ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) GHOST△ | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #2 : - g h o s t △ | don't touch me anyway - t w o

    • อัปเดตล่าสุด 17 มิ.ย. 57











    G H O S T

    chanyeol x baekhyun

    erotic drama - short fiction

    -------------------------------------------------------------------------------------

     

     


     

    - TWO -

     

     

     

    คำภาษาอังกฤษจากฟอนท์หลายแบบสะเปะสะปะอยู่บนหน้าจอแมคสตูดิโอขนาดใหญ่ภายในห้องออฟฟิศขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กบนยอดตึกสูง นาฬิกาบอกเวลาที่มุมบนขวาบอกเวลาสี่โมงเย็นเแล้ว และถ้าถามว่าบยอนแบคฮยอนรู้สึกหงุดหงิดกับอะไรที่สุดก็คงเป็นไอ้โลโก้บ้าๆนี่ที่เขาคิดไม่ออกสักที

     

    คลิกเมาส์แรงๆอยู่หลายทีจนครีเอทีฟรุ่นพี่ข้างๆต้องหันมามองหน้า ชายหนุ่มทำได้แค่ขอโทษ กระทั่งหยิบบุหรี่และเลี่ยงเดินออกมาจากโซนทำงาน

     

    แบคฮยอนไม่ได้ตอบอะไรกับคำทักทายจากยามหน้าห้องออฟฟิศ เขาเลี้ยวขวาไปทางห้องน้ำก่อนจะถึงลิฟท์ตัวแรก แต่บยอนแบคฮยอนไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำ จุดหมายของเขาคือประตูหนักๆที่สุดทางซึ่งเชื่อมต่อกับบันไดหนีไฟหน้าตาโกโรโกโสต่างหาก

     

    กลิ่นควันบุหรี่คละคลุ้งเป็นสัญญาณบอกว่าคนก่อนหน้าคงเพิ่งจะออกไปจากตรงนี้ไม่นาน แบคฮยอนทิ้งตัวนั่งบนบันไดแล้วล้วงหาไฟแช็คในกระเป๋ากางเกงยีนส์สีเข้มก่อนจะจุดเข้ากับปลายมวนบุหรี่ที่คาบไว้

     

    ควันระลอกแรกถูกพ่นออกมาหลังจากอัดนิโคตินเข้าไปจนสาแก่ใจ ตอนนี้เขาได้ยินเพียงเสียงคุยกันดังแว่วมาจากบันไดชั้นอื่น เป็นเรื่องปกติ ทุกชั้นจะมีถังขยะสำหรับทิ้งก้นบุหรี่ตั้งอยู่ทั้งนั้นแหละ แต่น่าบังเอิญที่พวกเขาคุยกันเรื่องเซ็กส์

     

    เขาไมได้ว้าวุ่นใจน้อยลงเลยสักนิด เพ่งมองบุหรี่สองมวนในกล่องแล้วก็เกิดรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิมพอคิดได้ว่าจะต้องเสียเวลาเดินลงไปร้านสะดวกซื้อทั้งที่เพิ่งแกะกล่องใหม่ไปเมื่อวาน

     

    ในหัวมีแต่น้ำเสียงของปาร์คชานยอลดังซ้ำๆจนคิดอะไรไม่ออก




     

     

    ผมคิดถึงพี่

     




     

    แบคฮยอนยกมือขึ้นลูบใบหน้าแรงๆราวกับจะปัดมันทิ้งจากหัวไปซะ แต่เขาทำไม่ได้ แบคฮยอนทำงานไม่ได้ ไม่แม้แต่จะสามารถหาเรื่องมาคุยกับมินอาด้วยซ้ำ

     

    ชานยอลไม่มีสิทธิ์พูดแบบนั้นออกมา ใช่... ไม่มีเลย! ทั้งที่รู้ทั้งรู้แล้วทำไมถึงยังทำแบบนั้น ทำให้อะไรๆมันแย่ลงกว่าที่เป็นอยู่ แบคฮยอนคิดว่าบางทีเขาทั้งคู่อาจจะพออยู่ร่วมบ้านกันได้ในฐานะคนแปลกหน้า แต่เปล่าเลย ชานยอลไม่ได้ทำให้มันเป็นอย่างที่ควรจะเป็น

     

    “แบคฮยอน”

     

    ประตูทางหนีไฟเปิดออกพร้อมด้วยร่างของบังมินอาในชุดกางเกงยีนส์ขาดๆและรองเท้าส้นสูงก้าวเข้ามาอย่างละล้าละลัง เธอเดินฝ่าควันบุหรี่มาทิ้งตัวนั่งลงข้างเขา ก่อนจะยื่นมือที่ทาเล็บสีเขียวเวอริเดียนนั้นมาแตะลงบนหน้าขา

     

    “เป็นอะไรหรือเปล่า? วันนี้ดูแย่ๆนะ” หญิงสาวถาม เธอเลื่อนมือมาแตะที่ท่อนแขนแล้วว่า “หรือว่าไม่สบาย”

     

    “ไม่เป็นไร แค่นอนไม่พอน่ะ” แบคฮยอนยิ้ม ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นไปทิ้งก้นบุหรี่ในถังแล้วกลับมานั่งจุดสูบอีกมวน

     

    “เป็นห่วง รู้ใช่ไหม?”

     

    “อาฮะ”

     

    บังมินอาถอนหายใจเบาๆ เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ แบคฮยอนในวันนี้เหมือนผู้ชายเบื่อโลกคนหนึ่งที่พร้อมจะหงุดหงิดใส่ทุกคน ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดี ชายหนุ่มดูมีอะไรในใจ แล้วพอเธอหันไปมอง ตอนนี้ใบหน้านั้นก็ยังทำเหมือนคิดอะไรอยู่ดี

     

    “มินอา” แบคฮยอนเปิดบทต่อ เขายังรมควันบุหรี่โดยไม่มีทีท่าว่าจะหลีกหนีเธอไปไหน มินอาชินแล้ว เธอไม่แคร์หรอกถ้าผมจะเป็นกลิ่นขมๆโดยมีต้นเหตุมาจากเขาน่ะ “อาจจะไปค้างด้วยสักช่วงหนึ่ง จะลำบากหรือเปล่า?”

