คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : ` ( 두근두근 ♡ 20 )
กลิ่นแชมพูอ่อนๆของคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเรียกความสนใจได้ชะงัดนัก ลอบมองแค่เพียงแวบหนึ่ง พอดวงตาเรียวรีนั้นทำท่าจะสบกลับปาร์คชานยอลก็ทำเป็นก้มหน้าก้มตาอยู่กับสมาร์ทโฟนเหมือนอย่างในทีแรก ทั้งที่รูปสุนัขตัวโปรดของเพื่อนก็ยังเป็นตัวเดิม ภาพบนหน้าจอไม่มีการอัพเดทใดๆเพิ่มเติมขึ้นมา อีกแล้วที่เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่สักอย่าง
แบคฮยอนทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิบนที่นอนข้างๆ ห่างไปจากเขาประเท่าไหร่นะ อาจจะหนึ่งเมตร? แต่ก็นั่นแหละ ทำไมเขาต้องประหม่าอย่างกับกำลังถูกนั่งตักด้วยเล่า
ทั้งที่อยากถามออกไปใจแทบขาดเรื่องคิมจงอิน หมอนั่นสำคัญกับอีกฝ่ายแค่ไหนนะถึงได้ดูกระวนกระวายกับโทรศัพท์แบบนั้นทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าโทรไม่ติด แล้วกลับมาที่ว่านั่นคงไม่ใช่กลับมาเรียนโรงเรียนเดียวกันใช่ไหม ว่าแล้วก็เปิดหาข้อมูลสักหน่อยว่านักเรียนแลกเปลี่ยนนี่มีระยะเวลากี่ปีกัน
“....”
ข้อมูลหลากหลายที่บอกว่ามีตั้งแต่หนึ่งสัปดาห์ไปจนถึงสี่ปี อยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์ให้รู้แล้วรู้รอด ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังหาข้อมูลได้โง่เง่าขนาดนี้นะ ทั้งที่เปิดปากถามออกไปก็จบ แต่ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าปาร์คชานยอลพร้อมจะงี่เง่ากับคนทั้งโลกยกเว้นคนที่เขาชอบ!
เพราะอย่างนั้นถึงได้มานั่งอมพะนำแล้วปล่อยให้ห้องทั้งห้องเงียบเป็นเป่าสากอย่างนี้นี่ไง พอแล้ว เลิกคิด เลิกฟุ้งซ่านเหมือนเด็กผู้หญิงช่างหึงสักที
หยัดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะก้มลงดึงขยับเบาะนอนให้เข้าที่ สะดุ้งเล็กน้อยในตอนที่ร่างเล็กลุกขึ้นยืนอย่างเก้ๆกังๆเช่นเดียวกัน ผ้าขนหนูผืนเล็กซึ่งแปะคลุมศีรษะนั้นไว้ดูน่ารักเหมือนกับพวกเจ้าหญิงทะเลทรายไม่มีผิด (ไม่รู้จะเปรียบเทียบเป็นอะไร มันนึกออกแค่นี้) แต่ไอ้การโน้มตัวลงจับเบาะที่นอนเอาไว้แล้วลากห่างออกไปราวๆสองฟุตนั่นคืออะไร
ชานยอลดันเบาะเข้าไปชิดอีกฝ่ายเหมือนในทีแรก แวบหนึ่งที่แบคฮยอนเงยขึ้นมองเขา ก่อนจะรีบหลุบสายตาลงอีกครั้ง
“....”
“....”
แบคฮยอนเขยิบเบาะถอยไปอีก แล้วร่างสูงก็เอาชนะด้วยการดันเบาะตามไปชิดเช่นเดียวกับเมื่อครู่ ก็ไม่เข้าใจหรอกว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร แต่ทำไมถึงทำท่าถอยห่างจากกันแบบนั้น
“....”
คนตัวเล็กขยับเบาะถอยออกไปอีก ครั้งนี้มันชิดกำแพงแล้ว ห้องขนาดหกเสื่อไม่ได้กว้างถึงขนาดที่จะให้ทั้งสองคนเล่นลากเบาะหนีกันไปมาได้ทั้งคืน และครั้งนี้ชานยอลไม่ได้ขยับเบาะตาม
“....”
“....”
“แบคฮยอน...” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นผะแผ่ว ใจทั้งใจร่วงลงไปอยู่ตาตุ่มจนกลัวว่าจะโงนเงนล้มลงไปต่อหน้า อยู่ดีๆก็มาถูกเขยิบหนีกันแบบนี้น่ะ...
บยอนแบคฮยอนค่อยๆทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอนทั้งที่ไม่ได้ขยับสายตาขึ้นมามองตอบเขาเลยสักนิด ท่าทางของคนตัวเล็กดูกล้าๆกลัวๆอย่างเด็กที่ทำผิดอยู่ตลอดเวลายังไงยังงั้น ชานยอลปล่อยมือออกจากเบาะในระยะที่ห่างจากเบาะอีกอันราวๆฟุตครึ่ง ชั่งใจว่าที่แบคฮยอนทำอย่างนี้เพราะเรื่องนั้นหรือเปล่า
“คือว่า...”
นั่งลงขัดสมาธิบนช่องว่างระหว่างที่นอนแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง มันคงไม่ดีแน่ถ้าทั้งคู่จะต้องผิดใจกันเพราะความงั่งไม่เข้าเรื่องของคนตัวสูง ไหนๆนี่ก็เป็นโอกาสเหมาะและไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนอื่นแล้ว ชานยอลคิดว่าต่อให้พูดเรื่องนั้นขึ้นมาก็คง... คงไม่เป็นไรล่ะมั้ง
“ขอโทษนะ”
“หืม?”
เป็นแบคฮยอนที่ชิงพูดคำขอโทษขึ้นมาเสียก่อน ร่างเล็กยังคงปล่อยให้น้ำหยดลงจากปอยผมเป็นวงเล็กๆบนที่นอนโดยไม่ได้จัดการเช็ดมันต่อให้แห้งอย่างที่ควรจะเป็น กางเกงนอนขาสามส่วนสีกากีกลายเป็นที่วางมือว่างๆ แล้วอะไรทั้งหมดในห้องนี้ก็คงน่ามองไปเสียหมดยกเว้นใบหน้าของปาร์คชานยอล
“ขอโทษที่ฉันทำให้ชานยอลรู้สึกอึดอัด...” ร่างเล็กว่าเสียงเบาหวิว แต่สาบานได้ว่ามันเหมือนกับชานยอลโดนตบหน้าฉาดใหญ่ทั้งที่แค่นั่งฟังเฉยๆ มันควรจะเป็นเขาไม่ใช่หรือไงที่พูดคำนั้นน่ะ
“เดี๋ยวก่อน”
“....”
“คือ...” คนตัวสูงไม่รู้จะทำอะไรนอกเหนือเสียจากใช้มือใหญ่นั้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ ความรู้สึกเหมือนมีมดเป็นพันวิ่งอยู่ตามตัวนี่มันแย่ชะมัด หนำซ้ำหน้าของเขายังร้อนเสียจนอาจจะใช้มันรีดผ้าได้ด้วยซ้ำ “ที่ว่าอึดอัดน่ะ มันไม่ใช่อย่างนั้น”
หยดน้ำจากปอยผมสีน้ำตาลนั้นมันชวนให้รู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก สุดท้ายก็ต้องแพ้ใจตัวเองด้วยการพาร่างเขยิบเข้าไปนั่งขัดสมาธิตรงหน้าก่อนจะจับผ้าขนหนูบนศีรษะแล้วขยับเช็ดให้อย่างเบามือ ร่างเล็กของแบคฮยอนสะดุ้งเบาๆแต่ก็ยอมนั่งนิ่งๆให้เขาเช็ดผมทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตามองกางเกงตัวเองอยู่อย่างนั้น
ชานยอลไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยากพูดอะไร แต่ถึงอย่างนั้นข้ออ้างซึ่งมีมาตลอดทั้งวันก็ใช้ไม่ได้ในตอนนี้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเขาเองน่าจะรู้ดีกว่าใครว่าแบคฮยอนถนัดเรื่องการดูถูกตัวเองแค่ไหน แค่หนึ่งวันก็ยาวนานมากเกินพอแล้ว
“ฉันไม่ได้อึดอัดเพราะแบคฮยอนหรอก ขอโทษที่ทำให้เข้าใจไปอย่างนั้นนะ”
“....”
