ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (END) 두근두근 ♡ HEARTBEAT | chanbaek hanhun

    ลำดับตอนที่ #21 : ` ( 두근두근 ♡ 20 )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.45K
      14
      28 ก.ย. 57









        


     


     

     

    กลิ่นแชมพูอ่อนๆของคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเรียกความสนใจได้ชะงัดนัก ลอบมองแค่เพียงแวบหนึ่ง พอดวงตาเรียวรีนั้นทำท่าจะสบกลับปาร์คชานยอลก็ทำเป็นก้มหน้าก้มตาอยู่กับสมาร์ทโฟนเหมือนอย่างในทีแรก ทั้งที่รูปสุนัขตัวโปรดของเพื่อนก็ยังเป็นตัวเดิม ภาพบนหน้าจอไม่มีการอัพเดทใดๆเพิ่มเติมขึ้นมา อีกแล้วที่เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่สักอย่าง


     

    แบคฮยอนทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิบนที่นอนข้างๆ ห่างไปจากเขาประเท่าไหร่นะ อาจจะหนึ่งเมตร? แต่ก็นั่นแหละ ทำไมเขาต้องประหม่าอย่างกับกำลังถูกนั่งตักด้วยเล่า


     

    ทั้งที่อยากถามออกไปใจแทบขาดเรื่องคิมจงอิน หมอนั่นสำคัญกับอีกฝ่ายแค่ไหนนะถึงได้ดูกระวนกระวายกับโทรศัพท์แบบนั้นทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าโทรไม่ติด แล้วกลับมาที่ว่านั่นคงไม่ใช่กลับมาเรียนโรงเรียนเดียวกันใช่ไหม ว่าแล้วก็เปิดหาข้อมูลสักหน่อยว่านักเรียนแลกเปลี่ยนนี่มีระยะเวลากี่ปีกัน


     

    “....”


     

    ข้อมูลหลากหลายที่บอกว่ามีตั้งแต่หนึ่งสัปดาห์ไปจนถึงสี่ปี อยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์ให้รู้แล้วรู้รอด ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังหาข้อมูลได้โง่เง่าขนาดนี้นะ ทั้งที่เปิดปากถามออกไปก็จบ แต่ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าปาร์คชานยอลพร้อมจะงี่เง่ากับคนทั้งโลกยกเว้นคนที่เขาชอบ!


     

    เพราะอย่างนั้นถึงได้มานั่งอมพะนำแล้วปล่อยให้ห้องทั้งห้องเงียบเป็นเป่าสากอย่างนี้นี่ไง พอแล้ว เลิกคิด เลิกฟุ้งซ่านเหมือนเด็กผู้หญิงช่างหึงสักที


     

    หยัดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะก้มลงดึงขยับเบาะนอนให้เข้าที่ สะดุ้งเล็กน้อยในตอนที่ร่างเล็กลุกขึ้นยืนอย่างเก้ๆกังๆเช่นเดียวกัน ผ้าขนหนูผืนเล็กซึ่งแปะคลุมศีรษะนั้นไว้ดูน่ารักเหมือนกับพวกเจ้าหญิงทะเลทรายไม่มีผิด (ไม่รู้จะเปรียบเทียบเป็นอะไร มันนึกออกแค่นี้) แต่ไอ้การโน้มตัวลงจับเบาะที่นอนเอาไว้แล้วลากห่างออกไปราวๆสองฟุตนั่นคืออะไร


     

    ชานยอลดันเบาะเข้าไปชิดอีกฝ่ายเหมือนในทีแรก แวบหนึ่งที่แบคฮยอนเงยขึ้นมองเขา ก่อนจะรีบหลุบสายตาลงอีกครั้ง


     

    “....”


     

    “....”


     

    แบคฮยอนเขยิบเบาะถอยไปอีก แล้วร่างสูงก็เอาชนะด้วยการดันเบาะตามไปชิดเช่นเดียวกับเมื่อครู่ ก็ไม่เข้าใจหรอกว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร แต่ทำไมถึงทำท่าถอยห่างจากกันแบบนั้น


     

    “....”


     

    คนตัวเล็กขยับเบาะถอยออกไปอีก ครั้งนี้มันชิดกำแพงแล้ว ห้องขนาดหกเสื่อไม่ได้กว้างถึงขนาดที่จะให้ทั้งสองคนเล่นลากเบาะหนีกันไปมาได้ทั้งคืน และครั้งนี้ชานยอลไม่ได้ขยับเบาะตาม


     

    “....”


     

    “....”


     

    “แบคฮยอน...” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นผะแผ่ว ใจทั้งใจร่วงลงไปอยู่ตาตุ่มจนกลัวว่าจะโงนเงนล้มลงไปต่อหน้า อยู่ดีๆก็มาถูกเขยิบหนีกันแบบนี้น่ะ...


     

    บยอนแบคฮยอนค่อยๆทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอนทั้งที่ไม่ได้ขยับสายตาขึ้นมามองตอบเขาเลยสักนิด ท่าทางของคนตัวเล็กดูกล้าๆกลัวๆอย่างเด็กที่ทำผิดอยู่ตลอดเวลายังไงยังงั้น ชานยอลปล่อยมือออกจากเบาะในระยะที่ห่างจากเบาะอีกอันราวๆฟุตครึ่ง ชั่งใจว่าที่แบคฮยอนทำอย่างนี้เพราะเรื่องนั้นหรือเปล่า


     

    “คือว่า...”


     

    นั่งลงขัดสมาธิบนช่องว่างระหว่างที่นอนแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง มันคงไม่ดีแน่ถ้าทั้งคู่จะต้องผิดใจกันเพราะความงั่งไม่เข้าเรื่องของคนตัวสูง ไหนๆนี่ก็เป็นโอกาสเหมาะและไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนอื่นแล้ว ชานยอลคิดว่าต่อให้พูดเรื่องนั้นขึ้นมาก็คง... คงไม่เป็นไรล่ะมั้ง


     

    “ขอโทษนะ”


     

    “หืม?”


     

    เป็นแบคฮยอนที่ชิงพูดคำขอโทษขึ้นมาเสียก่อน ร่างเล็กยังคงปล่อยให้น้ำหยดลงจากปอยผมเป็นวงเล็กๆบนที่นอนโดยไม่ได้จัดการเช็ดมันต่อให้แห้งอย่างที่ควรจะเป็น กางเกงนอนขาสามส่วนสีกากีกลายเป็นที่วางมือว่างๆ แล้วอะไรทั้งหมดในห้องนี้ก็คงน่ามองไปเสียหมดยกเว้นใบหน้าของปาร์คชานยอล


     

    “ขอโทษที่ฉันทำให้ชานยอลรู้สึกอึดอัด...” ร่างเล็กว่าเสียงเบาหวิว แต่สาบานได้ว่ามันเหมือนกับชานยอลโดนตบหน้าฉาดใหญ่ทั้งที่แค่นั่งฟังเฉยๆ มันควรจะเป็นเขาไม่ใช่หรือไงที่พูดคำนั้นน่ะ


     

    “เดี๋ยวก่อน”


     

    “....”


     

    “คือ...” คนตัวสูงไม่รู้จะทำอะไรนอกเหนือเสียจากใช้มือใหญ่นั้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ ความรู้สึกเหมือนมีมดเป็นพันวิ่งอยู่ตามตัวนี่มันแย่ชะมัด หนำซ้ำหน้าของเขายังร้อนเสียจนอาจจะใช้มันรีดผ้าได้ด้วยซ้ำ “ที่ว่าอึดอัดน่ะ มันไม่ใช่อย่างนั้น”


     

    หยดน้ำจากปอยผมสีน้ำตาลนั้นมันชวนให้รู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก สุดท้ายก็ต้องแพ้ใจตัวเองด้วยการพาร่างเขยิบเข้าไปนั่งขัดสมาธิตรงหน้าก่อนจะจับผ้าขนหนูบนศีรษะแล้วขยับเช็ดให้อย่างเบามือ ร่างเล็กของแบคฮยอนสะดุ้งเบาๆแต่ก็ยอมนั่งนิ่งๆให้เขาเช็ดผมทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตามองกางเกงตัวเองอยู่อย่างนั้น


     

    ชานยอลไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยากพูดอะไร แต่ถึงอย่างนั้นข้ออ้างซึ่งมีมาตลอดทั้งวันก็ใช้ไม่ได้ในตอนนี้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเขาเองน่าจะรู้ดีกว่าใครว่าแบคฮยอนถนัดเรื่องการดูถูกตัวเองแค่ไหน แค่หนึ่งวันก็ยาวนานมากเกินพอแล้ว


     

    “ฉันไม่ได้อึดอัดเพราะแบคฮยอนหรอก ขอโทษที่ทำให้เข้าใจไปอย่างนั้นนะ”


     

    “....”