     

    มินอาทำท่าคิด “ก็ไม่หรอก แต่ทำไมล่ะ... ที่บ้านเหงาเหรอ?”

     

    คนถูกถามไม่ได้ตอบในทันที แบคฮยอนสูดนิโคตินเข้าปอดแล้วผ่อนออกอีกถึงสองสามครั้งราวกับมันเป็นคำถามหนักหนาสาหัส “ประมาณนั้น”

     

    บังมินอาไม่รู้จักคนอื่นนอกจากพ่อและแม่ ไม่รู้ด้วยซ้ำถึงคนในความคิดของแฟนหนุ่มว่ามีตัวตนอยู่บนโลก ใช่... แบคฮยอนไม่เคยพาเธอไปที่บ้าน เหมือนอย่างที่เขาไม่เคยกลับไปบ้านต่างจังหวัดของมินอานั่นแหละ

     

    “ขอไปวันนี้เลยนะ”

     

     

     


     


     




     

     

     

     

    ข่าวกรมอุตุนิยมวิทยาฉายภาพพยากรณ์อากาศซึ่งจะมีพายุเข้าทุกวัน แบคฮยอนมองแสงแปลบปลาบจากฟ้าหลังผืนผ้าม่าน ก่อนจะหันกลับมาจ้องยังโทรศัพท์มือถือที่กดดูเบอร์ติดต่อล่าสุด

     

    ท้ายสุดแล้วร่างเล็กก็เอื้อมตัวไปวางมันไว้ที่โต๊ะหัวเตียงอย่างไม่ไยดีนัก ทั้งที่ถ้าเป็นพ่อหรือแม่เขาจะให้ความสำคัญในการโทรบอกว่ากลับไม่กลับแท้ๆ แต่เบอร์ลงท้ายด้วยเลขหกหกเมื่อครู่ทำให้แบคฮยอนไม่กล้าแม้แต่จะส่งข้อความไป

     

    ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ปาร์คชานยอลจะต้องมารอเขากลับบ้าน ดีไม่ดีหมอนั่นก็อาจไปเที่ยวเตร่กับเพื่อนฝูงตามสังคมเหมือนกัน ซึ่งแบคฮยอนไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรด้วย

     

    นึกถึงเมื่อคืนที่เขาปัดมือหมอนั่นออกแล้วเดินกะเผลกขึ้นห้องไปเสียดื้อๆ ตอนนี้แบคฮยอนก้มลงมองเท้าตัวเอง มันยังคงเป็นผ้าพันแผลผืนเดิม แต่หลังจากอาบน้ำเขาจะรีบถอดมันทิ้งไปเสีย

     

    บังมินอาออกจากห้องน้ำในชุดผ้าเช็ดตัวความยาวเท่าต้นขา เขากับเธอไม่ได้อยู่ในสถานะที่ต้องอายกัน มินอาหยิบเอากางเกงนอนขาสั้นในตู้เสื้อผ้ามาสวมใส่ ส่งผลให้ผ้าเช็ดตัวของเธอเปิดวับๆแวมๆอย่างไม่ตั้งใจ แบคฮยอนมองมัน แต่เขาไมได้เพิ่งคบเธอในแบบที่ว่าจะต้องใจเต้นทุกครั้งที่แฟนสาวดูเซ็กซี่

     

    “ไปอาบน้ำ” หญิงสาวรวบผมยาวขึ้นเป็นหางม้าก่อนจะนั่งลงข้างเขาแล้ววางผ้าเช็ดตัวผืนใหม่คลุมหัว คนถูกไล่เดินสะโหลสะเหลเข้าห้องน้ำอย่างว่าง่ายจนเธอนึกขำ ก่อนจะเหยียดตัวนอนบนเตียงแล้วเปลี่ยนช่องไปดูช่องซีรีย์ระหว่างรอ

     

    Rrrr

     

    คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเสียงเพลงสากลดังขึ้นพร้อมกับเสียงแรงสั่นจากโทรศัพท์แฟนหนุ่ม เธอเอื้อมตัวไปหยิบมาดู เป็นเบอร์แปลกที่ลงท้ายด้วยเลขหกหก ได้แต่ชั่งใจว่าจะรับดีหรือเปล่า แต่สุดท้ายแล้วความรำคาญก็ทำให้เธอกดรับอยู่ดี

     

    “ยอโบเซโย”

     

    ( แบคฮยอนล่ะครับ? )

     

    ปลายสายถามหาเจ้าของเครื่อง เป็นเสียงทุ้มๆของผู้ชายที่เธอนึกไม่ออกว่าเป็นเพื่อนคนไหนของชายหนุ่มหรือเปล่า “เขาอาบน้ำอยู่น่ะค่ะ เดี๋ยวจะบอกให้เขาโทรกลับนะคะ”

     

    ( .... )

     

    “คุณ... ได้ยินไหมคะ?” มินอาขมวดคิ้วเล็กๆเมื่อไม่ได้รับคำตอบรับใดๆกลับมา จนตอนที่เธอคิดจะกดวางสายไปเสีย เสียงนั้นก็พูดตอบมาพอดีก่อนจะเป็นฝ่ายตัดสายไปก่อน

     

    ( ไม่เป็นไร ขอบคุณครับ )

     

    หลังจากนั้นอีกพักหนึ่งแบคฮยอนก็ออกมาจากห้องน้ำ มินอาบอกเรื่องเบอร์แปลกที่โทรเข้ามาทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คตรงหน้า เธอจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าบยอนแบคฮยอนเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงและดูหัวเสียขึ้นมา

     

    เขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงก่อนเธอทั้งที่เพิ่งจะเป็นเวลาห้าทุ่ม แบคฮยอนทำท่าเหมือนคนที่ยังไม่ได้นอน ซึ่งนั่นทำให้มินอาแปลกใจนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ชอบเวลาที่เขาตีหน้าเครียดพอรู้ว่าจะต้องตอบคำถามที่ไม่อยากตอบ

     

     

     



     


     



     

     

     

     

    “เธอดูเครียดๆนะ”

     

    ปาร์คชานยอลไม่ได้กำลังมองหน้าขาที่ถูกลูบไล้อย่างนี้มาแล้วสองครั้ง เขารู้ด้วยซ้ำว่าภายใต้คำพูดเป็นห่วงเป็นใยนั้นเธอกำลังเว้าวอนให้เขาหันไปแล้วจูบเธอเสีย แต่ชานยอลมองผู้หญิงคนนี้แค่สวย เขารู้ว่าถ้าทำอะไรลงไปเธอจะทำให้มันยุ่งยากกว่าเดิม

     

    เธอแสร้งไม่รู้ตัวว่ากำลังเข้าใกล้เขาเกินระยะห่างระหว่างชายหญิง ฝนที่ตกราวกับพายุด้านนอกทำให้ชานยอลกลับไปไม่ได้ และมันทำให้อากาศเย็นลงเสียอยากกอดกับใครสักคน

     

    “ชานยอล...”

