ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (SF/OS) #OHARHAFIC | CHANBAEK SEKAI

    ลำดับตอนที่ #16 : ▲ sekai | VANILLA (2/2)

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.พ. 59


     

     

     

     

    VANILLA

    OHSEHUN l KIMJONGIN

    - OHARHA -

     

     

     

     

     

     


     

     

     

    (2/2)

     

     

     

     

     

     

    “จงอิน คิมจงอิน!

     

     

    คิมจงอินไม่เคยนึกหงุดหงิดใจเท่ากับตอนที่ต้องกลายเป็นเจ้าของชื่อในเวลาแบบนี้ ท่อนแขนของเขาถูกคว้าเอาไว้ เนื้อผ้ายับยู่และร้อนอย่างประหลาดเมื่อมือของฝ่ายตรงข้ามยังคงบีบมันเอาไว้แน่นในขณะที่ก้าวเข้ามาใกล้ ริมฝีปากสีแดงบางเฉียบอ้าเอาลมหายใจลงปอด ก่อนจะรวบรวมความกล้าแล้วเอื้อนเอ่ยเรียกเขาอีกครั้ง

     

     

    “เป็นอะไรไป” โอเซฮุนทำหน้างอคอหัก ดวงตาวูบไหวอย่างน่าสงสารเมื่อกอปรกับน้ำเสียงเว้าวอน “ทำไมเดินหนีออกมาแบบนี้”

     

     

    นาทีนั้น ปาร์คชานยอลรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นอากาศธาตุก็ไม่ปานที่ยืนปั้นจิ๋มปั้นเจ๋ออยู่ได้ ไม่ต้องรอให้เพื่อนสนิทอนุญาต ร่างสูงก็ส่งยิ้มแห้งๆให้แฟนเพื่อนอย่างเซฮุนและตัดสินใจเดินหนีออกจากตรงนั้นก่อนที่ภูเขาไฟจะระเบิด ไหนๆก็วิ่งตามกันมาแล้ว ให้ปล่อยเป็นเรื่องของคนสองคนแล้วกัน

     

     

    จงอินกดสายตาลงต่ำ หายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้าเพราะควบคุมอารมณ์ไว้ไม่ได้ เขาอาย ซ้ำยังรู้สึกแย่เอามากๆเมื่อเรื่องส่วนตัวกลายเป็นข่าวฆ่าเวลาอย่างนั้น โทษแม้กระทั่งอัธยาศัยที่ดีเกินไปของคนตรงหน้า เพราะเป็นอย่างนี้พวกปากหอยปากปูถึงได้ดาหน้าเข้ามาถามไม่หยุดหย่อน นั่นทำให้จงอินโกรธ และความรู้สึกก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆเมื่อถูกฉุดรั้งด้วยความอึดอัดที่มองไม่เห็นทางแก้ไข

     

     

    “อย่าเพิ่งมายุ่งกับกู” เขาพยายามบิดแขนออก หากเซฮุนก็ยิ่งกอบกุมแน่นขึ้นซ้ำยังลากคนรักเข้าไปในห้องเรียนเฉพาะใกล้ๆแล้วปิดประตูซ่อนตัวเมื่อได้ยินเสียงคนเดินลงบันไดมา ตอนนี้ทั้งคู่สมควรจะได้คุยกันสองต่อสอง แต่ในสภาพอารมณ์เช่นนี้ จงอินก็แค่อยากระเบิดใส่ใครสักคนเพื่อรับผิดชอบความวุ่นวายไม่เข้าท่าพวกนี้ เขารู้ว่าผลลัพธ์คงออกมาแย่ แต่เซฮุนก็ไม่ยอมปลีกตัวไปตามที่ถูกบอก

     

     

    “เป็นอะไร คุยกันก่อนได้ไหม” คนสูงกว่าทำเสียงอ่อน ลากเก้าอี้ใกล้ๆมานั่งลงแล้วรั้งเอวอีกฝ่ายเข้าหา “ผมเป็นห่วงนะ”

     

     

    “ห่วงเหี้ยอะไรล่ะ” จงอินตอก “ไม่ต้องการ บอกให้ไปห่างๆไง”

     

     

    ครั้งนี้เซฮุนเงียบไป ลมหายใจอ่อนๆถูกผ่อนเป็นจังหวะที่เชื่องช้าและชวนเหนื่อยหน่าย

     

     

    “ผมตามมาเพราะอยากคุย อยู่ดีๆจงอินก็เดินหนีออกจากโรงอาหารแบบนั้น จะให้ผมอยู่เฉยๆได้ยังไง แล้วยังมาไล่กันอีก” เพราะยังใจเย็นอยู่ได้ถึงได้น่าหงุดหงิด หมอนี่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง “บอกไม่ได้เหรอครับว่าเป็นอะไร”

     

     

    โอเซฮุนเริ่มป้อนคำหวาน ซึ่งถ้าเป็นในเวลาปกติมันก็คงเข้ามาคลอเคลียและชวนเขาทำอะไรวาบหวามจนลืมเรื่องผิดใจกันไป แต่ไม่ใช่ตอนที่คิมจงอินทั้งพยายามทำตัวแข็งและเอนจะถอยห่างออกมาทุกเมื่อ ถ้าไม่ใจแข็งก็ถูกตีมึนและต้องเก็บเรื่องยิบย่อยไว้ในใจอย่างนี้ซ้ำๆ จนถึงตอนนี้ เขายังไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียวว่าส่วนไหนในตัวเองมันไปกระตุ้มต่อมพิศวาสของไอ้บ้านี่เข้า

     

     

    เขาแกะมือที่เกาะอยู่ตรงช่วงเอวออก “ปล่อย”

     

     

    “จงอิน...”

     

     

    “ก็บอกว่าอย่าเพิ่งมายุ่งไงวะ!แรงรั้งอ่อนลงทันทีเมื่อถูกตลาดใส่หน้า คำหวานของเซฮุนไหลย้อนกลับลงไปในลำคอขณะมองอีกฝ่ายหอบหายใจแรงขึ้นเหมือนไม่อาจยั้งอารมณ์ไว้ได้แล้ว “ทำไมต้องมาเซ้าซี้ด้วย กูอึดอัด! หงุดหงิด! แล้วก็อยากอยู่คนเดียว!

     

     

    “...”

     

     

    “กูรำคาญที่คนนู้นคนนี้มาถามเรื่องส่วนตัวอยู่ได้ มึงแม่งก็ไม่เคยสนใจความรู้สึกกูเลย เป็นห่าอะไร สนุกเหรอที่ได้พูดให้กูอายอยู่นั่น”

     

     

    เซฮุนนิ่งไปแล้ว เช่นเดียวกับมือที่ค่อยๆเลื่อนหลุดจากช่วงเอวและดวงตาเบิกโพลง ร่างบนเก้าอี้กลืนน้ำลายลงคอ พยายามเหยียดรอยยิ้มฝืนๆเพื่อส่งผ่านคำพูดบางอย่าง หากสิ่งที่ออกมากลับมีเพียงลมหายใจอุ่นร้อนซึ่งไม่ช่วยให้จงอินใจเย็นลงเลย

     

     

    “กูไม่น่าคบกับมึงเลยว่ะ”

     

     

    แรงอารมณ์ของหนุ่มผิวแทนพุ่งสูง

     

     

    “แม่งมีแต่เรื่องวุ่นวาย”

     

     

