คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : - ( p a r a s i t e ) - c h a p t e r t w o
P A R A S I T E
T W O
“เฮ้ย เข้างานตั้งสี่โมงเย็น แล้วแกมาทำไมตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าวะ”
บยอนแบคฮยอนเท้าตัวเข้ากับเคาน์เตอร์จ่ายยาพลางมองหน้ารุ่นพี่คนสนิทราวกับเป็นแสงสว่างของชีวิต ภายในโรงพยาบาลเริ่มมีเสียงจอแจต่างจากกะกลางคืนที่เขาทำงานลิบลับ คนไข้เริ่มทยอยมาโรงพยาบาลกันแล้ว เพราะในการตรวจเฉพาะทางหมอจะลงแค่ในเวลาราชการ เพราะงั้นการมารอรับบัตรคิวแต่เช้าตรู่นั้นถือเป็นเรื่องปกติมาก
“ผมนอนไม่หลับ”
ใบหน้าอิดโรยที่แทบจะฟุบหลับอยู่รอมร่อดูเหมือนจะเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนได้เป็นอย่างดี มินซอกได้แต่หัวเราะเบา ๆ ก่อนชี้พื้นที่ว่างซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเคาน์เตอร์ให้อีกฝ่ายดู “จะเข้ามานอนในนี้ไหมล่ะ ซอฮยอนเข้างานแปดโมง แกคงได้งีบสักราว ๆ ชั่วโมงนึง”
อันที่จริงก็อยากทำแบบนั้นใจจะขาด แต่แบคฮยอนรู้ตัวดีว่าที่เขามาโรงพยาบาลแต่เช้านี่เพราะเรื่องอะไร ยกมือขึ้นโบกปัด ๆ ก่อนจะกลั้นใจเหยียดตัวตรง บิดขี้เกียจน้อย ๆ แล้วว่าเสียงยานคาง “ไม่เป็นไรพี่”
“เออ ตามใจแล้วกัน”
“ว่าแต่...”
“หืม?”
“หมอปาร์คนี่ใจดีจริง ๆ ใช่ไหมครับ?”
พอได้ยินประโยคนี้ดวงหน้าขาวอวบก็เงยขึ้นมองเด็กฝึกงานตรงหน้าอีกครั้ง คิดว่าอยู่ดี ๆ ก็เล่นมุกไปตามประสา แต่พอมองหน้าถึงได้รู้ว่าบยอนแบคฮยอนคงจะจริงจังกับสิ่งที่ถามออกมาจริง ๆ “ทำไม แกจะเอาอะไร”
“ผมถามพี่ก็ตอบสิครับ” เท้าตัวลงมากับเคาน์เตอร์อีกครั้ง คนเป็นพี่หรี่มองดวงตาหรี่เล็กตรงหน้า เขาแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าได้พูดอะไรเกี่ยวกับหมอปาร์คให้หมอนี่ฟังหรือเปล่า
“ไม่รู้ว่ะ ไม่ค่อยไปยุ่งกับพวกแผนกจิตเวชเท่าไหร่ แต่เห็นเขาว่ากันอย่างนั้น”
ทั้งที่อยากจะซักไซ้ไล่เรียงต่ออีกสักหน่อย แต่แบคฮยอนก็รู้งานและเดินลิ่วไปอีกทางทันทีหลังจากฟังคำตอบนั้นจบ คิมมินซอกถอนหายเบา ๆ อย่างไม่ติดใจเท่าไหร่นัก แล้วก้มหน้าลงเขียนใบสั่งยารอบหน้าโดยไม่ลืมที่จะสั่งไดอะซีแพมซึ่งคุณหมอปาร์คกำชับมาด้วย
ไม่รู้ทำไมพอเดินเลี่ยงมาทางห้องน้ำที่แทบไม่มีใครแล้วร่างบางถึงได้รู้สึกขนลุกขนพองนัก อาจจะเพราะเมื่อคืนเขาเจอเรื่องหนัก ๆ ว่าคืนไหนที่เคยเจอมากระมัง
นึกแล้วก็ยังกลัวไม่หาย... ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชีวิตต้องมาพบเจออะไรแบบนี้ ทั้งโดนผู้ป่วยไอซียูจ้องก่อนตาย ถูกวิ่งตัดหน้ารถ ได้ยินเสียงแปลก ๆ รู้สึกเหมือนมีใครตาม แล้วยังต้องมาอดหลับอดนอนแบบนี้อีก
ดวงตก... ดวงซวย... จะเรียกอะไรก็จัดว่าแย่ทั้งนั้น
“เธอเคยได้ยินไหม ที่ว่าดวงวิญญาณจะผูกจิตกับบางอย่างที่ฝังใจก่อนตายน่ะ”
เสียงนางพยาบาลเดินคุยกันสวนเขาไปชวนให้รู้สึกขนลุกซู่อย่างประหลาด บยอนแบคฮยอนชะงักฝีเท้าแล้วเอี้ยวหลังกลับไปมองทั้งสองคน ไม่รู้ว่าทำไม... แต่เขาเองก็อยากได้ยินต่อเหมือนกัน เผื่อว่ามันจะเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเจออยู่นี่
“จริงเหรอ น่ากลัวจัง”
ทว่าพวกเธอก็เดินห่างออกไปจนเกินกว่าที่เขาจะแอบฟังได้ชัดเจน ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะเดินทอดน่องตรงไปยังห้องน้ำตรงสุดทางเดินตามที่ตั้งใจไว้แต่ทีแรก
พลันความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาอย่างดื้อ ๆ อะไรที่เขาไม่เคยนึกถึง... และคิดว่ามันไม่มีเหตุผลอะไรเลย
เหตุการณ์เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่เตียงฉุกเฉินเข็นผ่านหน้าห้องจ่ายยาไป ดวงตาเหลือกโลนที่อาบไปด้วยเลือดนั้นจ้องมองเขา... ครู่หนึ่งที่สบตา... แล้วก็เห็นว่ามีเตียงคลุมผ้าสีขาวถูกเข็นออกมาจากห้องฉุกเฉินหลังจากนั้นไม่นาน
“......”