     

    ร่างสูงไม่ได้ตอบทันทีที่ถูกเรียก วันนี้เขาไม่ได้โทรหาแบคฮยอน เมื่อวานก็ไม่ได้โทร แต่ถ้าวันก่อนหน้าน่ะใช่ แล้วเขาก็ฉลาดพอจะคิดได้ว่าทำไมพี่ชายถึงไปอาบน้ำที่ห้องผู้หญิงคนอื่น

     

    และนั่นทำให้ปาร์คชานยอลหงุดหงิดมาตลอดสองสามวันนี้

     

    เห็นอะไรก็อึมครึมไปเสียหมด เห็นช่อดอกไม้ของคู่รักก็มองมันเป็นสีเทา มันเหมือนมีหมอกควันหนาเล่นตลกให้มองอะไรไม่เห็น

     

    ในตอนนี้เขาอยากว่ายน้ำ น้ำทำให้ชานยอลสดชื่น เพราะอย่างนั้นเขาถึงควรจะออกไปตากฝนสักหน่อย ดีกว่าอยู่ที่นี่ทั้งที่ใจอึดอัดแทบตาย

     

    “จะไปไหน? ฝนกำลังตกนะ” เสียงแหลมติดจะแหวขึ้น แต่ชานยอลไม่ได้สนใจฟังมัน “เธอเป็นอะไรชานยอล” ในตอนที่เขาใส่เสื้อตัวนอกเสร็จ เธอก็เข้ามากอดจากข้างหลังแล้วแนบตัวเสียจนกลิ่นน้ำหอมคลุ้งเข้ามาในจมูก แต่มันไม่ได้ผลนัก ท้ายสุดแล้วชานยอลก็ผลุนผลันออกมาจากห้องนั้นอยู่ดี เขาก็แค่มาส่งเธอตามมารยาท แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดอะไรเลยเถิดขึ้น

     

    กลิ่นชื้นและเสียงฝนทำให้ชานยอลลังเล เขาเดินลงมาจนถึงใต้หอพักที่เคยมาแค่ครั้งสองครั้ง มองแผงน้ำกำลังแย่งกันเรียงตัวจากกันสาดเพื่อตกสู่พื้น จนถึงตอนนี้ชานยอลก็ยังไม่รู้ว่าแบคฮยอนชอบฝน เหมือนที่เขาไม่รู้มาตลอดหลายปีว่าแบคฮยอนมีใครบ้างหรือเปล่า

     

    บางทีแบคฮยอนอาจจะเหมือนปลาอโรวาน่า ในตอนนั้นที่เขาบีบแน่นเกินไป มันก็ตกใจแล้วว่ายหนีลงลึก ถ้าโลกนี้แคบเหมือนตู้ปลาสวยงามก็คงดี แต่ความเป็นจริงมันกว้างกว่ามหาสมุทร

     

    เขาก็แค่เผลอดีใจ ที่คิดว่าพายุพัดพาแบคฮยอนจนขึ้นมาให้เห็นแล้วเชียว

     

    ปาร์คชานยอลสตาร์ทบิ๊กไบค์แข่งกับเสียงฝน เขาสวมหมวกกันน็อกแบบเต็มหัวก่อนจะบิดมือขวาเพื่อให้รถพุ่งตัวออกไป ถึงจะไม่ต้องรู้สึกถึงแรงปะทะที่ใบหน้า แต่เสียงฝนที่กระทบเข้ากับหมวกกันน็อกถี่ๆนั้นก็ดังก้องจนชวนให้รู้สึกรำคาญ

     

    สัมภาระทั้งหมดของชานยอลถูกเก็บไว้ใต้เบาะ ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาจึงมีแค่เสื้อผ้าเปียกๆและหมวกกันน็อกหนึ่งใบ จริงๆชานยอลไม่ชอบตอนที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม เพราะมันทำให้เขาต้องทนกับการเพ่งสายตาไปข้างหน้าแข่งกับแสงสีของไฟหน้ารถคันอื่นๆ ทุกครั้งเขาจะโอดครวญกับแม่ว่าปวดตาจนถูกดุ

     

    ฝนตกทำให้เขาขับมอเตอร์ไซด์ได้ช้าลง นอกจากเด็กส่งอาหารฟาสต์ฟู้ดที่ท่าทางกำลังรู้สึกแย่แล้ว เขาก็ไม่เห็นมอเตอร์ไซด์คันไหนอีกนอกจากรถยนต์

     

    ชานยอลคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เขารู้สึกไม่มีสมาธิเอาซะเลย และจนกระทั่งเขาเบรกไม่ทันในตอนที่รถข้างหน้าหยุดกะทันหันนั่นแหละ เสียงเอี๊ยด... ปึงที่ดังขึ้นมาเรียกสติเขาได้ชะงัดนัก

     

     

     



     



     

     

     

     

     

     

    แบคฮยอนรีบกดปิดเสียงโทรศัพท์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ถึงแม้ว่าในออฟฟิศจะเหลือพนักงานอยู่แค่สี่คน คิ้วเรียวขมวดน้อยๆใส่เบอร์ลงท้ายด้วยหกหกซึ่งปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ แน่นอนเขาจำได้ว่าใครคือปลายสาย

     

    แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ยังทำให้รู้สึกอึดอัดได้มากขนาดนี้ ร่างเล็กโมโหตัวเองที่ปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นกลับเข้ามามีผลกระทบในชีวิตมากจนเกินไปอีกครั้ง ชานยอลโทรมาทั้งหมดสามรอบ ใช่... มันผิดปกติ แต่ทิฐิในใจทำให้แบคฮยอนไม่คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะมีเรื่องสำคัญ

     

    สุดท้ายแล้วเขาก็กดรับในสายต่อมา หากแต่ไม่ได้พูดอะไรทักทายออกไปก่อนอย่างเช่นยอโบเซโยหรือว่าไง แบคฮยอนลืมคำว่ามารยาททางสังคม ลืมเรื่องใดๆทั้งสิ้นเพียงแค่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับน้องชายต่างแม่

     

    ( แบคฮยอน ) เสียงทุ้มดังขึ้นท่ามกลางความจอแจ บางทีหมอนั่นอาจจะอยู่ห้าง ( ไม่ได้อยากรบกวนหรอกนะ แต่ว่า )

     

    ต้องเงี่ยหูให้แนบติดโทรศัพท์มากขึ้นอีก ทางนั้นโหวกเหวกจนรู้สึกรำคาญ ทั้งเสียงของอีกฝ่ายก็ติดจะดูลำบากใจ ไม่ทันได้เดาเรื่องราวที่เกิดขึ้น ชานยอลก็โพล่งขึ้นมาต่อจากประโยคก่อนหน้า

     

    ( พอดีขับรถไปชนท้ายคนอื่นเข้า ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลจานซอง อยากให้มาช่วยคุยหน่อย )

     

    เป็นไปได้ชานยอลเองคงไม่อยากให้เดือดร้อนถึงเขา แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็เป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัย อย่างน้อยๆคู่กรณีก็คงตัดเรื่องความน่าเชื่อถือออกไป และแบคฮยอนเป็นผู้ปกครองคนเดียวซึ่งเหลืออยู่

     

    ใช้เวลาคิดอยู่เกือบๆครึ่งนาที แบคฮยอนก็สำเหนียกได้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือก เขาจึงตอบตกลงส่งๆแล้วรวบเก็บข้าวของบนโต๊ะใส่กระเป๋าจนเกือบลืมชัทดาวน์คอมพิวเตอร์เครื่องประจำ

     

     

     

     

     


     





     

     

     

    โรงพยาบาลจานซองช่วงดึกค่อนข้างเงียบกว่าปกติ แบคฮยอนขับรถมาถึงที่นี่ในตอนสี่ทุ่ม เขาไม่ได้หยิบอะไรลงไปนอกจากกระเป๋าเงินและโทรศัพท์ ส่วนมินอานักกินข้าวกับเพื่อนตั้งแต่ค่ำและนัดไปเจอกันอีกทีที่คอนโดมิเนียมถ้าต่างคนต่างเสร็จธุระแล้ว ซึ่งนั่นทำให้ไม่ต้องคอยพะวงหน้าพะวงหลังนัก

     

    เป็นโชคร้ายของวันนี้ที่บยอนแบคฮยอนใส่เพียงกางเกงยีนส์ขาดๆหนึ่งตัวกับเสื้อยืดสีดำใส่สบาย ซึ่งนั่นคงทำให้ภาพลักษณ์เขาไม่เป็นผู้ใหญ่นัก ปกติการคุยเรื่องค่าเสียหายอะไรแบบนี้เด็กมหาวิทยาลัยมักจะทำอะไรไม่ถูก

     

    และนี่เป็นครั้งแรกที่แบคฮยอนยอมโทรกลับเบอร์โทรศัพท์ลงท้ายด้วยเลขหกหก เสียงรอสายยังไม่ทันจบท่อนดีมันก็เงียบไปเพราะอีกฝ่ายกดรับ ชานยอลอาจจะเอาคืนเขาด้วยการไม่พูด และนั่นหมายความแบคฮยอนต้องเป็นฝ่ายออกปากก่อน “ถึงแล้ว”

     

    ( โอเค อยู่หน้าห้องจ่ายยานะ )

     

    อีกฝ่ายตอบกลับมาเสียงเรียบ แต่ก็รอให้เขาเป็นฝ่ายกดวางสายเองซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเท่าไรนัก ยิ่งเดินเข้าไปใกล้แบคฮยอนก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเดินช้าลง ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่ายังไงก็คงไม่ต้องเจอหน้ากันสักระยะแท้ๆ

     

    เห็นเรือนผมและลาดไหล่สีดำโผล่พ้นม้านั่งยาวหน้าห้องจ่ายยาก็ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างประหลาด เขามักจะมีปฏิกิริยาเสมอ และต้องใช้ความพยายามมากกว่าการจบมัธยมปลายในการหักห้ามตัวเองไม่ให้แสดงความอ่อนแอพวกนั้นออกมา

     

    แบคฮยอนใช้การพาตัวเองเข้าไปอยู่ในกรอบสายตาแทนที่จะเอ่ยเรียกออกไปอย่างที่พี่น้องปกติเขาทำกัน เห็นอย่างนั้นชานยอลก็เด้งตัวจนกลายเป็นนั่งหลังตรง หนึ่งในสองมือที่ประสานกันไว้หลวมๆมีผ้าพันแผลที่ท่อนแขนหนึ่ง จากท่าทางเก้ๆกังๆแล้วแบคฮยอนคิดว่าตรงขาก็น่าจะใช่เหมือนกัน

     

    “นี่คุณจุนมยอนกับคุณซูจอง แล้วก็ประกันของเขา” ร่างสูงเอ่ยแนะนำคู่กรณี แบคฮยอนไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นคู่รักกันหรือเปล่า แต่ดูแล้วก็ไม่ได้ใจร้ายอะไร

     

    “เกิดอะไรขึ้น”

     

    “ฝนมันตกก็เลยเบรกไม่ทัน แล้วรถล้ม เขาเลยใจดีพามาส่งโรงพยาบาล” ชานยอลเล่าแบบกระชับ แต่จากสีหน้าแบคฮยอนแล้วเลยรู้ว่าไม่ละเอียดพอ “เราเลยตกลงจะคุยเรื่องค่าเสียหายกันอีกทีหลังจากพี่มา ผมไม่ได้พกเอทีเอ็ม”