     

    “ก็แค่ทำตัวไม่ถูกน่ะ”


     

    “....”


     

    “รู้ใช่ไหมว่าเรื่องอะไร”


     

    คนตัวเล็กไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากผงกหัวหงึกหงักเป็นการตอบรับ แต่ดีแล้วที่แบคฮยอนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะคิดว่าการที่หูกางๆนั่นกลายเป็นสีแดงมันน่ามอง แล้วยิ่งเป็นตอนที่สีแดงลามไปทั้งหน้าของปาร์คชานยอลแบบนี้แล้ว


     

    ยิ่งแบคฮยอนไม่ตอบอะไรกลับมาบทสนทนาก็รังแต่จะยาวนานขึ้นอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นไปด้วยความเงียบ เสียงหึ่งๆของแอร์ดังแว่วอยู่อย่างนั้น มันน่ารำคาญเสียจนชานยอลคิดว่าควรจะส่งเสียงพูดอะไรออกไปกลบสักที


     

    เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ...


     

    ตากลมโตจ้องมองเรือนผมสีน้ำตาลอยู่อย่างนั้นก่อนที่สองมือจะหยุดลง อีกแล้ว... ความรู้สึกนี้มันเหมือนเมื่อคืนไม่มีผิด มือหนึ่งถูกลดลงมาตรงหน้าตักกางเกงสีน้ำตาล มันทาบทับมือของแบคฮยอนเอาไว้แล้วกุมอย่างหลวมๆ ในขณะที่อีกมือชานยอลก็ใช้มันเชยคางเล็กขึ้นเพื่อสบตากันในรอบหลายชั่วโมง


     

    ไม่รู้หรอกว่าแบคฮยอนจะเข้าใจหรือเปล่า หรือว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ


     

    ตาเรียวรีนั่นดูขลาดอายที่จะมองเขา ใบหน้าขาวๆของคนตัวเล็กแต่งแต้มไปด้วยสีแดงเรื่อๆไม่ต่างกัน มันทั้งชวนให้เขินหนักกว่าเก่า แล้วก็ดูน่ารักจนร่างสูงต้องเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ กลิ่นแชมพูหอมอ่อนๆยังคงลอยเตะจมูก แล้ววงกลมสีเข้มตรงหน้าก็สะท้อนแค่ภาพของเขา


     

    “....”


     

    “....”


     

    ริมฝีปากเฉียดกันผะแผ่ว มันเบามากเสียจนไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการจูบ แต่ถึงอย่างนั้นในตอนที่มือใหญ่ทาบทับลงบนพวงแก้ม ปลายนิ้วไล้อยู่ตรงใบหู สัมผัสอุ่นๆจากหน้าผากที่นาบลงมาและปลายจมูกโด่งสันเคล้าเคลีย ทุกอย่างที่รวมกันเป็นผู้ชายชื่อปาร์คชานยอลกำลังทำให้บยอนแบคฮยอนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอะไรสักอย่าง


     

    มันเหมือนร่างทั้งร่างลอยฟุ้งเป็นไออยู่กลางภวังค์สีขาว ห้องทั้งห้องขยายใหญ่ออกไปจนสุดลูกหูลูกตา แบคฮยอนเห็นปลาแหวกว่ายอยู่กลางอากาศ เห็นใบหน้าของคนตัวสูงเปล่งประกายเหมือนแสงอาทิตย์ มันทำให้เขาแสบตาเสียจนต้องหลุบสายตาลงมองเสื้อยืดสีดำที่เจ้าตัวกำลังสวมใส่ ปลายเข่าของชานยอลซ้อนเข้ามาอยู่ใต้เข่าของเขา และแบคฮยอนก็รู้ตัวทุกอย่าง ว่าพออยู่ภายใต้วงแขนใหญ่นี้เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงและความคิดว่าอยากหนีไปไหนเอาเสียเลย


     

    “ที่เคยบอกว่าชอบ...”


     

    “....”


     

    “...ก็เพราะชอบจริงๆ”


     

    “....!


     

    จะทำยังไงดี...


     

    รู้สึกเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ มันร้อนไปหมด แถมโรคหัวใจก็ยังกำเริบจนเหมือนจะหลุดออกมายังไงยังงั้น


     

    รู้แล้ว...


     

    บยอนแบคฮยอนรู้แล้ว...




     

    ว่าโรคหัวใจที่เขาเป็นนั้นหมอรักษาไม่ได้หรอก เพราะมันเกิดขึ้นเฉพาะตอนอยู่กับชานยอลเท่านั้น... แค่ผู้ชายคนนี้ที่มีอิทธิพลกับใจเขา...




     

    แบคฮยอนเป็นเหมือนใบหญ้า ชานยอลเป็นเหมือนพระอาทิตย์


     

    ทั้งอบอุ่นใจเพราะแสงนั้น แต่ก็ร้อนเหมือนโดนแผดเผาในตอนที่สาดแสงจ้าจนเกินไป




     

    บางครั้งแบคฮยอนก็เป็นเหมือนผืนน้ำ และบางครั้งชานยอลก็เป็นเหมือนพระจันทร์


     

    ในตอนที่พระจันทร์ห่างออกไปผืนน้ำก็เหือดแห้ง แต่พอใกล้เข้ามาก็ล้นขึ้นจนแทบทะลัก




     

    เหมือนกับความรู้สึกเลย... พิเศษกว่าอะไรทั้งนั้น




     

    “ฉัน...” จะทำยังไงดีนะ เขาต้องตอบรับความรู้สึกของชานยอลยังไงดี สู้ชานยอลแค่ยิ้มให้แล้วคอยเดินข้างๆกันเหมือนเดิมยังดีเสียกว่า


     

    เพราะเป็นแบบนี้แล้ว... แบคฮยอนคิดอะไรไม่ออกเลย


     

    “ไม่ต้องหรอก”


     

    “....”


     

    “ยังไม่ต้องพูดอะไรก็ได้”


     

    “....”


     

    “รอให้ถึงตอนที่แบคฮยอนแน่ใจ... แล้วค่อยพูดมันออกมา”


     

    “....”


     

    “....”


     

    “....”


     

    เปลือกตาบางปิดลงช้าๆในตอนที่ริมฝีปากนั้นแนบลงมา ร่างของเขาค่อยๆถูกดันลงจนนาบกับเบาะที่นอน แล้วมันก็หนักขึ้นในตอนที่ร่างสูงนั้นคร่อมทับลงมาทั้งที่ยังไม่ผละริมฝีปากออกไป มันทั้งหอมหวานและนุ่มละมุนเหมือนสายไหม


     

    อ่า... ชานยอลยังไม่ได้บอกแบคฮยอนใช่ไหมว่านี่ไม่ใช่จูบครั้งที่สอง เขาเคยลักหลับคนตัวเล็กไปแล้วครั้งหนึ่งในตอนที่ไปค้างด้วยกัน




     

    แต่ตอนนี้น่ะช่างเถอะ...

     

     

     

     

     












     

     

    “ขอบคุณมากนะครับ”


     

    โค้งศีรษะเป็นการขอบคุณกันยกใหญ่แม้ว่ากระเป๋าบนบ่าจะหนักแค่ไหนก็ตาม แม้ว่าการมาเที่ยวชุนชอนในครั้งนี้พวกเขาจะไม่ได้กิจกรรมอะไรมากมายนักและบ้านสกุลลู่ก็ค่อนข้างจะให้ความเป็นส่วนตัวโดยการไม่เข้ามาสอดส่องวุ่นวาย แต่ถ้านับเรื่องการต้อนรับขับสู้แล้วล่ะก็...


