คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : 11 | IT USED TO BE SO HARD TO SEE
RED SNITCH
(AU!HOGWARTS)
OSH | KJI | PCY
( 11 )
‘IT USED TO BE SO HARD TO SEE’
ทิวทัศน์ซึ่งมองจากเพิงโหยหวนนั้นยอดเยี่ยมอย่างที่โอเซฮุนว่า
เดิมทีคิมจงอินคิดว่าบ้านร้างหลังนี้ก็ไม่ได้อยู่บนเนินที่สูงอะไรนัก แต่ครั้นได้ลองหยุดอยู่หน้าบานหน้าต่างผุๆ บนชั้นสองแล้ว กลับพบว่ามันทำให้เขาเห็นแม้กระทั่งวิวของฮอกส์มี้ด สถานีรถไฟ หรือแม้แต่ขุนเขาทางด้านหลังที่กลายเป็นสีส้มๆ เหลืองๆ เพราะฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาวใกล้มาเยือนเต็มที ลมที่พักผ่านถึงได้เย็นจับขั้วหัวใจอย่างนี้
หากมันก็ทำให้เขาสดชื่นและรู้สึกดีจนแทบลืมไปว่าใครอีกคนที่ยืนพิงขอบหน้าต่างคือศัตรูตัวฉกาจ เซฮุนยิ้มราวกับภูมิอกภูมิใจนักหนาที่ทำให้เขาชอบสถานที่ของตนเองได้
“หลังคาสูงๆ ตรงนั้นคือร้านซองโก้”
“ฉันรู้น่า” จงอินขัด อย่างไรก็ไม่ยอมไหลตามหมอนี่ง่ายๆ แน่
“เป็นไง ชอบไหม” คนถามทิ้งตัวลงนั่งบนขอบหน้าต่างไม้ที่ทำท่าจะพังไม่พังแหล่ ถ้าพลัดตกลงไปละก็ เขาจะเอาไปโพนทะนาให้ทั่วเลยคอยดู
“ไม่” กับอีแค่บ้านร้าง จะมีอะไรให้น่าตื่นเต้นมากไปกว่านี้อีกเล่า “อยากให้มาเห็นแค่นี้หรือไง”
เซฮุนอมยิ้มขณะฟังคำเหน็บแนมจากเขา ใบหน้าหล่อเหลามองไกลออกไปอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าไปหยุดสายตาอยู่ที่ใดกันแน่ เมื่อสายลมพัดผ่านอีกครั้งหนึ่ง ใบไม้สีเหลืองก็ปลิวหลุดจากต้น กลายเป็นภาพที่ทั้งสวยงามและสุดแสนธรรมดาในเวลาเดียวกัน แน่นอนว่าในสายตาของคิมจงอินแล้ว เจ้าชายแห่งบ้านสลิธีรินที่เพอร์เฟ็กต์นักหนาก็เป็นเพียงเจ้าผู้ชายงี่เง่าคนหนึ่งเท่านั้น
แต่อย่างน้อยการได้อยู่เงียบๆ มองวิวทิวทัศน์ที่ไม่มีอะไรค้านหูค้านตาก็ดีกว่าถูกกวนประสาทในร้านมาดามพุดดิฟุตมากนัก เขาไม่รังเกียจหากเซฮุนคิดจะใช้เวลาอยู่ที่นี่จนหมดวัน ของที่ซื้อมาจากร้านฮันนี่ดุกส์ก็เยอะจนถือเต็มไม้เต็มมือ ขืนไปไหนมาไหนกับหมอนี่ให้คนเห็นไปมากกว่านี้ มีหวังถูกเข้าใจว่าญาติดีกันอีกแน่
“เจ้าคนเมื่อกี้น่ะ” เขาโพล่งขึ้น “คนตัวเล็กๆ ที่เรียกนายว่ารุ่นพี่ หมอนั่นเป็นใครกัน”
กัปตันสลิธีรินเลิกคิ้วแทนคำตอบ “หึงเหรอ”
“เมอร์ลินเป็นพยาน ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด” จงอินรีบปฏิเสธ นั่นอย่างไรเล่า จะคุยกันดีๆ ไม่ได้ก็เพราะเจ้านี่เป็นตัวกวนอารมณ์นั่นแหละ “ฉันแค่เห็นว่ามันผิดปกติเท่านั้นเอง”
“ผิดปกติยังไงล่ะ”
“นายมันเป็นจอมเสแสร้ง พอเห็นว่าคนอย่างนายเลือกที่จะเดินหนีหมอนั่นซึ่งๆ หน้า ก็เลยแปลกใจขึ้นมา” เขาอธิบาย ว่าแล้วก็อยากตบปากไม่มีหูรูดของตนเองนัก อันที่จริงแล้วไม่ควรสนอะไรเลยแท้ๆ แต่ใจที่จ้องจะเอาชนะตลอดเวลา พอเห็นว่าโอเซฮุนเสียท่าก็อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ทีกับเขายังใช้วิธีร้ายกาจสารพัด ไม่เคยเดินหนีสักครั้งแท้ๆ
“สนใจเรื่องส่วนตัวของฉันตั้งแต่เมื่อไรกัน” ริมฝีปากบางเฉียบของเซฮุนเหยียดรอยยิ้มบาง ช่างเป็นยิ้มที่เหมือนกับการหยั่งเชิงก่อนพุ่งเข้าใส่กันเพื่อแย่งลูกสนิชไม่มีผิด
“ถ้าไม่มีประเด็นที่นายเคยลับๆ ล่อๆ อยู่แถวห้องต้องประสงค์ ฉันก็ไม่อยากแส่หรอก”
“อ้อ เรื่องนั้น...”
ทั้งที่คิดว่าโอเซฮุนจะยอมต่อปากต่อคำกับเขาอีกสักหน่อย ทว่าพอเป็นเรื่องในตอนนั้น อีกฝ่ายกลับปิดปากสนิทจนชวนให้นึกถึงบทสนทนาแปลกๆ ที่จงอินเกือบลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ
‘ครั้งนี้ถือว่าฉันสอนวิธีเข้าห้องต้องประสงค์ให้นาย’
‘...’
‘ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก’
‘มันแปลกตั้งแต่ที่นายท้าทายฉันแล้ว ทำไมถึงได้ยอมบอกเรื่องห้องนี้ง่ายๆ’
‘บางที... ฉันคงอยากให้นายรีบจับฉันได้ไวๆ’
เขาเผลอกำมือที่ทิ้งไว้ข้างตัวจนแน่น ต่อให้ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ตนเองยืนคุยกับเซฮุนต่อหน้าโดยไม่ฉุนเฉียว แต่พอเป็นเรื่องที่หมอนี่ลักลอบทำอยู่ เขากลับยังคิดระแวงไม่เปลี่ยนว่าคงไม่ใช่อะไรดีๆ แน่ หลังจากเหตุการณ์คราวนั้น จงอินก็ลองเข้าไปในห้องต้องประสงค์อีกสองครั้งก่อนจบภาคเรียนชั้นปีห้า ถึงกระนั้นกลับไม่เจอเบาะแสอะไรสักอย่าง
“นายปิดบังอะไรอยู่”
ตาสีเข้มของเซฮุนมองตอบเขาอย่างสงบนิ่ง “พูดเรื่องที่นายว้าวุ่นใจออกมาดีกว่า ที่รัก”
คนตรงหน้าเฉไฉไปอีกเรื่อง กระนั้นก็ราวกับอีกฝ่ายอ่านใจเขาได้อยู่ดีว่าเหนือกว่าเรื่องห้องต้องประสงค์ อะไรที่ปั่นป่วนใจกัปตันทีมกริฟฟินดอร์อยู่ เป็นเรื่องที่หมอนี่กำลังทำตัวให้เขาจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน หรือว่าคำสารภาพเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกันแน่
“ตกลง” นี่คือหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เขายอมแพ้ จงอินสูดลมหายใจลึก พยายามรักษาน้ำเสียงให้เรียบนิ่งเหมือนกับสีหน้า “ที่นายพูดว่า คนที่ชอบ นั่นมันเป็นตลกร้ายหรือไง”
“...”
