ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) DARK HORSE | chanbaek hunbaek

    ลำดับตอนที่ #3 : EPISODE 2 | START

    • อัปเดตล่าสุด 23 ต.ค. 59









     



    DARK HOUSE

         間違えている箇所もあります。

    ….

    t w o

     

     




     

     

    ฉันไม่ได้ต้องการวิ่งตามรอยเท้า

    แต่ต้องการก้าวข้ามมัน

     

     

     

     







     

     

    “ที่นี่จริงๆดิ”

     

    น้องเล็กละสายตาจากสมาร์ทโฟนก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตามที่พี่ใหญ่ของวงทักขึ้น แมนชั่นสีขาวเก่าๆซอมซ่อขนาดสี่ช่วงตึกปรากฏให้เห็นในกรอบสายตา โอเซฮุนจำใจต้องก้มลงมองพิกัดบนหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง พอแน่ใจแล้วว่าจุดสีแดงๆบนแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้ทำพวกเขาหลงทางจริงๆ ริมฝีปากบางก็เอื้อนเอ่ยตอบพี่อีกสามคนเสียงอ่อย

     

    “จีพีเอสไม่น่าผิดนะ”

     

    คิมจุนมยอนเสยผมสีทองของตัวเองขึ้นอย่างลวกๆก่อนจะก้าวเข้ามาประชิดข้างตัวนักร้องนำของวงแล้วทำมือเป็นท่าป้องปากกระซิบ “นายว่าจะมีผีไหม”

     

    “ไร้สาระน่า” บยอนแบคฮยอนหัวเราะก่อนจะก้มตัวลงยกกระเป๋าเดินทางใบย่อมขึ้นมาถือไว้ในมือ เขาหันไปมองโดคยองซูที่ยังคงรักษาบุคลิกเงียบๆของตัวเองไว้ด้วยการกระชับเป้บนบ่าเสียแน่น

     

    เซฮุนตัดสินใจเป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปข้างในก่อนในฐานะคนติดต่อ หน้าต่างกระจกเล็กๆทางขวามือแทบไม่มีใครอยู่เลย กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่แล้วตัดสินใจเคาะเรียกอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อใบหน้าของหญิงวัยกลางคนพรวดพราดขึ้นมาจากหลังเคาน์เตอร์

     

    แบคฮยอนหลุดขำออกมาเบาๆเมื่อคยองซูซึ่งยืนอยู่ข้างๆเขาเผลอสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็กระแอมไอกลบอาการเขินเมื่อถูกหันไปมอง

     

    “ผมเป็นเพื่อนของแดฮยอนน่ะครับ ที่จองห้องสูทไว้” ยื่นบัตรประชาชนไปให้เป็นหลักฐาน เซฮุนเป็นคนจัดการหาที่พักด้วยการบอกว่ามีญาติเพื่อนทำแมนชั่นให้เช่าอยู่ในโซล พวกเขาจ่ายเงินมัดจำไปครึ่งหนึ่งจากราคาค่าเช่าห้องพักจำนวนแปดวัน กะว่าถ้าประกวดเสร็จก็จะพากันนั่งรถไฟกลับในเช้าวันรุ่งขึ้นเพื่อไม่ให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก

     

    การประกวดจะมาถึงในอีกหกวัน จะหาว่าพวกเขาตื่นเต้นไปหน่อยก็ช่างเถอะ แต่การมาเตรียมตัวไว้ก่อนมันก็ดีไม่ใช่หรือไง

     

    พูดคุยอยู่พักหนึ่งก็ได้กุญแจห้องหมายเลขสี่ศูนย์หนึ่งทั้งสองชุดมาถือไว้ในมือ เซฮุนโบกไปมาในขณะที่เดินนำทุกคนไปยังบันไดทางด้านใน ในระหว่างที่พากันลากสัมภาระทั้งกระเป๋าและเครื่องดนตรีขึ้นไปด้านบน จุนมยอนก็โอดเสียงยานคาง

     

    “นี่มันที่พักในเมืองไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่มีสิฟท์ล่ะ”

     

    “พูดอย่างกับเป็นคนบ้านนอกไปได้” คยองซูแขวะ และนั่นทำให้อีกสองคนที่ฟังอยู่ได้แต่หัวเราะชอบใจ

     

    “ก็บ้านนอกจริงๆนี่ ดูเมืองเราสิ ตึกเตี้ยๆกับคนที่เข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำน่ะเทียบไม่ได้เลยสักนิด”

     

    เถียงกันไปมาก็ลากกระเป๋ามาจนถึงหน้าห้องสี่ศูนย์หนึ่งจนได้ แบคฮยอนรับกุญแจมาจากเด็กโข่งทางด้านหลังก่อนจะไขประตูฝืดๆเข้าไป กลิ่นอับเล็กน้อยลอยเข้าเตะจมูก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ผิดคาดเมื่อทุกคนกำลังวาดฝันถึงห้องพักเก่าซอมซ่อเหมือนโรงพยาบาลชุมชน

     

    กระเบื้องสีน้ำตาลมะฮอกกานีบนพื้นช่วยให้ห้องทั้งห้องดูอบอุ่น ผนังสีครีมตัดกับโต๊ะไม้ติดหน้าต่างตรงโซนครัว มีทั้งซิงค์ล้างจาน ตู้เย็น โซฟา โทรทัศน์จอนูนขนาดยี่สิบแปดนิ้ว แล้วก็กั้นห้องนอนให้ทั้งหมดสองห้อง บวกห้องน้ำอีกหนึ่ง

     

    “ดูแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ มีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วย” คยองซูชะโงกหน้าออกมาจากห้องน้ำในขณะที่แบคฮยอนและเซฮุนพากันวางของบนโซฟาสีดำหน้าโทรทัศน์ จุนมยอนเดินไปทดลองเปิดก๊อกน้ำตรงโซนครัว ทุกอย่างอยู่ในสภาพพร้อมใช้ดี

     

