ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (END) 두근두근 ♡ HEARTBEAT | chanbaek hanhun

    ลำดับตอนที่ #29 : ` ( 두근두근 ♡ 26 )

    • อัปเดตล่าสุด 18 มิ.ย. 58










        


     


     

     

     

    ยิ่งใกล้หน้าหนาวมากขึ้นเท่าไร แบคฮยอนก็ยิ่งกลัวว่าเจ้าดอกไม้ในแปลงโปรดของเขาจะอยู่ลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่หิมะตก ป้ายชื่อเล็กๆที่เพิ่งขอเบิกมาจากฝ่ายบริหารทั่วไปถูกเขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบและปักลงตามส่วนต่างๆ พวกมันควรจะถูกเรียกด้วยชื่อ และคงดีถ้าใครต่อใครรู้ว่าดอกไม้หลากสีพวกนี้คือดอกอะไรบ้าง

     

     

    หลังจากการถูกลงโทษครั้งนั้น แบคฮยอนคิดอีกว่าตัวเองใส่ใจพวกมันน้อยลงหรือเปล่า ดอกไม้พวกนี้จะเศร้าบ้างไหมหากต้องถูกหมางเมินเพียงเพราะมีกิจกรรมใดๆเข้ามาแย่งความสำคัญ เอาเป็นว่าเขารู้ นี่มันฟุ้งซ่านเกินไป ชักจะเอาใหญ่แล้วที่คิดแทนได้แม้แต่ดอกไม้พวกนี้

     

     

    มือเล็กหยิบช้อนพรวนดินขึ้นมาหลังสวมถุงมือใหม่เอี่ยม โอ้ นี่ก็มาจากรายงานที่เขากับชานยอลช่วยกันเขียนว่าเครื่องมือเกษตรในตู้เก็บของนั้นใช้งานได้จริงไม่ถึงครึ่ง พอนึกถึง ในใจก็ปวดหนึบขึ้นมาจนต้องกลับไปใส่ใจกับหน้าดินแฉะๆ วันนี้จงอินขอแยกตัวกลับก่อนเพราะคุณนายคิมอยากพาครอบครัวไปฉลองมื้อเย็นกับคุณย่า บ้านของจงอินเป็นครอบครัวใหญ่ และชายหนุ่มเป็นหลานคนโปรดที่ญาติๆทุกคนอยากจะถามถึงชีวิตที่เมืองจีน

     

     

    ไม่ใช่แค่เพื่อนคนนี้ที่รีบกลับ แต่คนส่วนใหญ่ในโรงเรียนก็กลับไปจนหมดแล้วเพราะกลัวว่าฝนจะตกลงมาอีกรอบหลังจากหยุดไปเมื่อชั่วโมงก่อน เซฮุนกับลู่หานเองก็เข้าห้องมาตอนก่อนคาบสุดท้ายด้วยเหตุผลว่าติดฝน แบคฮยอนแปลกใจว่าไปดีกันตอนไหนถึงได้ยอมใกล้กันเหมือนเดิมแล้ว

     

     

    ลู่หานยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตอนที่แยกเดินไปนั่งกับชานยอล ฮัมเพลง เอนหลังสบายอารมณ์ ทั้งยังกวนประสาทใส่จงอินจนเจ้าตัวหันมาสบถใส่เขาว่าหมอนั่นกวนตีนชะมัด

     

     

    ราวกับหัวใจหยุดเต้นเมื่อเงยหน้าขึ้นไปเห็นใครบางคนอยู่ตรงหน้าต่างห้องเรียน จากมุมนั้น แบคฮยอนมักจะมองแปลงดอกไม้ผ่านบานกระจกอยู่บ่อยๆ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาเป็นฝ่ายสบตอบเมื่ออีกฝ่ายมองอยู่ก่อนแล้ว ช้อนพรวนดินในมือเกือบจะหลุดลงบนดินเมื่อแรงจับแทบไม่เหลือ เหมือนคนที่ฟื้นจากความตายไม่มีผิด ตอนนี้หัวใจมันเต้นอย่างกับจะทะลุออกจากอกให้ได้ แต่แบคฮยอนรู้ว่าดีเหลือเกิน

     

     

    ปาร์คชานยอลถอยตัวเองออกจากบานหน้าต่างทั้งใบหน้าแดงก่ำ มือใหญ่ยกขึ้นปิดปากและเลือกที่จะซ่อนตัวเองจากสายตาบยอนแบคฮยอนโดยอัตโนมัติ ให้ตายเถอะ... ถูกเห็นเข้าแล้ว

     

     

    หากแต่ใครคนนั้นกลับหายไปจากแปลงดอกไม้เมื่อลอบมองอีกครั้ง ตลกตัวเองสิ้นดีที่ทำหลบๆซ่อนๆอย่างกับคนทำอะไรผิด แค่ถูกเห็น แต่ใช่ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเสียเมื่อไรกัน สถานการณ์ที่เราต่างไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มหรือจะจบอย่างไร

     

     

    พ่อจะขึ้นมาจากแทกูวันเสาร์นี้เพราะเป็นวันหยุด การต่อรองครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้นในวันนั้น ชานยอลไม่คิดว่าตัวเองสามารถเอาชนะผู้ใหญ่และขออยู่ที่นี่ตามลำพังได้โดยอ้างเรื่องทำงานพิเศษอะไรเทือกนั้น แต่เขาอายุสิบเจ็ดแล้ว การได้ลองพูดคุยด้วยเหตุผลคงไม่ยากจนเกินไปนัก อย่างน้อยแม่ก็สามารถรับรองได้ว่าที่นี่เป็นอย่างไร และแมนชั่นที่อยู่ปัจจุบันปลอดภัยแค่ไหน

     

     

    เสียงเปิดประตูเรียกให้ร่างสูงหับขวับไปมองด้วยความตกใจ โอ้ นี่เขายืนเหม่อถึงขนาดมีเวลาให้แบคฮยอนวิ่งขึ้นมาได้จากชั้นล่างเลยหรือไร คนตัวเล็กหอบหายใจ ค่อยๆสาวเท้าเดินเข้ามาด้วยความละล้าละลัง บนพวงแก้มเปื้อนรอยแดงจางอาจด้วยเพราะความขลาดเขิน นานเท่าไรแล้วที่ทั้งคู่ไม่มีโอกาสได้อยู่กันสองต่อสอง

     

     

    ถึงนี่จะเป็นสิ่งที่ต้องการมาทั้งสัปดาห์ แต่ชานยอลกลับนึกไม่ออกว่าเขาควรพูดหรือทำอะไรออกไปบ้างในสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอน อย่างแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือการกอดจูบ แต่แบบนั้นก็คงสุดโต่งและฉาบฉวยเกินไปสำหรับความสัมพันธ์ครึ่งๆกลางๆที่ไปไม่ถึงขั้นคนรัก

     

     

    “ฉันเห็นชานยอลจากข้างล่าง” แบคฮยอนผินมองไปทางด้านหลังคนตัวสูง ราวกับจะบอกว่าการสบตาเมื่อครู่เรียกเขาขึ้นมาบนนี้ “ชานยอลมองฉันอยู่ใช่ไหม”

     

     

    คนถูกถามกระแอมไอเบาๆแก้เก้อ รู้ไหมว่าคำถามแบบนี้ควรเหยียบไว้เลยถ้ารู้แล้ว ชานยอลจึงได้แต่พยักหน้าช้าๆแทนคำตอบ ปล่อยให้ความเงียบแทรกลงจนอัดแน่นไปทั้งห้อง ใบไม้สีโทนร้อนร่วงหล่นจากต้นจนใกล้เหลือแค่กิ่งโล่งเตียน กลางคืนเริ่มยาวนานกว่ากลางวัน ฟ้าข้างนอกแทบไม่มีแดดเหลืออยู่แล้ว แสงสีส้มที่ทอดผ่านบานหน้าต่างก็เริ่มริบหรี่ลงราวกับเตือนว่าดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าในอีกไม่นานนี้

     

     

    “ไม่ได้คุยกันตั้งหลายวัน” ในที่สุด ชานยอลก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูด คำถามหลายอย่างเริ่มผุดแย่งพื้นที่ในใจจนไม่รู้จะคลายมันสู่คนตรงหน้าได้อย่างไร

     

     

    “อื้ม” แบคฮยอนไม่สนว่าเขาจะยังไม่ล้างมือหรือเสื้อสเวทเตอร์อายุปีกว่าอาจเปื้อนรอยดินถ้าเผลอขยุ้มชายมันเข้าแบบนั้น ถุงมือทำสวนไม่ได้สะอาดนัก แต่มันก็ป้องกันไม่ให้รอยเปื้อนดังกล่าวเกิดขึ้นจริง

     

     

    ชานยอลกังวลเรื่องที่อาจต้องย้ายไปแทกูขึ้นมาอีกแล้ว การจะได้เจอแบคฮยอนอีกคงยากขึ้นหลายเท่า “ฉันมีเรื่องที่อยากคุยกับแบคฮยอนหลายๆเรื่อง”

     

     

    “....”