    จงอินไม่รู้สึกถึงสัมผัสใดๆที่วางอยู่บนตัวเขาอีกแล้ว เซฮุนลดสีหน้าลงเล็กน้อย มองกระดุมเม็ดที่สี่แทนใบหน้าของคนรัก ซึ่งแทนที่การเดาอารมณ์คนตรงหน้าจะทำให้รู้สึกแย่ คิมจงอินกลับเบาใจขึ้นนิดหน่อยที่เขาไม่ต้องถูกคาดคั้นหรือป้อยอเสมือนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องเล็กปะติ๋ว

     

     

    “ครับ” เสียงทุ้มถูกส่งออกมาราบเรียบและอ่อนแรง “เข้าใจแล้ว”

     

     

    ก่อนอะไรจะแย่กว่าที่เป็นอยู่ เซฮุนปล่อยให้จงอินเดินกระฟัดกระเฟียดออกไป เขายังคงอยู่ที่เดิม อยู่ด้วยความคิดอันว่างเปล่าตรงกันข้ามกับใจที่ว้าวุ่น โอเซฮุนก็แค่คนที่คิดน้อยเกินไป นึกถึงแต่ตัวเองจนลืมว่าความสัมพันธ์นี้สร้างความอึดอัดให้จงอินมากแค่ไหน

     

     

    เขาก็แค่เข้าใจผิดไป -- ว่าที่ผ่านมาเรามีความสุข

     

     

     

     

     

     

     

     

    ****

     

     

     

     

     

     

     

     

    โอเซฮุนหายไปจากสารบบชีวิตของคิมจงอินได้สามวันแล้ว หรืออันที่จริงก็แค่วันศุกร์ เพราะเสาร์อาทิตย์ไม่จำเป็นต้องนับก็ได้ เพียงแต่มันแปลกที่เซฮุนไม่ยอมโทรหรือแชทหากันอย่างเคย แต่ก็นั่นแหละ จงอินไม่อยากเสียตัวตนแค่ระยะเวลาในหนึ่งเดือน หากแต่เมื่อสงบจิตสงบใจลงได้ เขาก็รู้ว่าตัวเองเอาแต่เฝ้ารอ หยิบโทรศัพท์มาดูครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำยังมองกระเป๋าสตางค์เพราะอยากลุกออกไปตามหาจิตใจที่คงลอยจนถึงบ้านหมอนั่นแล้วต่างหาก

     

     

    ไม่รักดี จงอินพูดกับตัวเอง ทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ข้างหมอนแล้วปิดเปลือกตาลงเพราะอยากหลับเต็มแก่ นี่ก็ตีสองเข้าไปแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเป็นเช้าวันจันทร์ ถึงอย่างไรตอนนั้นคงได้เจอหน้ากันอยู่ดี

     

     

    ยอมรับว่าที่พูดไปวันนั้นมันก็แรงอยู่หรอก แต่ทำไงได้ในอารมณ์มันเดือดปุดๆ แล้วโอเซฮุนก็ไม่รู้สึกรู้สาต่อความลำบากใจของเขาบ้างเลย จงอินพยายามคล้อยตามคำพูดชานยอลที่ว่ามันเลี่ยงไม่ได้ ลำพังคนอื่นเอาไปพูดน่ะยังพอเข้าใจ แต่นี่เซฮุนมันเล่นจะกำลังป่าวประกาศเป็นครั้งที่สอง แถมเป็นเรื่องที่ป่นปี้ศักดิ์ศรีของเขายิ่งกว่าเก่า แค่เป็นขี้ปากคนก็ว่าแย่แล้ว ถ้าเกิดว่าบรรดาหัวโจกในโรงเรียนไม่อยากเคารพรักผู้ชายที่โดนอัดตูดมาแล้วจะว่ายังไง

     

     

    คิดแล้วก็มีแต่กลุ้ม อุตส่าห์อยู่เงียบๆ ทำตาขวางใส่พวกอยากรู้อยากเห็นจนขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆกันแล้ว ถึงอย่างนั้น ไอ้ท่าทางหน้างอคอหักของเซฮุนก็ไม่ได้ทำให้เขาสบายใจขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว อาจจะพูดแรงไปจริงๆ เพราะถึงจงอินคิดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของใจเขาสักหน่อย

     

     

    ในเมื่อใจอ่อนให้จนมาถึงขั้นนี้แล้ว...

     

     

    “โธ่เว้ย ไปขอโทษก็ได้วะ!

     

     

     

     

     

     

     

     

    ****

     

     

     

     

     

     

     

     

    ปาร์คชานยอลจำได้ว่าตอนกินมื้อเช้ากับแม่ กรมอุตุนิยมวิทยาในทีวีรายงานสภาพอากาศว่าเช้านี้จะเต็มไปด้วยความสดใส ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ไร้เมฆฝนมากวนใจ ซึ่งขอทีเถอะว่าอย่าโกหกกัน -- คิมจงอินแม่งเดินครึ้มมานู่นแล้ว สภาพอากาศไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศรอบตัวชานยอลสดใสขึ้น หนำซ้ำยังเหมือนเอาผ้าขี้ริ้วห่อดวงอาทิตย์ไว้อย่างไรอย่างนั้น

     

     

    “อรุณสวัสดิ์” ขนาดเอ่ยทักไปยังไม่มีเสียงตอบรับ แล้วนั่น ตาบวมขนาดนี้คือได้นอนบ้างหรือยัง “จงอิน”

     

     

    เจ้าของชื่อหันมามองเพื่อนสนิทตาขวาง พอให้ทำชานยอลสะดุ้งและหุบปากลงเสียได้ก็พอใจจนหันกลับไปแขวนกระเป๋าไว้กับเก้าอี้ จงอินทิ้งตัวนั่งลงประจำที่โต๊ะเรียน ในหัวต่อสู้กันพัลวันเรื่องที่จะลุกไปจากตรงนี้เพื่อตามหาโอเซฮุนซึ่งอยู่อีกห้อง หรือจะให้เวลาตัวเองทำใจต่ออีกหน่อย ท้ายแล้วเขาก็เลือกข้อสอง แลกมากับการที่เพื่อนสนิทเดินมาหย่อนตูดนั่งพิงโต๊ะ ก้มหน้าลงดูใบหน้าหน้าบูดๆของเขาให้ชัดเต็มตา

     

     

    “ไหวเปล่าวัยรุ่น”

     

     

    “กูเตะมึงไหวก็แล้วกัน จะลองไหม” จงอินสวนทันควัน ถ้าเป็นทุกทีไอ้บ้านี้คงหัวเราะเพราะเขาไม่เอาจริง แต่เว้นครั้งนี้เอาไว้

     

     

    “กูเห็นเซฮุนมันมาโรงเรียนแล้วนะ”

     

     

    “แล้วไง ไม่ได้ตัวติดกันสักหน่อย”

     

     

    ชานยอลมองคนปากเก่ง ไอ้รอยช้ำๆใต้ตานี่มันทำให้จงอินลดความน่าเกรงขามที่เคยมีลงไปได้พอดู เมื่ออาทิตย์ที่แล้วคงจะทะเลาะกันหนัก เพราะนอกจากจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันแล้ว คิมจงอินยังขู่ทุกคนที่พูดถึงเรื่องมันว่าจะต่อยให้ตาย ผู้หญิงก็ไม่เว้น มันเที่ยวพาลคนนู้นคนนี้ไปทั่ว แต่ยิ่งทำอย่างนั้น ข่าวลืมก็ยิ่งโหมกระพือจนหยุดไม่อยู่ แหงล่ะ คล้อยหลังไปก็โดนซุบซิบอยู่ดี มันจะไปน่ากลัวอะไร