“ก็แค่ทำตัวไม่ถูกน่ะ”
“....”
“รู้ใช่ไหมว่าเรื่องอะไร”
คนตัวเล็กไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากผงกหัวหงึกหงักเป็นการตอบรับ แต่ดีแล้วที่แบคฮยอนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะคิดว่าการที่หูกางๆนั่นกลายเป็นสีแดงมันน่ามอง แล้วยิ่งเป็นตอนที่สีแดงลามไปทั้งหน้าของปาร์คชานยอลแบบนี้แล้ว
ยิ่งแบคฮยอนไม่ตอบอะไรกลับมาบทสนทนาก็รังแต่จะยาวนานขึ้นอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นไปด้วยความเงียบ เสียงหึ่งๆของแอร์ดังแว่วอยู่อย่างนั้น มันน่ารำคาญเสียจนชานยอลคิดว่าควรจะส่งเสียงพูดอะไรออกไปกลบสักที
เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ...
ตากลมโตจ้องมองเรือนผมสีน้ำตาลอยู่อย่างนั้นก่อนที่สองมือจะหยุดลง อีกแล้ว... ความรู้สึกนี้มันเหมือนเมื่อคืนไม่มีผิด มือหนึ่งถูกลดลงมาตรงหน้าตักกางเกงสีน้ำตาล มันทาบทับมือของแบคฮยอนเอาไว้แล้วกุมอย่างหลวมๆ ในขณะที่อีกมือชานยอลก็ใช้มันเชยคางเล็กขึ้นเพื่อสบตากันในรอบหลายชั่วโมง
ไม่รู้หรอกว่าแบคฮยอนจะเข้าใจหรือเปล่า หรือว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
ตาเรียวรีนั่นดูขลาดอายที่จะมองเขา ใบหน้าขาวๆของคนตัวเล็กแต่งแต้มไปด้วยสีแดงเรื่อๆไม่ต่างกัน มันทั้งชวนให้เขินหนักกว่าเก่า แล้วก็ดูน่ารักจนร่างสูงต้องเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ กลิ่นแชมพูหอมอ่อนๆยังคงลอยเตะจมูก แล้ววงกลมสีเข้มตรงหน้าก็สะท้อนแค่ภาพของเขา
“....”
“....”
ริมฝีปากเฉียดกันผะแผ่ว มันเบามากเสียจนไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการจูบ แต่ถึงอย่างนั้นในตอนที่มือใหญ่ทาบทับลงบนพวงแก้ม ปลายนิ้วไล้อยู่ตรงใบหู สัมผัสอุ่นๆจากหน้าผากที่นาบลงมาและปลายจมูกโด่งสันเคล้าเคลีย ทุกอย่างที่รวมกันเป็นผู้ชายชื่อปาร์คชานยอลกำลังทำให้บยอนแบคฮยอนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอะไรสักอย่าง
มันเหมือนร่างทั้งร่างลอยฟุ้งเป็นไออยู่กลางภวังค์สีขาว ห้องทั้งห้องขยายใหญ่ออกไปจนสุดลูกหูลูกตา แบคฮยอนเห็นปลาแหวกว่ายอยู่กลางอากาศ เห็นใบหน้าของคนตัวสูงเปล่งประกายเหมือนแสงอาทิตย์ มันทำให้เขาแสบตาเสียจนต้องหลุบสายตาลงมองเสื้อยืดสีดำที่เจ้าตัวกำลังสวมใส่ ปลายเข่าของชานยอลซ้อนเข้ามาอยู่ใต้เข่าของเขา และแบคฮยอนก็รู้ตัวทุกอย่าง ว่าพออยู่ภายใต้วงแขนใหญ่นี้เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงและความคิดว่าอยากหนีไปไหนเอาเสียเลย
“ที่เคยบอกว่าชอบ...”
“....”
“...ก็เพราะชอบจริงๆ”
“....!”
จะทำยังไงดี...
รู้สึกเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ มันร้อนไปหมด แถมโรคหัวใจก็ยังกำเริบจนเหมือนจะหลุดออกมายังไงยังงั้น
รู้แล้ว...
บยอนแบคฮยอนรู้แล้ว...
ว่าโรคหัวใจที่เขาเป็นนั้นหมอรักษาไม่ได้หรอก เพราะมันเกิดขึ้นเฉพาะตอนอยู่กับชานยอลเท่านั้น... แค่ผู้ชายคนนี้ที่มีอิทธิพลกับใจเขา...
แบคฮยอนเป็นเหมือนใบหญ้า ชานยอลเป็นเหมือนพระอาทิตย์
ทั้งอบอุ่นใจเพราะแสงนั้น แต่ก็ร้อนเหมือนโดนแผดเผาในตอนที่สาดแสงจ้าจนเกินไป
บางครั้งแบคฮยอนก็เป็นเหมือนผืนน้ำ และบางครั้งชานยอลก็เป็นเหมือนพระจันทร์
ในตอนที่พระจันทร์ห่างออกไปผืนน้ำก็เหือดแห้ง แต่พอใกล้เข้ามาก็ล้นขึ้นจนแทบทะลัก
เหมือนกับความรู้สึกเลย... พิเศษกว่าอะไรทั้งนั้น
“ฉัน...” จะทำยังไงดีนะ เขาต้องตอบรับความรู้สึกของชานยอลยังไงดี สู้ชานยอลแค่ยิ้มให้แล้วคอยเดินข้างๆกันเหมือนเดิมยังดีเสียกว่า
เพราะเป็นแบบนี้แล้ว... แบคฮยอนคิดอะไรไม่ออกเลย
“ไม่ต้องหรอก”
“....”
“ยังไม่ต้องพูดอะไรก็ได้”
“....”
“รอให้ถึงตอนที่แบคฮยอนแน่ใจ... แล้วค่อยพูดมันออกมา”
“....”
“....”
“....”
เปลือกตาบางปิดลงช้าๆในตอนที่ริมฝีปากนั้นแนบลงมา ร่างของเขาค่อยๆถูกดันลงจนนาบกับเบาะที่นอน แล้วมันก็หนักขึ้นในตอนที่ร่างสูงนั้นคร่อมทับลงมาทั้งที่ยังไม่ผละริมฝีปากออกไป มันทั้งหอมหวานและนุ่มละมุนเหมือนสายไหม
อ่า... ชานยอลยังไม่ได้บอกแบคฮยอนใช่ไหมว่านี่ไม่ใช่จูบครั้งที่สอง เขาเคยลักหลับคนตัวเล็กไปแล้วครั้งหนึ่งในตอนที่ไปค้างด้วยกัน
แต่ตอนนี้น่ะช่างเถอะ...
“ขอบคุณมากนะครับ”
โค้งศีรษะเป็นการขอบคุณกันยกใหญ่แม้ว่ากระเป๋าบนบ่าจะหนักแค่ไหนก็ตาม แม้ว่าการมาเที่ยวชุนชอนในครั้งนี้พวกเขาจะไม่ได้กิจกรรมอะไรมากมายนักและบ้านสกุลลู่ก็ค่อนข้างจะให้ความเป็นส่วนตัวโดยการไม่เข้ามาสอดส่องวุ่นวาย แต่ถ้านับเรื่องการต้อนรับขับสู้แล้วล่ะก็...