     

     

    “อยากรู้ว่าสบายดีไหม เป็นยังไงบ้าง”

     

     

    “ฉันสบายดี” ชานยอลยิ้ม ใบหูแดงก่ำเริ่มกลับเป็นสีปกติเช่นเดียวกับสายตาซึ่งหลุบลงต่ำ “แล้วก็อยากคุยกับชานยอลเหมือนกัน”

     

     

    ไม่บ่อยครั้งที่แบคฮยอนเลือกเป็นฝ่ายบอกความรู้สึกออกไปตรงๆ เขาก็แค่กลัวว่าชานยอลจะโกรธกับเรื่องที่เกิดขึ้น โกรธที่ยอมถอยห่างออกมาเพราะเลือกแคร์ใครอีกคนมากกว่า หลายครั้งที่ลองคิดว่าถ้ากลับกันแล้ว จงอินคือคนที่ต้องไปนั่งหลังห้อง ในขณะที่แบคฮยอนยังคงมีเพื่อนใหม่ห้อมล้อม ถ้าเป็นอย่างนั้น บยอนแบคฮยอนคงต้องรู้สึกแย่มากๆเหมือนกัน

     

     

    ร่างเล็กก้าวเข้าไปอีกราวเมตรครึ่ง กระทั่งเห็นริ้วแดงๆที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าหล่อซึ่งเจ้าตัวยกหลังมือขึ้นปิดครึ่งหน้าเอาไว้อย่างที่ชอบทำ ชานยอลเสสายตาหนีไปทางอื่นครู่หนึ่ง ในหัวคิดไม่ออกว่าจะต่อบทสนทนานี้อย่างไร

     

     

    “ทำไมถึงยังไม่กลับเหรอ” แบคฮยอนถาม ไม่บ่อยอีกนั่นแหละที่ความพยายามเอาชนะความใจเสาะได้ “รอใครอยู่หรือเปล่า”

     

     

    คนต้องตอบพยักหน้า ยอมหันกลับมาสบตาเรียวเล็กที่รอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ “รอแบคฮยอนอยู่เหมือนกัน”

     

     

    “เอ๋?”

     

     

    “ที่เห็นว่ามองอยู่... ก็เพราะอยู่ตรงนี้ตลอด”

     

     

    ถึงตรงนี้ เป็นทีของคนตัวเล็กที่ต้องหน้าแดงเพราะประโยคเมื่อครู่บ้างแล้ว ก็รู้อยู่หรอกว่าชานยอลรู้สึกอย่างไร แต่ถึงอย่างนั้น พอพูดกันแบบพิเศษๆอย่างนี้แล้วกลับไม่ชินเอาเสียเลย อาจเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างพยายามทำตัวปกติมาตลอด ถ้าไม่ได้จับมือหรือต้องเดินข้างกัน เราก็คล้ายจะเห็นฝ่ายตรงข้ามเป็นเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น

     

     

    แบคฮยอนคิดว่านี่คือความโชคดี ดีที่เขารีบวิ่งขึ้นมาหาอีกฝ่ายอย่างนี้เพราะนึกขึ้นได้ว่าอยากชวนไปดูพลุด้วยกัน

     

     

    “วันศุกร์นี้ ชานยอลว่างหรือเปล่า”

     

     

    “หืม?”

     

     

    “อยากชวนไปดูพลุด้วยกัน” คนพูดกลืนน้ำลายลงคอ มือที่จับชายเสื้อยิ่งบีบเข้าหากันแน่นขึ้นเมื่อต้องเรียบเรียงประโยคดีๆออกไป “ฉัน... อยากไปกับชานยอล”

     

     

    หัวใจเต้นดังตึกตักจนเหมือนจะหลุดออกมาอย่างที่เป็นบ่อยครั้งต่อหน้าผู้ชายคนนี้ อาการนั้นคงแก้ไม่หาย ตั้งแต่รู้ตัวว่าคงไม่มีหมอคนใดรักษาได้ สิ่งที่บยอนแบคฮยอนคิดว่าควรทำคือมีแค่พยุงตัวเองให้อยู่ สู้สายตานั้นให้ได้ และปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น

     

     

    “ในฐานะอะไรเหรอ” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้น มองแววตาจริงจังและร่างสูงโปร่งที่สาวเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ “แบคฮยอนอยากไปกับฉันในฐานะอะไร”

     

     

    ชานยอลยอมทิ้งความขลาดกลัวและถามออกไปเป็นครั้งแรก ให้ตายสิ นี่เหมือนคืนนี้ไม่มีผิด คืนที่เข้าใจกล้าจูบคนตัวเล็กซ้ำๆจนเกือบหยุดตัวเองคาที่นอนไม่ไหว ร่างสูงหยุดอยู่ในยะครึ่งเมตร ใกล้พอจะเห็นสีหน้าของแบคฮยอนเด่นชัด ภาพตัวเองที่สะท้อนจากแววตานั้นช่างน่าอายสิ้นดี

     

     

    “คือ --”

     

     

    แบคฮยอนไม่รู้จริงๆว่าเขาควรตอบอะไร อย่างไหนคือความเป็นจริงที่เกิดขึ้น อย่างไหนที่เรียกว่าดี และระหว่างเขากับชานยอลคืออะไรกันแน่... มันเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่มีชื่อเรียก อะไรที่ต่างออกไปจากเซฮุน ลู่หาน เพื่อนคนอื่นๆในห้อง หรือแม้แต่จงอินซึ่งใกล้เคียงที่สุดก็ยังไม่ใช่

     

     

    “ขอโทษนะ แต่ฉันไม่รู้จริงๆ”

     

     

    พอได้รับคำตอบ ปาร์คชานยอลกลับได้แต่นิ่งอึ้งคล้ายกับฟังเรื่องตลกร้ายไม่มีผิด โอเค อย่างแรกที่ควรเข้าใจให้ได้คือแบคฮยอนพูดความจริง ความจริงที่ว่าเราต่างเป็นอะไรก็ไม่รู้มาตลอดระยะเวลาเดือนกว่านี้ เขาผิดหวังทั้งที่ตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอยากได้ยินอะไรกันแน่ แฟนเหรอ? โอ้ ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด เรายังห่างไกลคำว่าแฟนอยู่หลายขุม

     

     

    ปลอบใจตัวเองเข้าไว้ ไม่ตอบว่าเพื่อนก็ดีเท่าไรแล้ว

     

     

    “ขอโทษเหมือนกันที่อยู่ๆก็ถามแบบนั้นออกไป” เขาแสร้งหัวเราะเบาๆ ยกมือหนึ่งขึ้นเกาศีรษะแก้เก้อ “เรื่องดูพลุ --”

     

     

    “อื้ม”

     

     

    “เราไปกันสองคนได้ไหม”

     

     

    “....”