    “เขาคงทำความสะอาดไว้ให้เราแล้ว” ร่างโปร่งมองกุญแจสองอีกชุดในมือสลับกับบานประตูห้องนอน ในกุญแจชุดหนึ่งจะมีลูกกุญแจอยู่สองดอก หนึ่งคือกุญแจห้อง สองคือกุญแจห้องนอน “แล้วเราจะแบ่งห้องกันยังไงดีครับ”

     

    จุนมยอนเดินกลับมายืนท้าวเอว มองพินิจกุญแจทั้งสองชุดอยู่ไม่ถึงสามวินาที “ไม่เห็นจะยาก เดี๋ยวฉันนอนกับแบค--

     

    “พี่น่ะนอนกับผมสิ” คยองซูโพล่งขึ้นมาท่ามกลางความงุนงงของคนอื่นๆ คนตัวเล็กมองหน้ากับเซฮุนเลิกลั่ก ก่อนจะคว้ากุญแจไปถือไว้แล้วก็รีบตัดบท “มาช่วยเก็บของเร็วๆเถอะน่า”

     

    จุนมยอนถูกลากหายเข้าไปในห้องแล้ว เหลือเพียงบยอนแบคฮยอนที่เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งพลางหันไปมองเด็กข้างๆซึ่งได้แต่อมยิ้มเล็กๆเป็นคำตอบ เซฮุนคว้าเอากระเป๋าเสื้อผ้าของเขาและแบคฮยอนขึ้นมาถือไว้ในมือ

     

    “งั้นเราก็ได้ห้องด้านใน”

     

    เดินนำเข้าไปโดยเหลือแค่กระเป๋ากีต้าร์ไอบาเนซไว้ให้คนเป็นพี่ถือ ข้างในนี้เป็นเตียงห้าฟุต มีทั้งตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้งแบบมีกระจก แล้วก็โซฟาเล็กๆอีกหนึ่งตัว

     

    “โห นี่เราได้ห้องขนาดนี้มาในราคาคืนละหมื่นวอนเหรอเนี่ย”

     

    “ปกติน่ะคืนละสองหมื่นวอนเชียวนะ ผมเจ๋งใช่ไหมล่ะ”

     

    “เด็กนี่ ขี้โอ่เป็นบ้า” พูดพลางผลักหัวทุยๆนั่นไปทีหนึ่งแล้วหิ้วกระเป๋าไปตรงตู้เสื้อผ้า แบคฮยอนขมวดคิ้วทันทีที่เห็นว่าในตู้นั้นว่างเปล่า แล้วเขาก็ไม่ได้เตรียมอะไรมานอกจากเสื้อผ้าและข้าวของส่วนตัว “เขาไม่มีไม้แขวนเสื้อไว้ให้เราแฮะ”

     

    “อ่า...” คนฟังเดินมาหยุดยืนซ้อนข้างหลังทั้งคิ้วผูกโบว์ เซฮุนหายไปทางห้องด้านนอกไม่ถึงครึ่งนาทีก็กลับเข้ามาพร้อมกับซองสบู่เหลวขนาดใช้ครั้งเดียวหนึ่งซอง “ในห้องน้ำก็มีแค่นี้”

     

    ร่างเล็กเสยเรือนผมสีน้ำตาลของตัวเองอย่างลวกๆก่อนจะดันประตูตู้เสื้อผ้าปิด “ฉันไม่ได้เอาอะไรมาเลยนอกจากแปรงสีฟัน”

     

    “ถุงยางล่ะ”

     

    โอเซฮุนถูกตบหัวหนึ่งที แล้วแบคฮยอนก็แยกตัวออกไปเคาะเรียกห้องข้างๆ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    บรรยากาศในโซลเป็นเหมือนในรูปที่จุนมยอนเปิดดูเป๊ะอย่างกับจับวาง ตึกสูงชะลูดผุดกันขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ไม่ว่าจะมองไปทางไหนบยอนแบคฮยอนก็เห็นแค่ฟ้าสีครามประปรายไปด้วยเมฆซึ่งเบาบางมากถ้าเทียบกับบ้านเกิดของเขา ผู้คนแออัดไปหมด การเดินชนไหล่กันและกันเป็นเรื่องธรรมดาบนฟุตบาธแคบๆ พอมันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองเขาจึงเริ่มรู้ตัวว่าต่อให้ไม่พอใจไปก็เท่านั้น ไม่มีใครสนใจหันมาขอโทษเหมือนบ้านนอกหรอก

     

    โอเซฮุนเดินกินไอศกรีมไม้เท้าอยู่ข้างๆ คนเป็นพี่เริ่มแน่ใจความหล่อของเด็กนี่ก็ตอนที่พวกเขาตกเป็นเป้าสายตาของสาวๆซึ่งเดินผ่านไปมา ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกล่ะก็ พวกหล่อนคงมองแค่เซฮุน

     

    “โอ๊ะ ร้านพันวอน” ร่างโปร่งพยักเพยิดพลางจับข้อมือของเขาและลากเลี้ยวเข้าไปในร้านด้วยกัน แบคฮยอนเข้าใจความตื่นเต้นของหมอนี่ก็ตอนที่เห็นว่าข้าวของมากมายถูกเรียงไว้บนชั้นจนแน่นไปทั้งร้าน และทั้งหมดนี้ราคาพันวอน “ถูกเหลือเชื่อ”

     

    เซฮุนหยิบเอาหน้ากากปีศาจขึ้นมาทาบไว้ที่หน้า คนมองเพียงแค่หลุดขำเล็กๆแล้วจึงสอดส่องสายตาไปตามชั้นวางของอย่างไร้จุดหมาย จะดีไหมนะถ้าซื้อของใช้จากร้านนี้ไปสักชิ้นสองชิ้นโดยไม่ต้องแบกกลับบ้านเกิด ถ้าความน่าอยู่ล่ะก็ไม่เท่าไหร่ แต่โซลอัดแน่นไปด้วยความหวัง

     

    “แบคฮยอน” หันกลับไปมองก็เห็นเซฮุนกำลังชูแก้วลายเดียวกันสองใบไว้ในมือ ขมวดคิ้วน้อยๆแทนคำถามทั้งหมด แล้วร่างโปร่งก็ก้าวขึ้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาด้วยรอยยิ้มประหลาดๆ “ซื้อนะ”

     