“ชานยอลบอกว่าไก่ทอดอร่อยมากจริงๆ” ลู่หานยืนล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบายๆ แหงล่ะ บนบ่าหมอนี่แทบไม่มีอะไรเลยนอกจากกระเป๋าเป้เบาหวิวสีสันแสบตา มือไม้ของเซฮุนและแบคฮยอนมีแต่ของฝาก มันเยอะเสียจนชานยอลต้องช่วยแบ่งไปถือเอาไว้ในระหว่างที่เจ้าถิ่นกำลังร่ำลาบุพการี
“แล้วแวะเวียนมาเที่ยวกันอีกนะจ๊ะ ที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ” ในขณะที่พูดคุณนายลู่ก็กางสองแขนออกเพื่อรอให้ลูกชายเพียงคนเดียวเข้าไปสวมกอดอย่างรักใคร่ ข้างๆกันนั้นคือเจ้าบ้านซึ่งยืนทำหน้าถมึงทึงเหมือนอย่างทุกที อาจเพราะไม่ได้คุยอะไรกันมากนักทั้งสามคนถึงยังเกร็งไม่หายจนไม่กล้าพูดอะไรให้มากความ
“แม่ดูแลตัวเองดีๆนะ”
“แล้วจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ ไม่หายเป็นปีๆแล้วนะ”
ถึงตรงนี้ลู่หานได้แต่หัวเราะ เขาเบนสายตามองคนเป็นพ่อแล้วถอยออกมาก้าวหนึ่งก่อนจะพูดเสียงใส “ได้ถ้วยฟุตบอลเมื่อไหร่ก็กลับมาเมื่อนั้น”
“จบมอปลายเมื่อไหร่แกก็ต้องมารับช่วงต่อที่บ้านอยู่แล้ว” เสียงทุ้มพูดปรามดุๆ คิ้วยิ่งขมวดเข้าหากันในตอนที่ลู่ชายทำท่ายักไหล่ไม่ยี่หระต่อหน้าเพื่อนๆ
“ผมจะต่อมหา’ลัย” มือเรียวกระชับเป้สะพายให้เข้าที่ขึ้น แล้วก็ถอยหลังมาจนยืนรวมกับคนรุ่นเดียวกัน “ถ้าพ่ออยากให้ผมรับช่วงต่อนักล่ะก็... รอผมแก่จนเล่นฟุตบอลไม่ไหวก็แล้วกัน”
ชายวัยกลางคนแค่นหัวเราะหยัน อยากจะรู้เหมือนกันว่าเด็กเมื่อวานซืนที่ดีแต่เที่ยวเล่นนั่นจะทำความฝันลมๆแล้งๆไปได้สักกี่น้ำ ยังไงโรงฝึกเคนโด้บ้านสกุลลู่ก็ไม่มีทางปิดตัวลงง่ายๆเพียงเพราะผู้สืบทอดดื้อแพ่งเบี้ยวไม่ยอมกลับชุนชอนแน่
“ผมไปแล้วนะป้าเยจิน สามวันมานี้สาวขึ้นเป็นกองนะเนี่ย” ก่อนไปก็ไม่วายแหย่กระเซ้าหญิงแก่อีกคนซึ่งยืนเยื้องไปทางด้านหลังมารดา รถแท็กซี่ที่เรียกไว้มาจอดรอแล้ว แขกสามคนแยกไปทยอยเอาสัมภาระขึ้นรถก่อน แล้วเจ้าถิ่นอย่างลู่หานจึงวิ่งตามมาเป็นคนสุดท้าย
กำแพงอิฐค่อยๆไกลออกไปจากสายตาในที่สุด ครั้นรถเลี้ยวโค้งตรงทางแยกด้านหน้าลู่หานถึงได้ละสายตาออกจากกระจกมองหลังแล้วเหลือมองเพื่อนอีกสามคน ชานยอลนั่งริมขวา ถัดมาเป็นแบคฮยอนแล้วก็เซฮุน
นึกๆแล้วก็ขำ ทำไมสองคนนั้นยังทำประหม่าใส่กันอยู่อีก บางทีปาร์คชานยอลอาจจะเป็นไก่อ่อนมากกว่าที่คิดโดยการนอนหันหลังให้เพื่อนตัวเล็กเฉยๆโดยไม่ได้จับเข่าคุยกัน ก็เป็นซะอย่างนี้มันถึงไม่คืบหน้าอะไรสักที
แต่จะมัวว่าชาวบ้านชาวช่องเขาไม่ได้หรอก ยิ่งไอ้การที่เขาต้องแยกตัวมานั่งเบาะข้างคนขับเดี่ยวๆแบบนี้ยิ่งทำให้บรรยากาศที่มีต่อเซฮุนดูตึงเครียดเข้าไปใหญ่ เมื่อคืนหลังจากพูดไปแบบนั้นแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลยนอกเสียจากนอนหันหลังให้กัน ลู่หานมารู้ตัวเองว่าเป็นคนขี้งอนเอาช่วงสองสามวันมานี้นี่แหละ งอนแล้วงอนเล่าแต่เซฮุนกลับไม่คิดสนใจ
เขาก็เสียใจเป็นไหม ใครมันจะฝืนทำตัวเป็นพระอิฐพระปูนไปได้ตลอด ก็คนมันชอบ มันรู้สึกดี ผิดอะไรล่ะที่เขาแสดงออกแบบนั้น เป็นสุภาพบุรุษก็แล้ว ผู้ชายละมุนก็แล้ว ไอ้หื่นกามเดนตายก็แล้ว น้องหมาขี้อ้อนก็แล้วอีก
ให้พูดว่าชอบตรงๆเหรอ...
อืม... ก็พูดไปไม่รู้ต่อกี่ครั้งแล้วนี่นา ชอบจัง เซฮุนนา ชอบจริงๆนะ ไอ้คำพวกนี้มันตรงที่สุดเท่าที่ลู่หานพอจะนึกออกในตอนนั้นด้วยซ้ำ การชอบผู้ชายด้วยกันครั้งแรกนี่มันยากชะมัด คิดถึงพวกนูน่าทั้งหลายขึ้นมาเลย ยิ่งฮโยรินูน่านะ... ตอนเจอกันครั้งแรก รายนั้นน่ะแค่จูบก็ซึ้งแล้ว
ใช่ เซฮุนนั่นแหละที่เข้าใจยาก
เซฮุนๆๆๆๆๆๆๆทั้งนั้น
จากนี้ไปก็ต้องเข้าค่ายเก็บตัวซ้อมสำหรับการแข่งปลายฤดูแล้ว ระหว่างนี้อย่ามาคิดถึงก็แล้วกัน พ่อจะหายตัวเข้ากลีบเมฆให้รู้ค่าผู้ชายสกุลลู่เสียเลย
จำเอาไว้โอเซฮุน
“โห ซื้ออะไรมาเต็มเลยลูก”
คุณบยอนเปิดดูถุงนู้นถุงนี้พลางหัวเราะชอบใจยกใหญ่ อีกทางหนึ่งคนเป็นแม่กำลังจัดไก่ทอดใส่จาน แล้วในห้องนั่งเล่นยังแว่วเสียงรายการกีฬามาเป็นระยะ
“ผมเห็นมันมีอะไรขายเยอะแยะ ก็เลยซื้อมาอย่างละนิดอย่างละหน่อยครับ” พูดพลางหยิบเป้ที่วางอยู่บนเก้าอี้ขึ้นมาสะพายไว้ มองพ่อกับแม่ที่กำลังจัดข้าวของอยู่ในครัวแล้วร่างเล็กก็อดยิ้มไม่ได้ “เดี๋ยวผมขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะลงมาช่วยนะ”
บยอนแบคฮยอนไม่ได้อยู่รอคำตอบแต่ผละตัวเดินขึ้นบันไดมาเพื่อจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จ พวกเขากลับมาถึงโซลตั้งแต่บ่ายแก่ๆ ลู่หานนั่งแท็กซี่ต่อไปจนถึงบ้านในขณะที่เซฮุนบอกว่าจะแวะซื้อของแถวนั้นสักหน่อย พอร่างโปร่งแยกตัวไปอีกคนก็เหลือแค่เขากับชานยอล บรรยากาศที่มีต่อกันมันน่าอึดอัดอย่างที่กลัวไม่มีผิด แต่ถึงอย่างนั้นร่างสูงก็เป็นฝ่ายหันมาบอกว่าจะเดินไปส่งที่บ้าน
แน่นอนแบคฮยอนปฏิเสธไป คิดว่าชานยอลก็คงเหนื่อยไม่แพ้กันและบ้านก็อยู่ไกลว่าเขาตั้งเยอะ พอพูดไปอย่างนั้นอีกฝ่ายถึงได้ลดสีหน้าลงแล้วยอมขึ้นรถประจำทางไปแต่โดยดี
ร่างเล็กเปิดประตูเข้ามาภายในห้องก่อนจะวางกระเป๋าเป้ลงข้างเตียง หน้าร้อนทำให้เหนื่อยง่ายกว่าปกติ และภายในห้องตอนนี้ก็อบอ้าวเสียจนต้องเดินไปเปิดพัดลมไว้ระบายอากาศแล้วนั่งพักเสียหน่อย หยิบเอากระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ออกมาวางไว้ที่เตียง ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงได้ไม่ถึงนาทีเสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้นจนต้องควานมือไปหยิบมาเปิดดู
คุณได้รับข้อความจาก ชานยอล
ถึงหรือยัง?