     

     

    “ฉันหมายถึง -- ไม่ต้องชวนลู่หาน เซฮุน หรือว่า -- หรือว่าใคร” เขาเกือบยั้งชื่อคิมจงอินเอาไว้ไม่ได้ และแบคฮยอนคงรู้สึกไม่ดีแน่ถ้าเจาะจงออกไปแบบนั้น “ฉันอยากดูพลุกับแบคฮยอนสองคน”

     

     

    ซึ่งชานยอลคงพูดอะไรผิดไป อีกฝ่ายถึงได้เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ท่าทีที่ไม่ได้ผ่อนคลายอยู่แล้วกลับยิ่งตึงเครียด ความลำบากใจฉายชัดบนสีหน้า ทั้งหมดทั้งมวลนั่นทำเอาชายหนุ่มรู้สึกไม่สู้ดีเอาเสียเลย อีกแล้วที่เขาหวั่นใจกับบางอย่าง เขาแพ้ให้กับความกลัวซึ่งเข้าเล่นงานด้วยภาพของคืนนั้น

     

     

    คิมจงอินที่กำลังเอาหูฟังใส่เข้าไปในหูของแบคฮยอนและหันมายิ้มเย้ยใส่เขาที่อยู่หลังห้อง

     

     

    “คงไม่ได้หรอก”

     

     

    มือใหญ่กำเข้าหากันแน่น ถ้าหมัดนี้ต่อยใส่โต๊ะหรือผนังห้อง ชานยอลคิดว่าเขาอาจทำให้มันพังได้

     

     

    “จงอิน --”

     

     

    “เข้าใจแล้ว” เขาสูดลมหายใจลึก คลายมือที่อยู่ข้างตัวออกด้วยความเก้ๆกังๆแปลกประหลาด ท้ายสุดแล้ว ร่างสูงก็คิดได้ว่าเขาควรเดินไปหลังห้อง หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพาย และหยุดหาเรื่องใส่ตัวด้วยการพูดจาโง่ๆให้อะไรมันแย่ลงไปกว่าเดิม “ที่ฉันเอาแต่ใจเมื่อครู่นี้ ลืมมันไปเถอะ”

     

     

    ทำไมความเงียบต้องทิ้งให้เราเป็นอย่างนี้ แบคฮยอนอ้าปากเพื่อส่งผ่านคำพูดมากมายที่ติดอยู่ในใจออกไป หากแต่มันยังคาอยู่ตรงนี้ ตรงอกข้างซ้ายที่ปวดแปลบขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ หลังจากเก็บของเสร็จ ชานยอลจำต้องเดินกลับมาทางนี้ ดวงตาใต้ผมหน้าม้านั้นพยายามหลบเขาออกจากระยะ เปิดบานประตูห้อง หันแผ่นหลังใส่กันเพื่อให้รู้ว่านี่คือการแยกจาก

     

     

    ถ้าพูดอะไรออกไปตอนนี้ --

     

     

    “ชวนฉันทำไม แบคฮยอน”

     

     

    แต่ชานยอลชิงพูดมันขึ้นมา ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะหายไปหลังบานประตูห้องเรียนโดยทิ้งเขาให้อยู่ในห้องตามลำพัง มือเล็กยกขึ้นกุมหน้าอก แบคฮยอนไม่ได้เศร้าขนาดนั้น แต่เขาห้ามน้ำตาที่กำลังหยดเผาะลงยังปลายเท้าไม่ได้เลย เพราะรู้ดีว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไร มันก็เข้าใจได้ยากทั้งนั้น

     

     

    ความพยายามของแบคฮยอนมีไม่พอหรือ ทำไมความในใจจึงส่งไม่ถึงกันสักที

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    โอเซฮุนรู้สึกอึดอัดเป็นบ้า ทำไมลู่หานถึงได้มาอยู่ตรงนี้!

     

     

    ตรงโต๊ะอาหารของบ้านเขา ซ้ำยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ราวกับว่านี่คือสรวงสรรค์ชั้นเจ็ดและทุกคนเป็นนางฟ้าในโอลิมปัสอย่างไรอย่างนั้น แต่เผอิญว่ามันไม่ใช่ ตรงนั้นคือคุณแม่ พี่สาว พี่สาว แล้วก็น้องสาว รวมเป็นสี่ชีวิตซึ่งกำลังยิ้มหวานตอบเพื่อนคนแรกที่โอเซฮุนพามาบ้าน

     

     

    หลังจากลู่หานอุตริพูดไปว่านี่คือการมาบ้านตระกูลโอเป็นครั้งที่สอง ทั้งคู่ก็ถูกซักยกใหญ่ถึงครั้งแรกซึ่งไม่ใช่ความทรงจำที่ดีสักเท่าไร (อย่างน้อยก็ตลอดมา) และเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

     

     

    “ทานเยอะๆเลยนะลู่หาน โธ่ เซฮุนไม่โทรมาบอกก่อนว่าจะพาเพื่อนมา ไม่อย่างนั้นคงได้ทำกับข้าวเยอะกว่านี้” พี่เซนาที่วันนี้กลับไวกว่าปกติพูดพลางจัดแจงเอาจานนู้นจานนี้ขยับเปลี่ยนที่วางไปมาเพื่อนำเสนอต่อแขกให้ดีที่สุด หวังเถอะว่าวันนี้พี่เซนาจะไม่ดูอาการน้องชายเพียงคนเดียวเก่งอย่างคืนนั้นอีก

     

     

    “ขอบคุณครับ น่าทานทั้งนั้นเลย

     

     

    “แหม ถ้าน่าทานก็อย่าเกรงใจนะจ๊ะ” แม่เสริม ดูชอบอกชอบใจเจ้าคนฉอเลาะนี่อย่างกับอะไรดี

     

     

    ความอึดอัดอย่างแรกก็คือ เซฮุนไม่รู้ว่าจะปรับท่าเดินอย่างไรไม่ให้ดูชอบกลหลังจากเผลอใจให้เรื่องอย่างนั้นไปเมื่อบ่าย หนำซ้ำยังนอกสถานที่และถูกลู่หานส่งข้อความแซวตลอดทั้งการเรียนคาบสุดท้ายจนสมาธิไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

     

     

    ข้อสอง พอต่อเนื่องจากข้อแรกแล้ว สิ่งที่ตามมาติดๆก็คือลู่หานน่ะมือไม้ถึงเอาๆ เดี๋ยวจับแขนบ้าง จับมือบ้าง ขนาดนั่งกินข้าวก็ยังเอาปลายเท้าเขี่ยจนยัยน้องสาวเพียงคนเดียวขมวดคิ้วใส่ตอนหันมาเห็นทีหนึ่ง ร้อนถึงเซฮุนที่ต้องทำตกอกตกใจและเล่นแรงๆอย่างผู้ชายด้วยตบบ่า ทำเสียงกระโชกโฮกฮากแข็งทื่อ แล้วลู่หานก็ขำพรืดเพราะมันไม่ใกล้เคียงเอาเสียเลย

     

     

    “ไปจำมาจากโอป้าฆ่าล้างเมืองหรือไง” หนุ่มเชื้อจีนกระซิบ คนถูกแซวได้แต่หวังว่าทุกคนจะจดจ่อกับอาหารมากกว่าหน้าแดงๆของเขา

     

     

    “เป็นอะไรไปเซฮุน เผ็ดเหรอ” พี่เซริถามขึ้น คนอื่นๆถึงได้เงยหน้าขึ้นจากจานเพื่อจับจ้องในสิ่งที่ชายหนุ่มอยากให้เกิดเป็นอย่างสุดท้าย ในตอนนี้ เขาทำไม่ได้แม้แต่หันไปค้อนใส่ลู่หาน ตัวกลางที่ได้แต่กลั้นขำไหล่สั่นขณะเคี้ยวเนื้อผัดซอสตุ้ยๆ

     

     

    “เผ็ดอะไรกัน นี่แทบไม่มีอาการรสจัดสักอย่าง” พี่เซนาค้าน

     

     

    “หรือว่าจะร้อน”

     

     

    “แอร์ก็เปิดนี่คะ แถมนี่ก็จะเข้าหน้าหนาวอยู่แล้วด้วย อากาศเย็นมาหลายวันแล้วนะ” เขาถามตัวเองว่าสามารถค้อนใส่ยัยน้องสาวตัวดีได้ไหม แต่คำตอบคือไม่ ในเมื่อความจริงคือเซฮุนผิดปกติเองทุกอย่าง ครั้นจะให้ปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติทันทีก็ทำแทบไม่ได้

     

     

    “ผมแซวเรื่องที่หมอนี่หักอกสาวน่ะครับ ก็เลยกระฟัดกระเฟียดใหญ่” ลู่หานพูดช่วย เชื่อเถอะว่าถ้านิ้วโป้งเท้ายกได้ พ่อนักฟุตบอลนี่คงเอามันแทงฝ่าเท้าเขาไปแล้ว

     

     