     

    ประโยคสุดท้ายติดจะแผ่วลงจนเหมือนให้ได้ยินกันแค่สองคน แบคฮยอนพยักหน้ารับส่งๆแล้วหันไปยิ้มให้บุคคลที่สาม นายประกันเดินขึ้นมาข้างหน้าก้าวหนึ่งก่อนจะยื่นเอกสารการประเมินความเสียหายมาให้ “ท้ายรถบุบแต่ไม่มีรอยถลอก จากการประเมินแล้วทางเราจำเป็นต้องเรียกค่าเสียหายจากคุณสองแสนหกหมื่นวอนครับ”

     

    คิ้วเรียวขมวดน้อยๆพลางมองดูภาพที่ถูกปรินท์จากกระดาษตรงหน้า มันไม่ใช่ราคาที่แพงอะไรสำหรับคนใช้รถเหมือนกันอย่างแบคฮยอนแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ตอบตกลงในทันที

     

    “ถ้าคุณข้องใจ ผมพาไปดูสภาพรถจริงได้” จุนมยอนว่าเสียงเห็นใจ “เราไม่ได้ชาร์จเงินตรงไหนเพิ่มเลยนอกจากค่าดันรอยบุบ”

     

    “อา... ผมเข้าใจครับ” แบคฮยอนพยักหน้ารับ เขาไม่ได้พกเงินติดตัวถึงแสนวอน แต่สามารถเดินไปกดที่ตู้เอทีเอ็มแล้วเคลียร์เรื่องนี้ได้ทันที

     

    “คุณลำบากหรือเปล่าครับ ทยอยจ่ายก็ได้ ผมไม่เดือดร้อนอะไร” เจ้าของรถยังว่าต่อ ทั้งยังหันไปถามนายประกันเรื่องความเป็นไปได้ในการช่วยเหลือคู่กรณีด้วย

     

    “ผมพอมีเงินอยู่ แล้วจะคืนให้หลังจากกลับไปถึงบ้าน” ปาร์คชานยอลเดินขึ้นมาขนาบข้างแล้วกระซิบ เขาพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แล้วสองแสนกว่าวอนนี่ก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงนัก

     

    แบคฮยอนไม่ได้ตอบ แต่หันไปพูดกับอีกฝั่งด้วยทีท่าที่ไม่ได้เดือดร้อนอะไร “ผมสามารถจ่ายให้คุณได้ทันที แต่รบกวนรอสักครู่นะครับ ผมจะไปกดเงินออกมาให้”

     

    ร่างเล็กเดินออกไปจากบริเวณนั้นทันทีที่พูดจบ แบคฮยอนมองเห็นตู้เอทีเอ็มเรียงกันอยู่ที่มุมหนึ่งของโรงพยาบาล มันมีธนาคารที่เขาต้องการ ซึ่งการให้เป็นเงินสดยุ่งยากน้อยกว่าการจ่ายด้วยบัตรเดบิตหรือการโอนผ่านธนาคารในภายหลังพอสมควร

     

    เหลือเพียงชานยอลที่ได้แต่ยืนอมยิ้มเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น มันไม่ได้ตึงเครียดหรอก อันที่จริงเขาแค่ทำตัวไม่ถูกระหว่างรอก็เท่านั้น

     

    ไม่ถึงห้านาทีแบคฮยอนก็กลับมาพร้อมกับเงินสดจำนวนพอดี เขามีหน้าที่แค่เซ็นในเอกสารต่อจากพี่ชายต่างสายเลือดเท่านั้น ใช้เวลาอีกประมาณสิบนาทีฝั่งของจุนมยอนก็แยกตัวไปก่อนหลังจากมีน้ำใจพาเขามาส่งถึงนี่เพราะเห็นแผลถลอก

     

    จนถึงตอนนี้แบคฮยอนก็มองหน้าเขาแบบนับวินาทีได้ จะขอบคุณอุบัติเหตุในครั้งนี้ดีหรือเปล่าที่มันดับความฟุ้งซ่านในใจชานยอลได้ชะงัดนัก ทันทีที่คิดจบ ร่างเล็กก็เดินนำลิ่วๆไปยังลานจอดรถชั่วคราวทางด้านหน้าโรงพยาบาล

     

    บยอนแบคฮยอนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชานยอลจะตามมาทำไม เขาเพิ่งฉุกคิดได้เดี๋ยวนี้เองว่าถ้าอีกฝ่ายถูกพามาส่ง อย่างนั้นรถก็คงจอดอยู่ที่ไหนสักแห่ง ซึ่งอันที่จริงเขาไม่พร้อมเป็นสารถีหรือต้องอยู่ใกล้กันเลยสักนิด ครั้นจะให้ถามว่ารถไปไหน แบคฮยอนก็ไม่เข้มแข็งพอจะหันกลับไปสนทนาด้วย

     

    “รถไปไหน?” สุดท้ายแล้วคนอายุมากกว่าก็ต้องถามอยู่ดีในตอนที่เห็นร่างสูงกำลังตั้งท่าจะขึ้นรถของเขา คิ้วเรียวนั่นติดขมวดเล็กๆ คล้ายกับพยายามปั้นหน้ามองวิวทิวทัศน์ตอนกลางคืนแทนใบหน้าของใครอีกคน

     

    “ส่งซ่อมไปแล้ว ให้อู่มาเอาไป”

     

    ได้ยินอย่างนั้นก็หมดเรื่องพูด แบคฮยอนเปิดประตูรถเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ ชานยอลทำเหมือนกันราวกับเขาไม่ได้เจ็บแผลอะไรมากมาย คงแค่แผลถลอกอย่างที่ว่า

     

     

     

     


     


     





     

     

     

     

    ใช้เวลาอีกราวๆสิบห้านาทีทั้งคู่ก็กลับมาถึงบ้าน คนที่ปิดประตูแล้วเข้าบ้านคนสุดท้ายก็ยังเป็นคนพี่เหมือนอย่างเคย ตัวของชานยอลยังชื้นๆ แต่เขาก็แวะดูเจ้าอโรวาน่าดำที่ตู้ในห้องนั่งเล่นจนแบคฮยอนเป็นฝ่ายเดินขึ้นห้องไปก่อนเหมือนอย่างเคย