สีหน้าท่าทางโอเซฮุนเองก็หาได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก เมื่อได้ยินคำถามตรงไปตรงมาจากเขา ริมฝีปากได้รูปกลับแค่นยิ้มหยันแล้วว่า
“ก็ตอนนั้นนายน่าสนุกดี”
“อะไรนะ...?” ทั้งที่คิดอยู่แล้วว่าเป็นแค่เรื่องล้อเล่นโง่เง่า แต่เขาในตอนนี้กลับตัวแข็งทื่อ สายตาหลุบมองเสื้อเชิ้ตสีพื้นแทนที่จะเป็นสายตาเย็นยะเยือกคู่นั้น หัวใจคล้ายจะเต้นแรงขึ้นจนเจ็บ คิดอะไรไม่ออกเมื่อรู้ตัวว่ามีแค่ตนเองเท่านั้นที่ฟุ้งซ่านเป็นบ้าเป็นบอมาตลอดทั้งสัปดาห์
ทำอย่างกับว่าอะไรๆ มันจะดีถ้าสิ่งที่คนคนนี้พูดเป็นความจริงอย่างนั้นแหละ
เขาเกลียดโอเซฮุน เกลียดทุกๆ ความเลวร้ายที่หมอนี่เคยกระทำใส่กันทั้งต่อหน้าและฉวยโอกาส เกลียดจูบห่วยๆ เกลียดสายตาซึ่งดูแคลนด้านอ่อนแอของเขา เกลียดแม้กระทั่งรอยยิ้มที่อ่านไม่ออกยามกำลังจิบชาในร้านพุดดิฟุต คำพูดสองแง่สองง่าม หรือแม้แต่กลิ่นกายในยามพาตัวเข้ามาชิดใกล้ ทั้งตอนบังคับขืนใจในห้องน้ำพรีเฟ็คหรือการเอาตัวเข้าปกป้องเมื่ออยู่ต่อหน้าบ็อกการ์ตในป่าต้องห้ามก็ตามที
“แน่นอนว่าทั้งหมดนั่นเป็นแค่การกลั่นแกล้งเพราะว่าเกลียดกัน”
ดี -- ยังไงมันก็ต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว นายกำลังลังเลอะไรอยู่ คิมจงอิน
“คิดว่าฉันจะพูดอย่างนั้นหรือไง?”
จงอินเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ตั้งแต่เมื่อไรที่เข้ามาใกล้ เท้ามือที่ใช้การได้ข้างเดียวไว้กับขอบหน้าต่างแล้วยืนประชิดตัวเขาจนต้องถอยลงนั่งพิงหน้าต่างเพื่อรักษาระยะห่างโดยอัตโนมัติ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าหาใช่แววตาเย่อหยิ่ง ยิ้มน่ารังเกียจ หรือสีหน้าในแบบที่จงอินจะมีโอกาสได้เห็นบ่อยครั้งนัก แต่เขาก็จำได้ว่ามันไม่ใช่ครั้งแรก อย่างน้อยๆ ตลอดทั้งวันที่อยู่ในฮอกส์มี้ด เซฮุนก็เอาแต่ยิ้มแบบนี้จนนับครั้งไม่ได้
“หมายความว่ายังไง” เขาเผลอถามออกไปทั้งที่ใจเหมือนจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
และคำตอบนั้นก็ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อโอเซฮุนขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ ประทับจูบเป็นครั้งที่แปดนับตั้งแต่ความสัมพันธ์แปลกๆ ของทั้งคู่เริ่มต้นขึ้นเมื่อปีที่แล้ว จูบนี้เกิดท่ามกลางสายลมเย็นอ่อนๆ ในปลายฤดูใบไม้ร่วง บนขอบหน้าต่างของบ้านร้างที่ชื่อว่าเพิงโหยหวน อีกทั้งยังหวานซึ้ง วาบหวาม เต็มไปด้วยอำนาจประหลาดที่กะเทาะบางอย่างออกจากใจเขาอย่างช้าๆ
โอเซฮุนผละกลีบปากออกอ้อยอิ่ง เสียงทุ้มฟังดูนุ่มนวลกว่าเวลาสาดใส่คำพูดแย่ๆ ใส่กันหลายเท่า
“ฉันยกหัวใจให้นายโดยไม่รู้ตัว... พร้อมกับปากกาขนนกแท่งนั้นตั้งนานแล้ว”
เจ้าชายจากหนึ่งในตระกูลศักดิ์สิทธิ์
ใครต่อใครพากันเรียกโอเซฮุนเช่นนั้นนับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่โรงเรียนพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ เขากลายเป็นเด็กชายผู้เด่นดังในบ้านสลิธีริน และยิ่งทวีความเนื้อหอมยิ่งขึ้นเมื่อส่วนสูงเพิ่มชะลูดตอนขึ้นปีสอง เสียงเล็กแหลมแตกห้าว และโครงหน้าที่เคยเรียวรีเป็นรูปไข่ก็เริ่มปรากฏสันกรามเด่นชัดขึ้นมา ผู้หญิงคนแรกที่กล้าสารภาพรักกับเขาเพราะคิดว่าตนเองคู่ควรก็คือเซเลน่า แต่ตอนนั้นทั้งคู่เพิ่งจะอายุได้แค่สิบสองปี เซฮุนจึงไม่มองเธอดีไปกว่ายัยผู้หญิงแก่แดดสักเท่าไรนัก
จำได้ว่าตอนนั้นเป็นคาบแรกของวิชาเวทมนตร์คาถา ในขณะที่เพื่อนนักเรียนรอบข้างกำลังง่วนอยู่กับการเริ่มจดเลกเชอร์ อยู่ดีๆ ผู้คลุมของเขาก็ถูกดึงเบาๆ จากทางด้านหลัง ก่อนจะพบว่าเป็นนักเรียนบ้านกริฟฟินดอร์คนหนึ่งที่ไม่เคยจำหน้าค่าตาได้มาก่อน อีกฝ่ายมีผิวสีแทน ดวงตาทรงอัลมอนด์ และริมฝีปากหนาเบินที่ขยับพูดอย่างเจื้อยแจ้ว
“เฮ้ ’โทษที คือว่า... นายพอจะมีปากกาขนนกอีกสักแท่งให้ยืมหรือเปล่า”
“...” รู้จักกันหรือก็เปล่า มิหนำซ้ำยังอยู่บ้านที่ไม่ถูกกันอย่างกริฟฟินดอร์ด้วย
“ฉันตื่นสายแล้วลืมเอาติดกระเป๋ามาด้วย เพื่อนก็ไม่มีสำรองเลยสักคน” คนใจกล้าทำยิ้มแหย มือไม่ยอมปล่อยออกจากชายผ้าคลุมจนกลัวว่าศาสตราจารย์ฟลิตวิกจะหันมาเห็นเข้าด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าคนคนนี้ใช้คาถามัฟฟลิอาโต้หรืออย่างไร รอบข้างจึงคล้ายว่าไม่มีใครสนใจบทสนทนาของทั้งคู่เลย
ใจจริงเซฮุนอยากถามกลับนักว่าทำไมเขาต้องให้ความช่วยเหลือกับคนที่ไม่รู้จักด้วย แต่ก็เปลี่ยนใจตัดรำคาญด้วยการหยิบปากกาขนนกอีกแท่งมายื่นให้แทน
“ขอบใจมาก!”