     

     

    อยู่ดีๆร่างสีแทนก็ลุกพรวดขึ้นจนเต็มความสูง ได้ยินพึมพำว่าตัดสินใจแล้วหรือไงนี่แหละ ทว่ายังไม่ทันจะถามอะไร จงอินก็เดินหนีชานยอลลิ่วๆออกไปจากห้อง ทิ้งให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวนั่งทำหน้างงอย่างคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่

     

     

    โอเซฮุนอยู่ถัดไปสองห้องทางซ้าย หรือก็คือห้องเด็กเรียนเก่งระดับต้นๆ ขนาดตอนเช้าก็ยังเงียบกริบต่างจากห้องของเขาโดยสิ้นเชิง หลายคนต่างหากันอ่านหนังสือ ติวเตรียมสอบ หรืออย่างเหลวไหลที่สุดก็ใส่หูฟังแล้วฟุบหลับเงียบๆ แต่เซฮุนอยู่ในกลุ่มมนุษย์ประเภทแรก

     

     

    คิมจงอินเดินเข้าไปจนหยุดอยู่ข้างโต๊ะ เห็นหนังสือพิสิกส์กับคณิตเปิดกระจัดกระจายและเซฮุนก็กำลังเขียนอะไรบางอย่างลงไปในสมุดโน้ตพลางพูดอธิบายเพื่อนไปด้วย คงจะเป็นสอบย่อยที่มันเคยพูดถึงนั่นแหละ หลังพูดจนจบประโยค เจ้าตัวถึงได้เอี้ยวหน้าหันมองคนมาใหม่ราวกับรู้อยู่แล้วและจงใจให้รอ

     

     

    “มีอะไรเหรอจงอิน”

     

     

    “กูมีเรื่องจะคุยด้วย” เขาว่าเสียงเข้ม ซึ่งถ้าเป็นทุกทีมันคงจะรีบลุกขึ้นมาฉีกยิ้มแล้วลากไปหาที่คุยกันสองคน เผื่อว่าจะเลยเถิดสำหรับอะไรเทือกๆนั้นด้วย

     

     

    หากครั้งนี้เซฮุนนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงหลุบสายตากลับไปหาสมุดโน้ตตามเดิม “ผมติวให้เพื่อนอยู่ ถ้าจงอินรีบ พูดตรงนี้เลยก็ได้”

     

     

    จะให้พูดตรงนี้ได้ยังไงล่ะวะ เขาสบถ แล้วก็คิดด้วยว่าเซฮุนคงไม่ได้ซื่อถึงขนาดไม่รู้ เราไม่เคยคุยกันต่อหน้าคนอื่นด้วยซ้ำ เวลาที่อยู่ในที่สาธารณะ การแสดงออกของเราก็แค่ทำให้มันพิเศษน้อยที่สุด หรือแทบไม่รู้จักกันเลยยิ่งดี ซึ่งจะว่าไปก็มีแต่จงอินที่เล่นตามบทพวกนี้ เซฮุนสนใจแค่จะทำตรงกันข้าม แล้วพอมาตอนนี้ ไอ้การที่เขากำลังถูกเมินอยู่นี่มันถึงเป็นเรื่องผิดปกติร้ายแรง

     

     

    จงอินเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่มีใครมีกะจิตกะใจสนสิ่งที่มันกำลังเขียนยุกยิกๆอยู่เลยสักคน พวกนี้กลัวเขา กลัวว่าคิมจงอินที่ยืนหน้าบูดจะหมดความอดทนแล้วลากโอเซฮุนออกไปต่อยให้รู้แล้วรู้รอด แต่วันนี้แม่งโคตรผิดแปลกเลย เพราะนอกจากเขาจะไม่โชว์กร่างอย่างนั้นแล้ว ยังทำได้แค่เม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรงแล้วหมุนตัวเดินหนีออกไปก่อนที่จะระเบิด

     

     

    ความรู้สึกที่แทรกอยู่ตรงกลางระหว่างเขากับเซฮุนเปลี่ยนไป มันทำให้จงอินทำอะไรไม่ถูก แม้แต่จะโมโห โวยวายใส่ หรือต่อยอีกฝ่ายเข้าจริงๆเขาก็ยังกลัว -- กลัวว่าถ้าเซฮุนไม่ได้ยิ้มตาหยีหรือพยายามป้อยออย่างทุกที ถึงตอนนั้นคงเป็นคิมจงอินที่แพ้ย่อยยับเสียเองอย่างไม่ต้องสืบ

     

     

    ลึกๆแล้ว อาจมีบางอย่างที่น่ากลัวในความเฉยชาของโอเซฮุนก็เป็นได้

     

     

    เราห่างกันจนน่ากลัว แม้แต่ในตอนที่หมอนั่นเดินผ่านโต๊ะกินข้าวกลางโรงอาหาร คิมจงอินยังรู้สึกว่าตัวเองถูกเมินโดยที่ไม่ต้องทำอะไร โต๊ะประจำอยู่ห่างจากกันแค่ไม่เท่าไร หากแต่เซฮุนยังทำราวกับที่เคยเดินมาหาคนรักนั้น ในวันนี้เป็นเรื่องยากเกินกว่าเจ้าตัวจะทำได้ และถ้าถามว่าจงอินรู้สึกโมโหมากไหม ก็ให้ถามเอากับปาร์คชานยอลที่พร้อมจะบรรยายหน้าบูดๆของเขาออกมาเป็นเรียงความหนาเท่าเรื่องย่อแฮร์รี่ พอตเตอร์แล้วกัน

     

     

    การห่างจากเซฮุนหนึ่งอาทิตย์ช่างเป็นเรื่องเล็ก ถึงอย่างนั้นก็เซฮุนอีกนั่นแหละที่เคยปั้นหน้าอ้อล้อแล้วว่าใครจะทนไหว จนตอนนี้ผ่านมาเกือบสองสัปดาห์เข้าไปแล้ว จงอินก็เห็นมันทำตรงกันข้ามกับที่เคยพูดได้ดี ค่อนข้างจะดีเกินไปด้วยซ้ำเมื่อแม้แต่ในโปรแกรมแชทยังไม่มีสติ๊กเกอร์ทักทายโผล่มาสักตัว

     

     

    การคาดหวังให้เรื่องของพวกเขาสองคนถูกหยุดพูดถึงนั้นเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น ในเมื่อระยะห่างและความหมางเมินต่อกันมันเตะตาคนรอบข้างเข้าเต็มๆ เริ่มจากเพื่อนขี้นินทาในห้องต้นผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ต้นหนกระพือข่าวและยิ่งขยายวงกว้างเข้าไปอีกในรอบสัปดาห์ จนแม้แต่คนที่เคยออกปากว่าจะไม่สนใจ ตอนนี้ยังอดถกเรื่องความสัมพันธ์ของคู่รักแปลกประหลาดไม่ได้

     

     

    “มึงกับเซฮุนนี่ตกลงยังไงกันวะ” เป็นครั้งแรกที่ชานยอลอดรนทนไม่ได้จนต้องทู่ซี้ถามครั้งที่สองในการกินข้าวมื้อเดียว ยังดีที่มันฉลาดเลือกจังหวะรอให้โต๊ะรอบตัวลุกกันไปจนหมดแล้วค่อยเปิดปากอีกรอบ