ถึงอย่างนั้นมันก็ดูไร้เหตุผลสิ้นดี...
บยอนแบคฮยอนแทบจะตัดเรื่องนี้ทิ้งไปจากหัว ถ้าไม่ติดที่เขานึกขึ้นได้ว่า... ได้ยินเสียงฝีเท้าเกินมาครั้งแรกนับจากนั้นสองวัน...
เสียงแปรงฟันดังอยู่ภายในห้องน้ำเล็ก ๆ ที่แบ่งเป็นห้องสำหรับถ่ายสองห้อง เหตุผลที่เขาไม่ใช้ห้องน้ำใหญ่ทางโถงด้านนอกก็เพราะมันคงจะดูไม่ดีแน่ที่มีคนไปยืนแปรงฟังต่อหน้าคนไข้แบบนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมพอเขามาใช้ห้องน้ำแบบนี้ ข้างนอกถึงแทบไม่มีใครผ่านไปมาอย่างตอนก่อนหน้าเลย
'เธอเคยได้ยินไหม ที่ว่าดวงวิญญาณจะผูกจิตกับบางอย่างที่ฝังใจก่อนตายน่ะ'
ส่องกระจกมองดูหน้าตาอิดโรยของตัวเองไปใจก็ยังคิดถึงเรื่องก่อนหน้าไม่หาย เขายังจำสายตาของผู้หญิงคนนั้นได้ดี สายตาที่มองมายังเขาตราบจนกระทั่งหายลับไปในห้องไอซียู
และถ้าใช่... เธอต้องการอะไรกันล่ะ?
สะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมองแล้วก้มลงกวักน้ำล้างหน้าเหมือนไม่มีอะไร สายน้ำเย็น ๆ ไหลผ่านมือพร้อมกับความรู้สึกเย็นวาบที่แผ่ไปทั่วแผ่นหลังอย่างประหลาด
ครั้นก้มหน้าลงมอง...
“เฮ้ย!”
บยอนแบคฮยอนกระโดดถอยหลังจนตัวโยนเมื่อน้ำที่เขาเห็นเมื่อครู่มันเป็นสีโคลนอย่างที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เด็ดขาด ครั้นลองขยี้ตาแล้วเพ่งมองอีกที ใจสั่น ๆ ก็แทบชวนให้ประสาทเสียเมื่อน้ำที่ไหลจากก๊อกนั้นเป็นสีใสปกติอย่างเช่นน้ำประปาทั่วไป
บ้าไปแล้ว...
...จะเป็นไปได้ไงกัน
เมื่อครู่เขาคงตาฝาดไปจริง ๆ แบคฮยอนอาจจะคิดแบบนั้นหากว่าไม่เคยพบเจอความแปลกประหลาดมาก่อนหน้า ร่างเล็กกลั้นใจอีกอึดหนึ่งก่อนจะเดินกลับเข้าไปล้างหน้าบ้วนปากให้เสร็จ ๆ แล้วออกจากที่นี่ไปเสีย
แต่ว่ามันหนาว... หนาวชะมัดเลย
หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กในกระเป๋ามาซับหน้าซับตาให้เรียบร้อย อดไม่ได้ที่จะถูมันลงไปแรง ๆ เพื่อเรียกสติให้ตื่นเต็มตา สูดลมหายใจลึกราวกับจะบอกตัวเองให้อดทนต่อไปแม้ว่าความกล้าในใจเขานั้นมันจะถูกกลบจนมิดแล้วก็ตามที
ใช่... อดทน...
...อดทนต่อความกลัวที่เข้าครอบงำ
ฮิ ~
“.......!!”
อีกครั้งที่ร่างทั้งร่างสะดุ้งโหยงเพราะความรู้สึกเย็นเยือกคล้ายกับมีใครหัวเราะอยู่ข้างหู ลดผ้าลงจากใบหน้าทั้งมือสั่นเทา แบคฮยอนมองภาพภายในห้องน้ำผ่านกระจกเห็นเพียงความว่างเปล่า
ไม่มีใครเลย...
ไม่มีใครอยู่ในนี้นอกจากเขาเพียงคนเดียว
แล้วเสียงเมื่อกี้เป็นของใครกัน... ใครที่สายตามองไม่เห็น... และไม่อยากจะเห็น
เจออย่างนั้นก็รีบยัดผ้าเช็ดหน้าลงในกระเป๋าเป้อย่างลวก ๆ แล้วเร่งฝีเท้าออกจากห้องน้ำทันที ทั้งสมองและหัวใจสั่งการตรงกันว่าให้รีบไปจากที่นี่ ไปก่อนที่จะมีอะไรชวนขนลุกเกิดขึ้นซ้ำ
พอเริ่มเห็นคนอื่น ๆ ทยอยเข้ามาในกรอบสายตาร่างบางก็เผลอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ยกมือขึ้นกอดตัวอย่างหลวม ๆ พลางบีบกระชับต้นแขนเพื่อเรียกสติขึ้นมา
นี่มันมากเกินไปแล้ว...