    “เอาไปทำไม ที่ห้องก็มีแก้วตั้งสี่ใบ”

     

    “โธ่... แก้วแค่นั้นจะใส่เบียร์กินได้ยังไง” เด็กหนุ่มโอด “แก้วแบบนี้น่าอร่อยกว่าตั้งเยอะ”

     

    “สี่ใบก็สี่พันวอนแล้ว เงินเหลือเยอะนักหรือไง” ถึงข้ออ้างนั่นจะฟังดูเข้าท่าก็เถอะนะ แต่จริงๆพวกเขากินเบียร์กระป๋องเอาก็ได้ มันทั้งเย็นกว่า อร่อยกว่า แล้วเอาส่วนต่างราคาทั้งแบบกระป๋องกับแบบขวดมาหักล้างกันแล้วก็คงพอๆกับซื้อแก้วสี่ใบนั้นแหละ

     

    เซฮุนทำหน้าเหมือนเด็กโดนขัดใจไม่มีผิด มันกระเง้ากระงอดและดูน่าหมั่นไส้มากกว่าน่ารัก “แค่สองใบก็ได้นี่ เอาเงินผมซื้อ พี่ไม่ต้องเครียดหรอกน่า”

     

    “แล้วจะมาถามทำไม” ถอนหายใจใส่อย่างเอือมๆพลางมองเด็กโตแต่ตัวที่เดินถือแก้วสองใบไปจ่ายเงินยังเคาน์เตอร์ แล้วทำไมต้องสองใบล่ะ ถ้าจะใช้คนเดียวก็ซื้อใบเดียวก็ได้นี่ แต่พอตั้งท่าจะถาม เซฮุนก็ยิ้มระรื่นและจูงมือเขาออกไปข้างนอกร้านแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ในมือมีถุงร้านสะดวกซื้อซึ่งอัดแน่นไปด้วยสบู่ ยาสระผม มูสเซ็ทผม แล้วก็เบียร์หนึ่งแพ็คราคาหกพันวอน (มันต่างจากซื้อแยกสามขวดตรงไหน ก็แค่เป็นแพ็ค!) แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ยังโดนเซฮุนถูลู่ถูกังให้เดินกินบรรยากาศในเมืองหลวงต่ออีกพักใหญ่ๆ ที่บ้านเกิดไม่ได้มีจอดิจิตอลยักษ์บนตึก ไม่มีชาร์ตเพลงรายสัปดาห์เป็นเรื่องเป็นราว รวมถึงการที่ร้านขายซีดีก็เป็นแค่ร้านขายซีดี มันไม่ได้โอ่อ่าและมีบูธจัดอันดับอยู่ตรงโถงด้านใดด้านหนึ่ง

     

    เด็กตัวสูงลากเขาตรงปรี่ไปยังบูธแนะนำทางด้านขวาสุด มันเด่นกว่าส่วนอื่นๆภายในร้าน และมีคนแวะเวียนมาหยิบสินค้าประปราย

     

    “แทร็ปออกแล้ว ~

     

    ร่างเล็กยืนมองโปสเตอร์ขนาดใหญ่บนผนังโดยปล่อยให้เสียงของเซฮุนทะลุออกไปทางหูขวา ภาพขาวดำของใครบางคนเด่นชัดอยู่บนนั้น ข้างๆกับนักร้องนำหน้าหวานและผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาอีกสองคน เพียงแค่เห็น หัวใจของแบคฮยอนก็ปวดหนึบอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมีโซ่เส้นเล็กๆรัดรึงขึ้นมาทุกเมื่อที่ต้องเห็นหน้าผู้ชายคนนั้น

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    อีกแล้ว... แหวนที่สวมทับรอยสักตรงนิ้วนางข้างซ้ายกำลังร้อนขึ้นมาเหมือนระนาบเหล็กร้อน

     

    “เสร็จแล้วครับ” เซฮุนเดินกลับมาพร้อมถุงสีแดงเข้มซึ่งบรรจุซีดีเพลงอัลบั้มใหม่ของอาร์คอย่างที่เจ้าตัวตั้งใจมาซื้อ เห็นคนตัวเล็กกว่ายังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนแล้วจึงทอดสายตามองโปสเตอร์บนผนังตามบ้าง

     

    แล้วก็เข้าใจว่าคนข้างๆกำลังมองภาพของปาร์คชานยอล

     

    “เซฮุน” เสียงนั้นถามขึ้น ตายังคงจับจ้องไปเบื้องหน้าไม่กะพริบ “นายคิดว่าเรามีหวังแค่ไหนกับการประกวดครั้งนี้เหรอ?”

     

    คนถูกถามนิ่งคิด ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกของคนในวงเกลย์ เช่นเดียวกับเวลาดูการแสดงสดแล้วเขาพยายามจดจำท่าทางของผู้ชายคนนั้น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีทางทำตามได้สักที ส่วนเรื่องจุดอ่อน... เซฮุนรู้ในตอนที่พยายามวิ่งตามรอยเท้าของปาร์คชานยอลนั่นแหละ

     

    “ไม่รู้สิ แค่ได้ขึ้นแสดงบนเวทีนั้นผมก็ดีใจแล้ว”

     

    แบคฮยอนยิ้ม “หวังต่ำจัง”

     

    “กลัวตกลงมาเจ็บ” พูดจบทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาเบาๆราวกับโปสเตอร์วงดนตรีชื่อดังตรงหน้าเป็นเพียงของประกอบฉากชิ้นหนึ่ง แน่นอนเซฮุนรู้อยู่แก่ใจ แรกเริ่มเดิมทีเขาไม่เคยคิดอยากมาสมัครเป็นสมาชิกของเกลย์ด้วยซ้ำ มันแค่เริ่มจากการมีปาร์คชานยอลเป็นไอดอล เก็บเงินซื้อกีต้าร์ไอบาเนซ แล้วก็หลงใหลในเสียงนักร้องนำกับสร้อยคอจี้ลูกกุญแจอันนั้น

     

    ใช่... เขาใส่มันตามผู้ชายที่ชื่อบยอนแบคฮยอนนั่นแหละ

     

    แล้วแบคฮยอนก็ไม่ใช่ไอดอล แต่เป็นคนที่คว้าหัวใจเขาไปตั้งแต่การยืนร้องเพลงบนเวทีนั่นต่างหาก

     

    “ทิ้งสร้อยนั่นไปหรือยัง” คนตัวเล็กถามขึ้นอีก ตอนนี้พวกเขาสองคนเหมือนผู้ชายแปลกๆที่ยืนคุยกับโปสเตอร์วงอาร์ค

     

    “ไม่บอกหรอก แค่ไม่ใส่ให้เห็นก็พอแล้วนี่”

     

    “....”