    “อะไรกัน ไปหักอกใครเข้า” โอเซริแสดงความอยากรู้อยากเห็น แน่นอน เรื่องโอเซฮุนหักอกผู้หญิงน่ะ พวกเธอก็ได้ยินพร้อมกับที่บอกว่าอูฐย้ายไปอยู่ขั้วโลกเหนือนั่นแหละ

     

     

    เซฮุนกระอักกระอ่วนไม่น้อยลงไปกว่าเดิม ลำพังตัวเองก็โกหกไม่เก่งอยู่แล้ว ยังจะถูกสร้างเรื่องขึ้นมาเป็นประเด็นจนไปต่อไม่ถูกอีก แค่คิดชื่อตัวละครสมมติ เซฮุนยังนึกออกแค่ซินดี้เลย

     

     

    “ดานีหรือเปล่า” พี่เซนาหรี่ตาลงมองน้องชายเพียงคนเดียว ไม่ได้สนใจลู่หานซึ่งยิ้มราวกับว่านี่เป็นซุปกิมจิที่อร่อยที่สุดเท่าที่เขาเคยกินมา “ว่ายังไง เซฮุน”

     

     

    “ดานีนี่ใครคะ” เซริหันมาถาม ร่วมด้วยน้องสาวคนสุดท้องที่ทำตาลุกวาวอยากรู้ด้วย

     

     

    เซนาไม่ตอบ ทั้งเธอและมารดาเงียบไปทั้งคู่เพื่อรอให้เซฮุนเล่าเรื่องจากปากเอง สุดท้ายแล้ว ชายหนุ่มก็ได้แต่ถอนหายใจเพื่อเรียบเรียงคำพูดดีๆที่จะไม่ถูกถามต่อ เท้าขยับหนีคนกวนประสาทที่ทำทองไม่รู้ร้อนเมื่อถูกค้อนหางตา

     

     

    “ครับ” เซฮุนตอบ เลี่ยงที่จะระบุตัวคนว่าคิมดานีคือใคร “เธอขอเลิกผม”

     

     

    “ว้าว” สองสาวมุมโต๊ะประสานเสียงกัน “มีด้วยหรือ คนที่จะบอกเลิกเจ้าชายของโรงเรียนอย่างพี่”

     

     

    “ขนลุกน่า ซอนมี” เขาดุน้องสาว “เราเห็นตรงกันว่า กลับไปเป็นเพื่อนกันคงดีกว่าน่ะครับ”

     

     

    ได้ยินอย่างนั้น เซนาก็พยักหน้ารับรู้พลางนึกภาพเด็กสาวที่เคยทำงานพาร์ทไทม์ในร้าน สำหรับเด็กคนนี้แล้ว เธอคิดว่าคงไม่แปลกอะไรนัก ตั้งแต่มาสัมภาษณ์งาน ดานีก็แสดงออกถึงความเจียมเนื้อเจียมตัวและให้คุณค่าตัวเองต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนเธอต้องดุไปครั้งหนึ่ง แต่เด็กคนนี้มีความคิดที่ดี ไอ้เรื่องที่จะทนความสัมพันธ์ครึ่งๆกลางๆไม่ไหวและยอมเป็นฝ่ายถอยหากผู้ชายไม่มีใจก็พอฟังขึ้นอยู่

     

     

    “ไว้ค่อยมาเล่าให้พี่ฟังนอกรอบก็ได้” พี่สาวคนโตเอ่ยช่วย ตัดความอยากรู้อยากเห็นของสองลูกคู่ให้หยุดแต่เพียงเท่านี้

     

     

    “ยัยเซริกับซอนมีน่ะมันช่างพูดช่างคุยเกินไป จะไปยุ่งเรื่องของเซฮุนทำไมกัน”

     

     

    ได้แม่ดุช่วยอีกแรง มื้อเย็นจึงดำเนินต่อไปได้ ลู่หานยักคิ้วให้คนข้างตัวทีหนึ่ง ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ โอเซฮุนจะไม่ยอมอ่อนข้อให้หมอนี่สัมผัสคำว่าชัยชนะแน่ๆ

     

     

    ทุกที ลู่หานจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องเวลาเพราะคิดพึ่งแท็กซี่เป็นประจำอยู่แล้ว แต่คืนนี้อะไร ไอ้ข้ออ้างเจ้าเล่ห์ที่พูดหลังจากชวนพี่เซนาคุยจนเกินเวลารถประจำทางแล้วอ้างว่ากลับไม่ได้นั่นฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด แต่พี่สาวเขาก็ยังเห็นด้วยและบอกให้เจ้าตัวรีบไปอาบน้ำเพื่อถอดเสื้อผ้ามาซักตากให้แห้งทันเช้าวันพรุ่งนี้ และถึงไม่ได้คิดจะนั่งแท็กซี่จริงๆ เซฮุนก็เคยเดินไปจนถึงบ้านลู่หานมาตั้งสองครั้งแล้ว ทำไมจะเดินกลับไม่ได้

     

     

    “ใจร้ายอะ เดี๋ยวโดนดักฉุดทำไง” คนถูกค้านทำหน้างอ หันไปขอความเห็นใจจากพี่เซนาเสียงละห้อย “เดี๋ยวนี้ผู้ชายถูกทำมิดีมิร้ายเยอะไปครับ”

     

     

    “นั่นสิ ยิ่งหน้าหวานๆแล้วดูไม่มีแรงอย่างนี้ จะโดนปล้นโดนอะไรก็แย่ทั้งนั้น -- ไม่โกรธใช่ไหมจ๊ะ แหม เด็กผู้ชายก็ไม่ชอบถูกชมอย่างนี้หรอกเนอะ”

     

     

    “ไม่โกรธหรอกครับ” ลู่หานยิ้มแป้น ปั้นหน้าหวานๆใส่คนมองที่ยืนคิ้วกระตุกอยู่ไม่ไกล โอ้ แล้วคนในห้องน้ำเมื่อตอนบ่ายนี่อ่อนแอมากอย่างนั้นสินะ “เซฮุนน่ะ บางทีก็ใจร้ายกับผมครับ ไม่คิดบ้างเลยว่าผมจะไปสู้ใครเขาได้”

     

     

    “ไปอาบน้ำได้แล้ว”

     

     

    “นั่นไง”

     

     

    “ไม่อย่างนั้นก็กลับไปเลย”

     

     

    ลู่หานยังบุ้ยใบ้ให้พี่เซนาดูความใจร้ายของคนจนกระทั่งหายเข้าไปในห้องน้ำพร้อมผ้าเช็ดตัว ถ้าเรื่องไหลไปเรื่อยนี่ใครจะสู้หมอนี่ นอกจากทำเขางานเข้าเมื่อช่วงเย็นแล้วยังหาพวกจนทุกคนในบ้านเห็นดีเห็นงามไปด้วยอีก เรื่องผู้หญิงนี่ถนัดที่หนึ่งเลย

     

     

    แล้วอย่างไรต่อ ก็เป็นเขาอีกที่ต้องจัดแจงแบ่งเสื้อผ้าของตัวเองมาถือรอหมอนี่ในห้องน้ำ มองเส้นน้ำจากฝักบัวรินรดลงบนร่างกายที่จัดอ่อยเลียนแบบดาราคนนั้นคนนี้ที หลุดหัวเราะอยู่ก็หลายครั้ง แต่พอลู่หานเงียบ ความประหม่าก็เข้าเล่นงานชายหนุ่มเมื่อหันมามองตัวเองในกระจก ภายใต้ชุดนักเรียนนี้มีหลักฐานมากมายที่ให้ใครเห็นไม่ได้ อย่าว่าแต่จะถอดเสื้อเลย ลำพังประกระดุมคอแล้วแหวกคอเสื้อให้กว้างสักหน่อย เซฮุนก็คิดว่าคงไม่รอดพ้นสายตาผู้หญิงบ้านนี้

     

     

    เสียงฝักบัวเงียบลงแล้ว ร่างโปร่งขยับตัวเองเล็กน้อยเพื่อนยื่นชุดนอนและผ้าเช็ดตัวให้ลู่หานที่ไม่ยอมเอาเข้าไป หนำซ้ำยังสั่งให้เขาอยู่รอด้วยเหตุผลฟังไม่ขึ้นอย่างเช่นว่ากลัวใส่เสื้อผ้าเซฮุนไม่ได้ แค่ยื่นมือออกมารับผ้าไปก็หมดเรื่อง แต่เจ้าของร่างนักกีฬากลังเปิดประตูห้องอาบน้ำออกมายืนอล่างฉ่าง หนำซ้ำยังรับผ้าเช็ดตัวจากมือเขาไปเช็ดหน้าเช็ดตาแทนที่จะพันท่อนล่าง