เรียวปากบางหยักยิ้มเล็กๆแล้วจึงพิมพ์ข้อความตอบกลับไปช้ากว่าปกติ แบคฮยอนไม่ได้เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค แล้วเขาก็คิดว่ามันดีกว่าเป็นไหนๆสำหรับการรอข้อความของใครสักคน
คุณกำลังส่งข้อความถึง ชานยอล
ถึงแล้ว ชานยอลล่ะ?
ไม่ถึงครึ่งนาทีเจ้าเครื่องมือสื่อสารก็ดังขึ้นอีก ครั้งนี้ไม่ต้องเสียเวลาควานหาเพราะแบคฮยอนถือมันไว้ในมืออยู่แล้ว
คุณได้รับข้อความจาก ชานยอล
เหมือนกัน : ) อย่าลืมกินข้าวกลางวันด้วย
ทำไมถึงได้รู้สึกแปลกๆอย่างนี้นะ บางทีนี่อาจเป็นมนตร์ของความรู้สึกพิเศษก็ได้คนตัวเล็กถึงเอาแต่ยิ้มไม่หุบแบบนี้ ทั้งที่คิดว่าก็คงจะเคยยิ้มแก้มปริมาแล้วนั่นแหละ แต่ก็นานมาก... นานจนแบคฮยอนแทบจำไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่
อ่า... ใช่ อาจจะปีกว่าๆ ...น่าจะประมาณนั้น
ค่อยๆกดข้อความตอบหลังจากเสียเวลาคิดประโยคในหัวอยู่พักหนึ่ง ถ้าตอบไปแค่ ชานยอลก็เหมือนกัน แบบนี้จะถือเป็นการจบบทสนทนาหรือเปล่านะ?
แต่พิมพ์ไปได้แค่ครึ่งประโยค โทรศัพท์ก็แจ้งเตือนข้อความเข้ามาอีก
คุณได้รับข้อความจาก ชานยอล
อย่าลืมนัดของเราอาทิตย์หน้านะ : )
ใบหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ร่างเล็กดีดตัวขึ้นนั่งบนเตียงนิ่งๆแล้วจ้องเจ้าเครื่องมือสื่อสารเหมือนมันเป็นเพชรปริศนา เมื่อกี้ก็ไม่ได้รู้สึกร้อนอะไรขนาดนี้แท้ๆ แล้วทำไมเขาถึงต้องกำโทรศัพท์จนมือชื้นเหงื่อขนาดนี้ด้วย
ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนฉายชัดเข้ามาในห้วงความคิด แบคฮยอนยังจำรสจูบของชานยอลได้ดี มันทั้งดูดดื่ม ยาวนาน แล้วก็ยังกับว่าเอาวิญญาณและเรี่ยวแรงของเขาไปจนหมด ผละออกจากกันได้ไม่ถึงสิบวินาทีชานยอลก็จูบลงมาอีก และพอเอาทุกสิบวินาทีนั้นมารวมกันร่างเล็กก็คิดได้ว่าชานยอลจ้องหน้าเขานานเหลือเกิน
ไม่ไหวแล้ว...
แค่คิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาบยอนแบคฮยอนก็รู้สึกเหมือนตัวแข็งทื่อเป็นหินไม่มีผิด แม้แต่ตอนนี้ที่กำลังพยายามขยับปากไปมา ทั้งอ้าออกกว้างก็แล้ว เม้มเป็นเส้นตรงก็แล้ว แต่ทำไมยังรู้สึกเหมือนมันบวมเจ่อแล้วก็ชาจนควบคุมไม่ได้อย่างเมื่อคืนนี้อยู่เลย
เขานอนไปทั้งผมเปียกหมาดๆ แล้วก็คิดว่าเสื้อของชานยอลก็คงเปียกเป็นวงเพราะการไม่ยอมกลับไปที่นอนของตัวเอง ใช่แล้ว... พวกเขานอนกอดกันจนถึงเช้า แล้วก็แทบไม่กล้ามองตากันอีกเลยหลังจากตื่นมา
ก้มลงมองโทรศัพท์ในมืออีกครั้ง อีกคนจะยังรอเขาตอบกลับข้อความอยู่หรือเปล่านะ ชานยอลจำเรื่องที่บอกว่าจะไปดูคินดะอิจิไลฟ์แอคชั่นได้อย่างขึ้นใจ แบคฮยอนแทบจำไม่ได้แล้วว่าเมื่อคืนตอนที่ถูกกอดนั้นคนตัวสูงพูดอะไรบ้าง แต่คลับคล้ายคลับคลาว่ามีเรื่องไปดูหนังด้วย
พอนึกได้อย่างนั้น แบคฮยอนก็พิมพ์ข้อความตอบกลับไปด้วยอีโมชั่นรูปยิ้ม
เสียงนกหวีดเป่าดังลั่นสนามเป็นสัญญาณให้นักกีฬาแยกย้ายกันไปพักได้ตามอัธยาศัยเป็นเวลาสิบห้านาที ลู่หานเคยเป็นคนแรกที่วิ่งหาน้ำดื่มเย็นๆและผู้จัดการสาวสวย แต่ช่างปะไรล่ะ ของแบบนั้นน่ะมีให้เห็นอีกทั้งชีวิต
สาวเท้าเร็วๆมาจนถึงกระเป๋ากีฬาสีดำที่วางอยู่ข้างสนาม ในนั้นมีของไม่มากนัก แต่สำคัญที่สุดก็คงเป็นเจ้าโทรศัพท์เครื่องบางเฉียบซึ่งร่างผอมหยิบมันขึ้นมากดสไลด์ดูอย่างรวดเร็ว เลื่อนไปเลื่อนมาอยู่พักหนึ่งก็ได้แต่ดิ้นเร่าๆ แถมไม่วายหันไปค้อนเพื่อนรวมทีมที่ตะโกนถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงอีก
จะกล้าดีเกินไปแล้วนะโอเซฮุน! นี่มันผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วไม่คิดที่จะโทรหากันบ้างหรือไง?
ป่านนี้จะทำอะไรอยู่ นอนรู้สึกผิดแล้วซาบซึ้งถึงความจริงในใจของเขาขึ้นมาสักนิดบ้างไหม หรือว่ายังทำตัวสบายดีแล้วเที่ยวเดินไปส่งผู้หญิงไม่รู้จักจนโดนเปิดซิงไปแล้วอีก? ไม่สิ ไม่ๆ ตอนนี้มันปิดเทอม ไม่มีผู้หญิงที่ไหนไปวุ่นวายกับหมอนั่นได้หรอก
ก็แล้วทำไมไม่ติดต่อมาบ้างเล่า!
“ลู่หาน น้ำเย็นๆจ้ะ”
“ขอบคุณครับ♡”
หันไปมองผู้ช่วยผู้จัดการทีมคัพซีทั้งยังไม่สบอารมณ์แบบนั้น ฝืนยิ้มหวานๆออกไปเป็นคำตอบเพราะมันไม่ใช่เรื่องเลยสักนิดกับการพาลใส่ผู้หญิงสวยๆสักคนแค่เพียงเพราะถูกคนในความคิดทำมึนใส่ด้วยการไม่โทรมาหา
อันที่จริงเซฮุนก็ไม่เคยโทรมาหรอกถ้าไม่มีธุระจำเป็น
อ้อไม่สิ... ต่อให้มีธุระจำเป็นก็คงไม่โทร
ก็แล้วการโทรมาหาเขาบ้างมันไม่ใช่เรื่องจำเป็นตรงไหนกันล่ะ!
“ฮะ... ฮัด...!”