     

    “เขินใช่ไหมล่ะ”

     

    ร่างโปร่งหันไปกระเซ้า เอาข้อศอกดุนตัวอีกฝ่ายให้พอเซแต่แบคฮยอนก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่เดิมไม่วางตา พักหนึ่งดวงตานั้นจึงหลุบลงราวกับอดกลั้นความรู้สึกบางอย่าง เซฮุนหวังให้มันปะทุออกมาบ้าง จนแล้วจนรอดเขาก็เป็นแค่เด็กเมื่อวานซืนที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเกลย์เลยสักนิดเดียว

     

    “แค่คิดว่าถ้านายทิ้งมันไปก็ดี” ริมฝีปากบางเฉียบนั้นหยักยกรอยยิ้มอีกครั้ง “เพราะมันไม่มีค่าอะไร”

     

    นั่นแหละ นานมากแล้วที่บยอนแบคฮยอนไม่ใส่สร้อยอันนั้นให้เห็นอีก เซฮุนเคยคิดว่ามันเป็นแค่แฟชั่นเล็กๆ แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิด

     

    นักร้องนำหมุนตัวเดินออกไปแล้ว เด็กหนุ่มได้แต่เดินตามไปเงียบๆโดยไม่พูดอะไรอีก ถุงซีดีซิงเกิลใหม่ของอาร์คหนักอึ้งเหมือนตุ้มถ่วง หลังถูกแบคฮยอนทิ้งห่างออกไปทุกที ร่างโปร่งก็รีบเร่งฝีเท้าเข้าประชิดตัวจนกลายเป็นเดินซ้อนแผ่นหลัง

     

    แบคฮยอนคงรู้ตัวว่ามันใกล้พอถึงได้พูดอะไรบางอย่างออกมาเบาหวิว

     

    “เอาชนะอาร์คให้ได้ นั่นคือเหตุผลที่ฉันรับนายเข้ามา”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     


    GLAMOROUS SKY - HYDE
     

     

     

     

     

     

     

     

    เสียงกรี๊ดของกลุ่มคนจำนวนมากฮือขึ้นดังสนั่นฮอลล์ และแม้จะไม่มีแสงไฟวิบวับจากกลุ่มแฟนคลับอย่างไอดอลตามสมัย แต่ถ้าพูดถึงป้ายไฟ ดอกไม้ แม้แต่การเลียนแบบอย่างเช่นสีผม การแต่งตัว สร้อยหรือแหวนที่สวมใส่จนเป็นส่วนหนึ่งของตัวตน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอาร์คได้ก้าวขึ้นสู่ราชาแห่งวงการร็อคในปีนี้ได้เป็นที่สำเร็จ

     

    ไฟฮาร์ดไลท์ถูกส่งลงตรงกลางเวทีพร้อมกับร่างของนักร้องชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าขาตั้งไมค์สีดำวับ พอเสียงดนตรีเริ่มดังขึ้น ไฟฮาร์ดไลท์ก็สาดยาวไปถึงมือกีต้าร์ เบส และปิดท้ายด้วยมือกลองผมสีบลอนด์ขาวทางด้านหลังสุด

     

     

     

     

    I could have seen the other side

    Taking a step into the sky

    Ah, I'm always late’

     

     

     

     

    โชว์แรกของอัลบั้มใหม่ถูกเปิดตัวในรายการเพลงที่มีอิทธิพลที่สุดแห่งช่วงสามปีหลัง วันนี้ลู่หานอยู่ในชุดสีดำเช่นเดียวกับในเอ็มวี เรือนผมสีน้ำตาลถูกเซ็ทเป็นทรงเปิดหน้าผาก และดวงตากลมโตที่แฟนขลับต่างขนานนามว่ากวางนั้นก็ยิ่งดูเหมือนราชากวางมากขึ้นไปอีก

     

     

     

     

    I could've done the same routine

    Showing the old and golden scene

    I'm lying again, to make them go’

     

     

     

     

    และหากลู่หานเป็นกวาง เจ้าของตำแหน่งมือเบสก็คงถูกเรียกว่าเจ้าป่าอย่างไม่มีใครแคลงใจ ป้ายไฟชื่ออู๋อี้ฟานถูกยกสูงขึ้นหลังจากแสงไฟวาดผ่านให้เห็นเรือนผมสีเข้มซึ่งเป็นลุคส์ใหม่ของราชาที่แท้จริงแห่งวงอาร์ค เสียงทุ้มต่ำของเบสวอร์วิกดังประสานกับเสียงกีต้าร์ของใครอีกคนซึ่งยืนอยู่ทางฝั่งขวาของเวที

     

     

     

     

    Wearing again my rocking shoes

    Over the puddles made of tears

    Flash back, I know you're clever

    I remember’

     

     

     

     

    ชายในชุดเสื้อหนังตัดเชิ้ตขาวผงกเรือนผมสีสว่างของเขาไปตามจังหวะ ขณะที่ไม้กลองโปรมาร์คกระทบลงบนหนังอีแวนส์สีขาวที่เพิ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนก่อน เขาอาจไม่ใช่มือกลองอันดับหนึ่งประเทศ แต่ถ้าเรื่องฝีมือและลวดลายดนตรีที่ไม่มีใครกล้าจัดอันดับแล้ว สาวกเพลงร็อคส่วนใหญ่ก็คงนึกชื่อคนที่ฝีมือจัดจ้านกว่าคิมจงอินไม่ออก

     

     

     

     

    I know we could cross over rainbows

    I wish that we could aim the sun again

    I know we could dream for tomorrow

    To share the long forgotten glamorous days’

