อาจารย์ครับ แบคฮยอนไม่ค่อยสบาย ผมขออนุญาตพาเพื่อนไปห้องพยาบาลครับ”
“ผมไปด้วย” ลู่หานลุกขึ้นยืนจ้องเขม็ง ตายิ่งลุกเป็นไฟเมื่อเห็นจงอินคว้าเข้าที่ข้อแขนคนตัวเล็กกว่าเพื่อพาเดินออกไปด้วยกัน
“เธอจะไปทำไม”
“ผมเป็นห่วงเพื่อน” นักฟุตบอลเฉไฉ ทำไมตอนหาเรื่องออกจากห้องมันไม่ง่ายเหมือนตอนเข้าเรียนบ้างเล่า
“เธอน่ะนั่งลงเลย แค่พาเพื่อนไปห้องพยาบาลน่ะคนเดียวก็พอ”
จงอินลอบยิ้มขำ โค้งขอบคุณอาจารย์อีแล้วส่งซิกส์ให้แบคฮยอนแกล้งไร้เรี่ยวแรงเนียนกว่านี้หน่อย ไม่มีคนปวดหัวที่ไหนโค้งตัวได้กระตือรือร้นขนาดนั้น เมื่อพ้นประตูห้องออกมาได้ คนซื่อถึงกับถอนหายใจให้ครั้งแรกที่ทำอะไรบ้าบิ่นอย่างนี้
ไม่อยากพูดอะไรให้มากความ แค่นี้มันก็เกินกว่าที่จงอินจะคาดว่าตัวเองทำได้แล้ว ไหนๆก็ออกมาด้วยกัน คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินไปเจอภาพบาดตานั้น เอาเป็นว่าถ้าทนไม่ไหวจริงๆค่อยแยกตัวออกมาก็ยังไม่สาย จงอินบอกตัวเอง เขาสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่อยู่ทรมานนานเกินไปแน่ๆ
ทว่าห้องพักอาจารย์ไม่มีผู้ปกครองหรือนักเรียนคนไหนแล้ว จงอินดันแบคฮยอนให้รีบออกมาก่อนที่อาจารย์ควอนจะหันมาเห็น กว่าจะออกมาได้สำเร็จและเดินมาถึงที่นี่ ปาร์คชานยอลกับพ่อก็คงทำเรื่องจนเสร็จแล้ว
“จะเอายังไง”
แบคฮยอนกัดริมฝีปากจนห้อเลือด เขาไม่รู้จริงๆว่าปกติแล้วการทำเรื่องย้ายออกต้องติดต่อตรงไหนบ้าง ในฐานะคนที่เคยทำเรื่องเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนและย้ายสถานศึกษาชั่วคราว จงอินคิดว่าเขาควรพาคนข้างตัวไปดูที่ฝ่ายระเบียนเสียหน่อย แต่ยังไม่ทันจะไปถึงไหน เรื่องเสียอารมณ์ก็คือนายลู่หานและเพื่อนสุดหล่อของร่างเล็กดันหาเรื่องหนีอาจารย์อีออกมาจนได้
“จงอินเห็นชานยอล” รีบแก้ต่างให้เจ้าของชื่อที่ยืนทำหน้ากวนประสาทใส่หนุ่มนักฟุตบอลอย่างกับไม้เบื่อไม้เมา พอได้ยินอย่างนั้นคนฟังถึงกับทำตาโต ไม่มีใครโทรหาชานยอลติดตั้งแต่เช้าวันศุกร์แล้ว แถมเพื่อนคนอื่นที่เห็นตอนร่างสูงกลับมาเอากระเป๋าก็ไม่รู้เรื่องอะไร คงจงใจหลบหน้าทุกคนจริงๆ
“แล้วตอนนี้หมอนั่นไปไหน” แบคฮยอนส่ายหัวแทนคำตอบ “จงอินบอกว่าอาจจะอยู่ห้องระเบียนก็ได้ เพราะต้องส่งเอกสารและคืนบัตรประจำตัวนักเรียนก่อน”
พอเข้าใจตรงกันอย่างนั้น ทั้งสี่คนก็รุดไปที่ห้องระเบียนและได้รับคำตอบเพียงว่าสองพ่อลูกทำเรื่องเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ชานยอลมาทำเรื่องเอกสารทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ วันนี้แค่ต้องให้ผู้ปกครองและอาจารย์ที่ปรึกษาเซ็นรับรองเพื่อจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก็เท่านั้น ความกระวนกระวายใจกัดกินคนทั้งสี่ น่าหงุดหงิดว่าลู่หานเอาแต่บ่นเป็นภาษาจีนไม่หยุดว่าจงอินเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้
หากแต่เมื่อเซฮุนสะกิดให้ดูอะไรบางอย่าง หัวใจแบคฮยอนกลับเต้นรัวแรงเพราะเห็นร่างสูงโปร่งของชานยอลกำลังเดินออกจากอาคารเรียนพร้อมผู้เป็นพ่อ ในระหว่างที่ลู่หานส่งเสียงตะโกนเรียกนั้น คนตัวเล็กที่สุดก็รีบผละออกจากระเบียงทางเดินแล้ววิ่งลงบันไดเท่าที่คนๆหนึ่งจะเร็วได้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชานยอลจะยอมหยุดไหม หรือเงยหน้าสนใจเสียงร้องเรียกของเพื่อนคนอื่นบ้างหรือเปล่า
หากปาร์คชานยอลเป็นต้นเหตุของอาการหัวใจเต้นตลอดหลายเดือนมานี้ แบคฮยอนก็เชื่อว่าเขาคงไม่ต้องเจ็บอกซ้ายเพียงเพราะแค่นึกถึงผู้ชายคนนั้นอีก
รถยนต์สีบลอนด์แล่นออกไป พร้อมทั้งพาเอาเสียงเต้นของหัวใจให้อันตรธานหายไปด้วย
ลู่หานและเซฮุนตามลงมาจนถึงใต้อาคาร เพราะเสียงดังโหวกเหวกเมื่อครู่ทำให้เด็กนักเรียนบางห้องสนใจทางนี้ จงอินยังคงยืนอยู่ริมขอบหน้าต่างชั้นบนที่เดิม เมื่อครู่นี้ชานยอลหันกลับมาแล้ว แต่หมอนั่นก็เลือกที่จะขึ้นรถไปกับพ่อโดยที่ไม่รู้ว่าใครบางคนกำลังวิ่งลงไปหา
เซฮุนอยากจับไหล่เพื่อนเบาๆเพื่อให้กำลังใจ เมื่อไรที่ชานยอลรู้สึกดีขึ้นก็อาจจะยอมติดต่อคนอื่นบ้าง ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันว่าจะนัดเจอได้ไหม หรือปัญหาคั่งค้างในใจสามารถจัดการได้อย่างไร แต่ทุกอย่างกลืนหายไปในลำคอเมื่อร่างโปร่งเดินขึ้นมาเกือบเสมอตัวอีกคน
บนพื้นคอนกรีตตรงปลายเท้า เซฮุนเห็นหยดน้ำตาของแบคฮยอนเป็นด่างดวง
______________________________________
มาม่า
#ฟิคฮบ
ความคิดเห็น