     

     

    “ยังไงอะไร”

     

     

    “เอ้า ไอ้นี่” ชานยอลสบถ “รู้อยู่ว่าเรื่องอะไร เขาลือกันไปทั่วว่าพวกมึงน่ะไปกันไม่รอด”

     

     

    ประโยคนี้ฉุกใจคนฟังได้ชะงัดนัก ที่ว่าไปกันไม่รอดหมายถึงเลิกกันอย่างนั้นเหรอ จะบ้าไปกันใหญ่ ที่คนอื่นพูดน่ะผิดทั้งเพ ในเมื่อเขากับมันยังไม่ได้พูดอะไรกันสักคำหลังจากวันนั้นด้วยซ้ำ จะว่าทะเลาะใหญ่โตก็ไม่ใกล้เคียงเลย การโต้เถียงสั้นๆ เง้างอน และจบด้วยคิมจงอินเดินหนีดื้อๆหลังจากพ่นความในใจออกไป

     

     

     

     

    กูไม่น่าคบกับมึงเลยว่ะ แม่งมีแต่เรื่องวุ่นวาย

     

     

    เอ้า ฉิบหาย พอมานึกว่าพูดอะไรไปตอนนี้ก็รู้ว่าแรงพอตัว

     

     

    ครับ เข้าใจแล้ว

     

     

     

     

    หลังจากนั้นก็อย่างที่เห็น ถูกเมิน หนีหน้า แล้วก็ทำราวกับว่าการที่เราไม่ได้คบกันนี่มันเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว ลองนึกดูว่าถ้าเป็นตัวเองที่ถูกพูดใส่แล้วอีกฝ่ายมาตามง้อเอาวันจันทร์ เขาก็คงไม่อยากอภัยให้ง่ายๆเหมือนกัน หรือนี่จะเป็นแค่ผลกระทบของคนที่รอมาตลอดสองสัปดาห์อย่างคิมจงอิน อ่อนไหว คิดอะไรได้มากขึ้น แล้วความรู้สึกก็ปีนขึ้นมามีอิทธิพลเหนืออารมณ์ได้สำเร็จ

     

     

    เขาเป็นฝ่ายบอกเลิกมันด้วยตัวเอง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ****

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เอาเข้าจริงแล้วใครจะแคร์ ก่อนหน้านี้ไม่มีโอเซฮุนก็ไม่ยักกะตาย

     

    แต่ไหงวันนี้อาจารย์ต้องขอแลกคาบแล้วยุบรวมสองห้องมาสอนพร้อมกันด้วยวะ!

     

    คิมจงอินมองไปยังเจ้าของร่างสูงชะลูดตูดปอดทางฝั่งตรงข้าม ระยะห่างไม่ถึงสิบเมตรใต้หลังคาโรงยิมเคยเป็นระยะที่ใกล้มากเสียจนเขานึกรำคาญถ้าอีกคนจะมัวแต่เอาตัวมาวอแว แล้วดูตอนนี้สิ พวงแก้มขาวละเอียดนั่นยิ้มจนโหนกสูงในหมู่เพื่อนโดยไม่รู้สึกรู้สาสักนิดที่อดีตคนรักอย่างเขายืนอยู่ตรงนี้ จงใจเมินกันได้ร้ายกาจเหลือเกิน ไม่น่าเชื่อว่ามันจะพาซื่อคิดว่าจงอินไม่รู้สึกอะไรจริงๆอย่างคำพูดร้ายกาจพวกนั้น แทนที่จะรู้ว่าการมีแฟนเจ้าอารมณ์มันเป็นทุกขลาภยังไง

     

    ชายหนุ่มรับลูกบาสเกตบอลที่ถูกส่งมาจากเพื่อนสนิทเพื่อตอบรับคำชวนให้ลงแข่งนัดพิเศษ ด้วยฐานะหนึ่งในห้านักกีฬาของห้อง เสื้อยืดสีขาวปักตราโรงเรียนเล็กๆตรงอกซ้ายชื้นเหงื่อตั้งแต่ยังไม่เริ่ม จงอินถกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นโชว์มัดกล้ามสมส่วน สายตาก็จ้องเขม็งไปยังโอเซฮุนและกลุ่มเพื่อนตัวสูงอีกสี่คนที่พากันเดินเข้ามาในสนามหลังตกลงตัวผู้เล่นได้

     

    คอยดูเถอะ กูจะแบ็คสปินใส่หน้ามึงแบบซากุรางิในสแลมดังก์เลย ไอ้เฮงซวยเอ๊ย!

     

    มือสีแทนถกขากางเกงวอร์มสีแดงให้ขึ้นมากองตรงแข้งเพื่อความคล่องตัวสำหรับตำแหน่งทำคะแนนอย่างเพาเวอร์ฟอร์เวิร์ด ส่วนเซฮุนก็อย่างกับรู้ หมอนั่นเข้าประจำตำแหน่งหมายเลขห้าอย่างเซ็นเตอร์ นอกจากสายตาที่บอกว่าพร้อมจะตั้งรับแรงคลั่งของคิมจงอินแล้ว โอเซฮุนก็ไม่ได้ทอดอาลัยความรู้สึกใดๆออกมาอีกเลย

     

    อาจารย์ชองยืนคาบนกหวีดอยู่กลางสนาม มือข้างขวาถือลูกเตรียมพร้อมสำหรับการจัมพ์บอลเพื่อแบ่งฝ่ายรุกและรับในควอเตอร์แรกของเกม ในวินาทีที่ลูกบอลลอยขึ้นสูงและถูกปัดมาทางคิมจงอิน เขาก็คิดว่าตัวเองคงถูกวิญญาณซากุรางิเข้าสิงจริงๆเสียแล้ว

     

    “ไอ้จงอิน มึงชู้ตลูกลงห่วงสิวะ!

     

    รู้ตัวอีกที ก็เป็นปาร์คชานยอลนี่แหละที่ลงทุนวิ่งแทรกตัวเข้ามากระซิบเตือน หลังจากสายตาของทีมละจากการเขม่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่ออีมินโฮแย่งบอลจากฝั่งตรงข้ามกลับมาครองได้สำเร็จแล้ว จงอินรู้ตัวว่าเขากำลังบ้าเรื่องอะไร แล้วก็เสียดายเป็นบ้าที่จังหวะชู้ตเมื่อครู่ดันพลาดใบหน้าหล่อๆของเซฮุนไปเสียฉิบ อีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่น มองมาทางเขาพร้อมเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงอย่างที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับเกมซึ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งโรงยิมวันนี้คือถ่ายทอดสดเอ็นบีเออันมีไมเคิล จอร์แดนเป็นกรรมการตัดสิน

     

    “เออ” จงอินตบปากรับคำเพื่อนรักส่งๆ ได้ยินอย่างนั้นชานยอลก็ถอยตัวเองกลับไปเป็นตำแหน่งเซ็นเตอร์คอยป้องกันฟอร์เวิร์ดของคู่ต่อสู้อย่างขะมักเขม้น

     