     

     

     

     

    และซิงเกิ้ลที่สามหลังจากการเปิดตัวมือกีต้าร์คนใหม่ก็ไม่ได้ทำให้ปาร์คชานยอลมีกระแสลดลงเลย เขากลับมาในลุคส์เสื้อแจ็คเก็ตหนังบาลเมนกับสร้อยแม่กุญแจสีเงินที่ไม่เคยหายไปจากคอ ใบหน้าหล่อเหลาเพียงแค่ยิ้มและตอบกำกวมทุกครั้งที่มีสื่อถามถึงแฟชั่นอันเป็นอัตลักษณ์นี้ แน่นอน มันกลายเป็นปริศนาที่ขับกับคาแรคเตอร์นิ่งเงียบของเขาได้อย่างร้ายกาจ

     

    ประกายจากแหวนสีเงินวาวบนนิ้วนางข้างขวาขณะเคลื่อนไหวอยู่บนกีต้าร์ยิ่งทำให้สาวน้อยสาวใหญ่ หรือแม้แต่ผู้ชายครึ่งค่อนประเทศปักใจแล้วว่าคงหนีจากนักดนตรีคนนี้ไปไหนไม่พ้น ดวงตากลมโตของชานยอลมักจะหลุบต่ำ มันจดจ่ออยู่ที่กีต้าร์ไอบาเนซทรงอาร์จีสีดำแทบตลอดทั้งเพลง แต่ลองมองกลับกันไหม? เมื่อไรที่ตาคู่นั้นเหลือบขึ้นทำอายส์คอนแทคกับผู้ชม บางทีคุณอาจจะลืมวันเกิดของตัวเองไปเลยก็ได้

     

    อย่างตอนที่เขาทำหลังจากโซโล่กีต้าร์จบในช่วงสองนาทีสี่สิบวินาทีของเพลงนี่ไง

     

     

     

     

    Sunday

    Monday

    And another Tuesday

    Wednesday

    Thursday, you're still away’

     

     

     

     

    อาร์คเป็นวงดนตรีร่วมทุนระหว่างบริษัทของเกาหลีใต้และจีน พวกเขาเดินทางบ่อยพอๆกับไอดอลเพลงป็อบที่กำลังมีการโปรโมต ลู่หานไม่รู้ว่าวงการเพลงร็อคมีใครเป็นเจ้าชายมาแล้วบ้าง พวกเขาแค่ต้องการเป็นราชา อย่างที่หลับฝันหรือตื่นนอน คนพวกนี้ก็ต้องนึกถึงและเปิดฟังแต่เพลงของอาร์ค

     

     

     

     

    Friday

    Saturday, I'll be lonely everyday

    And then climb high up to the moon

    And I somehow hope to hear you cry’

     

     

     

     

    มือเรียวดึงเอาไมค์ออกแล้วก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว มือข้างหนึ่งยังคงจับเล่นอยู่กับขาตั้ง ไม่มีรอยยิ้มออกจากใบหน้าหวานในขณะที่กำลังเปล่งเสียงและวิญญาณให้กับบทเพลง ลู่หานแค่หันไปสบตากับอี้ฟาน จากนั้นก็เหล่ชานยอลอย่างที่เตรียมการแสดงกันไว้ ส่วนคิมจงอินนั้นคงลืมบท เพราะในตอนที่ร่างผอมโปร่งหมุนตัวหันกลับไปข้างหลัง นายนั่นกำลังเมามันส์กับการตีกลองจนอยู่ในโลกของตัวเองไปแล้ว

     

     

     

     

    I know we could cross over rainbows

    I wish that we could aim the sun again

    I know we could dream for tomorrow

    To share the long forgotten glamorous days’

     

     

     

     

    อาร์คทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเสมอ การแสดงของพวกเขาไม่จบลงง่ายๆแม้กระทั่งตอนที่ลู่หานกำลังหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนผ่านไมค์ เสียงกรี๊ดของผู้ชมยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครเคลื่อนไหวเครื่องดนตรีแล้ว และลู่หานก็รอจนเสียงซานั้นเงียบลงในนาทีต่อมา เขาจึงตะโกนประโยคที่เรียกเสียงกรี๊ดให้ดังสนั่นฮอลล์ยิ่งกว่าเก่า

     

    “ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง!

     

    สิ่งหนึ่งที่แฟนคลับเรียนรู้คือนักร้องนำของอาร์คเป็นนักเอนเตอร์เทนตัวยง  จงอินเป็นคนแรกที่เดินนำไปข้างหลังเวที ตามด้วยชานยอล อี้ฟาน และปิดท้ายที่ลู่หานซึ่งยังโบกไม้โบกมือจนวินาทีสุดท้าย ในอีกสิบนาทีจากนี้ อาร์คจะกลับขึ้นเวทีมาใหม่ในช่วงสัมภาษณ์พิเศษ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่จงอินไม่เข้าใจนักว่าเจ้าของดวงตากลมโตที่กำลังกระดกน้ำจากขวดอยู่ตรงหน้าเขาจะทำกระตือรืนร้นอะไรนักหนา

     

    “ค่อยยังชั่ว”

     

    พูดจบก็หันไปยื่นหน้าให้เมคอัพอาร์สติสช่วยซับเหงื่อและเติมแป้ง ส่วนหัวหน้าวงอย่างอู๋อี้ฟานกำลังนั่งไขว้ขาสไลด์หน้าจอโทรศัพท์อยู่ที่โซฟาบุหนังสีน้ำตาลทางด้านหนึ่งของห้อง ชานยอลเช็ดกีต้าร์ของตัวเอง จากนั้นจึงใส่มันลงในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง

     

    ทรัพย์สินของอาร์ครวมกันแล้วมีราคาเหยียบสิบล้าน ปาร์คชานยอลเคยเก็บเงินซื้อกีต้าร์ราคาตัวละไม่กี่หมื่นวอนมาก่อน เพราะอย่างนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับไอบาเนซราคาเกือบห้าล้านวอนที่ทางต้นสังกัดเป็นสปอนเซอร์ให้หลังจากเขาเซ็นสัญญาเมื่อสองปีก่อน