     

     

    “เดี๋ยวไปเอาผ้าผืนเล็กมาให้เช็ดผมก็ได้”

     

     

    “ทำไมล่ะ ก็เห็นกันหมดแล้ว” พูดจบก็โดนผาดด้วยเสื้อผ้าไปหนึ่งที ลู่หานหัวเราะลั่นแล้วว่ามันจะเปียก แต่ใครสน ทีอย่างนี้ทำมากลัวนู่นกลัวนี่

     

     

    แล้วเสื้อผ้าก็เปียกน้ำที่เกาะบนตัวลู่หานจนชื้นเข้าจริงๆเมื่อหนุ่มชาวจีนรวบร่างทั้งร่างของคนรักหมาดๆเข้าไปกอด เซฮุนพยายามดิ้นขลุกขลัก ซึ่งถ้าเขากล้าทำอย่างจริงจังก็คงจะหลุดจากวงแขนง่ายกว่านี้

     

     

    “ทำบ้าอะไร” เสียงทุ้มดุลอดไรฟัน ส่วนคนฟังก็แสร้งทำหน้าตื่นตกใจด้วยการเม้มปากทำตาโต น่าเชื่อเสียเต็มประดา

     

     

    “ผู้ชายสองคนอยู่ในห้องน้ำ ใครจะเข้ามาดู”

     

     

    “ลู่หาน!” ก็ไอ้คำพูดคำจาแบบนั้น ชักจะกลัวถูกเห็นเข้าจริงๆแล้ว “ฉันเข้ามาเอาเสื้อผ้าให้นายนานเกินไปแล้ว เดี๋ยวโดนสงสัย”

     

     

    “ดี ให้รู้ให้หมดเลยว่าโอเซฮุนหักอกผู้หญิงมาคบนักฟุตบอลสุดฮอต”

     

     

    “ไม่ตลก”

     

     

    “เอาจริงจังแค่ไหนล่ะ” ว่าแล้วก็หอมแก้มเข้าฟอดใหญ่ ทั้งยังไซร้หน้าไซร้คอแล้วสูดจมูดแรงๆจนคนถูกกระทำร้อนฉ่า “คิดถึงแล้ว อาบน้ำด้วยกันไหม”

     

     

    “บอกแล้วไงว่าไม่ตลก ออกไปได้แล้ว”

     

     

    “รู้ไหมว่าเพื่อนอาบน้ำด้วยกันนี่โคตรธรรมดาเลยนะ” ลู่หานขมวดคิ้วเป็นการย้ำว่าพูดจริง ส่วนเซฮุนก็แค่ยิ้ม ใช้ทีเผลอดันร่างที่กอดตัวเองออกแล้วปั้นหน้านิ่งอย่างเดิม

     

     

    “ฉัน - จะ - ไม่ - เชื่อ - อะ - ไร - นาย - อีก - แล้ว”

     

     

    คนฟังไหวไหล่ ใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดร่างเปลือยเปล่าก่อนจะทยอยรับเอาเสื้อผ้ามาสวมทีละชิ้นทั้งที่ไม่ละสายตากรุ้มกริ่มออกจากใบหน้าขาว ถ้ากล้าถามว่ามองทำไมก็เอาเลย จะตอบว่าอยากได้อยากโดนเสียให้ไปไม่เป็น เข้มนักเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นเนี่ย

     

     

    “เดี๋ยวก่อนเดี๋ยว คืนนี้เจอรอบสองแน่โอเซฮุน”

     

     

    หลังจบคำนั้น เซฮุนเขวี้ยงเสื้อยืดใส่หน้าแล้วเดินหนีออกไปทั้งใบหน้าแดงก่ำ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เพื่อนคนแล้วคนเล่านำสมุดการบ้านมาวางรวมกับกองบนโต๊ะทางด้านหน้า ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้ คนที่ต้องรับอาสาหน้าที่นี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย อาจต่างกันที่ไม่มีใครปฏิบัติราวกับเขาเป็นโชคร้าย แม้แต่อารึมคนนั้นก็ไม่มองตาขวาง เธอเพิ่งกลับมาเรียนตอนเปิดเทอมหลังต้องกายภาพบำบัดอยู่นาน (หรือที่เพื่อนในกลุ่มแซวว่างอแงเพราะไม่ยอมถือไม้ค้ำมาโรงเรียน) แบคฮยอนหวั่นใจเป็นบ้า เพราะหลังจากวางการบ้านแล้ว อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมผละจากไปเสียที

     

     

    “นี่” เด็กสาวทัก หลังจากเขยิบตัวเองเพื่อให้เพื่อนอีกคนวางสมุดการบ้านได้ถนัด “ได้ยินว่าตอนนั้น นายถูกคนอื่นว่าเพราะเรื่องฉันตกบันไดเหรอ”

     

     

    “อ่า...” แบคฮยอนพยายามนึกเรื่องวันนั้น แล้วก็จำได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับการขอโทษจากหลายๆคน “ไม่มีอะไรหรอก”

     

     

    “ขอโทษนะ” อารึมโพล่งขึ้น หลุบสายตาลงมองโต๊ะเพื่อรวบรวมความกล้าแล้วว่า “พวกฉันเองก็ทำเกินไป คนอื่นได้ขอโทษนายแล้ว แต่ฉันยัง”

     

     

    เขาคิดว่าตัวเองคงหูฝาดแน่ๆ ไม่จริงใช่ไหมที่ได้ยินเมื่อครู่ “เอ่อ... มันก็ตั้งหลายเดือนมาแล้ว ผมไม่โกรธอารึมหรอก”

     

     

    ได้ยินอย่างนั้น เด็กสาวถึงยิ้มได้ ร่างเล็กของชายหนุ่มเซไปเล็กน้อยเพราะถูกผลักเข้าที่ไหล่ พอมองเลยคนตรงหน้าไปถึงเห็นว่ามีเพื่อนหลายคนเฝ้าดูเหตุการณ์นี้อยู่ อารึมเดินตัวปลิวกลับไปนั่งที่โต๊ะ แกล้งเล่าเสียงดังถึงการพูดคุยที่เกิดขึ้นจนคนได้ยินต้องอมยิ้มตอบ แบบนี้ใช่ไหมที่ว่า หลังเรื่องแย่ๆก็จะมีเรื่องดีเกิดขึ้นเสมอ

     

     

    “ถ้าหมอนั่นจะเล่นมนตร์ดำใส่ฉันน่ะนะ คงไม่แค่ขาหักหรอกน่า”

     

     

    ตั้งแต่มีใครคนหนึ่งเข้ามา ใครคนนั้นที่เดินมาหยุดยืนตรงหน้าเขาตอนนี้

     

     

    มือใหญ่วางสมุดการบ้านสีเขียวลงบนกองรวมส่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ไม่มีคำทักทายใดหลุดออกจากปากอย่างเช่นที่มันควรเกิดขึ้น กระทั่งตอนจะสบตากัน นี่ยังเป็นครั้งแรกที่นับได้ว่ามันไม่ขึ้นวินาทีที่สอง

     

     

    บยอนแบคฮยอนไม่รู้ว่าเราผิดใจอะไร เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมปล่อยให้เรื่องแบบนี้คารังคาซังมาจนถึงวันศุกร์ ทั้งที่เป็นวันสำคัญและควรตื่นเต้นกับมันเป็นพิเศษ กระนั้น เขากลับพบว่าผลลัพธ์จากเรื่องเมื่อหลายวันก่อนทำให้เขากับปาร์คชานยอลใกล้เคียงการเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เดินเจอกันแล้วถูกหลบตา การเลือกมองทุกอย่างภายในห้องเว้นเสียแต่เขาที่เคยเป็นจุดรวมสายตาของทุกอย่าง ความหมางเมิน เฉยชา ทั้งหมดทั้งมวลที่เป็นเหตุของความรู้สึกแย่ๆถาโถมเข้าตรงกลางอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น

     

     

    “ชะ -- ชานยอล” เขาเรียก จากนั้นจึงอยากตบปากตัวเองเมื่ออีกฝ่ายต้องใช้เวลาคิดนานเหลือเกินก่อนหันกลับมามอง

     

     

    ชานยอลเงียบ ไม่ได้แสดงความกระสันอยากรู้ว่าครั้งนี้แบคฮยอนจะเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไร สีหน้าของคนตัวสูงเดาได้ยาก แบคฮยอนแทบไม่เคยเจออีกฝ่ายในโหมดอย่างนี้ เพราะอย่างนั้น คำพูดมากมายที่อัดอั้นมาตลอดหลายวันจึงดึงดันอยากไหลกลับเข้าไปในลำคอ

     

     

    “คือ...”