ถูกจมูกแดงรื้นเบาๆพลางรีบย่อตัวลงหลังเคาน์เตอร์ก่อนจะเผลอจามออกไปทั้งที่ยังมีลูกค้าประปรายอยู่ในร้าน เซฮุนไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย เขาไม่ควรจะเป็นหวัดหน้าร้อนทั้งที่เพิ่งมาดูร้านให้พี่สาวเป็นวันแรก
ครั้นหยัดตัวขึ้นมาเพื่อประจำแคชเชียร์ตามเดิมก็เห็นว่ามีเด็กผู้หญิงถือถาดขนมรอจ่ายเงินอยู่ก่อนแล้ว เอ่ยขอโทษขอโพยไปนิดหน่อยแล้วจึงคีบเอาขนมพวกนั้นมาใส่ถุงติดโลโก้ของร้าน ระหว่างนั้นก็ต้องยิ้มรับคำเยินยอของพวกเธอไปด้วย ตั้งแต่เช้ามาแล้วนะที่เขาต้องเอาแต่ตอบคำถามประเภทที่ว่า ขอเบอร์ได้ไหม? ทำงานที่นี่ถึงเมื่อไหร่? เรียนโรงเรียนอะไร?
พูดก็พูดเถอะ เซฮุนไม่เห็นว่านั่นจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการซื้อขนมปังพวกนี้ตรงไหน ถึงเขาจะทำแค่ยิ้มๆและพูดแค่จำนวนเงินกับคำว่าขอบคุณก็เถอะ แต่แปดสิบเปอร์เซนต์ของพวกหล่อนกลับพูดว่ายังไงก็จะมาอุดหนุนใหม่บ้างล่ะ จะยอมอ้วนทั้งปิดเทอมบ้างล่ะ
เมื่อไหร่พี่ที่ชื่อซอนเยจะกลับมานะ...
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมง รอให้พนักงานกะบ่ายเข้ามาสมทบแล้วคงมีเวลาได้ไปนั่งกินข้าวหลังร้านสักหน่อย อย่างน้อยก็ขอบคุณพี่สาวคนโตที่อุตส่าห์ตื่นมาทำไข่เค็มของโปรดเป็นข้าวกล่องให้เพราะสงสารเขาที่ต้องยืนดมกลิ่นนมเนยทั้งวัน แต่เซฮุนไม่มีสิทธิ์พูดคำว่าเอียนจะแย่หรอกในฐานะน้องชายเจ้าของกิจการ
“สวัสดีค่ะ”
เสียงใสทักขึ้นหลังบานประตูกระจกของร้านถูกเปิดออก โอเซฮุนมองเด็กสาวรูปร่างผอมบางคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนคุยอยู่กับพนักงานรุ่นพี่ เธอก้มมองนาฬิกาข้อมือพลางผงกศีรษะงั่นงกแล้วจึงเดินผ่านชั้นขนมปังเข้ามาทางด้านใน กระทั่งตาเรียวรีชั้นเดียวนั่นหันมาเจอเขาก็ทำหน้าเหมือนเห็นตัวประหลาดสักชนิดไม่มีผิด
“....”
“เอ่อ...”
“....”
“สวัสดีครับ”
โอเซฮุนเป็นฝ่ายโค้งหัวทักทายอย่างเป็นทางการขึ้นมาก่อน พอเห็นอย่างนั้นเด็กสาวจึงเหมือนตั้งสติขึ้นมาได้แล้วรีบโค้งศีรษะเป็นการทักทายตอบ “สวัสดีค่ะ ขอโทษ... สวัสดีค่ะ ขอโทษอีกครั้งนะคะ”
ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าเขาเผลอทำหน้ายักษ์ใส่หรือเบ้ปากเป็นรูปร่างแปลกๆหรือเปล่าสาวเจ้าถึงได้ดูลุกลี้ลุกลนขึ้นมาถนัดตาแบบนี้ เป็นโชคดีที่พนักงานอีกคนเดินเข้ามาสมทบ หล่อนจึงเป็นฝ่ายแนะนำตัวแทนคนข้างๆซึ่งทำท่าเหมือนใกล้เป็นลมอยู่รอมร่อ
“นี่คิมดานีค่ะ เป็นเด็กที่มาทำงานพิเศษตั้งแต่ช่วงปิดเทอมแรกๆ” หล่อนว่า ในขณะที่คิมดานีก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาใส่เขาอยู่อย่างนั้น “ส่วนนี่คุณเซฮุน เป็นน้องชายของคุณเซนาที่จะมาช่วยดูร้านแทนช่วงนี้จ้ะ”
“สวัสดีค่ะ”
หล่อนสวัสดีเขาเป็นรอบที่สามแล้ว เห็นท่าทางแบบนี้แล้วก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาขึ้นมาอย่างประหลาด ถึงอย่างนั้นมันกลับเลือนรางเสียจนต้องตัดความรู้สึกนี้ทิ้งไป “เรียกเซฮุนเฉยๆก็ได้ครับ”
“เห็นคุณเซนาบอกว่าเรียนโรงเรียนเดียวกับเซฮุนด้วยนี่ ไม่รู้จักกันเหรอ?”
พอถูกถามขึ้นมาอย่างนั้นชายหนุ่มก็ต้องเบนสายตามองเด็กสาวตรงหน้าอีกครั้ง คงเคยเดินสวนกันอยู่บ้างล่ะมั้ง ถ้าแค่อยู่โรงเรียนเดียวกันในเขตนี้ล่ะก็ ทำไมถึงได้ทำหน้ายังกับเห็นผีแบบนั้น
“ไม่รู้จักหรอกค่ะ เราเรียนกันคนละห้อง” ดานีชิงตอบขึ้นมา สายตานั้นเหลือบมองเขาเล็กน้อยแต่แล้วก็หันหนีไปอีก
“เราอยู่ชั้นปีเดียวกันเหรอ?”
“ค่ะ” เธอตอบเขาด้วยน้ำเสียงทางการ ท่าทีลุกลี้ลุกลนยังไม่หายไปเสียทีเดียว “ฉัน... ฉันขอตัวไปเก็บของที่หลังร้านก่อนนะคะ”
ท่าทางลนลานแล้วก็เดินห่อไหล่กอดกระเป๋าไว้แนบอกแบบนั้น...
“เดี๋ยว”
ร่างโปร่งร้องเรียก เด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันมาทางเขาให้พอไม่เสียมารยาท โอเซฮุนคิดว่าตัวเองคงจำไม่ผิด แล้วไอ้ท่าทางตกใจเมื่อครู่ก็คงเพราะเพราะจำเขาได้อย่างนั้นสินะ
“เธอ... คนในห้องน้ำตอนนั้น...?”
นี่ก็ผ่านมาครึ่งทางแล้วสำหรับชีวิตอิสระในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน สเตตัสโอดครวญถึงความสุขซึ่งผ่านไปไวเหมือนโกหกของเพื่อนร่วมชั้นเรียนทำให้ปาร์คชานยอลอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ใครจะว่าเวลาเล่นขี้โกงหรืออะไรก็ช่างเถอะ แต่สำหรับชานยอลแล้วมันช้าเหลือเกินกว่าจะมาถึงวันนี้
โซนหน้าโรงภาพยนตร์ของห้างใจกลางเมืองซึ่งเขาทำปาร์คจียอนร้องไห้เมื่อเดือนที่แล้วไม่ใช่ความทรงจำที่ดีนัก ได้แต่หวังว่าตอนไปซื้อบัตรพนักงานจะจำหน้าเขาไม่ได้แล้วไม่หันไปซุบซิบนินทากันถึงเรื่องนั้นหรอกนะ แต่ถ้าคิดในแง่ดีมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนั่นแหละ ผ่านมาตั้งเป็นเดือนแล้วคงไม่มีใครจำหน้าได้หรอกมั้ง
นึกแล้วก็เหลือเชื่อ ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนปาร์คชานยอลมีความทรงจำกับโรงเรียนใหม่มากมาย แน่นอนว่าเพื่อนแต่ละโรงเรียนทดแทนกันไม่ได้ แต่ที่โซลนี่คงพิเศษขึ้นมาเพราะว่ามีบยอนแบคฮยอน
ถ้าไม่ต้องย้ายไปไหนอีกก็คงดี
“....”