     

    “ชานยอลบอกว่าไก่ทอดอร่อยมากจริงๆ” ลู่หานยืนล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบายๆ แหงล่ะ บนบ่าหมอนี่แทบไม่มีอะไรเลยนอกจากกระเป๋าเป้เบาหวิวสีสันแสบตา มือไม้ของเซฮุนและแบคฮยอนมีแต่ของฝาก มันเยอะเสียจนชานยอลต้องช่วยแบ่งไปถือเอาไว้ในระหว่างที่เจ้าถิ่นกำลังร่ำลาบุพการี


     

    “แล้วแวะเวียนมาเที่ยวกันอีกนะจ๊ะ ที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ” ในขณะที่พูดคุณนายลู่ก็กางสองแขนออกเพื่อรอให้ลูกชายเพียงคนเดียวเข้าไปสวมกอดอย่างรักใคร่ ข้างๆกันนั้นคือเจ้าบ้านซึ่งยืนทำหน้าถมึงทึงเหมือนอย่างทุกที อาจเพราะไม่ได้คุยอะไรกันมากนักทั้งสามคนถึงยังเกร็งไม่หายจนไม่กล้าพูดอะไรให้มากความ


     

    “แม่ดูแลตัวเองดีๆนะ”


     

    “แล้วจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ ไม่หายเป็นปีๆแล้วนะ”


     

    ถึงตรงนี้ลู่หานได้แต่หัวเราะ เขาเบนสายตามองคนเป็นพ่อแล้วถอยออกมาก้าวหนึ่งก่อนจะพูดเสียงใส “ได้ถ้วยฟุตบอลเมื่อไหร่ก็กลับมาเมื่อนั้น”


     

    “จบมอปลายเมื่อไหร่แกก็ต้องมารับช่วงต่อที่บ้านอยู่แล้ว” เสียงทุ้มพูดปรามดุๆ คิ้วยิ่งขมวดเข้าหากันในตอนที่ลู่ชายทำท่ายักไหล่ไม่ยี่หระต่อหน้าเพื่อนๆ


     

    “ผมจะต่อมหาลัย” มือเรียวกระชับเป้สะพายให้เข้าที่ขึ้น แล้วก็ถอยหลังมาจนยืนรวมกับคนรุ่นเดียวกัน “ถ้าพ่ออยากให้ผมรับช่วงต่อนักล่ะก็... รอผมแก่จนเล่นฟุตบอลไม่ไหวก็แล้วกัน”


     

    ชายวัยกลางคนแค่นหัวเราะหยัน อยากจะรู้เหมือนกันว่าเด็กเมื่อวานซืนที่ดีแต่เที่ยวเล่นนั่นจะทำความฝันลมๆแล้งๆไปได้สักกี่น้ำ ยังไงโรงฝึกเคนโด้บ้านสกุลลู่ก็ไม่มีทางปิดตัวลงง่ายๆเพียงเพราะผู้สืบทอดดื้อแพ่งเบี้ยวไม่ยอมกลับชุนชอนแน่


     

    “ผมไปแล้วนะป้าเยจิน สามวันมานี้สาวขึ้นเป็นกองนะเนี่ย” ก่อนไปก็ไม่วายแหย่กระเซ้าหญิงแก่อีกคนซึ่งยืนเยื้องไปทางด้านหลังมารดา รถแท็กซี่ที่เรียกไว้มาจอดรอแล้ว แขกสามคนแยกไปทยอยเอาสัมภาระขึ้นรถก่อน แล้วเจ้าถิ่นอย่างลู่หานจึงวิ่งตามมาเป็นคนสุดท้าย


     

    กำแพงอิฐค่อยๆไกลออกไปจากสายตาในที่สุด ครั้นรถเลี้ยวโค้งตรงทางแยกด้านหน้าลู่หานถึงได้ละสายตาออกจากกระจกมองหลังแล้วเหลือมองเพื่อนอีกสามคน ชานยอลนั่งริมขวา ถัดมาเป็นแบคฮยอนแล้วก็เซฮุน


     

    นึกๆแล้วก็ขำ ทำไมสองคนนั้นยังทำประหม่าใส่กันอยู่อีก บางทีปาร์คชานยอลอาจจะเป็นไก่อ่อนมากกว่าที่คิดโดยการนอนหันหลังให้เพื่อนตัวเล็กเฉยๆโดยไม่ได้จับเข่าคุยกัน ก็เป็นซะอย่างนี้มันถึงไม่คืบหน้าอะไรสักที


     

    แต่จะมัวว่าชาวบ้านชาวช่องเขาไม่ได้หรอก ยิ่งไอ้การที่เขาต้องแยกตัวมานั่งเบาะข้างคนขับเดี่ยวๆแบบนี้ยิ่งทำให้บรรยากาศที่มีต่อเซฮุนดูตึงเครียดเข้าไปใหญ่ เมื่อคืนหลังจากพูดไปแบบนั้นแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลยนอกเสียจากนอนหันหลังให้กัน ลู่หานมารู้ตัวเองว่าเป็นคนขี้งอนเอาช่วงสองสามวันมานี้นี่แหละ งอนแล้วงอนเล่าแต่เซฮุนกลับไม่คิดสนใจ


     

    เขาก็เสียใจเป็นไหม ใครมันจะฝืนทำตัวเป็นพระอิฐพระปูนไปได้ตลอด ก็คนมันชอบ มันรู้สึกดี ผิดอะไรล่ะที่เขาแสดงออกแบบนั้น เป็นสุภาพบุรุษก็แล้ว ผู้ชายละมุนก็แล้ว ไอ้หื่นกามเดนตายก็แล้ว น้องหมาขี้อ้อนก็แล้วอีก


     

    ให้พูดว่าชอบตรงๆเหรอ...


     

    อืม... ก็พูดไปไม่รู้ต่อกี่ครั้งแล้วนี่นา ชอบจัง เซฮุนนา ชอบจริงๆนะ ไอ้คำพวกนี้มันตรงที่สุดเท่าที่ลู่หานพอจะนึกออกในตอนนั้นด้วยซ้ำ การชอบผู้ชายด้วยกันครั้งแรกนี่มันยากชะมัด คิดถึงพวกนูน่าทั้งหลายขึ้นมาเลย ยิ่งฮโยรินูน่านะ... ตอนเจอกันครั้งแรก รายนั้นน่ะแค่จูบก็ซึ้งแล้ว




     

    ใช่ เซฮุนนั่นแหละที่เข้าใจยาก


     

    เซฮุนๆๆๆๆๆๆๆทั้งนั้น




     

    จากนี้ไปก็ต้องเข้าค่ายเก็บตัวซ้อมสำหรับการแข่งปลายฤดูแล้ว ระหว่างนี้อย่ามาคิดถึงก็แล้วกัน พ่อจะหายตัวเข้ากลีบเมฆให้รู้ค่าผู้ชายสกุลลู่เสียเลย


     

    จำเอาไว้โอเซฮุน

     

     










     

     

     

     

    “โห ซื้ออะไรมาเต็มเลยลูก”


     

    คุณบยอนเปิดดูถุงนู้นถุงนี้พลางหัวเราะชอบใจยกใหญ่ อีกทางหนึ่งคนเป็นแม่กำลังจัดไก่ทอดใส่จาน แล้วในห้องนั่งเล่นยังแว่วเสียงรายการกีฬามาเป็นระยะ


     

    “ผมเห็นมันมีอะไรขายเยอะแยะ ก็เลยซื้อมาอย่างละนิดอย่างละหน่อยครับ” พูดพลางหยิบเป้ที่วางอยู่บนเก้าอี้ขึ้นมาสะพายไว้ มองพ่อกับแม่ที่กำลังจัดข้าวของอยู่ในครัวแล้วร่างเล็กก็อดยิ้มไม่ได้ “เดี๋ยวผมขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะลงมาช่วยนะ”


     

    บยอนแบคฮยอนไม่ได้อยู่รอคำตอบแต่ผละตัวเดินขึ้นบันไดมาเพื่อจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จ พวกเขากลับมาถึงโซลตั้งแต่บ่ายแก่ๆ ลู่หานนั่งแท็กซี่ต่อไปจนถึงบ้านในขณะที่เซฮุนบอกว่าจะแวะซื้อของแถวนั้นสักหน่อย พอร่างโปร่งแยกตัวไปอีกคนก็เหลือแค่เขากับชานยอล บรรยากาศที่มีต่อกันมันน่าอึดอัดอย่างที่กลัวไม่มีผิด แต่ถึงอย่างนั้นร่างสูงก็เป็นฝ่ายหันมาบอกว่าจะเดินไปส่งที่บ้าน


     

    แน่นอนแบคฮยอนปฏิเสธไป คิดว่าชานยอลก็คงเหนื่อยไม่แพ้กันและบ้านก็อยู่ไกลว่าเขาตั้งเยอะ พอพูดไปอย่างนั้นอีกฝ่ายถึงได้ลดสีหน้าลงแล้วยอมขึ้นรถประจำทางไปแต่โดยดี


     

    ร่างเล็กเปิดประตูเข้ามาภายในห้องก่อนจะวางกระเป๋าเป้ลงข้างเตียง หน้าร้อนทำให้เหนื่อยง่ายกว่าปกติ และภายในห้องตอนนี้ก็อบอ้าวเสียจนต้องเดินไปเปิดพัดลมไว้ระบายอากาศแล้วนั่งพักเสียหน่อย หยิบเอากระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ออกมาวางไว้ที่เตียง ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงได้ไม่ถึงนาทีเสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้นจนต้องควานมือไปหยิบมาเปิดดู


     

     

    คุณได้รับข้อความจาก ชานยอล

    ถึงหรือยัง?