    ครั้นบอลมาอยู่ในมือจงอินอีกครั้ง เขาก็วิ่งตะลุยเข้าไปกลางดงศัตรูหวังจะฟันลูกสองคะแนนมาให้ทีมสักทีหนึ่ง ชายหนุ่มนึกอยากให้มันง่าย ถ้าไม่เพียงแต่ใครบางคนโผล่เข้ามาในกรอบสายตาและกางแขนถลาเข้าโอบป้องตัวเขาเอาไว้ เหงื่อกีฬาผุดพรายเต็มสองข้างขมับ ยิ่งเบี่ยงตัวหนีไปทางซ้าย ใบหน้าที่แสนคุ้นเคยก็ยิ่งเข้ามาใกล้จนหยุดสติทั้งหมดทั้งมวลของคิมจงอินเอาไว้ชะงัดนัก

     

    เซฮุนทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง ริมฝีปากนั้นขยับเชื่องช้าเสียจนเห็นถึงแววตาตัดพ้อ ก้อนเนื้อในอกซ้ายของจงอินเต้นถี่ ศีรษะเขาปวดหนึบ กระทั่งทุกอย่างระเบิดกลายเป็นเถ้าธุลีในเวลาไม่ถึงห้านาที มือมือของคนสูงกว่าปัดเอาเจ้าลูกกลมๆไปไว้กับตัวและแฉลบข้างสนามผ่านอีมินโฮ จนกระทั่งเสียงประกาศสามคะแนนดังขึ้นอย่างน่ามึนงง

     

    เสียงเฮของห้องต้นดังโหวกเหวก เรียกสติผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวเก็งดีกรีนักเลงโตให้ตื่นขึ้นมารับความจริงที่ว่าสายตาตัดพ้อเมื่อครู่นี้ไม่มีอยู่จริงเสียแล้ว

     

    ผมน่ะเหรอจะหักอกจงอิน? คนที่เป็นฝ่ายขอเป็นแฟนต่างหากที่ต้องกลัว

     

    แล้วตอนนี้โอเซฮุนดูกลัวอย่างปากว่าที่ไหนกัน

     

     

     

     

     

     

     

     

    ****

     

     

     

     

     

     

     

     

    “เชี่ยจงอิน มึงเลย มึงทั้งนั้น พลาดห่าอะไรตั้งสามรอบ แพ้พวกห้องคิงนี่งามหน้าไหมล่ะ”

     

    ชานยอลบ่นกระปอดกระแปดขณะที่เอาเสื้อเชิ้ตนักเรียนออกมาสะบัดเตรียมใส่ พวกห้องคิงได้สิทธิ์ครองห้องเปลี่ยนชุดก่อนเพราะชนะเกมการแข่งขัน กระทั่งเหลือกันแค่น้อยนิด ห้องฝ่ายแพ้จึงพากันเฮละโลเข้ามายึดครองพื้นที่บ้างเพื่อจะได้รีบเร่งไปเรียนคาบต่อไปทัน ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชายแยกออกเป็นสองฝั่งใหญ่ๆ ล้อมรอบและคั่นกลางด้วยล็อกเกอร์สีเทาโลหะซึ่งใช้ได้บ้างใช้ไม่ได้บ้าง จงอินมองคนตรงหน้าเข้ามาคว้าเสื้อยืดชื้นเหงื่อที่แหมะอยู่บนม้านั่งข้างตัว ไม่นึกอยากเตือนมันให้เบาเสียงลง ถ้าพวกห้องคิงบางกลุ่มยังออกันอยู่อีกฝั่ง ด่าแม่งมากๆแล้วโดนดักตีเอาก็สมน้ำหน้าดี

     

    “จะอะไรนักหนาวะ ก็แค่แข่งกากๆระหว่างห้อง จริงจังกันไปเพื่ออะไร” เขาบ่น ทำเอาเพื่อนที่พากันเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้องหัวเราะครืน

     

    “โอ้โห มึงนั่นแหละ” ชานยอลตั้งท่าจะเถียง แต่พอเห็นสายตาไม่สบอารมณ์มองกลับมาแล้วจึงตัดสินใจเงียบเอาไว้ การไม่เถียงอะไรจงอินตอนนี้คงดีกว่า เพราะน่ากลัวว่ามันจะไม่ได้อยากโต้เขาแค่ด้วยคำพูดง้องแง้งพรรค์นี้แหงแซะ แถมไอ้พวกเพื่อนในห้องก็เอาแต่หัวเราะ ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย

     

    “กูทำไม” นั่น คิดไม่ทันขาดช่วง มันก็หาเรื่องกลับมาแล้ว

     

    “มึงนั่นแหละที่พูดถูก” ชานยอลกลับลำ รีบหันหน้าหนีรังสีอำมหิตแล้วจัดการติดกระดุมเสื้อไวๆจะได้หลีกทางให้เพื่อนสนิทจัดการธุระส่วนตัวบ้าง “แข่งแค่นี้ จริงจังห่าอะไรเนอะ”

     

    คนฟังส่ายศีรษะให้เสียงบานงึมงำของอีกฝ่าย จงอินลุกขึ้นเต็มความสูง เดินเข้ามาประชิดติดล็อกเกอร์ข้างๆแล้วใช้ผ้าเช็ดเนื้อตัวชื้นๆหลังไปเอาน้ำลูบหน้าลูบตัวมาเมื่อไม่กี่ก่อน ใจก็นึกหมั่นไส้ท่าทีลุกลี้ลุกลนของชานยอล ถ้ารู้ว่าตัวเองน่าโมโหตั้งแต่แรกก็อย่าปากพล่อยสิวะ

     

    ยังไม่ทันจะได้ถอดเสื้อยืดออกจากท่อนบน เสียงกวนประสาทของกลุ่มอีแทมินก็ร้องถามหลังจากคิดอยู่นาน “เออ จงอิน”

     

    “ว่า”

     

    “ขอถามไรหน่อยดิ” เจ้าของชื่อชะงักมือในท่ากำลังถอด ตามองไปยังต้นเสียงที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มติดผนังท้ายห้อง “สงสัยมานานแล้วว่ะ”

     

    “เสือกนะพวกมึงอะ”

     

    “ก็มันไม่ได้คำตอบ เนี่ย พอมึงตอบพวกกูครั้งนี้ พวกกูก็หายอยากเสือกแล้ว” แทมินหัวเราะแห้งๆ เห็นอันธพาลประจำห้องเลิกคิ้วกลับมาจึงรู้ว่าจงอินไม่ได้ตึงเครียดอย่างที่เพื่อนมันตีโพยตีพาย โบ้ยใส่ชานยอลที่กลอกตาแล้วเดินหนีออกจากห้องเสร็จ คนอยากรู้จึงเปิดปากเป็นตัวแทนในกลุ่มสำหรับความอยากรู้อยากเห็นที่ยังคงสถานะทอล์คออฟเดอะทาวน์ในตอนนี้ “ถามได้ปะ”

     

    ถึงจะยังนิ่งอยู่ในท่าเดิม แต่จงอินก็จำได้ดีว่าระหว่างเขาและโอเซฮุนไม่มีความสัมพันธ์ใดๆต่อกันแล้ว ความรู้สึกขลาดอายมลายหายไปจนเกือบหมด เหลือก็แค่ความโมโหโทโสเมื่อใจรังแต่นึกถึงสายตาตัดพ้อในเกมเมื่อครู่ แล้วทุกอย่างก็พลันทลายลงเหลือสามคะแนน

     

    ไอ้เวรเอ๊ย เลวมากที่หลอกใช้อารมณ์อ่อนไหวของกู มึงมันเจ้าเล่ห์นักเซฮุน!