     

    ร่างสูงเดินกลับมานั่งที่โซฟาตัวเดียวกันกับอี้ฟาน แล้วจึงบิดฝาเปิดขวดน้ำเพื่อดับกระหาย ตอนนี้สไตลิสต์กำลังจัดการเครื่องแต่งกายของจงอิน และชานยอลไม่คิดว่าเขาต้องทำอะไรนอกจากนั่งเฉยๆเพื่อรอให้ถึงคิวตัวเอง

     

    “คิดว่าแทร็ปจะมียอดขายเป็นไง” ลู่หานเปิดบทสนทนาภายในวงขึ้น และอี้ฟานก็แค่ยิ้มก่อนจะละสายจาหน้าจอสมาร์ทโฟนแล้วหยิบบุหรี่บนโต๊ะข้างตัวขึ้นมาจุดสูบ

     

    “วันแรกกับสามแสนก๊อปปี้”

     

    “พูดเป็นเล่น” คิมจงอินโพล่งขึ้น จากนั้นจึงหันไปแปะมือรับกับลู่หานที่เร้าจะแสดงอาการดีใจนี้ให้ได้

     

    “คงไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วมั้ง” หัวหน้าวงยังคงฉาบรอยยิ้มพอใจบนใบหน้า เขาหันไปส่งต่อไฟแช็คให้มือกีต้าร์ที่ยังคงนั่งสงบปากสงบคำออกอาการดีใจน้อยกว่าคนอื่นๆ ก็ไม่ใช่ไม่รู้หรอกว่าชานยอลเป็นคนอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร นับจากวันที่ก้าวเท้าเข้ามาในเนเบอร์น่ะนะ

     

    “ฉลองกันหน่อยไหม”

     

    “อานเซอร์”

     

    มือกลองเสนอ ทุกคนเห็นดีเห็นงามด้วยยกเว้นผู้จัดการวงที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา

     

    “ใจคอกะจะเมาตั้งแต่คัมแบ็คเลยหรือไง” คิมมินซอกเป็นชาวเกาหลีที่ถูกมอบหมายให้รับหน้าที่หนักหนานี้ แหงล่ะ ประธานของค่ายเนเบอร์น่ะรู้ดียิ่งกว่าใครว่าวงอันดับหนึ่งน่ะดื้ออย่างกับอะไรดี ยกตัวอย่างเช่นที่เขาต้องคอยตะล่อมเตือนเรื่องสูบบุหรี่ในห้องหับอย่างตอนนี้ “เอ้า สิงห์อมควันทั้งหลาย อีกห้านาทีไปสแตนด์บายรอเข้ารายการได้แล้วนะ เฮ้! ลู่หาน นายน่ะมาทางนี้”

     

    จับเอาไหล่คนในประโยคแล้วดึงหนีควันบุหรี่ที่ผู้ชายสามคนพากันพ่นออกมา มินซอกและทางค่ายรู้ถึงความสำคัญของการเป็นศิลปินดี เขาถึงไม่อยากให้ชื่อเสียงของอาร์คมีอายุสั้นพอๆกับเส้นเสียงของนักร้องนำที่กำลังหัวเราะร่าด้วยความครึ้มใจเต็มแก่ ลู่หานยังให้ความสนใจกับเรื่องฉลองยอดขายไม่เลิก

     

    “ชานยอล” เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมองคนดูแล มือแกร่งเอื้อมไปบี้บุหรี่ลงกับที่เขี่ยบนโต๊ะข้างๆในขณะฟังคำสั่ง “เรื่องคอนเซปท์อัลบั้ม พี่จะให้นายเป็นคนตอบ”

     

    “ทำไมถึงไม่เป็นอี้ฟาน”

     

    มินซอกมองใบหน้าที่ขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปรั้งไม่ให้หยิบบุหรี่มวนต่อไปขึ้นมาสูบทั้งที่อีกไม่กี่นาทีต้องออกจากห้องแต่งตัวแล้ว “ใครเขาก็อยากฟังนายพูดทั้งนั้น ว่าไหม”

     

    “....”

     

    ชายหนุ่มทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้ารับ นั่นคือสิ่งที่เขาทำความเข้าใจไว้แล้วนับตั้งแต่เดินทางมาถึงโซล ตระเตรียมสคริปท์เรื่องการให้สัมภาษณ์กันอีกสักครู่ อาร์คก็ถูกเคาะประตูเรียกโดยเจ้าหน้าที่จากทางรายการ พวกเขาจะมีเวลาเตรียมอีกสามนาทีหลังเวที

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เสียงกรี๊ดดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้งเมื่ออาร์คปรากฏตัวอีกครั้งหลังรายการสดตัดเข้าโฆษณาและสกู๊ปคั่นเวลา ไม่ว่ารูปแบบที่นั่งจะเป็นแบบไหน สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดคือชานยอลและอี้ฟานต้องประกบลู่หานเสมอ จงอินอยู่ริมสุดติดกันหัวหน้าวง แกล้งสบผ่านๆกับกล้องของบ้านแฟนไซต์แล้วหยักยกรอยยิ้มที่ดูไม่ตั้งใจนัก

     

    “เป็นยังไงบ้างคะกับงานเพลงชุดใหม่”

     

    เจ้าของใบหน้าคมเข้มยิ้มรับคำถามของพิธีกรสาว ก่อนจะยกไมค์ในมือขึ้นจ่อปากแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม “พวกเราได้รับผลตอบรับที่ดีมาก ต้องขอบคุณแฟนๆที่ให้การสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นในช่วงที่เรายังเพิ่งเตรียมตัว หรือแม้แต่ตอนนี้”

     

    จบคำ เหล่าแฟนคลับที่ว่าก็ส่งเสียงกรี๊ดขึ้นมาอีก จากนั้นจึงซาลงเป็นเสียงจอแจในขณะพิธีกรว่าคำถามต่อไป “อาร์คเท่เสมอเลยนะคะ ครั้งนี้ก็กลับมากับอัลบั้ม แทร็ป (TRAP) ทำไมถึงต้องเป็นชื่อนี้ ช่วยพูดถึงคอนเซ็ปท์ของซิงเกิลหน่อยค่ะ”