คนที่นั่งข้างหลังยิ้มร่าจนตาปิด กับอีแค่ได้ปากกาขนนกไปจดเลกเชอร์งาน ไม่เห็นจะต้องดูดีใจขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้น โอเซฮุนกลับพบว่าตนเองเผลอยิ้มแกนๆ ตอบกลับไปอย่างไม่มีความหมายเสียได้
หลังจบคาบเรียน เซฮุนก็ลุกขึ้นพร้อมกับกลุ่มเพื่อนจากบ้านสลิธีรินโดยที่ลืมไปเสียสนิทว่ายังมีของของตนเองอยู่ในมือคนอื่น ดังนั้นตอนที่เจ้าของผิวสีแทนในชุดคลุมกริฟฟินดอร์วิ่งตามมาจนถึงทางเดิน ก่อนจะยื่นปากกาขนนกคืนให้เขาต่อหน้านักเรียนบ้านสลิธีรินหลายต่อหลายคน เซฮุนจึงนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย คล้อยหลังคนคนนั้นไปได้ไม่เท่าไร เอดิสันก็เปิดประเด็นขึ้นร่วมกับเพอร์ซิวัล
“เฮอะ นั่นน่ะหรือซีกเกอร์คนใหม่ของกริฟฟินดอร์ ดูไม่เห็นจะได้เรื่องเท่าไรนี่”
ถึงจะยังก้าวเดินไปข้างหน้าเงียบๆ แต่ใบหูก็เงี่ยฟังอย่างใคร่รู้
“คิมจงอินกล้าขอยืมปากกาขนนกของนายเนี่ยนะเซฮุน? หมอนั่นไม่รู้หรือไงว่าของของนายแพงแค่ไหน”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” เขาตอบ เผลอสลักชื่อคิมจงอินลงในสมองส่วนหน้าเสียแล้ว หากหมอนั่นเป็นซีกเกอร์ทีมควิดดิชได้ตั้งแต่ปีสองเช่นนี้ เห็นทีคงน่าสนใจไม่น้อย สบิธีรินเรียนร่วมกับกริฟฟินดอร์มาก็ตั้งหลายคาบ แต่ไม่เห็นจะมีใครอยู่ในสายตาเลยสักคน
ไม่นานนักโอเซฮุนก็ได้รับการทาบทามให้เป็นซีกเกอร์ของทีมควิดดิชบ้านสลิธีริน ไม่เคยมีอะไรที่คุณชายตระกูลโอทำไม่ได้ดี ดังนั้นการต้องคว้าชัยชนะมาให้ได้ในการแข่งขันประจำปีนัดแรก เซฮุนจึงไม่คิดว่ามันเป็นปัญหาของนักกีฬามือใหม่อย่างเขาสักเท่าไรนัก
“อ้าว นายที่ให้ยืมปากกาขนนกเมื่อตอนนั้นนี่”
คิมจงอินตะโกนทักเขาเมื่อทั้งคู่ต้องเผชิญหน้ากันบนไม้กวาดเป็นครั้งแรก เสียงเชียร์ดังกระหึ่มลั่นสนาม นัดแข่งขันครั้งนี้ได้รับความสนใจเป็นพิเศษเพราะซีกเกอร์จากทั้งสองบ้านล้วนมาจากนักเรียนคนดังในชั้นปีที่สอง พอได้รู้จักและเห็นอยู่ในสายตาแล้ว เซฮุนก็พบว่าไม่มีเลยสักครั้งที่คิมจงอินจะขาดการรายล้อมจากเพื่อนฝูง อีกทั้งรอยยิ้มที่เขาเคยคิดว่ามันดูเกินพอดีนั่น แท้จริงแล้วก็คือนิสัยอันเป็นปกติธรรมดาของคนคนนี้นั่นเอง
เขาไม่ได้พูดตอบกลับไป ลูกสนิชสีทองบินไปบินมาอยู่รอบทั้งคู่ ขืนตั้งสมาธิไม่ได้ก็มีแต่จะพ่ายแพ้
การแข่งในวันนั้นดุเดือดเป็นพิเศษ เชสเซอร์สองคนและคีปเปอร์จากกริฟฟินดอร์ถูกลูกบลัดเจอร์หวดคว่ำจนต้องหาออกไปด้วยเปลสนาม วิถีการคว้าชัยชนะของบ้านสลิธีรินคือต้องทำทุกอย่างโดยไม่เลือกวิธีการ เขาสามารถแย่งชิงลูกสนิชมาได้เนื่องจากคิมจงอินใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก หมอนั่นสูญเสียสมาธิไปตั้งแต่ที่เชสเซอร์มือสองอย่างปาร์คชานยอลถูกทำให้ออกจากสนาม ผลลัพธ์ที่ได้คือสลิธีรินเอาชนะไปด้วยคะแนนสองร้อยสามสิบต่อห้าสิบแต้มขาดลอย
เซฮุนไม่ชอบวิธีการเล่นในแบบของกัปตันปีเตอร์ ถึงอย่างนั้นหน้าที่ของเขาก็มีแค่ต้องจับสนิชให้ได้เท่านั้น
หลังการแข่งขันนัดแรกเพียงสองวัน เขาได้เจอคิมจงอินอีกครั้งในชั่วโมงเวทมนตร์คาถา หากบรรยากาศระหว่างทั้งสองกลับแตกต่างจากครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง
“หลบไปนะ มายืนขวางทางเดินทำไม เกะกะจริง” เอดิสันแหวใส่นักเรียนบ้านกริฟฟินดอร์เป็นปกติ ทว่าคิมจงอินหันมาประจันหน้ากับพวกเขาโดยไม่เกรงว่าเป็นคุณชายจากหนึ่งในตระกูลศักดิ์สิทธิ์ แต่ไร้ซึ่งรอยยิ้มเป็นมิตรเช่นตอนที่ได้รับความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ อีกต่อไปแล้ว
“อย่างนั้นทำไมไม่ใช้วิธีในแบบที่พวกนายถนัดไล่เราเสียล่ะ” ริมฝีปากอิ่มหนาพูดจาค่อนขอดผิดวิสัย บางทีคนคนนี้คงหวังให้เขาพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับกลโกงในการแข่งขันควิดดิชที่ผ่านมา ถึงแม้ว่ามันจะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วก็ตามที
เขาก้าวขึ้นขวางก่อนที่เอดิสันและคิมจงอินจะระเบิดอารมณ์ใส่กันไปมากกว่านี้
“อย่าแพ้แล้วพาลอย่างนี้”
“นาย...!” ซีกเกอร์บ้านสิงโตยกมือชี้หน้าเขา ทั้งตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ “ไม่ละอายบ้างเลยหรือไง ถ้าไม่ใช่เพราะสลิธีรินโกงการแข่งแล้วละก็”
“ถ้าเจ็บใจนักก็ควรเอาชนะให้ได้” ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามใช้กลโกงอย่างไร คิมจงอินก็ผิดที่เสียสมาธิจนไม่สามารถทำหน้าที่ของตนเองให้สำเร็จ เพียงแต่ถ้าคว้าลูกสนิชเอาไว้ได้ กัปตันปีเตอร์ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กริฟฟินดอร์อยู่ดี “ไม่ว่ายังไงก็ตาม”
“...” คราวนี้อีกฝ่ายเม้มปากจนเป็นเส้นตรง ถอยห่างออกไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะแค่นหัวเราะหยันแล้วใช้ดวงตาสีเข้มสบมองเขาอย่างแรงกล้า “นั่นคงเป็นรูปแบบของพวกนายจริงๆ สินะ”
สู่ผลลัพธ์แห่งชัยชนะโดยไม่สนวิธีการ กัปตันปีเตอร์เองก็พูดเช่นนั้น เซฮุนจึงไม่คิดปฏิเสธในเมื่อเขาเองก็กลายเป็นหนึ่งในผลพวงเหล่านั้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงก็มีแต่จะต้องทำให้ตนเองได้เป็นผู้นำเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะชนะให้ดู”
เป็นอย่างที่ได้ปรามาสไว้ เพราะในการแข่งขันควิดดิชปีต่อมา คิมจงอินสามารถคว้าลูกสนิชตัดหน้าเขาจนได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น ถึงแม้ว่าก่อนหน้านั้นจะเสียเปรียบเนื่องจากรูปแบบการเล่นที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลของบ้านงูก็ตาม สาบานกับเมอร์ลินว่าในตอนที่ซีกเกอร์ฝั่งตรงข้ามส่งรอยยิ้มแห่งผู้ชนะมาให้เขา โอเซฮุนไม่ได้รู้สึกเจ็บใจเลยแม้แต่น้อย
กลับกันแล้วเขาคิดว่ามันจะต้องสนุกแน่ ถ้าถึงวันที่ตนเองได้เป็นกัปตันทีมสลิธีรินเสียเอง
โอเซฮุนไม่เคยมีความคิดว่าจะเป็นกัปตัน ไม่เคยมีความคิดจะแข่งขันอย่างจริงจัง หรือแม้แต่ให้ความสนใจกับใครหน้าไหนที่พาตนเองเข้ามาอยู่ในกรอบสายตา แต่ความสนุกในวันนี้อาจมาจากการที่คิมจงอินเลือกที่จะไล่ตามคำพูดของเขาในตอนนั้น หรือไม่ก็ตัวเขาเองที่ถูกคนคนนี้ชักจูงด้วยรอยยิ้มตั้งแต่คาบเวทมนตร์คาถาตอนปีสอง
“เซฮุน ขอยืมปากกาขนนกของนายหน่อยซี ฉันทำหายล่ะ”
เอดิสันพยักพเยิดมาทางกล่องดินสอที่ถูกวางไว้บนโต๊ะ เลกเชอร์วิชาปรุงยาของศาสตราจารย์ซลักฮอร์นกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว และโอเซฮุนพกปากกาขนนกติดตัวแค่ครั้งละสองแท่ง แท่งหนึ่งคือแท่งที่เขาใช้เป็นประจำและเปลี่ยนแทบจะทุกๆ ภาคเรียน ส่วนอีกแท่งมีไว้สำรอง และไม่เคยมีใครได้ใช้มันเว้นเสียแต่ใครคนหนึ่งที่ใจกล้าขอยืมมันเมื่อตอนปีสองเท่านั้น
“ไม่มีหรอก” เขาตอบเสียงเรียบ
“ไม่จริงอะ ฉันจำได้ว่านายมีแท่งสำรองอยู่ในนั้นนี่นา”
ได้ยินเช่นนั้นเซฮุนก็หยิบกล่องดินสอเก็บลงกระเป๋าหน้าตาเฉย จากนั้นจึงหันไปหาเซเลน่าเพื่อขอยืมปากกาขนนกของหล่อนมาให้แทน เอดิสันคงพอใจอยู่บ้างว่าในที่สุดก็มีปากกาใช้ แต่ถึงอย่างนั้นยังอดไม่ได้ที่จะทำตาละห้อยใส่เขา น้อยอกน้อยใจเรื่องที่เจ้าชายสลิธีรินทำเป็นคนใจแคบทั้งที่สนิทกันมาตั้งสองสามปี
แกล้งเมินเฉยได้สักพักเขาก็ถอนหายใจ หันไปบอกเอดิสันด้วยคำตอบที่ไม่ชวนให้รู้สึกดีกว่าเดิม
“แท่งนี้ให้ยืมไม่ได้”
“ทำไมกัน”
“...” เซฮุนนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “ฉันแค่รู้สึกหวงน่ะ”
“หา?”
“ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรอก”
“ศาสตราจารย์แบ็บบลิงให้การบ้านอักษรรูนโบราณเยอะมาก!”
คีย์บ่นเสียงยานคางในขณะที่ทั้งสามกำลังจะลุกออกจากห้องสมุดและเดินไปเรียนวิชาดูแลสัตว์วิเศษพร้อมกัน คิมจงอินเลิกคิ้ว ถ้าจำไม่ผิดเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อนมีข่าวครึกโครมเกี่ยวกับการหายตัวไปของศาสตราจารย์เพเนโลปี ก๊อนท์ แต่หลังจากนั้นเรื่องก็ค่อยๆ เงียบลงจนไม่รู้ว่ากระทรวงเวทมนตร์ทำการสืบสวนถึงไหนแล้ว ทางโรงเรียนจำเป็นต้องรับอาจารย์คนใหม่เข้ามาทำการสอนแทน ซึ่งก็ได้ศาสตราจารย์บาธชีดา แบ็บบลิงที่คีย์บ่นนักบ่นหนาว่าให้การบ้านเยอะจนทำไม่ทัน
“จะว่าไป ทางกระทรวงยังหาตัวศาสตราจารย์ก๊อนท์ไม่เจออีกหรือ”
“ก็ยังน่ะซี” แทมตอบ “แถมเรื่องที่มีมือปราบมารเสียชีวิตก็ยังปิดคดีไม่ได้เลยแน่ะ”
พูดถึงมือปราบมารแล้วทำให้จงอินคิดถึงปาร์คชานยอลกับลูคัส ทิลขึ้นมา สองคนนั้นกอดคอกันสอบเข้ากระทรวงในตำแหน่งที่ขึ้นชื่อว่ายากที่สุด และถึงแม้ว่าเขาจะมีความคิดอยากเจริญรอยตามบ้าง แต่ดูจากผลสอบวพรส.วิชาปรุงยาแล้วคงเป็นไปได้ยากพอดู ไม่รู้ป่านนี้ชานยอลจะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วความโกรธที่จงอินไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรนั่นจะทุเลาลงบ้างหรือยัง
“ได้ข่าวว่ายังมีคนเสียชีวิตแล้วก็บาดเจ็บเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ เลย” ในสถานะลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าหน้าที่ในกองบังคับควบคุมกฎหมายเวทมนตร์แล้ว คีย์มักจะมีข่าวเชิงลึกเชิงลับมาเล่าสู่กันฟังอยู่เสมอ “พวกนายจำเหตุจลาจลของกลุ่มผู้วิเศษหัวรุนแรงเมื่อสี่ปีก่อนได้หรือเปล่า”
“จำได้ซี”
“พ่อฉันบอกว่ามันอาจจะมีอะไรเกี่ยวข้องกัน ตอนนี้ในกระทรวงเริ่มลือกันหนาหูว่าจอมมารยังไม่ตาย”
“อะไรนะ!” แทมร้องขึ้น ก่อนจะรีบเอามือปิดปากเพราะถูกคนอื่นๆ บนทางเดินพากันหันมามอง “แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน พวกเขากำจัดจอมมารได้ตั้งแต่สมัยที่เรายังเด็กๆ แล้วนี่”
“นี่แน่ะ เพราะอย่างนี้ไงถึงได้บอกว่าฉันน่ะมันข่าวเชิงลึก -- ก็บรรดาคนที่ก่อเหตุจลาจลในตอนนั้น เห็นว่าเป็นอดีตผู้เสพความตายเกินกว่าครึ่ง”
จงอินได้แต่ฟังเพื่อนทั้งสองโต้เถียงกันโดยปล่อยให้เขาเป็นส่วนเกินอยู่ริมซ้าย พ่อแม่ของเขาเองก็ทำงานอยู่ในกระทรวงเวทมนตร์ ที่ถึงแม้จะอยู่ฝ่ายการทูต แต่จงอินก็พอได้ยินเรื่องเล่าตื้นลึกหนาบางที่เคยครึกโครมเมื่อสิบปีก่อนอยู่บ้าง ตอนนั้นโลกเวทมนตร์ตกอยู่ในสถานการณ์อกสั่นขวัญแขวนเนื่องจากพ่อมดผู้ชั่วร้ายและทรงอำนาจที่ยกตนเองขึ้นเป็นผู้นำในการก่อปฏิวัติ ทัศนคติว่าพ่อมดแม่มดควรจะอยู่เหนือมักเกิ้ลทำให้สังคมแตกแยกและเริ่มแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายที่ปวารณาตนเป็นสาวกของจอมมารถูกเรียกว่าผู้เสพความตาย ส่วนฝ่ายที่ยืนหยัดต่อสู้อย่างสุดกำลังจนสามารถปราบกลุ่มผู้วิเศษชั่วร้ายลงได้ก็คือกระทรวงเวทมนตร์และอาจารย์ใหญ่ของฮอกวอตส์นั่นเอง
ตั้งแต่เรียนที่นี่มาเกือบหกปี คิมจงอินเคยเจออาจารย์ใหญ่ในจำนวนที่นับครั้งได้ อย่าว่าแต่การบังเอิญเดินเจอเฉยๆ เลย แค่ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในวันเปิดภาคเรียนยังเอาแต่มาๆ หายๆ ด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่แล้วจึงเป็นศาสตราจารย์มักกอนนากับที่ทำหน้าที่เหล่านั้นแทน อยากรู้เหมือนกันว่าในทำเนียบอาจารย์ใหญ่ของฮอกวอตส์ทั้งยี่สิบแปดคน จะมีใครลึกลับได้เท่า ศาสตราจารย์คลินตัน เดอนีโร อีกหรือไม่
ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีได้ไม่ทันไร สายตาก็หันไปเห็นคนที่กำลังเดินตรงมาจนเผลอชะงักไปเล็กน้อย โอเซฮุนและกลุ่มนักเรียนบ้านสลิธีรินอีกสามถึงสี่คนกำลังเดินหัวเราะมาด้วยกันด้วยเรื่องตลกชวนหัว ก่อนหน้าที่เอดิสัน หวงจะทำตัวปากมากและพ่นคำพูดน่าปวดหัวออกมาให้หงุดหงิดใจ จงอินก็เลือกเดินผ่านนักเรียนบ้านคู่อริไปทั้งๆ อย่างนั้น ไม่มีเหตุผลให้เขาต้องถูกตัดคะแนนการเข้าเรียนสายเพราะมัวทะเลาะเบาะแว้งอย่างไร้สาระอีก
แต่ดูเหมือนใครบางคนจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านเลยไปโดยง่าย ในจังหวะที่สวนกันนั่นเอง มือของเขากลับถูกเกี่ยวจับเอาไว้หลวมๆ จากปลายนิ้วของใครอีกคน เสียงหัวเราะของเจ้าชายบ้านสลิธีรินยังคงดังอยู่ข้างหู อาจเป็นเพราะแทมและคีย์กำลังถกเถียงกันอย่างออกรสก็ได้ จึงไม่ทันสนใจว่าเพื่อนจอมสร้างเรื่องคนนี้กำลังทำตัวสงบเสงี่ยมกว่าเคย
เด็กนักเรียนทั้งสองบ้านเดินห่างจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทิ้งไว้เพียงสัมผัสอุ่นๆ ที่มือถึงแม้จะไม่ได้สบตากันเลยสักนิดเดียว
“เฮ้ คิมจงอิน นายไม่สบายหรือไง”
ในที่สุดแทมก็หันมาสนใจเขาได้ผิดจังหวะเวลา จงอินเลิกคิ้วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แปลกใจว่าทำไมเพื่อนถึงทักเช่นนั้น
“หน้าของนายตอนนี้มันแดงมากเลยน่ะซี”