     

     

    แบคฮยอนอยากขอร้องให้ชานยอลยิ้มให้เขาอีกครั้ง แต่เมื่อร่างนั้นเดินจากไป เขาถึงรู้ว่าไม่อาจเรียกร้องอะไรได้ ไม่ว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์ข้างหน้าหรือการถอยกลับไปเป็นเพื่อนกันอย่างเดิม

     

     

    เราอยู่บนจุดยืนที่ไม่มีชื่อเรียก และมันเปราะบางเกินไป

     

     

    เขาลืมไปว่าทำไมตัวเองถึงมายืนอยู่ตรงนี้ รวบรวมการบ้าน อ้อ ใช่ นี่เป็นหน้าที่ของแบคฮยอนนี่นา ตาเรียวรีมองแผ่นหลังกว้างที่หมุนตัวแล้วนั่งฟุบกับโต๊ะ ถึงจะดูคนอื่นไม่เก่งนัก แต่ถ้าเท่านี้ก็พอรู้ว่าชานยอลจงใจหลบหน้ากันมากแค่ไหน เพราะเรื่องนั้นจริงๆหรือ... แค่เพราะเรื่องที่ไปดูพลุด้วยกันสองคนไม่ได้ ชานยอลถึงเป็นอย่างนี้ใช่ไหม

     

     

    คิมจงอินที่เพิ่งมาถึงวางสมุดการบ้านลงบนกองเช่นเดียวกับคนก่อนหน้า ต้องพูดทักทายถึงสองครั้งกว่าแบคฮยอนจะนึกขึ้นได้ว่าที่เป็นอยู่มันเสียมารยาท ตาคมกริบหรี่มองเพื่อนสนิท ต่อให้อยากถามว่าเป็นอะไร แต่คงไม่เหมาะสมถ้าจะพูดไปตอนนี้

     

     

    “ต้องยกไปส่งเมื่อไร ให้ช่วยไหม” แบคฮยอนพยักหน้ารับแทนการการขอบคุณ เห็นอย่างนั้น เจ้าของผิวสีแทนจะเดินไปเก็บกระเป๋าเป้ไว้ที่นั่งโดยไม่ลืมลอบสังเกตคนที่น่าจะเป็นต้นเหตุเอาไว้ด้วย

     

     

    อย่างหนึ่ง คิมจงอินไม่ใช่คนโง่ เขาฉลาดมากพอที่จะรู้ว่าสถานการณ์แย่ๆหลายอย่างเกิดจากความเอาแต่ใจของตนเป็นที่ตั้ง รู้กระทั่งว่าตัวเองอาจเป็นคนทำลายความสุขของเพื่อนตัวเล็ก ทำให้บยอนแบคฮยอนต้องตีหน้าเศร้าและจำใจถอยห่างจากปาร์คชานยอลเพียงเพราะห่วงความรู้สึกของเขา

     

     

    ถ้ามีใครในนี้ใจแข็งกว่าจงอิน ทุกอย่างก็คงง่ายกว่านี้ แต่เพราะเขารู้ว่าจุดอ่อนนั้นคืออะไร หากมันมีโอกาสเอื้อให้สมหวังกับสิ่งที่ต้องการแล้ว จงอินก็ไม่ต้องการให้สองปีที่ผ่านมาเสียเปล่า ถ้าไม่มีใครยอมแสดงความชัดเจน เขาก็จะเป็นคนที่ชัดเจนเอง

     

     

    กอบเอาสมุดการบ้านในกองเกินครึ่งมาไว้ในอ้อมกอด เสียงออดคาบโฮมรูมดังปราบนักเรียนให้อยู่ในความสงบ คนที่เคลื่อนไหวคงมีแค่เขากับบยอนแบคฮยอน และอาจารย์ควอนที่สวนเข้ามาแล้วพยักหน้ารับการโค้งทำความเคารพ โอ้ น่าแปลกใจชะมัดที่วันนี้นายคนชื่อลู่หานมาเข้าเรียนตั้งแต่คาบแรก

     

     

    “จะไปไหนกัน”

     

     

    “ไปส่งการบ้านน่ะ”

     

     

    จงอินแค่นยิ้มอย่างกับว่านั่นเป็นคำถามโง่ๆ แบคฮยอนตอบตามเรื่องตามราว แต่ไม่ใช่เขาที่ยิ้มยียวนให้เพื่อนรักของปาร์คชานยอลเพื่อจงใจกวนประสาท “รีบไปเถอะแบคฮยอน”

     

     

    ก้มลงกระซิบข้างหูจนร่างเล็กต้องห่อไหล่เล็กน้อย ดูก็พอเดาได้ว่านายนี่คงรู้เยอะใช่เล่น ไม่อย่างนั้นคงไม่กระฟัดกระเฟียดใส่เขาตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ทั้งยังยุยงให้ชานยอลโมโหโทโสเสียยกใหญ่อีก ในสายตาคนที่มองภาพพวกนั้นอย่างจงอินแล้ว เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะทำอะไรได้บ้าง

     

     

    “ให้น้อยๆหน่อย” ลู่หานสบถภาษาจีน ทำเอาคนที่เดินไปแล้วต้องชะงักกึกจนแบคฮยอนหันมามอง ภาษาต่างถิ่นอย่างนี้มีแค่เจ้าของเชื้อชาติกับนักเรียนแลกเปลี่ยนเท่านั้นที่เข้าใจ “หรือว่าฟังไม่ออก จะได้แปลให้”

     

     

    “ไร้สาระ” หนุ่มผิวแทนแค่นหัวเราะเป็นครั้งที่สอง “บอกเพื่อนนายว่าถ้าอยากได้แบคฮยอนไป -- ก็ให้มาแย่ง”

     

     

    “บ้าเอ๊ย... รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าสองคนนี้ -- แบคฮยอน!

     

     

    เจ้าของชื่อละมือออกจากชายเสื้อคนข้างๆหลังถูกขึ้นเสียงเรียก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมลู่หานต้องดุ ไม่เข้าใจแม้แต่ว่าทำไมสองคนนี้ถึงเลือกคุยภาษาที่คนอื่นไม่เข้าใจ ลู่หานดูไม่สบอารมณ์ มือที่กำสายสะพายกระเป๋านั้นกำแน่นจนขึ้นรอยเส้นเลือด ต่างกันกับรอยยิ้มบนใบหน้าจงอินอย่างสิ้นเชิง แบคฮยอนไม่สบายใจที่เพื่อนทั้งสองคนของเขามีเรื่องทั้งที่แทบไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ

     

     

    “ลู่หาน เราต้องรีบไปส่งการบ้าน” คนตัวเล็กออกตัวห้ามทัพ นอกจากจะไม่ยอมหันกลับไปแล้ว เพื่อนชาวจีนยังสาวเท้ามาข้างหน้าเสียสองก้าว

     

     

    “ฉันหงุดหงิดเต็มทีแล้วแบคฮยอน นายกับชานยอลเป็นอะไรกันแน่” ดวงตากลมโตแข็งกร้าว มือนักกีฬายกขึ้นยีหัวยุ่งๆให้ยิ่งยุ่งไปกว่าเก่า “แล้วไอ้หมอนี่อีก มันเป็น --”

     

     

    “เป็นคนพิเศษ” คิมจงอินสวนขึ้นด้วยภาษาจีน สองมือที่อุ้มสมุดการบ้านไม่ได้ทำให้ท่าทางในตอนที่ก้าวตัวขึ้นไปเผชิญหน้าอีกฝ่ายดูน่าหวั่นเกรงน้อยลง “ฉันกับแบคฮยอนเป็นมากกว่าเพื่อนมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะมีใครหน้าไหนเข้ามายุ่ง”