     

    “ถ้ากล้าถามก็ถามมา”

     

    เว้นไอ้ชานยอลแล้ว พวกนี้แม่งเป็นคนกลุ่มแรกที่กล้าเปิดปากถามคิมจงอินซึ่งๆหน้าโดยไม่กลัวตาย แหงล่ะ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ สถานการณ์คงเปลี่ยนแน่ถ้าเป็นเขาที่รู้ว่าพวกนี้ไปอ้อล้อถามกับโอเซฮุน แม่ง เผลอคิดถึงใบหน้าไอ้โย่งเผือกอีกแล้ว ส้นตีน สันดาน ไม่รู้สำนึกว่าทำให้คนที่มันขอเป็นแฟนกำลังจะอกแตกตายอยู่ตรงนี้ กว่าจะยอมรับความรู้สึกตัวเองได้ว่าเริ่มชอบมันตอบแล้วนี่ยากแค่ไหนรู้บ้างไหมวะ เริ่มง่ายแล้วยังจบง่าย แบบนี้จะเชื่อใจอย่างไรได้อีก --

     

    โว้ย นั่นมันเรื่องของอนาคต แต่ตอนนี้คิมจงอินไม่มีอนาคตร่วมกับโอเซฮุนแล้ว เลิกคิด!

    “มึงกับเซฮุนห้องคิงอะ... เลิกกันแล้วเหรอวะ”

     

    “เออ” ไม่ต้องเสียเวลาคิดด้วยซ้ำ ในเมื่ออยากรู้กันนักก็ประกาศแม่งไปเลย จะได้เลิกถาม เลิกสนใจ เลิกซุบซิบให้หงุดหงิดรำคาญตาเสียที “เลิกแล้ว”

     

    “เข้...” กลุ่มแทมินส่งเสียงครางรับแทบจะพร้อมๆกัน ตั้งแต่เริ่มสังเกตเรื่องที่ตัวเด่นของโรงเรียนห่างกันเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ทีท่าของโอเซฮุนก็เปลี่ยนไปอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือ ถามอะไรก็ไม่ตอบเหมือนอย่างเคย แถมยังด่ากลับนิ่มๆเสียด้วยเวลาใครถามเรื่องความสัมพันธ์กับอันธพาลห้องดี ถ้ารู้ว่าจงอินถามง่ายตอบง่ายอย่างนี้ พวกสายเสือกอย่างเขาคงบากหน้าเข้ามาถามตั้งแต่นึกสงสัยแรกๆแล้ว

     

    “จงอิน แล้วที่เขาเดากันอะ” คราวนี้มินโฮพูดขึ้นบ้าง “ไขกูทีเหอะ มึงกับมันนี่ใครฟาดใครวะ”

     

    เหมือนมีเสียงดีดผึงในหัวดังกังวาน จริงอยู่ที่กลุ่มผู้ชายอยู่ด้วยกันแล้วมักจะพาดึงลงเรื่องใต้สะดือ คิมจงอินไม่เคยรู้สึกรู้สาเวลาอยู่ในกลุ่มวิจารณ์หุ่นสาว หรือสบถเรื่องผู้หญิงนมเล็กบีบไม่มันมือ แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ ทุกอย่างเกิดขึ้นกับตัวเขา สาตาจ้องจะเหยียบย้ำเชิงชายและล้อเลียนอันธพาลเสียตูดมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง เขาเคยเป็นที่รู้จักในด้านความน่าเกรงขาม ตลกร้ายสิ้นดีที่วันนี้กลายมาเป็นหัวกระทู้ผัวๆเมียๆไปเสียได้

     

    “ฮ่ะฮ่ะ” ชายหนุ่มหัวเราะฝืน ศีรษะร้อนเหมือนจะระเบิดเมื่อความหงุดหงิดครั้งใหญ่เริ่มเข้าเล่นงานอีกครา “พวกมึงนี่ขี้เสือกโคตร รู้แล้วจะได้ขึ้นสวรรค์วิมานเหรอวะ”

     

    ปาร์คชานยอลตัดช่องน้อยแต่พอตัวหนีไปพักหนึ่งแล้ว อย่างน้อยถ้าเพื่อนตัวสูงอยู่ จงอินคิดว่าคงจะมีใครช่วยห้ามเขาเอาไว้ได้บ้างไม่ให้หลุดคำพูดจากนี้ ในห้องล็อกเกอร์อาจจะเหลือคนอยู่ไม่กี่ชีวิต แต่คงมากพอที่จะโหมกระพือข่าวไปอีกสักสองสามสัปดาห์ หรือหนึ่งเดือน สองเดือน ตลอดไปที่ความลับระหว่างเขากับโอเซฮุนกลายเป็นหัวข้อสาธารณะ

     

    “ถ้าแค่อยากรู้ เดี๋ยวกูบอกก็ได้ จะได้จบๆไปสักทีแล้วไม่ต้องมาถามอีก”

     

    กลุ่มแทมินอ้าปากเหวอ โดยเฉพาะเจ้าของคำถามอย่างอีมินโฮที่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้คำตอบจากปากเพื่อนร่วมห้องจริงๆ ยิ่งเมื่อคนนั้นเป็นผู้ชายขวางโลก เย็บปากปิดสนิทและทำหน้าบูดทุกทีที่ถูกหยอกล้อเรื่องนี้ด้วยแล้ว “เฮ้ยจงอิน... มึงไม่ต้องตอบแล้วก็ได้”

     

    “กับไอ้เซฮุน มันเป็น --”

     

     

     

     

    “ผมเป็นรับครับ”

     

     

     

     

    ภาพเหตุการณ์ซ้ำซ้อนที่มีมือเอื้อมจากข้างหลังมาปิดปาก สลับกันที่พอหันไปมอง ดันเห็นเจ้าของเสียงทุ้มต่ำยืนยิ้มจนตาปิด เซฮุนค่อยๆลดมือลงจากริมฝีปากเขา ตามองตรงไปยังคู่สนทนาที่ได้แต่ยิ้มแห้งกับคำตอบ ภายในห้องล็อกเกอร์เงียบกริบ เร่งรัดให้กลุ่มนักเรียนชายเลิกอู้แล้วแต่งเนื้อแต่งตัวเตรียมไปเรียนอย่างที่ควรจะเป็นเสียที

     

    จงอินมองตัวเองที่ยังอยู่ในชุดพละ เจ้าของมือที่เลื่อนลงมากำท่อนแขนเขาไว้ก็เช่นกัน ครั้นคิดได้ว่าควรขืนท่อนแขนออก ริมฝีปากสีแดงสดก็เลื่อนเข้ามากระซิบถามให้ได้ยินเป็นการส่วนตัว

     

    “คาบต่อไปโดดได้ไหม”

     

    เซฮุนผละออกจนเห็นดวงตาคู่นั้นแจ่มชัด อีกแล้วที่แกล้งมาอยู่ตรงหน้าเพื่อแก้แค้นอกซ้ายของคนปากเก่งให้ปวดหนึบ จงอินพยายามนึกหาคำตอบว่าคาบต่อไปเขาสามารถหนีเรียนได้หรือไม่ แต่ไม่ว่าจะคิดเท่าไร ก็พบว่ามันไม่สำคัญเกินไปกว่าการที่คนตรงหน้ากำลังลากเขาให้เดินออกไปจากห้องด้วยกันเงียบๆ ผ่านกลุ่มคนในชุดนักเรียนที่กำลังพากันทยอยเข้าห้องเรียนคาบใหม่

     