ครั้งล่าสุดที่มายังป่าต้องห้าม เขามีความทรงจำที่ไม่ดีนัก
คืนนี้ก็เช่นกัน โอเซฮุนจำเป็นต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ พรางกายด้วยชุดคลุมสีดำสนิทขณะลอบเข้าไปในอาณาเขตหวงห้ามอย่างระมัดระวัง ปลายไม้กายสิทธิ์ในมือส่องสว่างเป็นแสงไฟดวงเล็กๆ ด้วยคาถาลูมอส ตาสีเข้มมองสาดส่องไปโดยรอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครพบเห็นการกระทำของตน เมื่อนั้นชายหนุ่มจึงเริ่มออกเดินโดยมีจุดมุ่งหมายเพียงอย่างเดียว
เพราะการค้นหาสิ่งของที่จอมมารต้องการดำเนินได้อย่างล่าช้า ไม่มีใครรู้ว่าศาสตราจารย์เพเนโลปี ก๊อนท์ซ่อนของสิ่งนั้นเอาไว้ที่ห้องใดในห้องต้องประสงค์ ล่าสุดเซฮุนใช้เวลาเกือบทั้งคืนไปกับการค้นห้องเก็บของที่ผู้คนในทุกยุคทุกสมัยของฮอกวอตส์จะนำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการทิ้งเอาไว้ มันเป็นห้องซึ่งมีขนาดเทียบเท่าสนามควิดดิช เต็มไปด้วยขยะกองพะเนินจนเหมือนภูเขาขนาดย่อมหลายสิบลูก หากคุ้ยหาอย่างไม่ระวังก็อาจถูกของเหล่านั้นล้มลงมาทับได้โดยง่าย ถึงแม้เจ้าจิ้งจอกน้อยคอยออกตัวว่าจะช่วยหา แต่เขากลับไม่ไว้ใจเตนล์มากพอๆ กับที่พ่อบังเกิดเกล้าไม่เคยไว้ใจทริสตัน เลวิธาน
ตั้งแต่ที่ได้รู้ว่าวิลลิส โอคือผู้เสพความตายชั้นหนึ่งผู้ภักดีกับจอมมารมามากกว่าสิบปี เขาก็มีแต่จะยิ่งรู้สึกตกต่ำ ด้อยค่า และเห็นแสงอนาคตอันรุ่งโรจน์ดับมอดลงไปต่อหน้าต่อตา ความฝันที่จะได้ทำงานกระทรวงอย่างนั้นหรือ ขับเคลื่อนสังคมผู้วิเศษด้วยความรู้ความสามารถอย่างนั้นหรือ มันไม่มีค่าอะไรอีกต่อไปแล้วเมื่อชะตากรรมของเขาคงไม่พ้นต้องเป็นเบี้ยล่างใต้อาณัติดำมืด ฮอกวอตส์คืออิสระสุดท้ายที่โอเซฮุนเหลือโอกาสจะได้รับ หากเวลาแห่งการเป็นเจ้าชายสลิธีรินกำลังนับถอยหลังเข้าทุกที อาจจะอีกหนึ่งปี ครึ่งปี หรือหนึ่งเดือนหลังจากนี้ก็ได้ อย่างไรความเปลี่ยนแปลงต้องมาถึงอย่างแน่นอน
และถ้าถึงตอนนั้น...
“น็อกซ์”
ชายหนุ่มชะงักฝีเท้า ดับแสงไฟที่ปลายไม้กายสิทธิ์ก่อนจะค่อยย่างก้าวเข้าไปยังต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าอย่างเชื่องช้า ที่นั่นมียูนิคอร์นตัวหนึ่งกำลังเล็มใบไม้จากต้น ขนของมันเป็นสีเงินยวงส่องประกายแม้ในความมืด อีกทั้งเขาแหลมที่ยื่นออกตรงกลางหน้าผากก็ยังขาวนวลยิ่งกว่างาช้างมากมูลค่าชิ้นใดในโลกมักเกิ้ล เห็นดังนั้นเขาจึงสูดลมหายใจลึก ค่อยๆ วางมือลงบนตัวของสัตว์วิเศษซึ่งขึ้นชื่อว่าบริสุทธิ์และหายากเป็นลำดับต้นๆ
แกนกลางไม้กายสิทธิ์ของเขาก็เป็นขนยูนิคอร์น ดังนั้นจึงทำใจจัดการภารกิจที่รับมาให้เสร็จสิ้นได้ลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันยอมอยู่นิ่งให้ลูบขนอย่างว่าง่าย
“ขอโทษนะ”
เซฮุนเก็บไม้กายสิทธิ์ไว้ในเสื้อคลุมและหยิบมีดสั้นสีเงินวาวออกมาแทนที่ จากนั้นจึงปาดคมมีดลงบนคอของเจ้าสัตว์วิเศษจนเห็นเลือดสีเงินพุ่งกระฉูดออกมาเปรอะเสื้อคลุม ยูนิคอร์นล้มลงกองกับพื้นด้วยลมหายใจที่รวยริน ปล่อยให้เขานำกระบอกเก็บของเหลวมารองเอาเลือดสีเงินไปจนเต็มภาชนะ
เมื่อได้เลือดตามที่ต้องการแล้วโอเซฮุนก็รีบจัดแจงยาที่เตรียมมาก่อนจะร่ายคาถาเอพิสกี้ใส่ปากแผล ทว่ามันกลับไม่ได้ช่วยรักษายูนิคอร์นมากเท่าไรนัก ที่เขาทำได้จึงมีเพียงแค่การห้ามเลือดและใช้ยารักษาบาดแผลจากผลการเรียนวิชาปรุงยาระดับดีเยี่ยม หวังว่าเจ้าสัตว์วิเศษโชคร้ายตัวนี้จะไม่ถึงแก่ความตายเพราะเสียเลือด
เขาเก็บกระบอกเลือดไว้ในเสื้อคลุมแล้วตัดใจจากมาเพราะไม่ควรเสียเวลาอยู่ในนี้นานนัก เป็นที่รู้กันว่าป่าต้องห้ามคือสถานที่อันตราย หากทำการใดโดยไม่ระวังอาจไม่เหลือรอดกลับไปแม้แต่โครงกระดูก
ยังไม่ทันจะใช้คาถาลูมอสเพื่อสร้างแสงไฟนำทางอีกทั้ง เซฮุนก็จำต้องหยุดเดิน หูได้ยินเสียงสวบสาบดังขึ้นใกล้ๆ เมื่อลองเงี่ยหูฟังให้ชัดก็แน่ใจว่ามีสิ่งมีชีวิตกำลังเคลื่อนไหวมากกว่าหนึ่งแน่นอน หากเป็นเธสตรอลหรือฮิปโปกริฟฟ์ก็นับว่าโชคดีไป แต่หากเป็นพวกเซนทอร์ดุร้ายหรือแม้แต่สัตว์วิเศษระดับอันตรายอื่นใดแล้วละก็ ผลลัพธ์คงจะออกมาไม่สวยนัก
หากสิ่งนั้นก็ปรากฏออกมาให้เห็นด้วยการพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ เขาเผลอผงะถอยโดยอัตโนมัติหลังเห็นว่าเป็นงูสีขาวเผือกซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่เท่าแขน ลำตัวของมันยาวเหยียดอีกทั้งยังชูคอขึ้นขู่ฟ่อ หากแต่โชคดีที่โอเซฮุนไม่ใช่ศัตรูที่มันให้ความสนใจในตอนนี้ แต่เป็นเจ้าแมงมุมอะโครแมนทูล่าขนาดพอๆ กับลูกสุนัขขนาดเล็ก ขนสีน้ำตาลหยุบหยับน่าขยะแขยงและเต็มไปด้วยพิษร้าย
เป็นอันรู้กันดีว่างูกับแมงมุมนั้นถือเป็นสัตว์ปฏิปักษ์แต่ไหนแต่ไร ผู้ชนะจะมีสิทธิ์จับอีกฝั่งกินเป็นอาหาร และดูท่าเจ้างูเผือกก็กำลังอยู่ในสถานะเสียเปรียบเพราะเอาแต่ตั้งรับ อะโครแมนทูล่าคือแมงมุมพิษในป่าต้องห้ามซึ่งขึ้นชื่อว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง นับว่าเป็นโชคร้ายของเขาด้วยก็ว่าได้ เพราะหลังจากจัดการเจ้างูสีขาวเสร็จ มันคงจะเห็นโอเซฮุนเป็นเหยื่ออันโอชะอีกหนึ่งชีวิตอย่างแน่นอน