ขาสองข้างสั่นเทาจนแทบจะจะยืนไม่ไหว ครู่หนึ่งที่บยอนแบคฮยอนจำต้องหยุดเอนร่างกายที่ข้างเสาเพื่อย้ำเตือนตัวเองว่าต้องมีแรงใจมากกว่านี้ ให้มาใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่กลัวที่สุด สาบานได้ว่ามันทรมานซะยิ่งกว่าต้องอดข้าวเป็นอาทิตย์ ๆ
กลัว...
เมื่อไหร่ที่รู้ตัว... ก็รู้สึกถึงเพียงความกลัวที่แล่นไปทุกอณูในร่าง
ครู่หนึ่งที่เขาอยู่อย่างนั้นโดยไม่แคร์สายตาคนที่เดินผ่านไปมา เมื่อลืมตาขึ้นมองภาพตรงหน้า ชายหนุ่มก็ตัดสินใจก้าวเดินต่อไป อย่างน้อยก็ด้วยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่ว่าสักวัน...
...สักวันเขาอาจจะหลุดพ้นจากเรื่องตรงนี้ไปได้ และกลับไปมีชีวิตปกติสุขสักที
ผ่านผู้คนมากมายทั้งคนไข้และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล แม้แต่นักศึกษาแพทย์ที่ยืนกินกาแฟกันอยู่ตรงตู้กดน้ำ การอยู่ท่ามกลางคนมาก ๆ มันทำให้เขารู้สึกอุ่นใจ อย่างน้อยในตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็ยังพอปลอบใจตัวเองได้ว่ามันเป็นของใครสักคนในนี้
แต่แล้วผู้คนก็ค่อย ๆ ซาลง... ซาลงเรื่อย ๆ จวบจนเข้ามาเหยียบถึงแผนกจิตเวช
บยอนแบคฮยอนทอดสายตามองผนังอาคารและพื้นกระเบื้องสีขาวที่ไม่ต่างอะไรจากแผนกอื่น ๆ เพียงแต่มันกลับดูโล่งและนึกสภาพในยามพลุกพล่านไม่ออก ทางขวามือมีเคาน์เตอร์พยาบาลสำหรับติดต่อสอบถามและบริการ ไม่รอช้า ชายหนุ่มเดินดุ่ม ๆ ไปทางนั้นทันที
“หมอปาร์คมาหรือยังครับ?”
อาจเพราะว่าตอนนี้เขาไม่ได้ใส่เครื่องแบบจึงดูไม่ต่างอะไรจากคนไข้ธรรมดา ทั้งยังหน้าตาอิดโรยและเสียงทุ้มพร่าที่ถามออกไปโต้ง ๆ นางพยาบาลจึงทอดรอยยิ้มให้ไม่ต่างอะไรจากคนไข้คนหนึ่ง และสาบานได้ว่ามันไม่ชวนให้รู้สึกดีนักหรอกที่ได้เป็นคนไข้ของแผนกจิตเวช “หมอปาร์ค...? ปาร์คชานยอลน่ะเหรอคะ”
“ครับ” แบคฮยอนมองนาฬิกาแขวนผนังก่อนจะเห็นว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่ง ปกติหมอเฉพาะทางจะเข้าเวรในตอนแปดหรือเก้าโมง เพราะอย่างนั้นคำตอบที่ได้รับจึงถือว่าไม่น่าแปลกใจนัก
“คุณหมอยังไม่เข้าเลยค่ะ มีใบนัดหรือเปล่าคะ?”
“เอ่อ...”
“คะ?”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่มีธุระกับหมอนิดหน่อย”
พอถูกถามอย่างนี้ร่างบางก็อึกอักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ แล้วถอยหลังเดินกลับออกมาจนถึงที่นั่งรอสำหรับคนไข้ มันเป็นม้านั่งยาว ๆ ที่ตั้งเรียงกันประมาณสี่ห้าแถว แถวละสองตัว ห่างออกไปมีแม่ลูกคู่หนึ่งกำลังนั่งรอกันอยู่เงียบ ๆ นอกเหนือจากนั้นก็มีคุณลุงแก่ ๆ อีกคนหนึ่งที่กำลังนั่งแคะเล็บพลางบ่นพึมพำอะไรบางอย่างไปด้วย
แค่เห็นก็ชวนให้รู้สึกหดหู่แล้ว
แบคฮยอนวางกระเป๋าเป้ลงบนที่นั่งแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ พอได้ทิ้งร่างกายลงในท่าที่สบายแล้วเขาก็รู้สึกอ่อนเพลียขึ้นมาจนแทบอยากทิ้งตัวลงนอนให้รู้แล้วรู้รอด
ค้อมตัวลงฝังใบหน้าลงกับฝ่ามือด้วยความรู้สึกที่ไม่สู้ดีนัก เปลือกตาบางค่อย ๆ ปิดลงพักสายตาอย่างที่เคยทำเมื่อต้องอ่านหนังสือตลอดทั้งคืน
แอร์ในแผนกนี้มันเย็นเสียจนทำให้รู้สึกหนาวขึ้นมาหน่อย ๆ แต่แบคฮยอนก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้างเมื่อรู้สึกได้ถึงคนที่เริ่มเดินผ่านไปมาอยู่รอบตัว บ้างก็นั่งลงถัดจากเขาไปเพียงหนึ่งที่นั่ง อย่างน้อยมันก็ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ต้องอยู่คนเดียว ราวกับผู้คนกลายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเดียวที่ทำให้เขาปิดตาหลับลงได้