     


     

    เรียวปากบางหยักยิ้มเล็กๆแล้วจึงพิมพ์ข้อความตอบกลับไปช้ากว่าปกติ แบคฮยอนไม่ได้เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค แล้วเขาก็คิดว่ามันดีกว่าเป็นไหนๆสำหรับการรอข้อความของใครสักคน


     

     

    คุณกำลังส่งข้อความถึง ชานยอล

    ถึงแล้ว ชานยอลล่ะ?

     


     

    ไม่ถึงครึ่งนาทีเจ้าเครื่องมือสื่อสารก็ดังขึ้นอีก ครั้งนี้ไม่ต้องเสียเวลาควานหาเพราะแบคฮยอนถือมันไว้ในมืออยู่แล้ว

     


     

    คุณได้รับข้อความจาก ชานยอล

    เหมือนกัน : ) อย่าลืมกินข้าวกลางวันด้วย

     


     

    ทำไมถึงได้รู้สึกแปลกๆอย่างนี้นะ บางทีนี่อาจเป็นมนตร์ของความรู้สึกพิเศษก็ได้คนตัวเล็กถึงเอาแต่ยิ้มไม่หุบแบบนี้ ทั้งที่คิดว่าก็คงจะเคยยิ้มแก้มปริมาแล้วนั่นแหละ แต่ก็นานมาก... นานจนแบคฮยอนแทบจำไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่


     

    อ่า... ใช่ อาจจะปีกว่าๆ ...น่าจะประมาณนั้น


     

    ค่อยๆกดข้อความตอบหลังจากเสียเวลาคิดประโยคในหัวอยู่พักหนึ่ง ถ้าตอบไปแค่ ชานยอลก็เหมือนกัน แบบนี้จะถือเป็นการจบบทสนทนาหรือเปล่านะ?


     

    แต่พิมพ์ไปได้แค่ครึ่งประโยค โทรศัพท์ก็แจ้งเตือนข้อความเข้ามาอีก


     

     

    คุณได้รับข้อความจาก ชานยอล

    อย่าลืมนัดของเราอาทิตย์หน้านะ : )

     


     

    ใบหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ร่างเล็กดีดตัวขึ้นนั่งบนเตียงนิ่งๆแล้วจ้องเจ้าเครื่องมือสื่อสารเหมือนมันเป็นเพชรปริศนา เมื่อกี้ก็ไม่ได้รู้สึกร้อนอะไรขนาดนี้แท้ๆ แล้วทำไมเขาถึงต้องกำโทรศัพท์จนมือชื้นเหงื่อขนาดนี้ด้วย


     

    ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนฉายชัดเข้ามาในห้วงความคิด แบคฮยอนยังจำรสจูบของชานยอลได้ดี มันทั้งดูดดื่ม ยาวนาน แล้วก็ยังกับว่าเอาวิญญาณและเรี่ยวแรงของเขาไปจนหมด  ผละออกจากกันได้ไม่ถึงสิบวินาทีชานยอลก็จูบลงมาอีก และพอเอาทุกสิบวินาทีนั้นมารวมกันร่างเล็กก็คิดได้ว่าชานยอลจ้องหน้าเขานานเหลือเกิน


     

    ไม่ไหวแล้ว...


     

    แค่คิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาบยอนแบคฮยอนก็รู้สึกเหมือนตัวแข็งทื่อเป็นหินไม่มีผิด แม้แต่ตอนนี้ที่กำลังพยายามขยับปากไปมา ทั้งอ้าออกกว้างก็แล้ว เม้มเป็นเส้นตรงก็แล้ว แต่ทำไมยังรู้สึกเหมือนมันบวมเจ่อแล้วก็ชาจนควบคุมไม่ได้อย่างเมื่อคืนนี้อยู่เลย


     

    เขานอนไปทั้งผมเปียกหมาดๆ แล้วก็คิดว่าเสื้อของชานยอลก็คงเปียกเป็นวงเพราะการไม่ยอมกลับไปที่นอนของตัวเอง ใช่แล้ว... พวกเขานอนกอดกันจนถึงเช้า แล้วก็แทบไม่กล้ามองตากันอีกเลยหลังจากตื่นมา


     

    ก้มลงมองโทรศัพท์ในมืออีกครั้ง อีกคนจะยังรอเขาตอบกลับข้อความอยู่หรือเปล่านะ ชานยอลจำเรื่องที่บอกว่าจะไปดูคินดะอิจิไลฟ์แอคชั่นได้อย่างขึ้นใจ แบคฮยอนแทบจำไม่ได้แล้วว่าเมื่อคืนตอนที่ถูกกอดนั้นคนตัวสูงพูดอะไรบ้าง แต่คลับคล้ายคลับคลาว่ามีเรื่องไปดูหนังด้วย


     

    พอนึกได้อย่างนั้น แบคฮยอนก็พิมพ์ข้อความตอบกลับไปด้วยอีโมชั่นรูปยิ้ม

     

     

     










     

     

     

     

    เสียงนกหวีดเป่าดังลั่นสนามเป็นสัญญาณให้นักกีฬาแยกย้ายกันไปพักได้ตามอัธยาศัยเป็นเวลาสิบห้านาที ลู่หานเคยเป็นคนแรกที่วิ่งหาน้ำดื่มเย็นๆและผู้จัดการสาวสวย แต่ช่างปะไรล่ะ ของแบบนั้นน่ะมีให้เห็นอีกทั้งชีวิต


     

    สาวเท้าเร็วๆมาจนถึงกระเป๋ากีฬาสีดำที่วางอยู่ข้างสนาม ในนั้นมีของไม่มากนัก แต่สำคัญที่สุดก็คงเป็นเจ้าโทรศัพท์เครื่องบางเฉียบซึ่งร่างผอมหยิบมันขึ้นมากดสไลด์ดูอย่างรวดเร็ว เลื่อนไปเลื่อนมาอยู่พักหนึ่งก็ได้แต่ดิ้นเร่าๆ แถมไม่วายหันไปค้อนเพื่อนรวมทีมที่ตะโกนถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงอีก


     

    จะกล้าดีเกินไปแล้วนะโอเซฮุน! นี่มันผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วไม่คิดที่จะโทรหากันบ้างหรือไง?


     

    ป่านนี้จะทำอะไรอยู่ นอนรู้สึกผิดแล้วซาบซึ้งถึงความจริงในใจของเขาขึ้นมาสักนิดบ้างไหม หรือว่ายังทำตัวสบายดีแล้วเที่ยวเดินไปส่งผู้หญิงไม่รู้จักจนโดนเปิดซิงไปแล้วอีก? ไม่สิ ไม่ๆ ตอนนี้มันปิดเทอม ไม่มีผู้หญิงที่ไหนไปวุ่นวายกับหมอนั่นได้หรอก


     

    ก็แล้วทำไมไม่ติดต่อมาบ้างเล่า!




     

    “ลู่หาน น้ำเย็นๆจ้ะ”


     

    “ขอบคุณครับ


     

    หันไปมองผู้ช่วยผู้จัดการทีมคัพซีทั้งยังไม่สบอารมณ์แบบนั้น ฝืนยิ้มหวานๆออกไปเป็นคำตอบเพราะมันไม่ใช่เรื่องเลยสักนิดกับการพาลใส่ผู้หญิงสวยๆสักคนแค่เพียงเพราะถูกคนในความคิดทำมึนใส่ด้วยการไม่โทรมาหา


     

    อันที่จริงเซฮุนก็ไม่เคยโทรมาหรอกถ้าไม่มีธุระจำเป็น


     

    อ้อไม่สิ... ต่อให้มีธุระจำเป็นก็คงไม่โทร


     

    ก็แล้วการโทรมาหาเขาบ้างมันไม่ใช่เรื่องจำเป็นตรงไหนกันล่ะ!

     

     

     










     

     

     

     

    “ฮะ... ฮัด...!