รีบไล่ความคิดฟุ้งซ่านแย่ๆออกจากหัวแล้วก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ จากการโทรหาครั้งล่าสุดเมื่อราวๆยี่สิบนาทีก่อนแบคฮยอนอยู่บนรถประจำทางแล้ว ไม่ใช่... แบคฮยอนไม่ได้มาช้าหรอก แต่เป็นเขาเองนั่นแหละที่มาก่อนเวลาแล้วยังโกหกไปว่าเพิ่งขึ้นรถอีก ถ้าบอกว่ามาถึงแล้วมีหวังอีกฝ่ายคงเอาแต่ขอโทษจนหนังฉายแน่ๆ
ป่านนี้ก็น่าจะถึงได้แล้วนี่นา...
ไม่ทันขาดคำก็เห็นร่างเล็กเดินมาแต่ไกล คนตัวสูงรีบแอบเข้าหลังเสา กดปิดเสียงโทรศัพท์แล้วเหลือบมองไปยังจุดนัดพบทั้งอมยิ้มไม่หุบกับเรื่องที่เพิ่งคิดขึ้นมาได้สดๆร้อนๆ เหลือเวลาให้เอ้อระเหยอีกหน่อย ยังไงก็ขอให้คินดะอิจิยังมีที่ว่างเหลือสักสองที่ก็แล้วกัน
ชานยอลไม่เคยคิดว่าผู้ชายใส่เสื้อยืดสีขาวมันดูน่ารักหรือพิเศษอะไร แต่วันนี้เขาขอกลับคำพูด
บยอนแบคฮยอนเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและกดโทรออกเมื่อไม่เห็นวี่แววของคนที่นัดไว้ รอจนเสียงสัญญาณดังได้สองครั้งปลายสายก็กดรับ หนำซ้ำมันยังจอแจเหมือนที่ๆเขาอยู่ไม่มีผิด
“ฉันมาถึงแล้ว... ชานยอลอยู่ไหนเหรอ?”
เลือกใช้คำพูดให้ดูไม่เป็นการเร่งรัดจนเกินไป ถ้าอีกฝ่ายตอบว่ายังอยู่บนรถเขาก็คงต้องเดินหาที่นั่งสักที่เพื่อรอจนกว่าจะมาถึง แค่รอน่ะไม่เป็นไรหรอก แบคฮยอนคิดว่าตัวเองรอเก่ง
( ยังไม่ถึงเลย รถติดมากเลยล่ะ )
“อ่า... ไม่เป็นไร”
( แบคฮยอนถึงนานแล้วเหรอ? )
“เปล่า เพิ่งถึงน่ะ”
( ขอโทษนะ )
“ไม่ต้องขอโทษเลย... ชานยอลไม่ต้องรีบหรอก ฉันรอ-- เห?”
รู้สึกได้ถึงแรงสะกิดที่บ่าจนต้องรีบหันไปมองเผื่อกำลังยืนขวางทางใครเข้า ผิดคาดที่คนตรงหน้าคือปาร์คชานยอลซึ่งยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูข้างหนึ่งในขณะที่ปากก็ยิ้มกว้างจนน่ากลัวว่าจะฉีกไปถึงหู ร่างเล็กลดโทรศัพท์ลงมองสลับกับใบหน้าคนตัวสูงไปมา ใช้เวลาจับต้นชนปลายได้สักพักก็เข้าใจว่าชานยอลโกหกคำโต
“แกล้งกันนี่นา...”
ชานยอลไม่เคยเห็นแบคฮยอนค้อน แต่นี่อาจดูใกล้เคียงคำนั้นที่สุดก็ได้เมื่อร่างเล็กบ่นอุบอิบเป็นประโยคสั้นๆก่อนจะเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง แต่คนขี้แกล้งก็เอาแต่หัวเราะออกมาเบาๆ และแทนที่แบคฮยอนจะปั้นหน้าตึงต่อ ริมฝีปากนั้นกลับเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเล็กๆหาดูได้ยาก
เห็นอย่างนั้นร่างสูงถึงกับหยุดหัวเราะ มันก็จริงที่เขาตั้งใจแกล้งกันเล็กๆน้อยๆแล้วมันก็เรียกรอยยิ้มได้ดังคาด เพียงแต่ความรู้สึกร้อนวูบวาบบนใบหน้านี่มันหยุดทุกอย่างได้ชะงัดนัก ยกนิ้วขึ้นถูจมูกไปมาเบาๆแก้เก้อก่อนจะเสสายตามองจอดิจิตอลใหญ่ด้านบนซึ่งกำลังฉายตัวอย่างภาพยนตร์รักโรแมนติก
“ไปซื้อตั๋วกันเถอะ”
ชั่งใจว่าจะจับมือเดินไปด้วยกันดีไหม แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนไม่ใช่ผู้หญิง การจะทำอะไรออกนอกหน้าท่ามกลางสายตาคนทั้งห้างคงไม่ใช่เรื่องดีนัก ไม่ใช่ว่าชานยอลแคร์สายตาใคร... เขาแค่แคร์แบคฮยอนต่างหาก
เพราะว่ายังเป็นตอนกลางวันโซนภาพยนตร์จึงไม่ได้มีคนมากถึงขนาดต้องต่อแถวยาวเหยียด รอไม่ถึงสองนาทีก็ถึงคิวของทั้งสองคนในการเลือกเรื่องและที่นั่ง คิ้วเรียวของชานยอลขมวดมุ่นในตอนที่พนักงานเปิดภาพให้เลือก เขาจึงได้แต่หันไปยิ้มแห้งๆให้คนข้างตัว
“ขอโทษนะ เหลือแต่ที่นั่งหน้าๆทั้งนั้นเลย” คงจะทรมานน่าดูถ้าต้องแหงนคอตลอดเวลาชั่วโมงครึ่ง ถ้าเขาไม่เอ้อระเหยด้วยการแกล้งให้อีกฝ่ายโทรศัพท์หา บางทีอาจจะยังมีที่นั่งเหลืออยู่บ้างก็ได้ ทั้งที่คนก็ไม่ได้ดูพลุกพล่านขนาดนั้นแท้ๆ “รอบต่อไปก็ต้องรออีกตั้งเกือบสามชั่วโมง”
“หรือคุณลูกค้าสนใจเป็นที่นั่งวีไอพีทางด้านหลังไหมคะ เป็นแบบโซฟา ราคาคู่ละหนึ่งหมื่นสามพันวอนค่ะ”
ทั้งคู่หันมามองหน้ากัน ที่นั่งปกติราคาสี่พันห้าร้อยวอน เท่ากับว่าถ้าพวกเขาเลือกความสบายในการไม่ต้องแหงนหน้าดูหนังแล้วล่ะก็จะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นถึงสี่พันวอน ราวกับชั่งใจทางสายตา และสุดท้ายบยอนแบคฮยอนก็เป็นฝ่ายพูดออกไปก่อนหลังจากปล่อยให้พนักงานรอคำตอบอยู่เกือบครึ่งนาที
“เอาเป็นที่นั่งธรรมดาดีกว่า--”
“เอาที่นั่งโซฟาก็ได้ครับ”
ปาร์คชานยอลพูดสวนขึ้นก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายค่าบัตรเสร็จสรรพ ครั้นพอได้ตั๋วมาอยู่ในมือก็ได้แต่ยืนมองหน้ากันอยู่ตรงทางเดินข้างๆ แบคฮยอนยื่นเงินมาให้เขาเจ็ดพันวอน แต่คนตัวสูงกว่ายอมเลือกหยิบมาแค่สี่ใบ
“ไม่ได้นะ หารครึ่งกันสิ”