     

     

    ลู่หานแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผาก มือที่จับกระเป๋ายิ่งเกร็งแน่นขึ้นขณะหมุนตัวกลับไปทางเดิมแล้วตรงไปทางห้องเรียนอย่างที่ควรจะเป็นตั้งแต่เมื่อหลายนาทีที่แล้ว ให้ตายเถอะ เรื่องที่คิมจงอินพูดนั่นมันอะไร ในที่สุดก็ยอมรับแล้วหรือไงว่าที่ตามหวงก้างเพื่อนตัวเล็กเช้าเย็นนั่นก็เพราะเป็นมากเกินกว่าที่บอกคนอื่นจริงๆ

     

     

    รู้สึกผิดนิดหน่อยที่เช้านี้มองข้ามใบหน้าขวยเขินของเซฮุน ตอบปัดใส่อาจารย์ควอนที่ไม่อยากถามอะไรมากนัก จุดหมายของเขาคือไอ้บ้าที่นั่งซังกะตายอยู่หลังห้อง ชานยอลดูจะไม่ตื่นใจนักที่ข้างๆไม่ใช่ที่ว่าง ตั้งแต่วันจันทร์มา ลู่หานตั้งใจเรียนอย่างกับอะไรดี (ถ้ารวมถึงการทอดสายตามองไปข้างหน้าตลอดเวลาน่ะนะ)

     

     

    เขาเหวี่ยงกระเป๋าเข้าสะพายกับเก้าอี้ ทิ้งตัวลงนั่งแรงเสียจนคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆต้องสะดุ้งแล้วหันมามองที่โกมีนัมประจำชมรมฟุตบอลอารมณ์เสียอีกแล้ว ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองแท้ๆ ทำไมหมอนั่นมันถึงได้น่าหงุดหงิดขนาดนี้วะ

     

     

    ขอโทษทูนหัวในใจที่ไม่สามารถตอบกลับสายตาเป็นห่วงเป็นใยได้ นิ้วเรียวเคาะรัวบนโต๊ะจนกลายเป็นเสียงน่ารำคาญให้ชานยอลหันมามอง คนตัวสูงขยับตัวเอียงองศามาทางเพื่อนเล็กน้อย ตาก็เหลือบมองเพราะกลัวว่าอาจารย์ควอนที่เริ่มสอนคาบแรกจะหงุดหงิดแต่เช้าถ้าเห็นนักเรียนคุยกัน

     

     

    “เป็นอะไร”

     

     

    “โว้ว ขอบคุณที่ถาม”

     

     

    ปาร์คชานยอลทำตาโต จรดปลายนิ้วชี้แตะริมฝีปากเพื่อปรามให้เขาเงียบเสียงลงสักหน่อย “เบาๆทีเถอะ เดี๋ยวก็ได้ไปยืนหน้าห้องอีก”

     

     

    ส่วนลู่หานพรูลมหายใจใส่หน้าม้า “ได้ออกไปข้างนอกก็ดี หาจะได้สว่าง เลิกใจเย็นได้แล้ว”

     

     

    “อะไร”

     

     

    “นี่ไม่รู้จริงๆหรือแกล้งไม่รู้วะ” คนจีนลดเสียงลงลอดไรฟัน แสร้งทำเป็นเอาปากกามาขีดๆเขียนๆใส่กระดาษหลบสายตาอาจารย์ทางหน้าห้อง “จะโดนคาบไปกินอยู่แล้ว”

     

     

    “หมายความว่าไง” ชานยอลขมวดคิ้ว ใจหนึ่งก็ไม่เข้าใจสิ่งที่เพื่อนพูดได้ถ่องแท้นัก แต่อีกใจกลับคิดว่าลู่หานคงสื่อถึงใครบางคน เพราะโลกของเราก็ไม่ได้ใหญ่นักหรอก แถมหมอนี่ยังเป็นคนเดียวที่รู้ดีเรื่องของเขากับแบคฮยอนเสียด้วย “ถ้านายหมายถึง --”

     

     

    “เออ คิมจงอินนั่นแหละ”

     

     

    “อืม”

     

     

    “ถ้าฉันเป็นนาย เชื่อเถอะว่าจะไม่นั่งเป็นไอ้งั่งให้แบคฮยอนถูกคาบไปกินแน่”

     

     

    คนฟังลดสีหน้าลง เอนกายพิงพนักเก้าอี้แล้วจดเลคเชอร์สิ่งที่อยู่บนกระดานด้วยลายมือขยุกขยุย ลู่หานจะไปรู้อะไร ในเมื่อถ้าไม่ซ้อมฟุตบอล ก็หน้าระรื่นแล้วตัวติดกับเซฮุนมาทั้งอาทิตย์ ไอ้สงคงสงครามที่ว่าจะเปิดอะไรนั่นไม่เห็นมีสักอย่าง แล้วลำพังเป็นอย่างนี้ ชานยอลก็หงุดหงิดความงี่เง่าของตัวเองจะแย่ ถ้านายคิมจงอินนั่นมีแผนการอะไร ท้ายมิสชั่นคงได้เกรดเอไม่ต้องสืบ

     

     

    “เมื่อกี้ฉันเจอสองคนนั้น” ลู่หานเอนตัวมาทางซ้าย แกล้งเอาไหล่กระทบไหล่เรียกร้องความสนใจ “จงอินมันบอกว่าแบคฮยอนเป็นมากกว่าเพื่อน”

     

     

    “....” เชื่อเถอะว่าความเงียบมีอีกภาษา

     

     

    “คุยกันภาษาจีน แบคฮยอนไม่รู้เรื่อง” และคนเจ้าเล่ห์อย่างหนุ่มนักฟุตบอลก็ดันเก่งเรื่องเดาใจคนอื่นเสียด้วย “ทำอะไรหน่อยเถอะ ขอร้องล่ะ เห็นแล้วมันทนไม่ได้แทนว่ะ”

     

     

    เขากดปลายปากกาลงบนสมุด จุดย้ำอย่างนั้นจนไม่รู้แม้กระทั่งอาจารย์ควอนสั่งให้เปิดบทเรียนหน้าต่อไป ใช่ ถ้าลู่หานอยากจุดไฟให้เขาฟุ้งซ่านขึ้นมาอีกล่ะก็ทำสำเร็จ แต่แล้วอย่างไรต่อ เขาจะไปทำอะไรได้ในเมื่อสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้อยู่ จะเดินหน้าหรือถอยหลัง เราต่างไม่มีใครทำได้ทั้งนั้น

     

     

    “ปาร์คชานยอล ฟังฉันนะ” อาจารย์ควอนขมวดคิ้วมองมาทางนี้ แต่เพราะทั้งคู่แกล้งทำเป็นจดยุกยิกลงไปในสมุดได้ทัน ถึงไม่ต้องออกไปยืนกระต่ายขาเดียวอย่างที่หนุ่มตัวสูงขู่ไว้ “ขอถามคำถามสุดท้าย”

     

     

    “เดี๋ยวก็ถูกลงโทษ”

     

     

    “แล้วถ้าสรุปว่านายต้องย้ายไปแทกูจริงๆ จะให้มันคารังคาซังอยู่อย่างนี้เหรอวะ”

     

     

    นัยน์ตาของลู่หานจริงจัง มันเพ่งมองลึกลงปในตาเพื่อนชายเพื่อขอร้องคำตอบที่แท้จริง ไม่ใช่เอาไอ้ขี้แพ้ที่ไหนก็ไม่รู้มาสวมบทเป็นเพื่อนเขา

     

     

    “ให้จบลงอย่างนี้จริงๆ แค่เพราะเขามีจงอินอยู่ด้วยแล้ว มันถูกเหรอ”

     

     

    “เลิกพูดได้แล้ว”

     

     

    “ถ้าแค่รู้สึกแย่ ได้ลองทำอะไรบ้างมันก็อาจจะหายเปล่าวะ”

     

     

    “ลู่หาน”

     

     

    “ถ้าจบง่ายๆอย่างนี้ ก็ไม่เป็นไรใช่ไหม”

     

     