ปกติแมงมุมอะโครแมนทูล่าจะอาศัยอยู่รวมกันในถ้ำซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของป่า แต่งูตัวนี้คงบังเอิญไปเจอกับแมงมุมหิวโซที่กำลังออกล่าเหยื่อเสียกระมัง
อย่างไรแล้วสัญลักษณ์ของบ้านสลิธีรินก็เป็นงู เมื่อเห็นแมงมุมกระโจนใส่เหยื่อ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอาใจช่วยให้งูขาวเป็นฝ่ายคว้าชัย สำหรับเซฮุนแล้วงูเป็นสัตว์ที่รับมือได้ง่ายกว่าแมงมุมมาก แล้วงูตัวนี้ก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่อะไร ถึงอย่างนั้นการเลือกจัดการเจ้าสัตว์ร้ายให้สิ้นซากทั้งคู่คงปลอดภัยต่อชีวิตที่สุด
“คอนฟรินโก”
เขากำลังทำลายชีวิตอีกแล้ว
แมงมุมอะโครแมนทูล่าระเบิดเป็นไฟไปต่อหน้าต่อตา ส่วนงูสีขาวกลับเลื้อยหลบได้หวุดหวิด โอเซฮุนรีบเล็งไม้กายสิทธิ์ไปที่มันแทบจะทันที
ทว่างูสีขาวกลับบิดเบี้ยวและขยายขนาดขึ้นจนชายหนุ่มต้องก้าวถอยหลังด้วยอาการตื่นตระหนก เซฮุนอยากรีบพูดคาถาทำลายเพื่อหยุดยั้งสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ความตกใจก็ทำให้สมองประมวลผลได้ช้ากว่าที่เคย อัศจรรย์ที่งูเผือกขาวซึ่งมีดวงตาสีแดงเมื่อสักครู่นี้กำลังกลายร่างเป็นหญิงสาว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นแอนิเมจัส เพียงแต่ไม่คิดว่าตนเองเกือบจะสังหารแม่มดคนหนึ่งไปจริงๆ เสียแล้ว
“อย่าทำร้ายฉัน!”
“เธอ...” เขาถึงกับพูดไม่ออก งูตัวนั้นกลับกลายเป็นหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีดำยาวที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี หล่อนยังอยู่ในชุดนักเรียนบ้านกริฟฟินดอร์อยู่เลยด้วยซ้ำ “เธอเป็นแอนิเมจัส...?”
ถึงจะอธิบายเหตุการณ์ได้ว่าอย่างนั้น แต่เซฮุนก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดหล่อนถึงได้มาอยู่ในป่าต้องห้ามยามวิกาลเช่นนี้ อีกทั้งยังเห็นเขาซึ่งอยู่ในชุดคลุมสีดำและมีเลือดยูนิคอร์นเปรอะอยู่ตามเนื้อตัว นี่ถือเป็นพยานหลักฐานสำหรับเอาผิดผู้กระทำอาชญากรรมอุกอาจในฮอกวอตส์ได้ง่ายๆ เลยด้วยซ้ำ
หญิงสาวหลุบสายตาหนีไปอีกทาง “ฉัน... ไม่ใช่แอนิเมจัส”
ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ เซฮุนรีบถอดเสื้อคลุมของตนออกและเผามันด้วยคาถาลุกไหม้จนไม่เหลือซากหลักฐาน ไม่รู้ว่าระหว่างความลับที่เขาลักลอบทำร้ายยูนิคอร์นในป่าต้องห้ามกับเรื่องที่ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนร่างเป็นงูได้ อย่างไหนจะน่าตื่นตกใจมากกว่ากัน
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...”
หากไม่ใช่แอนิเมจัสแล้ว ความเป็นไปได้คงเหลือเพียงหนึ่งเดียว – ถึงแม้จะเป็นความเป็นไปได้ที่หาได้ยากยิ่งในโลกผู้วิเศษก็ตามที
“เธอคือมาเลดิกตัสสินะ... คริสตัล จอง”
“หวา ไม่อยากจะเชื่อ”
หนึ่งสัปดาห์ก่อนวันปิดเทอมคริสต์มาส คีย์ทิ้งตัวลงที่โซฟาห้องนั่งเล่นบ้านกริฟฟินดอร์ขณะร่วมกระจายข่าวใหญ่ให้เพื่อนสนิททั้งสองได้รับรู้ บางครั้งหมอนี่ก็ชอบตื่นเต้นกับข่าวลือเหมือนพวกผู้หญิง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้คนไม่สนซ้ายสนขวาอย่างคิมจงอินมีโอกาสได้ตามทันทอล์กออฟเดอะฮอกวอตส์จนฟังคนอื่นๆ รู้เรื่องขึ้นมาบ้าง
คราวที่แล้วเป็นเรื่องยูนิคอร์นในป่าต้องห้ามได้รับบาดเจ็บ คราวนี้จะเป็นเรื่องอะไรอีก
“คริสตัลคงเลิกกับเจสันจริงๆ แล้ว”
“หา เรื่องนี้พูดกันทั่วตั้งแต่ก่อนแข่งควิดดิชอีกไม่ใช่หรือ” แทมค้าน
จงอินจำได้ว่าเจสันคือเด็กนักเรียนจากบ้านเรเวนคลอที่ริอาจใจกล้ามาจีบคู่เต้นรำของเขาในงานเลี้ยงคริสต์มาสเมื่อปีที่แล้ว ความทรงจำที่ละเอียดยิ่งกว่านั้นก็คือมุกจีบของหมอนั่นค่อนข้างห่วยมาก ห่วยจนไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างคริสตัล จองจะหลวมตัวไปคบด้วยอยู่นานสองนาน แน่นอนว่าเรื่องนั้นสร้างความหงุดหงิดให้ซีกเกอร์มือหนึ่งของบ้านสิงโตที่เพียรรดน้ำต้นรักกับเธอมาตั้งแต่ตอนปีสาม และถึงแม้ตะไม่ใช่ความลุ่มหลงที่จริงจังนัก แต่จงอินก็ยังนึกหวงก้างอยู่เป็นครั้งคราวเพราะเธอทำให้เขากลายเป็นคนถูกหักอกไปโดยปริยาย
“แต่คราวนี้น่ะจริงแท้แน่นอน!” คีย์ตบเข่าดังฉาด “เพราะคู่เต้นรำที่เธอจะออกงานด้วยครั้งนี้ถึงกับดีกว่าหมอนั่นเป็นสิบเท่า”
“เฮ้ เพลาๆ หน่อยเถอะ ยังไงจงอินของเราก็ยังนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคนนา” แทมหัวเราะพลางถองศอกใส่เขาซึ่งไม่แม้แต่จะต้องใช้ความพยายามในการทำหน้าเบื่อโลก ขนาดไปฮอกส์มี้ดกับเธอสักครั้งเขายังไม่เคยเลย “แล้วหนุ่มคนใหม่ที่ว่านั่นใครล่ะ”
“โอเซฮุนน่ะซี” คีย์โอดครวญ “โธ่หมอนั่น ทั้งเซเลน่าทั้งคริสตัล มันจะมากเกินไปแล้ว”
และข่าวของคีย์ก็ถูกยืนยันเมื่อเขาเห็นโอเซฮุนและคริสตัลพากันเดินควงเข้ามาในงานเลี้ยงเต้นรำจริงๆ หญิงสาวที่เคยครองใจเขาบัดนี้อยู่ในชุดสีแดงเลื่อมเปิดไหล่ ชายกระโปรงหางปลายาวกรอมพื้นจนผู้ชายหลายต่อหลายคนพากันจับจ้อง ส่วนเซเลน่า โกเมซที่คาดกันว่าจะเป็นคู่เต้นรำของโอเซฮุนกลับปรากฏตัวขึ้นพร้อมเชสเซอร์สุดหล่ออีกคนจากบ้านสลิธีริน ถือเป็นการเปิดฉากงานเต้นรำประจำปีที่สร้างเสียงฮือฮาให้เหล่านักเรียนได้ไม่น้อย