ทั้งที่กำลังจะปล่อยหัวสมองให้ขาวโพลนและฟุบหลับสักตื่น หากแต่สัมผัสอุ่น ๆ บนบ่านั้นกลับเรียกให้ร่างบางต้องเงยหน้าขึ้นมอง ใจหนึ่งก็ไม่สบอารมณ์นิดหน่อยที่ถูกปลุก แต่พอเห็นผู้ชายร่างสูงผมสั้นในชุดกราวน์ยืนมองเขาด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ เรียวปากบางของแบคฮยอนก็แทบจะคลี่ยิ้มได้ทันที
ชื่อบนป้ายที่หน้าอกนั้นอ่านได้ว่า ปาร์คชานยอล
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
มือที่อยู่บนบ่าเขาถูกดึงกลับไปซ่อนอยู่ใต้กระเป๋าเสื้อกราวน์ดังเดิมแล้ว ส่วนอีกมือนั้นแบคฮยอนเห็นเป็นแก้วกาแฟร้อน ๆ อย่างที่พวกหมอชอบดื่ม ทั้งตอนเช้า กลางวัน เย็น ก็เห็นดื่มแต่กาแฟมากกว่าข้าวด้วยซ้ำ
“เปล่าครับ ผมกำลังรอหมอน่ะ” ยิ้มตอบกลับไปแล้วยกมือขึ้นขยี้ตาสองสามที นี่เขาเผลอหลับไปนานเท่าไหร่กันนะ ถ้าให้เดาล่ะก็คงจะแปดโมงกว่าแล้วแน่ ๆ “นี่กี่โมงแล้วครับ แปดโมงหรือยังคนถึงมากันเต็ม...”
ยังพูดไม่ทันเต็มปากเต็มคำดีร่างบางก็ต้องชะงักหยุดอยู่อย่างนั้นเมื่อความรู้สึกพลุกพล่านเมื่อครู่มันหลอกลวงทั้งเพ เขาหันหลังไปเห็นแม่ลูกคู่เดิม คุณลุงคนเดิม แต่ไม่มีใครเพิ่มขึ้นมาสักคนอย่างที่รู้สึกตอนหลับตา
ใช่... ไม่มีเลย
ไม่มีใครสักคนที่เพิ่มขึ้นมา...
ไม่มีคนที่นั่งถัดไปหนึ่งที่นั่ง... หรือคนที่เดินผ่านหน้าเขาเลยสักคน...
“.......”
“ตอนนี้เจ็ดโมงสามสิบห้าครับ พยาบาลบอกว่าคุณเพิ่งมาได้แป๊บเดียว”
“.......”
“มีอะไรกับผมหรือเปล่า?”
“.......”
“.......”
“ครับ มี”
ร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง แต่เพียงครู่เดียวก็ทำสีหน้ากลับเป็นปกติแล้วเอื้อมมือมาช่วยพยุงแขนอีกคนให้ลุกขึ้นยืนสะโหลสะเหล ก้มลงมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้งหนึ่งแล้วจึงว่าเสียงทุ้มนุ่ม
“ถ้าอย่างนั้นไปคุยกันในห้องผมก็แล้วกัน ยังพอมีเวลาอีกหน่อย”
เป็นที่รู้กันว่าพอแปดโมงตรงแล้วแพทย์ต้องเริ่มตรวจคนไข้คิวแรกอย่างตรงเวลา ปาร์คชานยอลเดินนำอีกคนไปพร้อมแก้วกาแฟในมือ ห้องตรวจของเขาอยู่ทางขวามือเยื้องกับเคาน์เตอร์พยาบาลไปไม่ไกล มือแกร่งเลื่อนเปิดประตูสีไข่ รอให้ใครอีกคนเดินนำเข้าไปแล้วจึงเลื่อนปิด ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งลงยังด้านในของโต๊ะประจำ
เท่าที่แบคฮยอนสังเกต ห้องนี้เป็นห้องสีครีมสว่างที่ดูโล่งสบายตา รวมถึงเหลี่ยมมุมส่วนใหญ่ก็ถูกลบออกจนเหลือแต่ส่วนเว้าโค้งมน ๆ ชวนให้แปลกตา มันไม่เหมือนห้องตรวจของหมอแผนกอื่นสักเท่าไหร่ อาจจะคล้าย ๆ กันตรงที่อีกฝั่งของห้องซึ่งถูกกั้นไว้ด้วยผ้าม่านแบบทึบนั้นมีเตียงเอนหลังสีขาวสะอาดตั้งอยู่ และไฟตั้งพื้นที่สามารถปรับระดับได้คล้าย ๆ กับที่เห็นในภาพยนตร์
ดูแล้วก็ชวนให้รู้สึกแปลก ๆ ดีเหมือนกัน
“ว่าไงครับ”
พอได้มองใกล้ ๆ แบคฮยอนก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าหมอปาร์คอายุเท่าไหร่กันแน่ ดวงหน้าใต้กรอบแว่นนั้นดูอ่อนวัยทั้งยังชวนให้รู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด แต่ก็ช่างเถอะ เขาไม่ได้มาในฐานะคนไข้ แต่เพราะมีจุดประสงค์อยู่แล้วต่างหาก
“งั้นเข้าเรื่องเลยนะหมอ”
“......”