     

    เขารู้สึกหิว เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เมื่อบ่ายก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักนิดเดียว เพราะอย่างนั้นแบคฮยอนเลยรีบเลือกเสื้อผ้าในตู้มาใส่ลวกๆ ฝนยังตกไม่หยุด เขาเลยใส่เป็นเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มขายาวเหมือนในตอนท้ายหน้าหนาว

     

    ครั้นเดินลงมาก็เห็นชานยอลเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำชั้นล่างพอดี อาบไวเหมือนวิ่งผ่านน้ำ แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ยังได้กลิ่นสบู่ลอยแตะจมูกจางๆในตอนที่เข้าใกล้กันระยะหนึ่งเมตรพอดี

     

    พวกเขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งมันดีกว่า อึดอัดน้อยกว่า และไม่ต้องเหนื่อยว่าจะสรรหาอะไรมาพูดถึงเรื่องเมื่อสามวันก่อนและย้อนไปถึงเจ็ดปีที่แล้ว แบคฮยอนไม่ชอบนึกถึงมันนัก แต่ก็ยังกลายเป็นภาพติดหัวอยู่เสมอ

     

    อ้อ... แบคฮยอนยอมนอนบ้านหนึ่งคืนเพราะมินอาเองก็อยากดื่มเบียร์กับเพื่อนๆสมัยเรียนของเธอจนดึกเหมือนกัน นั่นทำให้แบคฮยอนไม่มีทางเลือก... ท่ามกลางความบังเอิญเฮงซวย

     

    แบคฮยอนต้องรื้อหม้อหุงข้าวขนาดเล็กออกมาใช้ มันใส่กล่องวางอยู่ที่ชั้นเหนือซิงค์ล้างจาน ใส่ข้าวสารไปนิดหน่อยพอดีหนึ่งคน แต่มันก็น้อยเกินกว่าจะจูงใจให้เขาเสียบปลั๊กเพื่อหุงข้าวก้นหม้อ

     

    ไม่รู้ว่าชานยอลกินอะไรมาหรือยัง แบคฮยอนให้เวลากับตัวเองสามวินาทีในการหันไปมองผู้ชายที่เขาเกลียดที่สุด หมอนั่นกำลังยืนดูปลา และยิ้มคุยกับมันไม่ต่างจากคนเลี้ยงสุนัขหรือแมว แต่ท้ายสุดแล้วเขาก็เพิ่มข้าวสารลงไปอีกกำหนึ่ง ใจคิดแค่ว่าถ้าหมอนั่นหิวก็ค่อยมาเอาข้าวไปคีบกิมจิกินเองก็แล้วกัน

     

    อีกอย่างน้อยยี่สิบนาทีกว่าข้าวจะสุก ร่างเล็กลุกขึ้นไปเทน้ำใส่แก้วมานั่งกินพลางสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ในมือระหว่างรอไปพลางๆ ในครัวมีหน้าต่างกระจกอยู่หนึ่งบาน นั่นทำให้เขาได้ยินเสียงฝนชัดเจน และชั่วขณะที่ลืมไปจริงๆว่ามีใครอีกคนอาศัยอยู่ในบ้านด้วย

     

    สมาร์ทโฟนเล็กกว่าชานยอล เพราะอย่างนั้นในตอนที่อีกฝ่ายนั่งลงยังฝั่งตรงข้ามเขาถึงได้เกร็งตัวขึ้นทันที แบคฮยอนสามารถหนีขึ้นไปทำงานข้างบนได้ถ้าไม่ติดว่าหม้อหุงข้าวได้ทำงานมาเกินครึ่งทางแล้ว และคนตัวเล็กจะเครียดเสมอถ้าเหตุผลนั้นไม่เพียงพอ

     

    ทั้งสองคนนั่งด้วยกันโดยมีโต๊ะกินข้าวขวางอยู่ตรงกลางอีกแล้ว ภาพเหตุการณ์มันดูซ้ำซ้อนไปเสียหมด ลายไม้บนโต๊ะกำลังเปลี่ยนเป็นพาจอน และแบคฮยอนก็เอาแต่จ้องแก้วน้ำเหมือนกับเป็นสิ่งหายาก ต่างกันที่ตอนนี้มือของเขาได้แต่สไลด์หน้าจอโทรศัพท์ในมือไปเรื่อยเปื่อยแม้ว่ามันจะสุดขอบเฟรมแล้วก็ตาม

     

    จิตใจของแบคฮยอนตอนนี้ว้าวุ่น เขาเฝ้ารอให้หม้อหุงข้าวส่งเสียงเตือนว่าได้ทำหน้าที่ของมันเสร็จแล้วสักที อย่างน้อยพอถึงตอนนั้นแบคฮยอนก็จะหาอะไรทำได้มากมายไม่ใช่ทำได้แค่เป็นเป้านิ่งทางสายตาอยู่อย่างนี้

     

    เสียงขาเก้าอี้ไม้ลั่นเสียดกับพื้นกระเบื้อง ปาร์คชานยอลบิดตัวเล็กน้อยแล้วแตะเบาๆที่ผ้าพันแผลบนท่อนแขน เขาไม่รู้สึกเจ็บกับมันถ้าไม่ไปกระแทกหรือโดนน้ำ แต่พยาบาลก็ทำแผลให้มันดูร้ายแรงกว่าความจริงได้เยี่ยมไปเลย เขาสามารถโดดเรียนได้เพราะแผลพวกนี้เลยล่ะ

     

    “....”

     

    “....”