     

    ถูกจมูกแดงรื้นเบาๆพลางรีบย่อตัวลงหลังเคาน์เตอร์ก่อนจะเผลอจามออกไปทั้งที่ยังมีลูกค้าประปรายอยู่ในร้าน เซฮุนไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย เขาไม่ควรจะเป็นหวัดหน้าร้อนทั้งที่เพิ่งมาดูร้านให้พี่สาวเป็นวันแรก


     

    ครั้นหยัดตัวขึ้นมาเพื่อประจำแคชเชียร์ตามเดิมก็เห็นว่ามีเด็กผู้หญิงถือถาดขนมรอจ่ายเงินอยู่ก่อนแล้ว เอ่ยขอโทษขอโพยไปนิดหน่อยแล้วจึงคีบเอาขนมพวกนั้นมาใส่ถุงติดโลโก้ของร้าน ระหว่างนั้นก็ต้องยิ้มรับคำเยินยอของพวกเธอไปด้วย ตั้งแต่เช้ามาแล้วนะที่เขาต้องเอาแต่ตอบคำถามประเภทที่ว่า ขอเบอร์ได้ไหม? ทำงานที่นี่ถึงเมื่อไหร่? เรียนโรงเรียนอะไร?


     

    พูดก็พูดเถอะ เซฮุนไม่เห็นว่านั่นจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการซื้อขนมปังพวกนี้ตรงไหน ถึงเขาจะทำแค่ยิ้มๆและพูดแค่จำนวนเงินกับคำว่าขอบคุณก็เถอะ แต่แปดสิบเปอร์เซนต์ของพวกหล่อนกลับพูดว่ายังไงก็จะมาอุดหนุนใหม่บ้างล่ะ จะยอมอ้วนทั้งปิดเทอมบ้างล่ะ


     

    เมื่อไหร่พี่ที่ชื่อซอนเยจะกลับมานะ...


     

    ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมง รอให้พนักงานกะบ่ายเข้ามาสมทบแล้วคงมีเวลาได้ไปนั่งกินข้าวหลังร้านสักหน่อย อย่างน้อยก็ขอบคุณพี่สาวคนโตที่อุตส่าห์ตื่นมาทำไข่เค็มของโปรดเป็นข้าวกล่องให้เพราะสงสารเขาที่ต้องยืนดมกลิ่นนมเนยทั้งวัน แต่เซฮุนไม่มีสิทธิ์พูดคำว่าเอียนจะแย่หรอกในฐานะน้องชายเจ้าของกิจการ


     

    “สวัสดีค่ะ”


     

    เสียงใสทักขึ้นหลังบานประตูกระจกของร้านถูกเปิดออก โอเซฮุนมองเด็กสาวรูปร่างผอมบางคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนคุยอยู่กับพนักงานรุ่นพี่ เธอก้มมองนาฬิกาข้อมือพลางผงกศีรษะงั่นงกแล้วจึงเดินผ่านชั้นขนมปังเข้ามาทางด้านใน กระทั่งตาเรียวรีชั้นเดียวนั่นหันมาเจอเขาก็ทำหน้าเหมือนเห็นตัวประหลาดสักชนิดไม่มีผิด


     

    “....”


     

    “เอ่อ...”


     

    “....”


     

    “สวัสดีครับ”


     

    โอเซฮุนเป็นฝ่ายโค้งหัวทักทายอย่างเป็นทางการขึ้นมาก่อน พอเห็นอย่างนั้นเด็กสาวจึงเหมือนตั้งสติขึ้นมาได้แล้วรีบโค้งศีรษะเป็นการทักทายตอบ “สวัสดีค่ะ ขอโทษ... สวัสดีค่ะ ขอโทษอีกครั้งนะคะ”


     

    ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าเขาเผลอทำหน้ายักษ์ใส่หรือเบ้ปากเป็นรูปร่างแปลกๆหรือเปล่าสาวเจ้าถึงได้ดูลุกลี้ลุกลนขึ้นมาถนัดตาแบบนี้ เป็นโชคดีที่พนักงานอีกคนเดินเข้ามาสมทบ หล่อนจึงเป็นฝ่ายแนะนำตัวแทนคนข้างๆซึ่งทำท่าเหมือนใกล้เป็นลมอยู่รอมร่อ


     

    “นี่คิมดานีค่ะ เป็นเด็กที่มาทำงานพิเศษตั้งแต่ช่วงปิดเทอมแรกๆ” หล่อนว่า ในขณะที่คิมดานีก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาใส่เขาอยู่อย่างนั้น “ส่วนนี่คุณเซฮุน เป็นน้องชายของคุณเซนาที่จะมาช่วยดูร้านแทนช่วงนี้จ้ะ”


     

    “สวัสดีค่ะ”


     

    หล่อนสวัสดีเขาเป็นรอบที่สามแล้ว เห็นท่าทางแบบนี้แล้วก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาขึ้นมาอย่างประหลาด ถึงอย่างนั้นมันกลับเลือนรางเสียจนต้องตัดความรู้สึกนี้ทิ้งไป “เรียกเซฮุนเฉยๆก็ได้ครับ”


     

    “เห็นคุณเซนาบอกว่าเรียนโรงเรียนเดียวกับเซฮุนด้วยนี่ ไม่รู้จักกันเหรอ?”


     

    พอถูกถามขึ้นมาอย่างนั้นชายหนุ่มก็ต้องเบนสายตามองเด็กสาวตรงหน้าอีกครั้ง คงเคยเดินสวนกันอยู่บ้างล่ะมั้ง ถ้าแค่อยู่โรงเรียนเดียวกันในเขตนี้ล่ะก็ ทำไมถึงได้ทำหน้ายังกับเห็นผีแบบนั้น


     

    “ไม่รู้จักหรอกค่ะ เราเรียนกันคนละห้อง” ดานีชิงตอบขึ้นมา สายตานั้นเหลือบมองเขาเล็กน้อยแต่แล้วก็หันหนีไปอีก


     

    “เราอยู่ชั้นปีเดียวกันเหรอ?”


     

    “ค่ะ” เธอตอบเขาด้วยน้ำเสียงทางการ ท่าทีลุกลี้ลุกลนยังไม่หายไปเสียทีเดียว “ฉัน... ฉันขอตัวไปเก็บของที่หลังร้านก่อนนะคะ”


     

    ท่าทางลนลานแล้วก็เดินห่อไหล่กอดกระเป๋าไว้แนบอกแบบนั้น...


     

    “เดี๋ยว”


     

    ร่างโปร่งร้องเรียก เด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันมาทางเขาให้พอไม่เสียมารยาท โอเซฮุนคิดว่าตัวเองคงจำไม่ผิด แล้วไอ้ท่าทางตกใจเมื่อครู่ก็คงเพราะเพราะจำเขาได้อย่างนั้นสินะ


     

    “เธอ... คนในห้องน้ำตอนนั้น...?”

     

     










     

     

     

     

     

    นี่ก็ผ่านมาครึ่งทางแล้วสำหรับชีวิตอิสระในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน สเตตัสโอดครวญถึงความสุขซึ่งผ่านไปไวเหมือนโกหกของเพื่อนร่วมชั้นเรียนทำให้ปาร์คชานยอลอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ใครจะว่าเวลาเล่นขี้โกงหรืออะไรก็ช่างเถอะ แต่สำหรับชานยอลแล้วมันช้าเหลือเกินกว่าจะมาถึงวันนี้


     

    โซนหน้าโรงภาพยนตร์ของห้างใจกลางเมืองซึ่งเขาทำปาร์คจียอนร้องไห้เมื่อเดือนที่แล้วไม่ใช่ความทรงจำที่ดีนัก ได้แต่หวังว่าตอนไปซื้อบัตรพนักงานจะจำหน้าเขาไม่ได้แล้วไม่หันไปซุบซิบนินทากันถึงเรื่องนั้นหรอกนะ แต่ถ้าคิดในแง่ดีมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนั่นแหละ ผ่านมาตั้งเป็นเดือนแล้วคงไม่มีใครจำหน้าได้หรอกมั้ง


     

    นึกแล้วก็เหลือเชื่อ ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนปาร์คชานยอลมีความทรงจำกับโรงเรียนใหม่มากมาย แน่นอนว่าเพื่อนแต่ละโรงเรียนทดแทนกันไม่ได้ แต่ที่โซลนี่คงพิเศษขึ้นมาเพราะว่ามีบยอนแบคฮยอน




     

    ถ้าไม่ต้องย้ายไปไหนอีกก็คงดี




     

    “....”