ขำออกมาเบาๆหลังจากได้ยินน้ำเสียงแบบที่คนตรงหน้าไม่พูดออกมาบ่อยนัก จะให้แกล้งหูทวนลมก็ยังไงอยู่ ขืนทำอย่างนั้นมีหวังบรรยากาศได้อึดอัดไปจนหนังจบเรื่องแน่ๆ “ฉันเป็นคนดื้อจะดูแบบโซฟา เพราะอย่างนั้นแบคฮยอนเอามาแค่สี่พันวอนก็พอแล้ว”
“ไม่ได้นะ” พูดคำว่าไม่ได้ออกมาเป็นครั้งที่สอง แบคฮยอนที่ดูเอาแต่ใจเล็กๆนี่น่ารักอย่างบอกไม่ถูกเลยให้ตายเถอะ “ดูด้วยกันแท้ๆ จะให้ชานยอลออกเยอะกว่าได้ไง”
ดีจัง... เหมือนได้ใกล้เข้าไปอีกนิดเลย
“งั้นไว้อาทิตย์หน้าแบคฮยอนค่อยเลี้ยงข้าวฉันคืนก็แล้วกัน” ชานยอลไม่เคยคิดว่าตัวเองเจ้าเล่ห์หรือเผด็จการ และที่เขาทำอยู่นี่ก็ไม่ใช่แผนการอะไรด้วย
คนตัวเล็กนิ่งคิดไป บางอย่างที่มันซับซ้อนแบคฮยอนก็มักจะคิดมากเสมอ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ทั้งที่เข้าใจแต่แรกแต่ก็ยังดึงดันจะเสียเวลาคิดมากขึ้นอีกหน่อยว่าไม่ได้ทำความเข้าใจคำพูดของคนตรงหน้าผิดไป
แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบ ปาร์คชานยอลก็จับข้อมือของเขาและพาเดินไปด้วยกันจนถึงทางเข้าโรงภาพยนตร์ซึ่งห่างออกไปไม่ไกล ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้นะ... ไม่เคยรู้มาก่อนเลย
นอกจากความใจดีแล้ว... ชานยอลก็เอาแต่ใจมากๆด้วย
ปกติเขาไม่ใช่คนชอบดูหนังประเภทสืบสวนสอบสวนสักเท่าไหร่ แล้วยิ่งเป็นฆาตกรรมวิปลาสเช่นฆ่าตัดหัวแล้วเอาไปวางบนตัวตุ๊กตาคาบูกินั่นชานยอลก็ยิ่งคิดว่ามันไม่เข้าท่า ไม่เห็นรู้เลยว่าบรรยากาศญี่ปุ่นสมัยก่อนจะชวนให้โทนเรื่องดูลึกลับขนาดนี้ หันไปข้างๆก็เห็นแบคฮยอนยังคงนั่งดูอย่างตั้งอกตั้งใจเหมือนตอนเริ่มเรื่อง
อ่า... หนังนี่จะสักกี่ชั่วโมงนะ ถ้ายาวสักครึ่งวันก็คงดี
บางทีโซฟาอาจจะลาดลงเป็นรูปตัววีก็ได้บยอนแบคฮยอนถึงรู้สึกว่าเขาและคนข้างๆใกล้กันจนเกินไปแล้ว บังคับสายตาให้จับจดกับบทสนทนาของตัวละครในเรื่องแม้ว่าจะได้ยินแค่เสียงหัวใจตัวเองก็เถอะ
ปลายนิ้วก้อยสัมผัสกันผะแผ่ว มันก็แค่ความบังเอิญเล็กๆเท่านั้นเอง แต่ความบังเอิญที่ใหญ่กว่าก็คือคงมีแค่พวกเขาสองคนที่เลือกนั่งโซฟาแบบคู่ในการดูหนังฆาตกรรมญี่ปุ่นรอบนี้
“....”
“....”
เพราะอย่างนั้นถ้าตัดองค์ประกอบรอบข้างออก การที่สุดท้ายแล้วมือของชานยอลวางทาบทับลงมาและเขาก็ยอมจับตอบกลับไปมันคงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนัก
แต่ว่า... นี่เป็นครั้งแรกเลยที่แบคฮยอนดูหนังไม่รู้เรื่อง
“พี่เยอึน ถ้ามีอะไรล่ะก็รบกวนโทรเข้าเบอร์นี้แทนนะครับ” ยื่นแผ่นกระดาษใบเล็กๆให้หญิงสาวพนักงานตรงหน้าก่อนที่เธอจะเดินออกไปจากร้าน เจ้าหล่อนทำหน้าแปลกใจนิดหน่อยแล้วถามกลับ
“อ้าว ทำไมล่ะคะ เปลี่ยนเบอร์เหรอ?”
โอเซฮุนเหยียดยิ้มแห้งๆแล้วพยักหน้ารับ “ไม่ทันระวังน่ะครับ รู้ตัวอีกทีก็หายไปแล้ว เลยต้องเปลี่ยนเบอร์ใหม่พร้อมเครื่อง”
“เอ๋... อย่างนี้ก็แย่เลยสิ หายแถวไหน ระงับเบอร์แล้วใช่ไหมคะ”
“เรียบร้อยแล้วครับ คิดว่าน่าจะหายบนรถเมื่อสองสามวันก่อน...” น่าจะเป็นช่วงกลับจากร้านไปบ้าน เซฮุนคิดว่าอย่างนั้น แต่ไปรู้ตัวก็ตอนที่ถึงบ้านแล้วนั่นแหละว่าโทรศัพท์ในกระเป๋าไม่อยู่แล้ว พอบอกแม่กับพี่สาวก็ไม่ถูกดุอะไรมากมายนัก แต่เพิ่งได้เครื่องใหม่และซิมการ์ดมาเมื่อเช้านี้สดๆร้อน “ถ้าเมมไว้แล้วรบกวนพี่ยิงเบอร์เข้าเครื่องผมหน่อยนะครับ”
พูดจบก็รีบผงกหัวเป็นการขอบคุณ คู่สนทนารับปากแล้วจึงสะพายกระเป๋าเดินออกไป เขาเองก็รอให้พนักงานกลับบ้านกันจนหมดแล้วมีหน้าที่ปิดล็อกร้านให้เรียบร้อยในฐานะผู้ชายเพียงคนเดียวและคนดูแลร้าน
พนักงานคนสุดท้ายเดินออกมาแล้ว คิมดานีอยู่ในชุดกางเกงขายาวและเสื้อฮู้ดสีเรียบๆทรงผู้หญิง เธอชะงักนิดหน่อยตอนที่เห็นเขา ถึงจะร่วมงานกันมาถึงสามสี่วันแต่ดูท่าสาวเจ้าจะยังไม่ชินกันสักที
เซฮุนก้มหน้าก้มตาลงจดยุกยิกบนโพสต์อิส ไม่ถึงสิบวินาทีเขาก็ดึงออกแล้วร้องเรียกอีกคนไว้ได้ทันก่อนที่จะออกไป “เอ่อ ดานี”
“หะ... คะ?”
“เธอยังไม่มีเบอร์ผมเลยใช่ไหม” ไม่เข้าใจนักเรื่องที่เธอมักจะทำอ้ำๆอึ้งๆทุกครั้งเวลาถูกถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วแค่กับเขาคนเดียวแบบนี้ พอได้คำตอบเป็นการพยักหน้ารับ ร่างโปร่งก็ยื่นกระดาษใบเล็กให้อย่างที่ได้ให้เยอึนเอาไว้ “เมมเอาไว้นะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาผมได้”
แน่นอนคำพูดของคนดูแลร้านชั่วคราวนั้นหมายถึงเรื่องต่างๆในร้านกรณีที่พี่สาวของเขาไม่อยู่ ดานีเองก็คงรู้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดูลังเลเหลือเกินกับการรับกระดาษแผ่นนั้นไป
“ขอบคุณค่ะ” ผงกหัวให้ทั้งที่อายุเท่ากัน เด็กสาวดูลุกลี้ลุกลนขึ้นมาอีกแล้ว “งั้นฉะ... ฉันขอตัวก่อน...”