     

     

     

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”

     

     

     

    ไมค์ของลู่หานถูกส่งต่อไปให้ชานยอล นี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายระดับต้นๆที่แฟนคลับต่างพากันอยากเห็น รู้กันว่าปาร์คชานยอลนั้นพูดน้อย และตราบใดที่ไม่ใช่คำถามโดยตรงของเจ้าตัว มือนั้นก็เลือกจับแค่กีต้าร์เท่านั้น

     

    แทร็ปก็คือหลุมกับดัก เนื้อเพลงจะพูดถึงการตกหลุมรักคนๆหนึ่ง ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ทุกอย่างนั้นก็ราวกับเป็นกับดักที่ทำให้หลงรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้นและลืมไม่ลงครับ”

     

    ชานยอลทำท่าจะส่งไมค์กลับคืนให้ลู่หานในขณะที่พิธีกรพูดคำถามต่อไป แต่นักร้องนำกลับอมยิ้ม แกล้งให้ไมค์อยู่ในมือของเขาจวบจนคำถามจบ นั่นหมายถึงมือกีต้าร์ของอาร์คจะได้พูดมากกว่าในรายการอื่นๆอย่างไม่ต้องสงสัย

     

    “โรแมนติกมากๆเลย แล้วอาร์คเคยเจอกับดักอย่างนั้นบ้างไหมคะ”

     

    “....” ชายหนุ่มมองหน้าลู่หานเขม็ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายกไมค์ขึ้นจ่อปากแล้วคิดคำตอบนั้นอย่างเชื่องช้า และนึกหงุดหงิดกับท่าทางลอบหัวเราะของมือกลอง “ผม --”

     

    “ทำไมจะไม่มีล่ะครับ เขาหล่อขนาดนี้” อี้ฟานแกล้งพูดแซวใส่ไมค์อีกอันที่เจ้าตัวถืออยู่ ให้ตายเถอะ ถ้าพวกนั้นรู้ถึงความลำบากใจของเขาสักนิดแล้วล่ะก็

     

    “ครับ แต่นานมาแล้ว มันจบไม่สวยสักเท่าไหร่”

     

    เลือกตอบปัดๆอย่างที่คงไม่มีใครกล้าละลาบละล้วงถามต่อ ซึ่งคำถามต่อมา ชานยอลก็แค่ยิ้มรับเมื่อพิธีกรถามถึงปัจจุบัน ใบหน้าของใครบางคนผุดขึ้นมาในความคิด แหวนสีเงินที่นิ้วนางข้างขวาร้อนวาบราวกับเรียกหาเจ้าของที่แท้จริงของรอยสักข้างใต้นั้น ชานยอลชอบแหวนสีดำที่สลักอยู่บนเนื้อของเขามากกว่า เพียงแต่ทางต้นสังกัดคิดว่ามันคงเป็นปัญหาเพราะพวกแฟนคลับต้องสังเกตได้ นี่คือการตัดปัญหาถูกขุดคุ้ยอดีตได้ดีที่สุด

     

    การสัมภาษณ์ยังคงดำเนินต่อไปอีกสิบกว่านาที จนกระทั่งเข้าช่วงท้ายของรายการ

     

    “ช่วยพูดถึงการประกวดร็อคไรซิ่งในวันอาทิตย์ที่จะถึงหน่อยค่ะ ในฐานะของวงร็อคระดับต้นๆของวงการในตอนนี้ พวกเขาคงอยากได้กำลังใจจากอาร์คนะคะ”

     

    ความลับที่อาร์คต้องเหยียบไว้ให้มิดชิดก็คือ ทางกองประกวดร็อคไรซิ่งได้ติดต่อทางค่ายเนเบอร์มาเมื่อเดือนที่แล้วเพื่อให้อาร์คขึ้นแสดงเป็นพิเศษในงาน พวกเขาอยู่ในฐานะของขวัญเซอร์ไพร์ส มันจะเป็นข่าวใหญ่ในวงการดนตรี ซึ่งสิ่งที่อาร์คต้องทำในตอนนี้ก็คือการตีมึนแล้วให้กำลังใจไปตามสมควร

     

    “ความฝันอยู่ใกล้แค่เอื้อม ผมอยากให้พวกคุณคว้ามันมาให้ได้” อี้ฟานเป็นคนแรกสำหรับหัวข้อนี้ในตำแหน่งหัวหน้าวง จากนั้นไมค์ของเขาจึงถูกส่งต่อให้จงอิน

     

    “กว่าอาร์คจะมาถึงจุดนี้ได้ก็ผ่านอะไรมามากมาย และผมเชื่อว่าทุกคนทำได้ครับ”

     

    “เต็มที่นะครับ! วงการร็อคต้องการดาวดวงใหม่!

     

    เชื่อเถอะว่าปาร์คชานยอลไม่เก่งเอาเสียเลยเมื่อต้องอยู่หน้ากล้อง เขารับไมค์ต่อมาจากลู่หาน ภายในหัวยังคงสะเปะสะปะไปด้วยเรื่องบางอย่าง ดวงตาหลุบลงต่ำ แต่แล้วมันก็ทอประกายขึ้นมาในขณะที่น้ำเสียงทุ้มต่ำถูกเปล่งขึ้น

     

    “เชื่อในสิ่งที่คุณเป็น แล้วคุณจะสุดยอดที่สุดบนเวทีนั้น”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    พรึ่บ

     

     

     

     

    “อ้าว”

     

    โอเซฮุนร้องโอดครวญออกมาเมื่อรีโมทในมือของเพื่อนร่วมห้องกดปิดจอโทรทัศน์ในตอนที่เขารู้สึกพลุ่งพล่านถึงขีดสุด จุนมยอนที่นั่งกระดกเบียร์กับคยองซูอยู่ตรงโต๊ะริมหน้าต่างถึงกับหัวเราะ มองบยอนแบคฮยอนคืนรีโมทให้น้องเล็กของวงหน้าบึ้งตึง

     

    “ผมกำลังดูเพลินๆเลย อาร์คให้กำลังใจเราด้วยนะครับ”

     