“ผมอยากจะรบกวนให้หมอช่วยเขียนใบจ่ายยาให้ เอาเป็นพวกยากล่อมประสาท หรือว่าจะยานอนหลับก็ได้ทั้งนั้น”
หลังจากพูดจบปาร์คชานยอลไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ตอบกลับมานอกเหนือจากอาการนิ่งเงียบ ตากลมโตสีนิลสนิทนั้นเลือกที่จะก้มลงไปจดจ่อกับเอกสารบนโต๊ะ เขาเปลี่ยนท่าทีไปอย่างสิ้นเชิง
“ไม่ได้ครับ”
“ทำไมไม่ได้ล่ะครับ ผมรู้น่าว่ามันเป็นยาอะไร” แบคฮยอนเถียงหัวชนฝา เขาคือนักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ปีสุดท้ายแล้ว เพราะอย่างนั้นเขารู้เรื่องยาดี... ดีพอที่จะไม่ต้องให้ใครมาบอกอะไรให้มากความ
“มันเป็นยาอันตราย”
“โธ่หมอ ผมเรียนเภสัชนะครับ แล้วผมก็ทำงานที่นี่ด้วย”
ใช่... ปาร์คชานยอลรู้ดีว่าเด็กหนุ่มทำงานที่นี่... รู้ตั้งแต่แรกเห็น... เพราะอย่างนั้นเขาถึงอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้คนซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลต้องแจ้นมาหาหมอเองแบบนี้
คนที่เคยยิ้มง่าย สดใสเสียจนเขาต้องหยุดมองอยู่บ่อย ๆ ...ทำไมตอนนี้ถึงได้แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและเหมือนจะไม่รู้ตัว แพทย์หนุ่มลอบสังเกตใต้ตาหมองคล้ำ มือที่วางบนโต๊ะนั้นสั่นน้อย ๆ และท่าทีที่ดูลุกลนอยู่ตลอดเวลามันทำให้เขาปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ไมได้
“เพราะอย่างนั้นคุณก็ยิ่งต้องรู้ ว่าผมจ่ายยาให้คุณเฉย ๆ ไม่ได้”
“แต่...”
“ถ้าอยากได้ยา คุณก็ต้องผ่านการตรวจ”
เงยหน้าขึ้นยิ้มให้ในประโยคสุดท้ายจนร่างบางนิ่งไปถนัดตา แบคฮยอนดูกระฟัดกระเฟียดแต่ก็ไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะพูดจาขึ้นเสียงออกมาอีก
“ผมไม่ได้บ้านะหมอ”
“จิตแพทย์ก็ไม่ได้มีเพื่อรักษาคนบ้าอย่างเดียว ผมว่าคุณรู้นะ”
ใช้เวลาสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง เสียงนั้นก็แผ่วลงก่อนจะว่า “หมอจ่ายยาให้ผมมาเถอะครับ เรื่องนี้หมอช่วยอะไรผมไม่ได้หรอก”
“แต่คุณก็มาเพื่อให้ผมช่วยไม่ใช่หรือไงครับ”
คนตัวเล็กกว่าถอนหายใจคล้ายกับว่ามันเป็นเรื่องยุ่งยากเสียเต็มประดา จริงอยู่ที่เขาอ่านลายมือหมอปาร์คเก่งอย่างที่ซิ่วหมินว่า แต่พอมาได้คุยกันจริง ๆ อย่างนี้ เจ้าตัวกลับไม่เห็นจะใจดีอย่างที่เขาลือกันเลยสักนิด
ดวงตาใต้กรอบแว่นนั้นละจากเอกสารบนโต๊ะแล้ว ตอนนี้ร่างสูงกำลังทอดสายตามองคนตรงหน้าพลางพินิจไปในที สองมือวางประสานกันบนโต๊ะอย่างหลวม ๆ ก่อนจะแย้มรอยยิ้มชวนคุยด้วยท่าทางสบาย ๆ
“คุณชื่ออะไร?”
“บยอนแบคฮยอน” ร่างเล็กตอบกลับแทบจะทันที และถ้าเขามองไม่ผิด ไม่ว่ายังไงแบคฮยอนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหันไปทางผ้าม่านห้องตรวจเลยตราบที่ยังรู้สึกตัวเอง
“โอเคครับแบคฮยอน ช่วงนี้คุณได้นอนบ้างหรือเปล่า”
“หา... ครับ?” ต้องใช้เวลาประมวลผลกับคำถามอยู่สองสามวินาทีคนอ่อนวัยกว่าถึงได้คิดคำตอบออกมาได้ ในหัวเขามีแต่เรื่องที่เพิ่งพบเจอมาเต็มไปหมด เหมือนกับทฤษฎีที่ว่าสมองจะทำงานช้าลงหลังจากการเกิดตื่นตัว “เอ้อ... ก็ไม่ค่อยครับ ผมถึงต้องมาขอยาหมอนี่ไง”
ชานยอลเอนกายลงกับพนักเก้าอี้พลางกอดอกหลวม ๆ ถ้าเขาสันนิษฐานเบื้องต้นไม่ผิดล่ะก็ แบคฮยอนดูหวาดกลัวกับอะไรบางอย่างจนเกิดอาการเครียดอย่างรุนแรง
แต่ไอ้อะไรบางอย่างที่ว่านี่แหละที่เป็นปัญหา...