ครั้งนี้คิมจงอินออกงานคู่กับโจลี่ แมคมิลลัน เพื่อนร่วมรุ่นในบ้านกริฟฟินดอร์ที่ดูสวยไม่หยอกเมื่อเธอลองยืดผมจนตรงและสวมชุดเดรสสั่งตัดจากร้านมาดามแม็กซี ทั้งคู่ตกลงกันว่าจะตัวติดกันแค่ช่วงเปิดงานเปิดงานเท่านั้น หล่อนยินดีที่ได้ควงคู่กัปตันของบ้าน ส่วนจงอินกลับคิดแค่ทำตามธรรมเนียมเท่านั้น
หากเป็นเมื่อก่อนคงจะคิดว่าที่ตนเองหมดสนุกแบบนี้เป็นเพราะคริสตัล จองเลือกผู้ชายคนอื่นเป็นคู่เต้นรำ แต่คิมจงอินคงโตขึ้นมากแล้วกระมัง เขาถึงรู้ตัวว่าไม่ได้สนใจหล่อนเท่าที่ควรนับตั้งแต่ที่เริ่มวุ่นวายใจเรื่องอดีตกัปตัน และยิ่งเมื่อคริสตัลตกลงคบหากับเจสัน นานวันเข้าจงอินจึงแทบจำความรู้สึกยามที่กำลังหลงรักใครสักคนไม่ได้แล้ว
เขาตกอยู่ในวงล้อมของการเต้นรำด้วยการเร้าของโจลี่ คู่เต้นรำถูกสลับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนบังเอิญมาถึงคริสตัล จองราวกับเป็นตลกร้ายชั้นยอด
“ไง” คริสตัลเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา
“ไง” จงอินยิ้มรับ พยายามรักษาฟอร์มของตนด้วยการไม่ก้าวเท้าผิดซ้ำรอยปีที่แล้ว “เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะ”
“แน่ล่ะ ในเมื่อเธอลงเรียนแค่ไม่กี่วิชาเองนี่”
เลยออกไปทางด้านหลังก็คือโอเซฮุนที่กำลังเต้นรำอยู่กับเซเลน่า หล่อนทำกระเง้ากระงอดใส่อดีตคู่เต้นรำเก่า แต่เจ้าชายแห่งสลิธีรินกลับทำแค่หัวเราะแล้วปล่อยให้ถูกตีไหล่เบาๆ อย่างสนิทสนมเท่านั้น
“ว้าว คิมจงอิน เธอเต้นดีกว่าปีที่แล้วมากเลย”
“ฉันอายมากนะที่เผลอไปเหยียบเท้าเธอเข้า” ชายหนุ่มว่า ตอนนั้นคนตรงหน้าทำเหมือนอยากจะตบเขาเต็มแก่ ซึ่งก็ขอขอบคุณย้อนหลังที่คริสตัลไม่ได้ทำมัน “แล้ว... อีท่าไหนเธอถึงออกงานคู่กับหมอนั่นได้ ฉันเคยต้องพยายามแทบตายเพื่อให้ได้เธอเป็นคู่เต้นรำแท้ๆ”
“เซฮุนน่ะหรือ” ได้ยินดังนั้นคริสตัลก็หัวเราะเบาๆ การที่หล่อนเรียกคนคนนั้นด้วยชื่อเฉยๆ ทำให้รู้สึกถึงความสนิทสนมได้ในระดับหนึ่ง “ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรอก แค่บังเอิญได้คุยกันเมื่อไม่นานมานี้น่ะ”
น่าแปลกที่คนหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างคริสตัลจะยอมเป็นคู่ให้คนที่เพิ่งคุยกันได้ง่ายๆ อาจเป็นเพราะโอเซฮุนมีภาษีดีกว่าเขามากกระมัง จำได้ว่าตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่ก็ได้ยินใครๆ เรียกหมอนั่นว่าเจ้าชายจากหนึ่งในตระกูลศักดิ์สิทธิ์ทั้งยี่สิบแปด และถึงจะเห็นเป็นศัตรูตัวฉกาจ แต่จงอินก็ไม่อาจปฏิเสธความโดดเด่นเหล่านั้นได้อยู่ดี
“ก่อนเรียนจบจะไม่ไปเที่ยวฮอกส์มี้ดกับฉันสักครั้งจริงๆ หรือ” เขาหยั่งเชิงถาม ส่วนคนฟังเลิกคิ้วแปลกใจ
“ถ้าเธอยอมตื๊ออีกสักหน่อย ฉันอาจจะยอมใจอ่อนก็ได้”
“อย่าพูดอย่างนี้ทั้งที่เคยหักอกกันเลยน่า”
“ฉันหักอกเธอหรือ? เธอนั่นแหละจงอิน เธอเต็มๆ เลย” หล่อนค้อนใส่ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน “แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันชอบใครไม่ลงแล้วล่ะ”
คำพูดนั้นฟังดูแปลกพิกล แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยถามอะไร การสลับคู่เต้นรำก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
หิมะแรกโปรยปรายลงมาแล้ว น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ต่างกำลังสนุกอยู่กับงานรื่นเริงจนพลาดที่จะได้เห็นความสวยงามในตอนนี้ บานหน้าต่างเดียวกับที่เขาเคยหยุดมองท้องฟ้าเมื่อปีที่แล้ว ต่างกันที่ไม่มีปาร์คชานยอลยืนทำสีหน้าเจ็บปวดให้เห็นอีก และหากจะบอกว่าใจเขาสงบลงผิดจากตนเองคนเดิม จงอินก็ไม่คิดเช่นนั้นอยู่ดี
มีหลายสิ่งหลายอย่างก่อกวนจิตใจของเขามาตลอดหนึ่งปีซ้ำยังทับถมกันมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่อดีตกัปตันที่ขาดการติดต่ออย่างสิ้นเชิงไปจนถึงเจ้าชายจากบ้านสลิธีรินที่ทำให้ต้องว้าวุ่นใจไม่หยุด จนถึงตอนนี้ยังไม่มีสักครั้งที่จงอินจะรู้สึกว่าตนเองสามารถรับมือสายตาและสัมผัสที่คนคนนั้นจงใจมอบให้ เขาไม่สามารถทำตัวเป็นปกติได้ เช่นเดียวกับการเล่นบทคู่ปรับตัวฉกาจเพียงข้างเดียวต่อไป คิมจงอินก็ทำไม่ได้อีกเหมือนกัน
“มาอยู่ที่นี่เอง”
หัวใจเขากระตุกวูบ หันไปมองเจ้าของเสียงทุ้มต่ำในชุดทักซิโดสีดำที่โผล่เข้ามาแบบไม่ให้รู้ตัว จงอินแทบไม่ได้เจอผู้ชายคนนี้มาหนึ่งสัปดาห์กว่า จะว่าโล่งหูโล่งตาสบายใจก็คงไม่ผิดนัก
“อะไรอีก” เขาเบือนหน้าหนี ขยับท่านั่งจนแทบจะฝังลงกับขอบหน้าต่างอยู่รอมร่อ
แล้วโอเซฮุนก็ขยับเข้ามาใกล้ชิด เท้ามือสองข้างกับขอบหน้าต่างอย่างกับภาพที่เพิงโหยหวนถูกฉายซ้ำ “ระหว่างเราจะต้องมีอะไรด้วยหรือไง”
“เคราเมอร์ลิน ระหว่างเราอะไรกัน อย่ามาพูดจาชวนอ้วกดีกว่า”
“ไม่เอาน่า นายดูเหมือนกำลังงอนเลยนี่นา” อีกฝ่ายถือวิสาสะจูบขมับเขาอย่างเอาแต่ใจ จงอินถึงกับขยับตัวลุกขึ้นพรวด พออ้าปากจะด่ากลับถูกจ้องด้วยดวงตาพราวระยับ ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ “...หรือว่าหึง?”