     

    รีบไล่ความคิดฟุ้งซ่านแย่ๆออกจากหัวแล้วก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ จากการโทรหาครั้งล่าสุดเมื่อราวๆยี่สิบนาทีก่อนแบคฮยอนอยู่บนรถประจำทางแล้ว ไม่ใช่... แบคฮยอนไม่ได้มาช้าหรอก แต่เป็นเขาเองนั่นแหละที่มาก่อนเวลาแล้วยังโกหกไปว่าเพิ่งขึ้นรถอีก ถ้าบอกว่ามาถึงแล้วมีหวังอีกฝ่ายคงเอาแต่ขอโทษจนหนังฉายแน่ๆ


     

    ป่านนี้ก็น่าจะถึงได้แล้วนี่นา...


     

    ไม่ทันขาดคำก็เห็นร่างเล็กเดินมาแต่ไกล คนตัวสูงรีบแอบเข้าหลังเสา กดปิดเสียงโทรศัพท์แล้วเหลือบมองไปยังจุดนัดพบทั้งอมยิ้มไม่หุบกับเรื่องที่เพิ่งคิดขึ้นมาได้สดๆร้อนๆ เหลือเวลาให้เอ้อระเหยอีกหน่อย ยังไงก็ขอให้คินดะอิจิยังมีที่ว่างเหลือสักสองที่ก็แล้วกัน


     

    ชานยอลไม่เคยคิดว่าผู้ชายใส่เสื้อยืดสีขาวมันดูน่ารักหรือพิเศษอะไร แต่วันนี้เขาขอกลับคำพูด


     

    บยอนแบคฮยอนเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและกดโทรออกเมื่อไม่เห็นวี่แววของคนที่นัดไว้ รอจนเสียงสัญญาณดังได้สองครั้งปลายสายก็กดรับ หนำซ้ำมันยังจอแจเหมือนที่ๆเขาอยู่ไม่มีผิด


     

    “ฉันมาถึงแล้ว... ชานยอลอยู่ไหนเหรอ?”


     

    เลือกใช้คำพูดให้ดูไม่เป็นการเร่งรัดจนเกินไป ถ้าอีกฝ่ายตอบว่ายังอยู่บนรถเขาก็คงต้องเดินหาที่นั่งสักที่เพื่อรอจนกว่าจะมาถึง แค่รอน่ะไม่เป็นไรหรอก แบคฮยอนคิดว่าตัวเองรอเก่ง


     

    ( ยังไม่ถึงเลย รถติดมากเลยล่ะ )


     

    “อ่า... ไม่เป็นไร”


     

    ( แบคฮยอนถึงนานแล้วเหรอ? )


     

    “เปล่า เพิ่งถึงน่ะ”


     

    ( ขอโทษนะ )


     

    “ไม่ต้องขอโทษเลย... ชานยอลไม่ต้องรีบหรอก ฉันรอ-- เห?”




     

    รู้สึกได้ถึงแรงสะกิดที่บ่าจนต้องรีบหันไปมองเผื่อกำลังยืนขวางทางใครเข้า ผิดคาดที่คนตรงหน้าคือปาร์คชานยอลซึ่งยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูข้างหนึ่งในขณะที่ปากก็ยิ้มกว้างจนน่ากลัวว่าจะฉีกไปถึงหู ร่างเล็กลดโทรศัพท์ลงมองสลับกับใบหน้าคนตัวสูงไปมา ใช้เวลาจับต้นชนปลายได้สักพักก็เข้าใจว่าชานยอลโกหกคำโต


     

    “แกล้งกันนี่นา...”


     

    ชานยอลไม่เคยเห็นแบคฮยอนค้อน แต่นี่อาจดูใกล้เคียงคำนั้นที่สุดก็ได้เมื่อร่างเล็กบ่นอุบอิบเป็นประโยคสั้นๆก่อนจะเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง แต่คนขี้แกล้งก็เอาแต่หัวเราะออกมาเบาๆ และแทนที่แบคฮยอนจะปั้นหน้าตึงต่อ ริมฝีปากนั้นกลับเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเล็กๆหาดูได้ยาก


     

    เห็นอย่างนั้นร่างสูงถึงกับหยุดหัวเราะ มันก็จริงที่เขาตั้งใจแกล้งกันเล็กๆน้อยๆแล้วมันก็เรียกรอยยิ้มได้ดังคาด เพียงแต่ความรู้สึกร้อนวูบวาบบนใบหน้านี่มันหยุดทุกอย่างได้ชะงัดนัก ยกนิ้วขึ้นถูจมูกไปมาเบาๆแก้เก้อก่อนจะเสสายตามองจอดิจิตอลใหญ่ด้านบนซึ่งกำลังฉายตัวอย่างภาพยนตร์รักโรแมนติก


     

    “ไปซื้อตั๋วกันเถอะ”


     

    ชั่งใจว่าจะจับมือเดินไปด้วยกันดีไหม แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนไม่ใช่ผู้หญิง การจะทำอะไรออกนอกหน้าท่ามกลางสายตาคนทั้งห้างคงไม่ใช่เรื่องดีนัก ไม่ใช่ว่าชานยอลแคร์สายตาใคร... เขาแค่แคร์แบคฮยอนต่างหาก


     

    เพราะว่ายังเป็นตอนกลางวันโซนภาพยนตร์จึงไม่ได้มีคนมากถึงขนาดต้องต่อแถวยาวเหยียด รอไม่ถึงสองนาทีก็ถึงคิวของทั้งสองคนในการเลือกเรื่องและที่นั่ง คิ้วเรียวของชานยอลขมวดมุ่นในตอนที่พนักงานเปิดภาพให้เลือก เขาจึงได้แต่หันไปยิ้มแห้งๆให้คนข้างตัว


     

    “ขอโทษนะ เหลือแต่ที่นั่งหน้าๆทั้งนั้นเลย” คงจะทรมานน่าดูถ้าต้องแหงนคอตลอดเวลาชั่วโมงครึ่ง ถ้าเขาไม่เอ้อระเหยด้วยการแกล้งให้อีกฝ่ายโทรศัพท์หา บางทีอาจจะยังมีที่นั่งเหลืออยู่บ้างก็ได้ ทั้งที่คนก็ไม่ได้ดูพลุกพล่านขนาดนั้นแท้ๆ “รอบต่อไปก็ต้องรออีกตั้งเกือบสามชั่วโมง”


     

    “หรือคุณลูกค้าสนใจเป็นที่นั่งวีไอพีทางด้านหลังไหมคะ เป็นแบบโซฟา ราคาคู่ละหนึ่งหมื่นสามพันวอนค่ะ”


     

    ทั้งคู่หันมามองหน้ากัน ที่นั่งปกติราคาสี่พันห้าร้อยวอน เท่ากับว่าถ้าพวกเขาเลือกความสบายในการไม่ต้องแหงนหน้าดูหนังแล้วล่ะก็จะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นถึงสี่พันวอน ราวกับชั่งใจทางสายตา และสุดท้ายบยอนแบคฮยอนก็เป็นฝ่ายพูดออกไปก่อนหลังจากปล่อยให้พนักงานรอคำตอบอยู่เกือบครึ่งนาที


     

    “เอาเป็นที่นั่งธรรมดาดีกว่า--


     

    “เอาที่นั่งโซฟาก็ได้ครับ”


     

    ปาร์คชานยอลพูดสวนขึ้นก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายค่าบัตรเสร็จสรรพ ครั้นพอได้ตั๋วมาอยู่ในมือก็ได้แต่ยืนมองหน้ากันอยู่ตรงทางเดินข้างๆ แบคฮยอนยื่นเงินมาให้เขาเจ็ดพันวอน แต่คนตัวสูงกว่ายอมเลือกหยิบมาแค่สี่ใบ


     

    “ไม่ได้นะ หารครึ่งกันสิ”


     

    ขำออกมาเบาๆหลังจากได้ยินน้ำเสียงแบบที่คนตรงหน้าไม่พูดออกมาบ่อยนัก จะให้แกล้งหูทวนลมก็ยังไงอยู่ ขืนทำอย่างนั้นมีหวังบรรยากาศได้อึดอัดไปจนหนังจบเรื่องแน่ๆ “ฉันเป็นคนดื้อจะดูแบบโซฟา เพราะอย่างนั้นแบคฮยอนเอามาแค่สี่พันวอนก็พอแล้ว”


     

    “ไม่ได้นะ” พูดคำว่าไม่ได้ออกมาเป็นครั้งที่สอง แบคฮยอนที่ดูเอาแต่ใจเล็กๆนี่น่ารักอย่างบอกไม่ถูกเลยให้ตายเถอะ “ดูด้วยกันแท้ๆ จะให้ชานยอลออกเยอะกว่าได้ไง”