“ทำไมถึงนอนไม่หลับล่ะครับ คุณเครียดเรื่องอะไรอยู่หรือเปล่า?”
“ก็ประมาณนั้นครับ”
“เรื่องอะไร? พอจะเล่าให้ผมฟังได้ไหม?”
คนตัวเล็กนิ่งไปอึดใจหนึ่ง เขาดูครุ่นคิดเสียจนชวนให้คิดว่าคงเป็นเรื่องสำคัญอะไรบางอย่าง ถึงอย่างนั้นปาร์คชานยอลก็มั่นใจว่าเขาเจออาการแบบนี้มาเยอะ... เยอะจนไม่คิดว่าสิ่งที่คนตรงหน้ากำลังจะพูดออกมานั้นเป็นเรื่องน่าเชื่อเพียงใด
“ถ้าผมเล่า... หมอก็จะหาว่าผมบ้าอีก”
“ผมไม่พูดอย่างนั้นหรอก มีเรื่องอะไรก็ระบายมาเถอะครับ”
“ถ้าผมเล่า... หมอจะจ่ายยาให้ผมใช่ไหม...?”
“.......”
“มันก็... ประมาณอาทิตย์หนึ่งมาแล้วครับ...” ทั้งที่คิดว่าพูดไปยังไงก็คงไม่ยอมเชื่อ แต่ถึงอย่างนั้นบยอนแบคฮยอนก็คิดว่าเขาคงต้องยอมเป็นคนบ้าเพื่อจะได้ยาที่กล่อมประสาทนั่นมาให้ได้ ไม่จำเป็นต้องเล่าเกินจริงเลย...
มือที่ประสานกันนั้นบีบแน่น เพียงแค่นึกถึงก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มันจะอยู่ที่นี่หรือเปล่า... จะกำลังนั่งฟังเขาพูดถึงมันอยู่ไหม...
เป็นความรู้สึกที่ว่ากลัวจนไม่กล้าเปล่งมันออกมาเป็นคำพูด... แต่พอได้สบตากับนายแพทย์ตรงหน้า แบคฮยอนก็ตัดสินใจให้สิ่งอัดอั้นอยู่ในอกพรั่งพรูออกมาพร้อมกับความรู้สึกคล้ายกับจะร้องไห้
“ในตอนแรกผมก็คิดว่าผมคงแค่เบลอ ๆ เพราะนอนน้อย หรือว่าทำงานหนักอะไรเทือกนั้น แต่ผมก็เริ่มมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากสังเกตได้ว่ามันมีเสียงฝีเท้าเกินมาก้าวหนึ่งทุกครั้งที่ผมหยุดเดิน”
“.......”
“แต่มันไม่ใช่แค่นั้นนะหมอ... บางทีผมก็รู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว มันเริ่มมีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนแรกก็แค่ก๊อกน้ำในห้องน้ำมันเปิดเอง ผมพยายามบอกตัวเองว่าก็แค่ลืมปิด”
“.......”
“แต่บางทีผมก็ตื่นมาเพราะเสียงฝักบัวในห้องน้ำบ้างล่ะ ทีวีเปิดเองบ้างล่ะ แล้วผมก็มั่นใจนะว่าผมคงไม่ลืมปิดมันแทบทุกวันอย่างนั้นหรอก เพราะผมจะต้องนอนไม่หลับแน่ ๆ”
ถึงตรงนี้บยอนแบคฮยอนแทบไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตามันซึมออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เสียงของเขาเริ่มสั่นเครือ... จนกระทั่งมันเริ่มฟังไม่ได้ศัพท์ และร่างบางก็ได้แต่ก้มหน้าปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างหยุดไม่อยู่
ความกลัวเข้ากัดกินใจเขาโดยสมบูรณ์แล้ว...
ครู่เดียว... เพียงครู่เดียวที่เขารู้สึกเหมือนจะตายลงไปให้ได้ มันทั้งอ่อนล้าและไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะพูดคำใดออกไปได้อีก
“หมอ... ผม... ผม...”
“ใจเย็น ๆ”
หากแต่สัมผัสอุ่น ๆ ที่บีบลงมาเบา ๆ บนท่อนแขนนั้นคล้ายกับจะปลอบประโลมและเรียกสติให้กลับคืนมา เพียงแค่คำสั้น ๆ ที่ลอยเข้าหูแต่กลับทำให้เขารู้สึกสงบลงอย่างประหลาด เงยหน้าขึ้นเห็นสายตาซึ่งกำลังจับจ้อง จิตแพทย์หนุ่มไม่ได้ยิ้มอย่างเคย แต่กำลังส่งสายตาอ่อนโยนมาอยู่เคียงข้างเขาแทน
เกือบ ๆ นาทีที่เขายังคงปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจนหมด จนเมื่อเริ่มหายใจคล่องขึ้น ร่างบางก็ตัดสินใจเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองต่อจนหมดเปลือก เขาแทบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าที่นี่คือแผนกจิตเวช ลืมไปแล้วว่าเขากลัวที่จะต้องเป็นคนบ้า ลืมไปแล้วว่าคนตรงหน้าคือจิตแพทย์
แค่เหมือนอยู่กับใครสักคนที่ชวนให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก็เท่านั้นเอง
“เมื่อคืน...”
“.......”