     

    ทุกครั้งที่ความเงียบโรยตัวลงมามักจะแทนด้วยความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นเสมอ ชานยอลไม่กล้าพูดอะไรออกไป เขากลัวว่าแบคฮยอนจะเดินหนีแล้วล็อกประตูห้อง สู้ยอมอยู่เฉยๆโดยแลกกับการได้ใช้สายตาทาบวางไปบนดวงหน้านั้นคงดีกว่า

     

    แล้วการนับเวลาถอยหลังก็ถึงจุดสิ้นสุดเมื่อเสียงหม้อหุงข้าวดังติ๊ง มันทำหน้าที่เสร็จแล้ว และนั่นทำให้บยอนแบคฮยอนดีดตัวลุกขึ้นแทบจะทันที เขาเปิดฝาออกเผยให้เห็นเม็ดข้าวพูนหม้อ ซึ่งแบคฮยอนตัดสินใจแล้วว่าจะไม่บอก แต่ให้หมอนั่นมาเปิดดูเองถ้าหิว

     

    หากแต่ไออุ่นจากแผ่นหลังทำให้ร่างเล็กรู้สึกผิดคาด เขาหันไปเห็นชานยอลที่ชะเง้อคอมองจำนวนข้าวในหม้อแล้วก็ทำหน้าอมยิ้มอย่างตอนคุยกับคู่กรณี แบคฮยอนผละตัวออก เขาเลี่ยงไปหากิมจิที่แช่อยู่ในตู้เย็นและไข่ไก่หนึ่งใบ

     

    “แบคฮยอน” เสียงนั้นร้องเรียก หากมันมีแต่จะยิ่งทำให้คนตัวเล็กหดตัวลงจนประตูตู้เย็นบังมิดไปครึ่งตัว “เรื่องวันนี้ขอบคุณมาก”

     

    “....”

     

    “แต่ว่า”

     

    ไม่รู้ว่าชานยอลเดินเข้ามาเมื่อไหร่ รู้สึกตัวอีกทีต้นแขนก็ถูกกอบกุมไว้ด้วยมือใหญ่ นั่นเป็นเหตุผลที่แบคฮยอนเกลียดมือนี้ “ปล่อย”

     

    “ผมไม่อยากให้พี่หลบหน้า”

     

    “ฉันหลบหน้านายได้ทั้งชีวิต...” แบคฮยอนพูดลอดไรฟัน เขาพยายามแกะมือของชานยอลออกหลังจากวางถุงกิมจิไว้ในตู้เย็นอย่างลวกๆแล้ว “ถ้าทำได้”

     

    ชานยอลเพิ่งคิดได้ว่าตัวเองไม่มีอะไรจะเสีย เขาถึงได้งอข้อนิ้วเข้าเกี่ยวกับมือของแบคฮยอนแทนที่จะออกแรงพันธนาการแขน ตอนนี้ทั้งคู่ยื้อยุดกันด้วยมือคนละข้าง และแบคฮยอนก็ตัดสินใจวางไข่ลงบนชั้นข้างประตูตู้เย็น

     

    ทั้งคู่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน มันเริ่มขึ้นเมื่อความอดทนของปาร์คชานยอลถึงขีดสุดและปล่อยให้การนอนค้างห้องด้วยกันธรรมดาๆกลายเป็นความฝันร้าย เขาแทบไม่รู้ตัวว่าคืนนั้นเขาถูกผีบ้าตัวไหนเข้าสิง มันคือความผิดพลาดที่แลกมาด้วยการสูญเสีย

     

    แน่นอนเขาสูญเสียพี่ชายไป บยอนแบคฮยอนเก็บตัวอยู่แต่ในห้องตัวเองหลังจากนั้นเป็นอาทิตย์ จนเช้าของวันที่ต้องไปโรงเรียนนั่นแหละ เขาถึงได้เห็นว่าใบหน้านั้นอิดโรยและหวาดระแวงอย่างกับเขาเป็นตัวประหลาด

     

    ในตอนนั้นชานยอลกำช้อนในมือแน่นจนเกิดเป็นรอยที่กลางฝ่ามือ แบคฮยอนเลือกที่นั่งเยื้องกันเป็นครั้งแรก ชานยอลเกลียดตัวเองที่ปล่อยให้ความรู้สึกโสมมแบบนั้นพลุ่งพล่านในตัวได้อีก แต่เขาก็ทำได้แค่เงียบไว้ มันเป็นเรื่องที่ควรรู้กันแค่สองคน

     

    ยิ่งได้เห็นตาของแบคฮยอนแดงก่ำ ความรู้สึกผิดก็ยิ่งถาโถมเข้ามาเล่นงานจนเหมือนล้มทั้งยืน ชานยอลรู้ตัวว่าเขาไม่ควรทำแบบนั้น แต่ถึงย้อนเวลากลับไปได้เขาก็สู้แรงปรารถนาข้างในใจไม่ได้อยู่ดี

     

    ปาร์คชานยอลอยากครอบครองแบคฮยอนเสมอ... เขาคิดว่าเจ็ดปีที่ผ่านมาปีศาจในใจตัวนั้นก็ยังไม่ได้ตายจากไปไหน

     

    ภาพของแบคฮยอนที่เป็นผู้ชายอายุยี่สิบสี่ซ้อนทับกลับสู้ความจริงอีกครั้ง ตาเรียวรีนั้นกำลังแดงก่ำเหมือนกันไม่มีผิด นี่เป็นเหตุผลที่ร่างสูงยับยั้งชั่งใจตัวเองเสมอ เพราะถ้าเริ่มแล้วเขาคงแทบหยุดมันไม่ได้แม้จะรู้สึกว่าสิ่งนั้นคือการข่มเหงก็ตาม

     

    ชานยอลรักแบคฮยอนตั้งแต่ที่สมองเริ่มจดจำว่าอดัมคู่กับอีฟ แน่ล่ะในตอนแรกเขาพยายามมองอีกฝ่ายเป็นพี่น้อง แต่ในตอนที่รู้ประสีประสานั่นเองชานยอลก็เกิดความรู้สึกอยากเป็นเจ้าของขึ้นมา

     

    เขาปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในภวังค์ มันทำให้เขากล้าพูด และแบคฮยอนก็ดูโมโหที่เขาไม่ยอมปล่อยมือนี้ออกไปสักที ยิ่งร่างเล็กพยายามแกะมันออกเท่าไหร่ อีกมือของเขาก็สั่นร้อนคล้ายกับว่าอยากจะกอบกุมให้มันนิ่งอยู่ในอ้อมกอดเขา

     

    “แบคฮยอน”



     

    แบคฮยอน



     