    อดีตคนรักถนัดเสมอเรื่องหาที่ลับตา หลังจากเดินอ้อมเสียไกล สุดท้ายแล้วเซฮุนก็หยุดทั้งคู่ที่หน้าห้องเก็บอุปกรณ์พละข้างโรงยิมในที่สุด ถ้าเทียบกับเมื่อสิบนาทีก่อน ตอนนี้ละแวกรอบๆเงียบเชียบ ไม่มีนักเรียนห้องไหนเรียนวิชาพละต่อจากพวกเขา ซึ่งถ้าให้เฉลย มันเคยเป็นคาบพละของห้องคิงมาตลอด เว้นเสียแต่สัปดาห์นี้

     

    เซฮุนล้วงพวงกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง ไขเข้าไปในห้องเก็บอุปกรณ์ที่มีตาข่ายใส่ลูกบาสเกตบอลวางอยู่ตรงกลาง บานหน้าต่างสี่เหลี่ยมเล็กๆด้านบนเป็นทางผ่านแสงเพียงหนึ่งเดียวในห้องนี้ สวิทช์ไฟไม่ถูกแตะ แต่มันก็สว่างมากพอที่จะมองเห็นคนตรงหน้ากำลังหันกลับมาหลังจากล็อกประตูห้องเรียบร้อยแล้ว

     

    เจ้าของผิวขาวสูดลมหายใจ เอากุญแจแขวนไว้บนตะขอเล็กข้างประตู ก่อนริมฝีปากนั้นจะขยับเชื่องช้าเช่นเกมในสนามไม่ผิดเพี้ยน

     

    “เมื่อกี้จะพูดอะไร”

     

    “มึงนั่นแหละพูดอะไรออกไป” จงอินสวนทันควัน อารมณ์โมโหยังคุกรุ่นจากในห้องล็อกเกอร์สดๆร้อนๆ “พวกมันเสือก มึงก็เสือก”

     

    อีกแล้วที่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรอีก หากเซฮุนก็เลือกที่จะยิ้มแล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้น มองคนเก่งผงะถอยจนสะโพกชนลิ่วกล่องไม้ “ปากร้าย”

     

    จงอินกลืนน้ำลายดังเอื้อก ระยะห่างตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมาทำให้โอเซฮุนไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้า ซ้ำยังมีฤทธิ์ทำให้ใจสั่นเป็นพิเศษเสียด้วย ดวงตาคมปลาบมองตรงเข้ามาต่อตา ริมฝีปากที่เมื่อครู่ยังยิ้มขำกลับค่อยๆหุบลงจนราบเรียบ ลมหายใจอุ่นผ่อนออกบางเบา ก่อนไอ้ตัวดีจะกระตุกใจเขาให้วูบลงต่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

     

    “สรุปว่า... เราเลิกกันจริงๆแล้วใช่ไหม”

     

    คนฟังเบิกตาโพลง ถึงคราวที่จงอินจะต้องเม้มริมฝีปากแน่น เป็นฝ่ายสงบจิตสงบใจก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเบาหวิว “เออ”

     

    “ไม่เห็นจะรู้เลย”

     

    เอ้า ไอ้นี่ คนที่เมินกูได้ใจไม้ไส้ระกำสุดๆมันก็มึงทั้งนั้นไม่ใช่เหรอวะ

     

    “อยากเลิกเหรอ”

     

    เซฮุนถามด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ซึ่งให้ตายเถอะ สาบานได้ว่ามันไม่มีสิทธิ์พูดแบบนี้กับคิมจงอินเลยสักนิด ครึ่งเดือนนี่มันนานพอสำหรับการตัดใจหรือเริ่มต้นชอบคนใหม่ด้วยซ้ำ ปล่อยให้มันเกิดขึ้นอย่างนั้นแล้ว ยังมีหน้ามาทำอิงแอบชิดใกล้ ถือวิสาสะยื่นหน้าเข้ามาจนจมูกแทบจะชนกันอีก ทันทีที่คิดได้ หนุ่มผิวแทนก็รีบผลักอดีตคนรักออกด้วยแรงที่มี ไม่สนใจสีแดงบนใบหูและหัวใจที่เต้นโครมครามประท้วงความรู้สึกโกรธ ใช่ เขาโกรธ โมโห หงุดหงิดไอ้เรื่องงี่เง่าพรรค์นี้สิ้นดี

     

    “เป็นเหี้ยไรของมึงอีกเซฮุน อย่ามาประสาทแดก”

     

    บางที การถูกด่าอาจเรียกสติคนตัวขาวให้กลับมาก็เป็นได้ ได้ยินอย่างนี้แล้วเจ้าตัวจึงหัวเราะ ยกมือขึ้นถูจมูกแดงๆ ก่อนจะปล่อยเสียงแหบทุ้มที่เร่าอยากคุยกับคนตรงหน้าเสียงอ่อน “ขอโทษ คงเป็นเหี้ยจริงๆ”

     

    นั่นแหละทีทำให้จงอินผงะ อาการขึ้นๆลงๆแบบนี้มันเดายากยิ่งกว่าอะไร

     

    “ก็คิดว่าคงจะได้เลิกกันจริงๆ แต่ไม่กล้าพอที่จะคุยเรื่องนี้ตรงๆ เพราะผมไม่อยากเลิก” หนุ่มผิวแทนนิ่งฟัง มือขยับจับเบาะบนลิ่วกล่องแน่นจนเผลอจิกเล็บลงไป “แล้วพอเมื่อกี้ที่อยู่ในห้องล็อกเกอร์อีกฝั่ง ได้ยินจงอินตอบเพื่อนแบบนั้น ผมก็ยิ่งใจหายว่าเราเลิกกันแล้วทั้งอย่างนี้จริงๆน่ะหรือ”

     

    ทั้งศีรษะและขอบตาร้อนผ่าว ไม่รู้ว่าโอเซฮุนมันพล่ามอะไรนักหนา ทั้งไร้สาระ ไม่ได้สรรพ แล้วยังบีบใจเขาจนเจ็บอย่างนี้อีก จะมาพูดให้ได้อะไรขึ้นมา ในเมื่อจุดเริ่มต้นนั้น คนที่พูดจาร้ายกาจใส่หมอนี่ก่อนก็คือคิมจงอินไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมถึงกลายเป็นว่าเขามาอยู่ในสถานะนี้ เขาที่ได้แต่เงียบและฟังมันพูด ทั้งยังต้องต่อสู้กับมวลความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างถาโถมเข้ามาเหมือนคลื่นยักษ์

     

    “อีกอย่างคือผมไม่เคยรู้เลย ว่าถ้าจงอินเป็นคนตอบเรื่องนั้น มันจะทำให้รู้สึกแย่ขนาดนี้”

     

    ก็เหมือนที่มึงเคยจะตอบออกไปหน้าตาเฉยไงล่ะวะ เขาสบถ

     

    “ถ้าคนอื่นมองจงอินเปลี่ยนไปจะทำยังไง”

     

    เหมือนมีค้อนหนักๆทุบหัวเขาจนนิ่งไปอีกแล้ว นี่มันคนละความหมายเต็มๆเลยไม่ใช่หรือไง แทนที่จะห่วงและสำนึกได้ว่าเรื่องพวกนี้มันส่วนตัว เซฮุนมันดันไปห่วงห่าเหวอะไรก็ไม่รู้ แถมไอ้ความห่าเหวนั่นก็น่าโมโหยิ่งกว่าเรื่องที่ขุ่นเคืองกันอยู่นี่เสียอีก เวรเอ๊ย บ้าบอคอแตกสิ้นดี นี่คิมจงอินคบกับไอ้คนประหลาดแบบไหนกันแน่