“ผมรู้สึกเพลียมากก็เลยกินยาแก้แพ้กับยาคลายกล้ามเนื้อเข้าไปเพื่อจะให้มันหลับ ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้ทำอะไรเลย ผมเปิดไฟนอน... นอนเฉย ๆ จนเริ่มง่วง แต่พอกำลังจะหลับ ผมก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ทั้งที่ไม่มีใครโทรเข้า ผมเห็นทีวีถูกเปิดอยู่ แล้วไฟที่ผมเปิดทิ้งไว้ก็ถูกปิด...”
“.......”
“ตอนนั้นผมกลัวมาก... ผมพยายามข่มตาหลับแต่มันก็ไม่ยอมหลับ จนผมรู้สึกได้ว่ามีอะไรยวบ ๆ อยู่ข้างตัวก็เลยลองควานมือไปจับดู”
“.......”
“หมอต้องหาว่าผมบ้าแน่ ๆ ...แต่ผมมั่นใจว่าผมจับโดนเท้าคน”
“.......”
“.......”
ครู่หนึ่งที่ห้องทั้งห้องเงียบไปอึดใจ ปาร์คชานยอลยังคงมองอีกฝ่ายนิ่งราวกับจะพินิจพิเคราะห์และตีความเรื่องเล่านั้นไปในตัว แบคฮยอนกำลังบอกเขาว่ามีผี... ผีสักตนที่กำลังปั่นป่วนและสร้างความหวาดกลัวให้จนเจ้าตัวมีสภาพแบบนี้
“แล้วคุณทำยังไงต่อไปครับ?”
“ผมก็รีบชักมือกลับแล้วนอนคลุมโปงยันเช้า ผมไม่กล้าเปิดผ้าห่มออกไปดูด้วยซ้ำ จนผมมั่นใจว่าสว่างแล้วนั่นแหละถึงได้กลั้นใจลุกขึ้นมา แล้วก็รีบขับรถตรงมานี่เลย”
ท้ายเสียงที่ทอดยาวทำให้คนฟังรู้ว่าบยอนแบคฮยอนเล่ามันออกมาจนหมดแล้ว ความคิดในหัวเขากำลังประมวลผล ถึงจะเป็นจิตแพทย์เต็มตัวมาได้ไม่นาน แต่จากการที่ต้องพบเจอคนไข้หลากหลายรูปแบบมันทำให้เขาไม่อยากด่วนสรุปเร็วคนเกินไป
“คุณอยู่กับครอบครัวหรือเปล่า?”
“อยู่คนเดียวตั้งแต่เรียนมหา’ลัยครับ"
“แล้วคุณกลัวผีไหม?”
ทันทีที่อีกฝ่ายพูดประโยคนี้ออกมาบยอนแบคฮยอนก็รู้สึกเหมือนโดนต่อยหน้าไม่มีผิด ร่างบางเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ความรู้สึกในตอนนี้คล้ายว่ากำลังเปลี่ยนไปเป็นความโกรธ เป็นความรู้สึกที่คล้าย ๆ กับคำว่าผิดหวัง
“หมอจะหาว่าผมบ้าใช่ไหม?”
“......”
“ผมบอกแล้วว่าผมไม่ได้บ้า”
“คนไข้ของผมส่วนใหญ่ก็พูดว่าตัวเองไม่ได้บ้าทั้งนั้น”
ถึงแม้จะพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มหากแต่แบคฮยอนกลับรู้สึกว่าคำพูดนั้นมันกรีดแทงใจเขาอย่างประหลาด... เป็นอีกครั้งที่ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น พูดอะไรไปอีกก็คงสูญเปล่า
“งั้นผมขอตัว” ร่างเล็กผุดลุกขึ้นยืนทันทีที่ตัดสินใจได้ ผลุนผลันจะเดินออกไปจากห้อง หากแต่เสียงทุ้มนุ่นที่ไล่หลังมากลับทำเอาเรียวขาชะงักกึก
“คุณยังไม่ได้นอนเลยไม่ใช่เหรอ?”
เอี้ยวหน้าหันกลับมาตาขวาง โกรธ เคือง โมโห หรือคำไหนก็ได้มันใช้แทนความรู้สึกในตอนนี้ได้หมด คนที่กลัวแทบตายแต่ก็ยอมระบายความในใจออกไปหมดเปลือก กับอีกคนที่ยอมรับฟังจนจบแต่กลับหาว่าเขามันบ้า... บ้าคิดไปเองว่ามีผีตามรังควาน
“ผมจะนอนหรือไม่มันก็ไม่ใช่เรื่องของหมอ”
ปาร์คชานยอลได้แต่ระบายยิ้มบาง ๆ พลางโน้มตัวมาท้าวแขนกับโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เขาพยักเพยิดไปทางโซฟายาวสีครีมที่อยู่ใกล้ตัวอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวน้ำเสียงสบาย ๆ
“ถ้าคุณยอมนอนที่โซฟานั้นให้ผมดู บางทีผมอาจจะให้ยาคุณก็ได้”
หากแต่มันเป็นข้อต่อรองชั้นเยี่ยม
ดวงหน้าเล็กส่ายไปมาน้อย ๆ ราวกับกำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่าง อาการคล้าย ๆ คนที่กลัวฝันร้าย แต่คงต่างออกไปนิดหน่อย
แบคฮยอนไม่ยอมอยู่คนเดียว...