    มือที่จับด้ามปากกากำแน่น ทุกประโยคจากปากคนข้างๆกรีดลงไปเพื่อแทงใจว่าเขาคงเป็นคนขี้แพ้อย่างที่ถูกปรามาสเอาไว้จริงๆ ชานยอลรู้ว่าเวลาสองสัปดาห์มันสั้น เขาอดทนได้มากกว่านั้น แต่มันยิ่งสั้นเข้ามาอีกเมื่อชายหนุ่มรู้อยู่แก่ใจว่าพรุ่งนี้เขาต้องเจอกับใคร

     

     

    ถ้าเป็นคนใจเย็นอย่างนี้ เวลาเท่าไรก็ไม่เคยพอ

     

     

    ร่างสูงหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงจนเก้าอี้ส่งเสียงครืดให้คนทั้งห้องหันมามอง อาจารย์ควอนนึกรำคาญตัวปัญหาที่ยุกยิกอยู่หลังห้องเต็มที มันคงดีถ้าปาร์คชานยอลคิดได้ว่าต้องการอะไรและพูดออกมา “ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำครับ”

     

     

    ลู่หานคิดว่ามีข้ออ้างที่ดีกว่านี้มากมาย แต่ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะทำให้เพื่อนของเขาสามารถเร่งฝีเท้าออกไปจากห้องได้ดีเท่านี้อีกแล้ว โอเซฮุนหันมาขมวดคิ้วเหมือนอาจารย์ควอนไม่มีผิด แต่ใครสน เอาไว้หลังจากนี้จะเล่าให้ฟังสองต่อสองก็แล้วกัน

     

     

    เมื่อปิดประตูห้องเรียบร้อย ชานยอลจำต้องครุ่นคิดอีกครั้งว่าควรตามไปหาสองคนนั้นที่ไหนในเมื่อลืมถามลู่หานไว้เสียสนิท แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าแบคฮยอนออกไปตั้งแต่คาบโฮมรูมเพื่อส่งสมุดการบ้านที่ห้องพักอาจารย์แล้วยังไม่กลับเข้ามา คิดได้อย่างนั้นจึงรีบเร่งฝีเท้าเท่าที่จะพอไม่ส่งเสียงดัง ทุกห้องในโรงเรียนกำลังนั่งหลังขดหลังแข็งชั่วโมงแรกของวัน ทางเดินเงียบสงัดไม่มีแม้แต่เด็กนักเรียนหญิงที่หลบเลี่ยงมาเข้าห้องน้ำเพราะอยากโดดเรียน

     

     

    ขายาวก้าวไปเรื่อยๆตามทางเดินที่นำไปสู่ห้องพักอาจารย์ ในหัวเขามีจุดหมายว่าแบคฮยอนอาจอยู่ที่นั่น ถ้าเจอแล้วจะทำอย่างไร ขอคุย ขอโทษเรื่องเมื่อวันก่อน หรือบอกคิมจงอินว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นอย่างไร

     

     

    ฝีเท้าชะงักไปเมื่อหางตาแวบผ่านภาพบางสิ่งบางอย่างตรงทางเลี้ยวเข้าห้องน้ำชายเมื่อครู่ ปาร์คชานยอลสั่งตัวเองให้หยุด หยุดเพื่อเหลียวกลับไปมองภาพที่ทำให้ต้องนิ่งงันไปชั่วขณะ หัวใจทั้งดวงเต้นช้าลง มันทั้งหนัก หนืด และเคลื่อนไหวราวกับมีกาวเหนียวๆยึดเอาไว้ระหว่างช่องอก ตาคมกริบของคิมจงอินเหลือบขึ้นมอง ขณะที่ริมฝีปากนั้นนาบอยู่บนกลีบปากหยุ่นที่เขาเคยเป็นเจ้าของ มือที่รั้งอยู่ช่วงเอวยิ่งกระชับแน่นขึ้น มันเป็นช่วงเวลาไม่กี่วินาทีที่ชานยอลคิดว่าเขาคงตายไปแล้วจริงๆ

     

     

    เขาไม่เคยตื่นตกใจที่เห็นคนสองคนจูบกัน เพียงแต่ถ้าคนๆนั้นจะไม่ใช่บยอนแบคฮยอน

     

     

    เมื่อจงอินยอมผละริมฝีปากออก แบคฮยอนถึงรู้ว่าอาการคล้ายจะขาดใจนั้นเป็นอย่างไร เขาทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ตัวกระทั่งว่ามีใครบางคนยืนมองภาพเมื่อครู่จากข้างหลังด้วยความบังเอิญหรือจงใจของคนบางคน แค่อยากถามว่าจงอินทำอย่างนี้ทำไม... แค่เพราะอยากยืนยันว่าที่พูดไปเมื่อครู่เป็นเรื่องจริง หรือ --

     

     

    “....!

     

     

    ทั้งร่างเซถลาไปเพราะแรงกระชากที่ข้อมือ ถึงตอนนี้ แบคฮยอนถึงเพิ่งจะรู้ว่ามีใครอีกคนที่เขานึกอยากให้หายไปจากเหตุการณ์เมื่อครู่ที่สุด ในแรงเหวี่ยงสุดท้าย นอกจากสายตาแปลกประหลาดของจงอินแล้ว สีหน้าของคนที่กอบกุมเขาให้วิ่งตามไปด้วยกันมีแต่จะจับจ้องไปเบื้องหน้า ชานยอลไม่หันมาทางนี้ เช่นเดียวกับที่ไม่ยอมพูดจาสักคำว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างรวดเร็วจนคนตัวเล็กงุนงงไปหมด

     

     

    ชานยอลสนใจแค่มองหาที่ทางสำหรับการพูดคุยแบบเป็นส่วนตัวเท่านั้น อาจเป็นเชิงบันไดเมื่อครู่ ห้องน้ำที่ไม่มีคนใช้ ตู้ล็อกเกอร์ แต่สุดท้ายแล้วแบคฮยอนก็เดาผิดทั้งหมด เมื่อร่างของเขาถูกดันให้หายเข้ามาภายในห้องวิทยาศาสตร์อับๆ ก่อนมือใหญ่จะเลื่อนบานประตูปิดและปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ในความมืดสลัว

     

     

    เสียงหอบหายใจและหัวใจที่เต้นระรัวทำให้ไม่รู้สึกดีเอาเสียเลย ทว่าก็ไม่รู้จะจัดการมันอย่างไร แม้แต่ตอนนี้ เวลานี้ ตอนที่ชานยอลยืนอยู่ตรงหน้าและเขาไม่เห็นว่าแววตานั้นกำลังเป็นแบบไหน

     

     

    ครั้งที่สองซึ่งชานยอลใช้กำลัง คือการรั้งร่างของเขาเข้าไปแล้วกดริมฝีปากลงมาโดยไม่ทันให้ตั้งตัว บางอย่างที่เป็นจุดบอดในใจปะทุขึ้นรุนแรงเกินไป แบคฮยอนชอบห้องสมุด แต่เขาไม่ชอบห้องวิทยาศาสตร์ที่น่าอึดอัดอย่างนี้ ลิ้นชื้นพยายามดันเข้ามาภายในโพรงปาก และอาจใช่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ปาร์คชานยอลไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนี้โดยมองข้ามความรู้สึกของเขา

     

     

    ความตื่นตระหนกสั่งให้ร่างเล็กใช้เรี่ยวแรงที่มีผลักคนตรงหน้าออกไป เมื่อนึกขึ้นได้ แบคฮยอนก็เพิ่งรู้ตัวว่านี่อาจหมายถึงเขากำลังทำแบบเดียวกัน

     

     

    เราต่อไม่ติดแล้วจริงๆน่ะหรือ?

     

     

    ภายใต้แสงสลัวที่สาดผ่านเมื่อสวนออกไป ประกายความบอบช้ำในดวงตาชานยอลช่างเด่นชัด แต่คนที่ปิดบานประตูห้องวิทยาศาสตร์ก็คือเขาเอง

     

     

    กำแพงแบบนี้... แบคฮยอนไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย

     













    ______________________________________

     

    ตอนเขียนก็มีแต่ถูกแซวว่าชานยอลเป็นพระเอกที่น่อนจัง
    แต่เรากลับชอบ พระเอกน่อนบ้างจะเป็นไร

    #ฟิคฮบ

     







     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×