    ชานยอลเรียกคนตรงหน้าเหมือนกับคืนนั้น เขาโกรธแบคฮยอนอีกแล้ว โกรธที่คิดได้ว่าร่างกายของแบคฮยอนไปกกกอดกับคนอื่นที่เขาไม่รู้จักในช่วงเจ็ดปีนี้ โกรธที่แบคฮยอนชอบปั้นหน้าตาเฉยชาราวกับว่าเริ่มลืมสิ่งที่เขาเคยทำไว้




     

    ชานยอลไม่ได้ใช้ความอดทนมาตลอดเจ็ดปีอย่างไร้จุดหมาย




     

    เพียงแต่เขายังคิดไม่ออกว่าจะดำเนินมันไปในทิศทางไหน เขาเกลียดที่ตัวเองอารมณ์ขึ้นๆลงๆ หลายครั้งที่เขาใช้ใบหน้าของผู้หญิงพวกนั้นเป็นแบคฮยอน ถึงความรู้สึกไม่เหมือนกันแต่ชานยอลก็ได้ปลดปล่อย

     

    “ผมขอโทษ” ชานยอลรวบสองมือนั้นไว้ในที่สุด คำขอโทษเว้าวอนเหมือนถูกพ่นออกมาจากคนไร้สติ “ผมขอโทษที่ทำแบบนั้นกับพี่”

     

    “ปล่อย!” แบคฮยอนฟังมันมามากเกินพอแล้ว ข้อตกลงของการเกิดเรื่องคืนนั้นคือพวกเขาต้องห่างเหิน “ออกไป”

     

    ร่างกายของบยอนแบคฮยอนร้อนวาบ เขาเกลียดความรู้สึกแบบนี้ เกลียดที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับการตอดรัดข้างในใจ มันสกปรกจนแบคฮยอนอยากอาบน้ำทั้งที่ใส่เสื้อผ้า

     

    ชานยอลทนความคิดถึงไม่ไหวแล้ว เขารั้งร่างเล็กเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแล้วดันประตูตู้เย็นปิดก่อนจะใช้มันเป็นผนังชั่วคราวเพื่อยึดร่างแบคฮยอนเอาไว้ แนบหน้าผากลงกับเครื่องทำความเย็น ปล่อยให้เส้นผมเล็กละเอียดเสียดไปตามพวงแก้มอย่างละเมียดละไม

     

    “ผมเห็น...” เสียงพร่ากระซิบ “ทั้งที่พยายามจะไม่สนใจพี่แล้ว แต่พี่ก็มองผม”

     

    “ไม่... ไม่ใช่...”

     

    “พี่ปฏิเสธแต่ปาก” ร่างสูงว่า เขาปล่อยมือหนึ่งจากการเป็นโซ่ล่ามมือมาสัมผัสเครื่องอุ่นๆของตู้เย็นด้านหลัง “พี่มองผม มันทำให้ผมเข้าข้างตัวเองว่าพี่ก็คิดถึงความรู้สึกแบบนั้น”

     

    “ไม่...”

     

    “เรารู้ว่ามันดี แบคฮยอน”

     

    บยอนแบคฮยอนร้องไห้ เขาเกลียดตัวเองที่เอาแต่พูดคำว่าไม่ ไม่ แล้วก็ไม่

     

    คนเราไม่มีทางลืมครั้งแรก แล้วยิ่งเป็นครั้งแรกที่เขาเอาแต่ก่ายกอดอีกฝ่ายทั้งน้ำตา ปล่อยให้ร่างกายเสียดสีกันจนร้อน และในหนึ่งสัปดาห์ที่เขาเอาแต่เก็บตัวนั้น แบคฮยอนก็นอนขดตัวสัมผัสระหว่างขาของตัวเองอีกนับครั้งไม่ถ้วน

     

    “ไม่... ชานยอล... ออกไป” เสียงนั้นร่ำบอก ปลายเท้าสัมผัสกันบางเบาเหมือนคนที่ต่อไม่ติด แต่ปาร์คชานยอลก็ยังคงถาโถมความรู้สึกเข้ามาประดังประเด เขาเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากที่ทาบทับลงบนสันกราม มันวาบหวิวและทำให้อ่อนแรง

     

    “ถึงปากพี่จะบอกว่าไม่ แต่พี่ต้องการผม”

     

    เสียงของชานยอลอยู่ใกล้ใบหู ราวกับมันส่งเสียงซ้ำๆว่าเราต้องการกัน ไม่... ไม่เลย แบคฮยอนเกลียดความรู้สึกแบบนี้ เกลียดความผิดพลาดในตอนที่เขาฟังเสียงฝน แบคฮยอนอยากเหยียบมันให้จมดิน ให้หายไป

     

    เขาขัดขืนได้ แต่ชานยอลพูดถูก ลึกๆแล้วบยอนแบคฮยอนก็เฝ้ารอให้มันเกิดขึ้นอีกครั้งมาตลอดเจ็ดปีนี้ พวกเขาแค่ถูกขัดขวางไว้ด้วยทิฐิ ความถูกต้อง และการรู้ในความผิด

     

    เรื่องทางเพศไม่เคยอ่อนไหว มันรุนแรงเสมอยิ่งเกิดจากความปรารถนาเป็นที่ตั้ง เมื่อเกิดขึ้นแล้วมันมีกจะแลกมาด้วยความกระเสือกกระสน ทำให้ดูถูกตัวเองอย่างหยาบโลน




     

    อย่าปล่อยให้มันเกิดขึ้นอีก

     

    ความถูกต้องบอกเขาทั้งคู่เสียงแข็ง




     

    อีกครั้งที่ชานยอลให้โอกาสตัวเองว่าเขาควรหยุด จูบที่เค็มแปร่งปร่าจากน้ำตาทำให้เขาฉุกคิด แต่ในตอนที่ดันตัวออกและเสื้อยืดถูกถูกรั้งไว้ด้วยการขยำของแบคฮยอน ทั้งหมดทั้งมวลในหัวก็ต่างบอกว่าช่างมันเถอะ

     



     


    CUT
    ฉากถูกตัดหาได้ในไบโอทวิต @_oharha นะคะ





     


















     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×