“เธอกลับบ้านทางไหนเหรอ?” เซฮุนถามขึ้นอีกในขณะที่จัดการเก็บข้าวของบนเคาน์เตอร์ให้เรียบร้อย เก็บเงินนับแล้วใส่กระเป๋าใบย่อมเพื่อนำให้พี่สาวตอนถึงบ้าน แต่พูดก็พูดเถอะ ทุกครั้งที่อยู่กับดานีเขาเหมือนตัวอะไรสักอย่างเลย หล่อนทั้งหลบตา เดินรักษาระยะ แล้วก็ไม่แม้แต่จะเฉียดเข้ามาใกล้ถ้าทำได้ เซฮุนไม่เคยถูกเด็กผู้หญิงที่โรงเรียนปฏิบัติอย่างนี้มาก่อน
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอไม่ได้กลับไปก่อนเขา ทุกครั้งชายหนุ่มเห็นดานีออกไปกับเยอึนหรือพนักงานผู้หญิงคนอื่นๆ แต่วันสุดสัปดาห์แบบนี้ใครๆก็คงติดธุระกระมัง
“ฉัน... ฉันรอรถอยู่ตรงป้ายใกล้ๆนี่เอง”
“รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวผมเดินไปส่ง กลับคนเดียวมืดๆมันอันตราย”
เขายังเอาแต่เก็บสัมภาระลงกระเป๋าโดยไม่ได้เงยขึ้นมองเธอ หน้าของเด็กสาวขึ้นสี และในตอนที่ชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ข้างๆดานีก็รีบเบือนหนีไปทางอื่นแล้วเดินนำออกไป
ใช้เวลาเดินไม่ถึงห้านาทีก็มาถึงป้ายรถประจำทาง ตอนนี้เกือบสี่ทุ่มแล้ว ก้มมองนาฬิกาแล้วก็คิดว่าคงยังเหลือรถอีกสักสองสามรอบ อย่างน้อยๆเขาก็ควรส่งผู้หญิงขึ้นรถให้เรียบร้อยก่อน คิมดานียังคงนั่งเงียบๆไม่ปริปากพูดอะไรเหมือนในทีแรก กลิ่นหอมอ่อนๆลอยเตะจมูก เป็นเรื่องธรรมดาของพนักงานร้านเบเกอรี่ที่จะฉีดน้ำหอมกลบกลิ่นนมเนยหลังเลิกงาน
ความสัมพันธ์ของเขาและเธอไม่ได้ต่างจากเมื่อวันก่อนนัก แน่นอนเซฮุนไม่ใช่คนคุยเก่ง พอมาเจอคนเงียบพอๆกันก็รังแต่จะยิ่งเฉยชาเข้าไปใหญ่ มันก็ไม่ได้น่าอึดอัดอะไรหรอก แต่คงดีกว่านี้ถ้าเขามีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันในช่วงปิดเทอมบ้าง หลังกลับจากบ้านหมอนั่นก็ไม่ได้มีโอกาสไปเจอใครเลย แบคฮยอนมีโทรมาถามไถ่ แต่ก็จบด้วยการตอบไปว่าคงต้องช่วยดูร้านให้พี่สาวจนถึงเปิดเทอม
ก็ไม่ใช่ปิดเทอมที่แย่อะไร แต่คงดีกว่านี้ถ้าในหัวสลัดเรื่องของใครบางคนทิ้งไปได้
ไม่ได้เจอหรือติดต่อกันอีกเลยหลังจากกลับมาถึงโซล หมอนั่นก็แค่นั่งรถแท็กซี่ต่อไปอีกทางและทิ้งให้เขายืนอยู่กับแบคฮยอน ชานยอล ใช่ว่าโอเซฮุนโกรธอะไรลู่หานนักหนาหรอกนะ แต่ยอมรับว่าเขายังเคืองเรื่องคืนนั้น... เรื่องที่หมอนั่นเอาแต่ทำอะไรไม่คิดถึงความรู้สึกคนอื่นน่ะ
คำว่าชอบหรือการจูบมันทำกันได้ง่ายๆเลยหรือไงกัน ไม่ชัดเจนเลยสักนิด เอาแต่แกล้งให้เขารู้สึกแย่แล้วก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เห็นแก่ตัวสิ้นดี
ลู่หานที่เป็นลู่หานน่ะ... เซฮุนไม่ชอบเลยสักนิด
หมอนั่นก็แค่ล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่นไปเรื่อย ไม่จริงจังกับอะไรสักอย่าง ที่เคยพูดว่าอยากเป็นเพื่อนนั่นก็คงไม่ได้จริงใจอะไรเหมือนกัน
ถ้าเอาคำว่าเพื่อนมาค้ำคอแล้วคิดว่าจะทำอะไรก็ได้... สู้ห่างกันไปสักพักคงดีกว่า
‘เซฮุน...’
‘....’
‘ไม่เคยรู้สึกดีบ้างเลยเหรอ?’
ไม่เลย...
ทุกครั้งที่หัวใจเต้นแรงแบบนั้น... มันทรมานทุกที
“เอ่อ... เซฮุน”
หลุดจากภวังค์ความคิดแล้วหันไปมองคนข้างๆทั้งดวงตาสั่นระริก ต้องพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เจ็บหัวใจขึ้นมาอีกแล้ว... เพราะอย่างนี้ถึงไม่ชอบคิดเรื่องลู่หาน ผู้ชายคนนั้นไม่เคยทำให้เขาเป็นตัวของตัวเองเลยสักครั้ง
ดานีกำลังยืนมองเขา หน้าของหล่อนเป็นสีแดงเรื่อ “รถมาแล้ว ขอบคุณมากๆเลยนะ”
แล้วชายหนุ่มก็เพิ่งมองเห็นรถประจำทางสีขาวติดป้ายโฆษณาที่กำลังจะเทียบจอด เขาเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ากำลังมานั่งทำอะไรที่นี่
“แล้วเซฮุนล่ะ รถสายที่จะขึ้นคงยังไม่หมดใช่ไหม?”
ทำไมแค่คำถามง่ายๆเขาถึงต้องใช้เวลาคิดนานขนาดนี้นะ ร่างโปร่งหยัดตัวขึ้นเต็มความสูง กระชับสายกระเป๋าบนบ่าโดยไม่จำเป็น “คงยังไม่หมดหรอก แต่ผมเปลี่ยนใจอยากเดินกลับแล้วล่ะ”
“ฉันทำให้เซฮุนลำบากหรือเปล่า ทีหลังไม่ต้องลำบากมานั่งรอเป็นเพื่อนฉันหรอกนะ คือฉันไม่เป็นไร”
“ไม่ลำบากหรอก แค่อยากเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ” เขายิ้ม พอเห็นว่ารถประจำทางจอดนิ่งแล้วจึงพยักเพยิดให้คนตรงหน้ารีบขึ้นไป “เธอเองก็กลับดีๆนะ”
ดานียิ้มตอบก่อนจะแยกเดินขึ้นไปบนรถโดยไม่ลืมจะหันมาผงกหัวให้เป็นการขอบคุณครั้งสุดท้าย หัวใจของเด็กสาวคนหนึ่งเต้นแรงไปหมด เพียงเพราะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคนในรูปข้างในกระเป๋าสตางค์ของเธอมาแสนนาน
เซฮุนใจดีจัง... ถ้าใจดีไปมากกว่านี้อีกดานีก็คงห้ามตัวเองไม่ได้แล้ว
เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองมีหวัง แต่จะหวังสักครั้งก็คงไม่ผิดใช่ไหม?
มองรถประจำทางเคลื่อนตัวออกไปจนสุดสายตา พอต้องกลับมาอยู่คนเดียวก็เหมือนในหัวจะขาวโพลนขึ้นมาอีก ตอนนี้โอเซฮุนกำลังทำอะไรอยู่... ใช้ความคิดเหรอ? ไม่เลย เขาไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น
ก้มลงมองโทรศัพท์เครื่องใหม่เอี่ยมในมือด้วยสายตาว่างเปล่า ในนี้ไม่มีเบอร์ของใครเลยยกเว้นคนในครอบครัวและร้าน ไม่มีแม้แต่เบอร์แบคฮยอน ชานยอล หรือผู้ชายที่ชื่อลู่หาน แล้วก็คงจะเป็นอย่างนี้ไปอีกสักสองสัปดาห์จนกว่าจะถึงเปิดเทอม
ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่ว่าต้องไปเชียร์หมอนั่นในการแข่งฟุตบอลฤดูร้อนล่ะ?
“....”
ดีแล้ว...
ถ้าได้อยู่กับตัวเองมากขึ้นความรู้สึกแปลกๆแบบนั้นอาจจะหายไปก็ได้
ปล่อยให้มันย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้น อะไรๆคงดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
______________________________________
อ้าว จะยังไงต่อล่ะทีนี้
ว้าวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เนื้อเรื่องกำลังเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆแล้วนะคะ
จากที่คาดไว้คร่าวๆตอนนี้ ไม่เกินตอน 28 ก็น่าจะจบ
กลับมาอ่านกันได้แล้วน๊า โอ้กลับมาแล้วจ้ะ :3
ความคิดเห็น