     

    ดีจัง... เหมือนได้ใกล้เข้าไปอีกนิดเลย




     

    “งั้นไว้อาทิตย์หน้าแบคฮยอนค่อยเลี้ยงข้าวฉันคืนก็แล้วกัน” ชานยอลไม่เคยคิดว่าตัวเองเจ้าเล่ห์หรือเผด็จการ และที่เขาทำอยู่นี่ก็ไม่ใช่แผนการอะไรด้วย


     

    คนตัวเล็กนิ่งคิดไป บางอย่างที่มันซับซ้อนแบคฮยอนก็มักจะคิดมากเสมอ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ทั้งที่เข้าใจแต่แรกแต่ก็ยังดึงดันจะเสียเวลาคิดมากขึ้นอีกหน่อยว่าไม่ได้ทำความเข้าใจคำพูดของคนตรงหน้าผิดไป


     

    แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบ ปาร์คชานยอลก็จับข้อมือของเขาและพาเดินไปด้วยกันจนถึงทางเข้าโรงภาพยนตร์ซึ่งห่างออกไปไม่ไกล ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้นะ... ไม่เคยรู้มาก่อนเลย




     

    นอกจากความใจดีแล้ว... ชานยอลก็เอาแต่ใจมากๆด้วย

     

     







     

     

    ปกติเขาไม่ใช่คนชอบดูหนังประเภทสืบสวนสอบสวนสักเท่าไหร่ แล้วยิ่งเป็นฆาตกรรมวิปลาสเช่นฆ่าตัดหัวแล้วเอาไปวางบนตัวตุ๊กตาคาบูกินั่นชานยอลก็ยิ่งคิดว่ามันไม่เข้าท่า ไม่เห็นรู้เลยว่าบรรยากาศญี่ปุ่นสมัยก่อนจะชวนให้โทนเรื่องดูลึกลับขนาดนี้ หันไปข้างๆก็เห็นแบคฮยอนยังคงนั่งดูอย่างตั้งอกตั้งใจเหมือนตอนเริ่มเรื่อง


     

    อ่า... หนังนี่จะสักกี่ชั่วโมงนะ ถ้ายาวสักครึ่งวันก็คงดี


     

    บางทีโซฟาอาจจะลาดลงเป็นรูปตัววีก็ได้บยอนแบคฮยอนถึงรู้สึกว่าเขาและคนข้างๆใกล้กันจนเกินไปแล้ว บังคับสายตาให้จับจดกับบทสนทนาของตัวละครในเรื่องแม้ว่าจะได้ยินแค่เสียงหัวใจตัวเองก็เถอะ


     

    ปลายนิ้วก้อยสัมผัสกันผะแผ่ว มันก็แค่ความบังเอิญเล็กๆเท่านั้นเอง แต่ความบังเอิญที่ใหญ่กว่าก็คือคงมีแค่พวกเขาสองคนที่เลือกนั่งโซฟาแบบคู่ในการดูหนังฆาตกรรมญี่ปุ่นรอบนี้


     

    “....”


     

    “....”


     

    เพราะอย่างนั้นถ้าตัดองค์ประกอบรอบข้างออก การที่สุดท้ายแล้วมือของชานยอลวางทาบทับลงมาและเขาก็ยอมจับตอบกลับไปมันคงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนัก




     

    แต่ว่า... นี่เป็นครั้งแรกเลยที่แบคฮยอนดูหนังไม่รู้เรื่อง

     

     

     










     

     

     

     

    “พี่เยอึน ถ้ามีอะไรล่ะก็รบกวนโทรเข้าเบอร์นี้แทนนะครับ” ยื่นแผ่นกระดาษใบเล็กๆให้หญิงสาวพนักงานตรงหน้าก่อนที่เธอจะเดินออกไปจากร้าน เจ้าหล่อนทำหน้าแปลกใจนิดหน่อยแล้วถามกลับ


     

    “อ้าว ทำไมล่ะคะ เปลี่ยนเบอร์เหรอ?”


     

    โอเซฮุนเหยียดยิ้มแห้งๆแล้วพยักหน้ารับ “ไม่ทันระวังน่ะครับ รู้ตัวอีกทีก็หายไปแล้ว เลยต้องเปลี่ยนเบอร์ใหม่พร้อมเครื่อง”


     

    “เอ๋... อย่างนี้ก็แย่เลยสิ หายแถวไหน ระงับเบอร์แล้วใช่ไหมคะ”


     

    “เรียบร้อยแล้วครับ คิดว่าน่าจะหายบนรถเมื่อสองสามวันก่อน...” น่าจะเป็นช่วงกลับจากร้านไปบ้าน เซฮุนคิดว่าอย่างนั้น แต่ไปรู้ตัวก็ตอนที่ถึงบ้านแล้วนั่นแหละว่าโทรศัพท์ในกระเป๋าไม่อยู่แล้ว พอบอกแม่กับพี่สาวก็ไม่ถูกดุอะไรมากมายนัก แต่เพิ่งได้เครื่องใหม่และซิมการ์ดมาเมื่อเช้านี้สดๆร้อน “ถ้าเมมไว้แล้วรบกวนพี่ยิงเบอร์เข้าเครื่องผมหน่อยนะครับ”


     

    พูดจบก็รีบผงกหัวเป็นการขอบคุณ คู่สนทนารับปากแล้วจึงสะพายกระเป๋าเดินออกไป เขาเองก็รอให้พนักงานกลับบ้านกันจนหมดแล้วมีหน้าที่ปิดล็อกร้านให้เรียบร้อยในฐานะผู้ชายเพียงคนเดียวและคนดูแลร้าน


     

    พนักงานคนสุดท้ายเดินออกมาแล้ว คิมดานีอยู่ในชุดกางเกงขายาวและเสื้อฮู้ดสีเรียบๆทรงผู้หญิง เธอชะงักนิดหน่อยตอนที่เห็นเขา ถึงจะร่วมงานกันมาถึงสามสี่วันแต่ดูท่าสาวเจ้าจะยังไม่ชินกันสักที


     

    เซฮุนก้มหน้าก้มตาลงจดยุกยิกบนโพสต์อิส ไม่ถึงสิบวินาทีเขาก็ดึงออกแล้วร้องเรียกอีกคนไว้ได้ทันก่อนที่จะออกไป “เอ่อ ดานี”


     

    “หะ... คะ?”


     

    “เธอยังไม่มีเบอร์ผมเลยใช่ไหม” ไม่เข้าใจนักเรื่องที่เธอมักจะทำอ้ำๆอึ้งๆทุกครั้งเวลาถูกถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วแค่กับเขาคนเดียวแบบนี้ พอได้คำตอบเป็นการพยักหน้ารับ ร่างโปร่งก็ยื่นกระดาษใบเล็กให้อย่างที่ได้ให้เยอึนเอาไว้ “เมมเอาไว้นะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาผมได้”


     

    แน่นอนคำพูดของคนดูแลร้านชั่วคราวนั้นหมายถึงเรื่องต่างๆในร้านกรณีที่พี่สาวของเขาไม่อยู่ ดานีเองก็คงรู้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดูลังเลเหลือเกินกับการรับกระดาษแผ่นนั้นไป


     

    “ขอบคุณค่ะ” ผงกหัวให้ทั้งที่อายุเท่ากัน เด็กสาวดูลุกลี้ลุกลนขึ้นมาอีกแล้ว “งั้นฉะ... ฉันขอตัวก่อน...”