     

    “แม่งเอ๊ย... หยุดพูดเดี๋ยวนี้เลย” ร่างโปร่งดันตัวเองถลาไปตรงหน้า กระชากคอเสื้อยืดสีขาวของอีกฝ่ายขึ้นด้วยแรงโทสะแล้วตะโกนจนแสบคอหอย “กูจะเลิกกับมึง! ยังไงก็จะเลิก! เปลี่ยนไปบ้าบออะไร ไม่มีใครเขาประสาทเท่ามึงที่กล้ามาขอกูเป็นแฟนแล้ว”

     

    ถึงจะไม่ได้พูดให้ยิ้มกว้างกว่าเก่า แต่โอเซฮุนเป็นแบบนั้นเลย กวนประสาทไหมล่ะ

     

    มือที่กระชากคอเสื้อถูกกุมกระชับ ริมฝีปากก้มแตะผะแผ่วข้างปลายจมูก ตั้งท่าเลื่อนลงต่ำอย่างเอาแต่ใจ ไม่สนคนที่อยากขัดขืนเต็มแก่จนต้องเบี่ยงตัวถอยเกร็งไปทั้งร่าง เห็นอย่างนั้นเซฮุนก็รู้ตัวว่ายิ่งต้องเอาชนะ มืออีกข้างอ้อมไปตวัดรอบเอวคนดื้อจนอยู่ในอ้อมกอด แกล้งทำหน้างอคอหักแล้วยกมือตรงคอเสื้อขึ้นมากดจูบแรงๆหนึ่งที

     

    “คิดถึง” จูบฟัดมือเป็นครั้งที่สอง หวังให้เสียงดังฟอดช่วยปราบพยศคนในอ้อมกอดลงสักนิดก็ยังดี “อยากงอนบ้าง แต่ไม่คุ้มเลย”

     

    “กูนี่ต้องโกรธมึง เล่นตัวได้ใครวะ”

     

    “นั่นสิ จงอินไม่ง้อเลย” เซฮุนหัวเราะ อยู่ดีๆก็กลายเป็นคนอารมณ์ขันขึ้นมาอย่างน่าหมั่นไส้

     

    และคงเป็นอีกครั้งที่จงอินประมาทหน้าตาพาซื่อของโอเซฮุนเกินไป เพราะเมื่อเห็นว่าคนในวงแขนเผลอ ริมฝีปากก็โน้มลงจู่โจมทันควัน ทั้งไล้เล็ม เบี่ยงหน้าซ้ายขวาเพื่อปรับองศาอย่างไม่รู้จักเบื่อ สร้างเสียงจ๊วบจ๊าบก่อนจะแทรกปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปาก กวาดต้อนจงอินให้ถอยหนีแล้วยกธงขาวยอมให้เขาเอาแต่ใจได้เต็มที่

     

    เซฮุนยอมจงอินเสมอ ยอมแม้กระทั่งทลายกำแพงของความรู้สึกเศร้าเสียใจเพียงเพราะน้ำเสียงประชดประชันไม่กี่ประโยค ใช่ เขาคงบ้า -- บ้าอย่างที่จงอินบอกเลย ตั้งแต่เดินเข้าไปสารภาพรัก ขอเป็นแฟน รวมถึงกระหายจะทำเรื่องอย่างว่าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หรือแม้แต่ตอนนี้ที่มีโอกาสได้แลกจูบกันอีกครั้ง ภายในอกก็ยังวูบโหวงเมื่อคิดย้อนไปว่าแท้จริง เขากับจงอินได้เลิกกันไปนานเหลือเกิน

     

    สิ่งที่ทำให้โอเซฮุนเป็นบ้าขึ้นมา  คงเพราะความกลัวจากการที่เราสองคนคิดตรงกันว่าความสัมพันธ์สิ้นสุดลงแล้ว

     

    “จงอิน” เขาละริมฝีปากออกอ้อยอิ่ง แลบลิ้นเลียคราบชื้นรอบวงปากอย่างโหยหา กลิ่นจงอินเหมือนแป้งเด็กแบบที่ชอบไม่มีผิด นั่นยิ่งตอกย้ำว่าการเง้างอนของเขามันช่างไร้สาระเหลือเกินเมื่อเทียบกับการเสียผู้ชายคนนี้ไป “ไม่เลิกได้ไหม”

     

     

     

     

     


     

     

     

     

     

    “เซฮุน”

     

    “ว่าไง” เจ้าของผิวขาวเคลื่อนตัวเข้าออก หันไปจูบหัวเข่าที่พาดอยู่ตรงข้างใบหน้า จงอินบิดปากทำหน้าเหยเกเล็กน้อย ปล่อยให้ร่างรับแรงครูดทางด้านในแล้วดึงความคิดไปสนใจเรื่องอื่น

     

    “ที่มึงพูดไปแบบนั้น จะดีเหรอวะ”

     

    เซฮุนเลิกคิ้ว นอกจากความรู้สึกดีฉิบหายแล้วเขาก็ไม่เข้าใจอะไรอื่นที่จงอินอยากได้คำตอบสักเท่าไร ความคิดถึงตลอดครึ่งเดือนทำเอาชายหนุ่มเป็นบ้า และตอนนี้เขาก็ยังบ้าเกินกว่าจะเก็บเอาเรื่องไร้สาระพวกนั้นมาคิดให้มากความ เคยไม่ใส่ใจอย่างไรก็ยังอย่างนั้น ท้าให้คนทั้งโรงเรียนมาถาม โอเซฮุนก็ไม่ยี่หระสักเท่าไรถ้าจะสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาหนึ่งอย่างแลกกับการได้เป็นอวดว่าเป็นเจ้าของม้าพยศตัวนี้

     

    “ผมไม่สนใจคนอื่นหรอก ถ้ามันทำให้จงอินรู้สึกดีขึ้นก็พอแล้ว”

     

    เชื่อเถอะว่าจงอินเกือบคิดเรื่องที่เซฮุนรู้สึกแย่ ถ้าไม่เพียงแต่ว่ามันกำลังยิ้ม -- ยิ้มประหนึ่งว่ากำลังพออกพอใจเสียเต็มประดาที่หลอกคนทั้งโรงเรียนได้

     

    “ให้นี่เป็นความลับที่รู้แค่เราสองคนก็ไม่เลวหรอก”

     

     

     

     

     

    อีกอย่างคือผมไม่เคยรู้เลย ว่าถ้าจงอินเป็นคนตอบเรื่องนั้น มันจะทำให้รู้สึกแย่ขนาดนี้

     

    สู้กันไว้ดีกว่าแก้ ปลอดภัยกว่ากันเยอะ :-)

     

    ถ้าคนอื่นมองจงอินเปลี่ยนไปจะทำยังไง

     

     

     

    FINISH.

     

     



    การ์ตูนจังเลย 555555555555555555555555555555 แก่นสารไม่มี

    แค่อยากเขียนเซไค (แบบลามกๆ) เท่านั้นเอง TvT

    ขอฝากฟิคเรื่องนี้เอาไว้ และขอกำลังใจโดยการคอมเมนท์หรือติดแท็ก #oharhafic นะคะ <3

    ขอบคุณค่ะ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×