“ผมอยู่ตรงนี้”
พูดแล้วพยักหน้ายืนยันเสียทีหนึ่ง ค่อย ๆ เลื่อนหยิบแฟ้มเอกสารออกมาเปิดอ่านแล้วจดบันทึกลงไปอย่างที่ทำก่อนหน้าราวกับจะยืนยันกลาย ๆ ว่าเขาไม่ไปไหน เห็นอย่างนั้นบยอนแบคฮยอนใช้เวลาครุ่นคิดอีกราว ๆ เกือบสิบวินาที สุดท้ายแล้วร่างบางก็ยอมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาก่อนจะหันมาหาจิตแพทย์หนุ่มทั้งที่ยังนั่งไม่เต็มก้นดี
“ถ้าผมยอมนอน หมอจะจ่ายยาให้ผมจริงนะ”
ได้แต่ยิ้มรับทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นมอง ถึงมันจะเป็นคำตอบที่ไม่ชัดเพียงไรหากแบคฮยอนก็คิดว่าเขาไม่มีทางเลือก และอย่างน้อย... ถ้ามองในแง่ดีคือเขาอาจจะได้นอนหลับสักตื่นพอให้ร่างกายยังเดินต่อได้
ค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนอนหนุนหมอนอิงใบเล็ก พลิกตัวไปมาอยู่สองสามทีเปลือกตาก็เริ่มหนักอึ้งและปิดลงในที่สุด ภาพในหัวของเขากำลังจะเป็นสีดำสนิท เสียงรอบตัวเริ่มเงียบงัน แล้วสติก็หลุดลอยออกไปแสนไกล
“.......”
ชานยอลละสายตาจากตัวอักษรเต็มแผ่นกระดาษที่กำลังจับจ้องแล้วเบนสายตาไปยังคนบนโซฟา เขแกล้งเคาะโต๊ะสองทีหากแต่แผ่นอกนั้นก็ยังดูกระเพื่อมเป็นจังหวะสม่ำเสมอดี
ก็หลับได้นี่นา...
ยกข้อมือขึ้นมองนาฬิกาก่อนจะเห็นว่าเขาเบี้ยวนัดตรวจสายไปพอสมควรแล้ว ร่างสูงค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ เดินไปหยุดมองร่างเล็กที่กำลังอยู่ในนิทรา แบคฮยอนในตอนนี้ดูผ่อนคลายกว่าตอนที่ขึ้นเสียงขอยาจากเขาเป็นไหน ๆ
เลื่อนบานประตูสีไข่เปิดออกก่อนจะจัดการปิดให้ตามเดิมอย่างเบาที่สุด มองเห็นพยาบาลประจำแผนกกำลังถือแฟ้มคนไข้รออยู่แล้ว มีคนตรงม้านั่งเพิ่มมาอีกสองสามคน ทำเอาจิตแพทย์หนุ่มรู้สึกผิดเล็กน้อย
“คุณคิม เดี๋ยวผมขอย้ายไปใช้ห้องตรวจสี่ชั่วคราวนะครับ”
พูดในขณะที่เดินมาถึงเคาน์เตอร์พยาบาลและเจอแต่คนหน้าคุ้นเคย พยาบาลสาวทำสีหน้าแปลกใจนิดหน่อยก่อนจะเอ่ยถามเสียงสุภาพ “ทำไมล่ะคะคุณหมอ? เอ๊ะ... แล้วผู้ชายคนนั้น...?”
หล่อนพูดถึงแบคฮยอนที่หายเข้าไปในห้องกับเขาตั้งแต่เมื่อราว ๆ ครึ่งชั่วโมงก่อนนั่นเอง นายแพทย์หนุ่มได้ยิ้มเป็นเชิงขอโทษขอโพยแล้วรับแฟ้มคนไข้จากมืออีกฝ่ายมาเปิดดูอย่างคร่าว ๆ
“คนไข้พร้อมแล้วใช่...”
“อ๊าก!!!!”
หากแต่เสียงที่ดังออกมาจากหลังประตูห้องนายแพทย์ปาร์คชานยอลนั้นทำเอาเจ้าของห้องต้องเบิกตาโพลงทันที ชานยอลรีบส่งแฟ้มคนไข้ให้พยาบาลสาวตรงหน้าแล้ววิ่งกลับเข้าไปอย่างเป็นห่วง
จนกระทั่งเปิดบานประตูเลื่อนเข้าไปก็พบคนที่เพิ่งนอนหลับสนิทไปเมื่อครู่กำลังนั่งขดตัวถอยไปจนติดพนักโซฟา ดวงหน้าขาวฉายแววตื่นตระหนก และที่น่าแปลก ขาข้างหนึ่งของบยอนแบคฮยอนนั้นอยู่ในท่าเหยียดออกมาเพียงข้างเดียวในขณะที่ส่วนอื่นของร่างกายขดอยู่กับลำตัวแน่นิ่ง
และทันทีที่เห็นหน้าเขา ดวงตาเรียวเล็กก็รื้นไปด้วยน้ำตาอีกรอบ
“หมอครับ...”
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“มัน...”
“.......”
“มันเกิดขึ้นอีกแล้ว...”
________________________________
ตอนนี้ยังไม่เฮี้ยนมาก ._ .
เราปูทางให้หมอปาร์คเข้ามาเอี่ยวเกี่ยวหัวใจนายเอกไว้ก่อน
อย่าลืมติดแท็ก #ฟปรส เวลาเม้ามอยถึงกันในทวิตนะคะ
ปล. ทุกอย่างในเรื่องมีนัยยะหมดเลยนะคะ ._ .
แต่ก็ไม่ต้องคิดเยอะหรอก... 55555555555555
ความคิดเห็น