    “มันก็แค่สคริปท์” เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปหงุดหงิดมาจากไหน ทั้งที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ออกมาก็ควรจะสดชื่นสิ “จองห้องซ้อมได้หรือยัง”

     

    “ได้แล้วครับได้แล้ว” เซฮุนเขยิบตัวเข้าไปใกล้ทันทีที่แบคฮยอนนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับเขา นิ้วเรีบวสไลด์โทรศัพท์มือถือในมืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะยื่นมันไปตรงหน้าคนถามด้วยดวงตาวาววับ “ถูกใจไหม”

     

    ห้องซ้อมที่เซฮุนติดต่อไปนั้นดูดีทีเดียว มันอยู่ใกล้ๆกับสถานีและห่างจากที่นี่ในระยะเดินเท้าได้ หนำซ้ำราคาเหมาต่อวันก็ยังไม่แพงเกินรับได้ เด็กนี่จริงๆแล้วเป็นคนโซลหรือไงนะ

     

    “ผมอวดพี่จุนมยอนกับพี่คยองซูไปแล้วด้วย”

     

    “โคตรถูกใจ” จุนมยอนยกนิ้วโป้งสำทับ แล้วก็หันไปสะกิดให้รุ่นน้องหน้าตายช่วยอวยเซฮุนอีกแรง

     

    “ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ก็เริ่มซ้อมได้เลยใช่ไหม” แบคฮยอนถาม และคำตอบนั้นก็คือการพยักหน้าหงึกหงักแลดูน่ารัก พูดก็พูดเถอะ มันน่าขนลุกนิดหน่อย โอเซฮุนเมาโซลหรือไงถึงได้เอาแต่ออดอ้อนเขาหนักมาทั้งวันแล้ว “เป็นอะไร”

     

    “ผมเจ๋งใช่ไหมล่ะ ~

     

    “....”

     

    “รู้ไหมว่าพี่ก็น่าจะชมผมบ้างนะแบคฮยอน”

     

    “ไร้สาระน่า” ใช้นิ้วดันหน้าผากเด็กโข่งออกไปห่างๆก่อนจะแย่งรีโมทกลับมากดเปิดโทรทัศน์อีกรอบ รายการสดจบพอดี แต่ก็ยังโชคร้ายที่เขาทันเห็นใบหน้าของผู้ชายคนนั้นเป็นรอบที่สองภายในห้านาที ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง เสียงทุ้มนั้นยังคงดังก้องอยู่ข้างหู

     

     

     

     

    เชื่อในสิ่งที่คุณเป็น แล้วคุณจะสุดยอดที่สุดบนเวทีนั้น

     

     

     

     

    ปาร์คชานยอลกล้าพูดคำนั้นออกมาด้วยหรือไง

     

    แบคฮยอนคิดว่าเขาไม่ประสบความสำเร็จด้านการควบคุมอารมณ์นัก เพราะเมื่อหัวใจรู้สึกเจ็บแปลบ ร่างเล็กก็ผุดลุกขึ้นแล้วเลี่ยงเดิมหายเข้าไปในห้องอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เพื่อนร่วมวงอีกสองคนชินกับอาการนี้เสียแล้ว เว้นก็แต่เซฮุน เด็กนั่นถึงได้เปิดประตูตามเข้ามาอยู่ในห้องกับเขาตาละห้อย

     

    “ผมขอโทษ แค่อยากจะแหย่พี่เล่นน่ะ”

     

    “มันไม่ใช่เพราะนายหรอก”

     

    เซฮุนคงเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุ ร่างโปร่งนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นข้างกับเตียงที่แบคฮยอนนั่ง มือก็ถือวิสาสะจับอวัยวะเดียวกันของอีกคนมาประคองเอาไว้หลวมๆ นานทีเดียวที่ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุม และได้ยินแค่เสียงโทรทัศน์แว่วมาจากทางด้านนอก

     

    “ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกลย์มีเรื่องตื้นลึกหนาบางแค่ไหน เพราะพี่ไม่เคยเล่าให้ผมฟัง”

     

    “....”

     

    “แต่ว่า --” อีกแล้วที่เด็กคนนี้ทำสายตาแบบนั้น สายตาแบบที่ว่าพร้อมจะหลอมละลายคนมองให้ใจอ่อนตามได้ทุกเมื่อ “วันอาทิตย์นี้ผมจะพิสูจน์ตัวเองบนเวทีประกวด ถึงตอนนั้นก็ช่วยยอมรับผมได้ไหม”

     

    คำนี้ไหววูบใจแบคฮยอนอย่างประหลาด มันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ตัดพ้อ และทะเยอทะยานจะเป็นมากกว่าที่เคยผ่านมาทั้งหมด

     

    “ให้ผมเป็นส่วนหนึ่งของเกลย์จริงๆ”

     

    เซฮุนจูบลงบนฝ่ามือเขา จากนั้นจึงรั้งมันไปแนบไว้ที่ข้างแก้มแล้วช้อนตามองด้วยแววตาที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเก่า

     

    “แล้วก็ของพี่”

     

     
     

     

     

     

     

     






     

    ________________________________________

     

    กลับมาแล้วจ้า 5555555555555555555555
    ขอบคุณทุกคนที่ยังรอนะคะ ดีใจมาก TvT

    อาร์คจะมีการแสดงพิเศษให้งานประกวดร็อคไรซิ่ง ?
    อ้าวเฮ้ย ยังงี้จะเจอกันไหมน๊า <3



    ถ้ารักเด็กเซฮุน อย่าลืมติดแท็กหรือคอมเมนท์เป็นกำลังใจให้กันบ้างนะคะ :3
    คือพอมีกำลังใจ ใจมันก็อยากเขียน พออยากเขียนก็มาอัพไวขึ้นงี้
    5555555555555555555555555555

     

    #ficdarkhorse







    สเปเชียลพิเศษ มารู้จัก ARCH กันหน่อยเป็นไง ?
    ลุคส์หนุ่มๆก็แบบว่าประมาณนี้ <3


    นักร้องนำ - มือเบส (หัวหน้าวง) - มือกีต้าร์ - มือกลอง




     



    M
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×