“ไม่มีทาง!” เขาสวนทันควัน “อย่าคิดว่าจะทำอะไรก็ได้ไปหน่อยเลย แล้วก็อย่าทำเหมือนฉันกับนายสนิทกันอย่างนี้ด้วย”
เซฮุนเลิกคิ้ว “ฉันไม่ได้ทำแบบนี้กับคนสนิทสักหน่อย”
“...”
“แน่นอนว่านายพิเศษกว่านั้น จงอิน”
ไม่ใช่คำว่าที่รักซึ่งมีไว้กวนประสาท ไม่ใช่จูบแย่ๆ ที่รังแต่จะฉกฉวยกันตอนทีเผลอ แต่คนเจ้าเล่ห์ยามนี้มีแต่จะพาตัวเข้ามาชิดใกล้ กะเทาะเปลือกของความรู้สึกที่แข็งกระด้างออกทีละน้อย แล้วตลบหลังจนเขาพูดไม่ออกด้วยความทรงจำนับตั้งแต่ที่ได้ใช้ปากกาขนนกแท่งนั้น จงอินจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ายิ้มกว้างที่ตนเองเคยมอบให้คนตรงหน้ามันเป็นอย่างไร จำไม่ได้แม้กระทั่งว่าเขาเคยใจกล้าขอยืมของจากเด็กนักเรียนในชุดสลิธีรินที่ไม่เคยรู้จักมักจี่เป็นการส่วนตัวมาก่อนคนนั้น
เซฮุนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ทอดสายตามองหิมะในคืนแรกของปีด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาดที่แสดงให้เห็นบ่อยเหลือเกินในช่วงหลังมานี้
“คิมจงอิน”
หลังจากเงียบไปนานสองนาน อีกฝ่ายก็เรียกชื่อเขา
“เรื่องเมื่อตอนนั้น... ขอโทษนะ”
“...” จงอินกะพริบตาปริบ เรื่องที่เขาควรได้รับคำขอโทษมีเยอะเสียจนไม่รู้ว่าเป็นเรื่องไหนแล้ว
“ที่ฉันพูดจาแย่ๆ ใส่นาย พาไปที่ห้องน้ำพรีเฟ็ค แล้วก็ --”
รู้ตัวอีกทีก็ยกมือขึ้นปิดปากคนตรงหน้าเสียแล้ว เสียงหัวใจที่เริ่มสงบลงกลับมาเต้นรุนแรงขึ้น รวมถึงใบหน้าก็แดงก่ำด้วยความไม่พอใจเมื่อต้องนึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่ถูกกระทำหยามเหยียดศักดิ์ศรีจนไม่อาจให้อภัยได้ เขาจงอินไม่อยากฟัง แล้วก็ไม่คิดว่าโอเซฮุนจะกล้าพูดมันออกมาหน้าตาเฉยด้วย
คราวนี้เป็นเซฮุนที่กะพริบตาปริบ รีบคว้ามือของเขาเอาไว้ก่อนทันได้ชักกลับ ต่อให้ออกแรงเพื่อหวังจะหลุดจากพันธนาการของอีกฝ่ายหลังจากนั้น จงอินก็พบว่าสายไปเสียแล้ว กัปตันทีมบ้านสลิธีรินกุมมือของเขาเอาไว้แนบแน่น แน่นเสียจนไม่แน่ใจว่าต่อให้ตัดสินใจกระชากกลับเสียเดี๋ยวนี้ โอเซฮุนจะยอมปล่อยมันไปหรือไม่
“อยู่อย่างนี้สักพักเถอะ”
“จะบ้าหรือไง ถ้าหากมีใครมาเห็น --”
จงอินชะงัก อยากตบปากตนเองนักที่หลุดพูดแบบนั้นออกไปแทนที่จะเป็นคำก่นด่าเจ็บๆ แสบๆ อย่างที่ทำมาตลอด เขาลำดับเรียบเรียงความคิดเสียใหม่ ต่อให้จะไม่มีใครมาเห็น แต่ก็ใช่ว่าที่หมอนี่ทำอยู่คือสิ่งสมควรเสียเมื่อไร
“ปล่อยมือฉัน”
“เรื่องขัดใจนายเนี่ย ฉันไม่แพ้ใครอยู่แล้ว” หนุ่มบ้านงูขยิบตากวนประสาท พอเจออย่างนี้เขาก็ชักอยากจะใช้กำลังแก้ปัญหาขึ้นมาจริงๆ แล้ว “ปีหน้าจะได้ดูหิมะท่ามกลางบรรยากาศดีๆ แบบนี้อีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ว่าง่ายหน่อยเถอะน่าที่รัก”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่ที่รักของนาย” เขาเถียงเสียงแข็ง ส่วนเซฮุนกลับหัวเราะ
“จะยอมให้นายทบทวนตัวเองอีกทีก่อนปฏิเสธ”
“...” อีกแล้วที่โอเซฮุนทำให้เขาพูดไม่ออก เพราะไม่ว่าจะพูดจาอะไรออกไปก็เหมือนถูกโยงเข้าตัวเสียหมด “ฉันไม่เข้าใจ”
มือที่ถูกจับไว้ค่อยๆ ลดลงต่ำจนกลายเป็นวางซ้อนกันอยู่บนขอบหน้าต่าง ลมหนาวยังคงพัดพามาพร้อมกับละอองหิมะซึ่งไม่มีทีท่าจะว่าจะหยุด ไม่ว่าจะลานชั้นล่างที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวหรือเสียงดนตรีที่ดังแว่วมาจากห้องโถงก็ดี ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลให้ความรู้สึกของเขาบิดเบือนไปในทิศทางแปลกประหลาดทั้งสิ้น
“ทั้งที่แน่ใจว่าเราต่างก็เกลียดขี้หน้ากันแท้ๆ ทำไมถึงกลายเป็นนายชอบฉันไปเสียได้ -- แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเลิกเกลียดนายหรอกนะ”
ใช่ เขาไม่มีทางเลิกเกลียดโอเซฮุนได้หรอก
“อย่างนั้นก็ตามใจนายเถอะ” กับคนร้ายกาจพรรค์นี้แล้ว “มีแค่ฉันที่เห็นสีหน้าของนายในตอนนี้ก็พอแล้ว คิมจงอิน”
ขืนยอมรับว่าหวั่นไหว ก็มีแต่จะหาเรื่องเจ็บช้ำน้ำใจมาให้ตนเองในอนาคตเท่านั้น แค่เผลอไผลไปกับคำประโลมโลกและนัยน์ตาหวานซึ้งเป็นครั้งคราว แต่ใช่ว่าคนอย่างคิมจงอินจะเผลอใจได้โดยง่ายเสียเมื่อไร
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย
ว่าเขา... อาจจะชอบโอเซฮุนเข้าให้แล้ว
-------------------------------------------
ตื่นเต้นกับเรื่องนากินีมากๆ ดังนั้น..... 55555555555555
คิดถึงปาร์คชานยอลเหรอคะ! ได้! ตอนหน้าเจอกัน!
ปล. เกี่ยวกับเรื่องอาจารย์ใหญ่ในเรื่อง ขออนุญาตใช้เป็นตัวละครใหม่
ไทม์ไลน์ในเรื่องก็เป็นไทม์ไลน์ของจักรวาลใหม่ทั้งหมดเลยนะคะ
เพื่อจะได้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับเนื้อหาจริงๆ ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ค่ะ
ชอบไม่ชอบยังไง คอมเมนท์หรือติดแท็กเป็นกำลังใจให้กันได้ที่ #เรดสนิช ค่ะ
ความคิดเห็น