     

    “เธอกลับบ้านทางไหนเหรอ?” เซฮุนถามขึ้นอีกในขณะที่จัดการเก็บข้าวของบนเคาน์เตอร์ให้เรียบร้อย เก็บเงินนับแล้วใส่กระเป๋าใบย่อมเพื่อนำให้พี่สาวตอนถึงบ้าน แต่พูดก็พูดเถอะ ทุกครั้งที่อยู่กับดานีเขาเหมือนตัวอะไรสักอย่างเลย หล่อนทั้งหลบตา เดินรักษาระยะ แล้วก็ไม่แม้แต่จะเฉียดเข้ามาใกล้ถ้าทำได้ เซฮุนไม่เคยถูกเด็กผู้หญิงที่โรงเรียนปฏิบัติอย่างนี้มาก่อน


     

    นี่เป็นครั้งแรกที่เธอไม่ได้กลับไปก่อนเขา ทุกครั้งชายหนุ่มเห็นดานีออกไปกับเยอึนหรือพนักงานผู้หญิงคนอื่นๆ แต่วันสุดสัปดาห์แบบนี้ใครๆก็คงติดธุระกระมัง


     

    “ฉัน... ฉันรอรถอยู่ตรงป้ายใกล้ๆนี่เอง”


     

    “รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวผมเดินไปส่ง กลับคนเดียวมืดๆมันอันตราย”


     

    เขายังเอาแต่เก็บสัมภาระลงกระเป๋าโดยไม่ได้เงยขึ้นมองเธอ หน้าของเด็กสาวขึ้นสี และในตอนที่ชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ข้างๆดานีก็รีบเบือนหนีไปทางอื่นแล้วเดินนำออกไป







     

    ใช้เวลาเดินไม่ถึงห้านาทีก็มาถึงป้ายรถประจำทาง ตอนนี้เกือบสี่ทุ่มแล้ว ก้มมองนาฬิกาแล้วก็คิดว่าคงยังเหลือรถอีกสักสองสามรอบ อย่างน้อยๆเขาก็ควรส่งผู้หญิงขึ้นรถให้เรียบร้อยก่อน คิมดานียังคงนั่งเงียบๆไม่ปริปากพูดอะไรเหมือนในทีแรก กลิ่นหอมอ่อนๆลอยเตะจมูก เป็นเรื่องธรรมดาของพนักงานร้านเบเกอรี่ที่จะฉีดน้ำหอมกลบกลิ่นนมเนยหลังเลิกงาน


     

    ความสัมพันธ์ของเขาและเธอไม่ได้ต่างจากเมื่อวันก่อนนัก แน่นอนเซฮุนไม่ใช่คนคุยเก่ง พอมาเจอคนเงียบพอๆกันก็รังแต่จะยิ่งเฉยชาเข้าไปใหญ่ มันก็ไม่ได้น่าอึดอัดอะไรหรอก แต่คงดีกว่านี้ถ้าเขามีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันในช่วงปิดเทอมบ้าง หลังกลับจากบ้านหมอนั่นก็ไม่ได้มีโอกาสไปเจอใครเลย แบคฮยอนมีโทรมาถามไถ่ แต่ก็จบด้วยการตอบไปว่าคงต้องช่วยดูร้านให้พี่สาวจนถึงเปิดเทอม




     

    ก็ไม่ใช่ปิดเทอมที่แย่อะไร แต่คงดีกว่านี้ถ้าในหัวสลัดเรื่องของใครบางคนทิ้งไปได้




     

    ไม่ได้เจอหรือติดต่อกันอีกเลยหลังจากกลับมาถึงโซล หมอนั่นก็แค่นั่งรถแท็กซี่ต่อไปอีกทางและทิ้งให้เขายืนอยู่กับแบคฮยอน ชานยอล ใช่ว่าโอเซฮุนโกรธอะไรลู่หานนักหนาหรอกนะ แต่ยอมรับว่าเขายังเคืองเรื่องคืนนั้น... เรื่องที่หมอนั่นเอาแต่ทำอะไรไม่คิดถึงความรู้สึกคนอื่นน่ะ


     

    คำว่าชอบหรือการจูบมันทำกันได้ง่ายๆเลยหรือไงกัน ไม่ชัดเจนเลยสักนิด เอาแต่แกล้งให้เขารู้สึกแย่แล้วก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เห็นแก่ตัวสิ้นดี




     

    ลู่หานที่เป็นลู่หานน่ะ... เซฮุนไม่ชอบเลยสักนิด




     

    หมอนั่นก็แค่ล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่นไปเรื่อย ไม่จริงจังกับอะไรสักอย่าง ที่เคยพูดว่าอยากเป็นเพื่อนนั่นก็คงไม่ได้จริงใจอะไรเหมือนกัน


     

    ถ้าเอาคำว่าเพื่อนมาค้ำคอแล้วคิดว่าจะทำอะไรก็ได้... สู้ห่างกันไปสักพักคงดีกว่า

     




     

    เซฮุน...

     

    ....

     

    ไม่เคยรู้สึกดีบ้างเลยเหรอ?




     

     

    ไม่เลย...


     

    ทุกครั้งที่หัวใจเต้นแรงแบบนั้น... มันทรมานทุกที




     

    “เอ่อ... เซฮุน”


     

    หลุดจากภวังค์ความคิดแล้วหันไปมองคนข้างๆทั้งดวงตาสั่นระริก ต้องพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เจ็บหัวใจขึ้นมาอีกแล้ว... เพราะอย่างนี้ถึงไม่ชอบคิดเรื่องลู่หาน ผู้ชายคนนั้นไม่เคยทำให้เขาเป็นตัวของตัวเองเลยสักครั้ง


     

    ดานีกำลังยืนมองเขา หน้าของหล่อนเป็นสีแดงเรื่อ “รถมาแล้ว ขอบคุณมากๆเลยนะ”


     

    แล้วชายหนุ่มก็เพิ่งมองเห็นรถประจำทางสีขาวติดป้ายโฆษณาที่กำลังจะเทียบจอด เขาเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ากำลังมานั่งทำอะไรที่นี่


     

    “แล้วเซฮุนล่ะ รถสายที่จะขึ้นคงยังไม่หมดใช่ไหม?”


     

    ทำไมแค่คำถามง่ายๆเขาถึงต้องใช้เวลาคิดนานขนาดนี้นะ ร่างโปร่งหยัดตัวขึ้นเต็มความสูง กระชับสายกระเป๋าบนบ่าโดยไม่จำเป็น “คงยังไม่หมดหรอก แต่ผมเปลี่ยนใจอยากเดินกลับแล้วล่ะ”


     

    “ฉันทำให้เซฮุนลำบากหรือเปล่า ทีหลังไม่ต้องลำบากมานั่งรอเป็นเพื่อนฉันหรอกนะ คือฉันไม่เป็นไร”


     

    “ไม่ลำบากหรอก แค่อยากเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ” เขายิ้ม พอเห็นว่ารถประจำทางจอดนิ่งแล้วจึงพยักเพยิดให้คนตรงหน้ารีบขึ้นไป “เธอเองก็กลับดีๆนะ”


     

    ดานียิ้มตอบก่อนจะแยกเดินขึ้นไปบนรถโดยไม่ลืมจะหันมาผงกหัวให้เป็นการขอบคุณครั้งสุดท้าย หัวใจของเด็กสาวคนหนึ่งเต้นแรงไปหมด เพียงเพราะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคนในรูปข้างในกระเป๋าสตางค์ของเธอมาแสนนาน


     

    เซฮุนใจดีจัง... ถ้าใจดีไปมากกว่านี้อีกดานีก็คงห้ามตัวเองไม่ได้แล้ว


     

    เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองมีหวัง แต่จะหวังสักครั้งก็คงไม่ผิดใช่ไหม?

     

     







     

     

    มองรถประจำทางเคลื่อนตัวออกไปจนสุดสายตา พอต้องกลับมาอยู่คนเดียวก็เหมือนในหัวจะขาวโพลนขึ้นมาอีก ตอนนี้โอเซฮุนกำลังทำอะไรอยู่... ใช้ความคิดเหรอ? ไม่เลย เขาไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น


     

    ก้มลงมองโทรศัพท์เครื่องใหม่เอี่ยมในมือด้วยสายตาว่างเปล่า ในนี้ไม่มีเบอร์ของใครเลยยกเว้นคนในครอบครัวและร้าน ไม่มีแม้แต่เบอร์แบคฮยอน ชานยอล หรือผู้ชายที่ชื่อลู่หาน แล้วก็คงจะเป็นอย่างนี้ไปอีกสักสองสัปดาห์จนกว่าจะถึงเปิดเทอม


     

    ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่ว่าต้องไปเชียร์หมอนั่นในการแข่งฟุตบอลฤดูร้อนล่ะ?


     

    “....”




     

    ดีแล้ว...




     

    ถ้าได้อยู่กับตัวเองมากขึ้นความรู้สึกแปลกๆแบบนั้นอาจจะหายไปก็ได้


     

    ปล่อยให้มันย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้น อะไรๆคงดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

     

     

     





















    ______________________________________

    อ้าว จะยังไงต่อล่ะทีนี้
    ว้าวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    เนื้อเรื่องกำลังเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆแล้วนะคะ
    จากที่คาดไว้คร่าวๆตอนนี้ ไม่เกินตอน 28 ก็น่าจะจบ

    กลับมาอ่านกันได้แล้วน๊า โอ้กลับมาแล้วจ้ะ :3







     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×