ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) HUMAN FARM | CHANBAEK SEKAI

    ลำดับตอนที่ #1 : 00 | Prologue

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 58


    M

     

     

     

     

     

     

    PROLOGUE

    HUMAN FARM

    HUMAN NEVER PREVAIL OVER EATMAN

    - OHARHA -

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เขาอยู่ในชุดผ้าฝ้ายเก่าซอมซ่อที่ตัดเย็บโดยมารดาเมื่อหกปีก่อน มันทั้งเต่อ คับ ชวนให้ขยับตัวไม่สะดวกเอาเสียเลย ร่างผอมสูงนั่งห่อไหล่และยกเท้าวางบนแผ่นไม้เดียวกับที่ก้นนั่ง เข่าสองข้างชันขึ้นจนเกือบติดปลายคางกลมมน ดวงตาคมปลาบปราดมองผู้คนในลานกว้างร้องรำทำเพลงด้วยเพลงเดิมๆที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น ปากเผลอพึมพำขยับตามเพราะได้ยินมันตั้งแต่รู้ประสา จากนั้นจึงยิ้มออกมาเมื่อหนึ่งในวงรื่นเริงนั้นหันมาส่งยิ้มหวานก่อนจะสะบัดชายกระโปรงไปมาด้วยท่าที่เจ้าตัวมั่นใจว่าสวยงามเป็นที่สุด

     

     

    มือใหญ่หยิบแก้วดินเผาข้างตัวขึ้นมาจดจ่อน้ำสีแดงเข้มข้างในนั้น เมื่อต้องแสงไฟวิบวาบเรืองๆแล้วก็แทบแยกวัตถุดิบของมันไม่ออกว่าเป็นองุ่นหรือทับทิม บางที การชิมคงให้คำตอบเขาได้ดีที่สุด รสหวานอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล่นวาบผ่านปลายลิ้นและลื่นลงสู่ลำคอ อีกแวบหนึ่ง ชายหนุ่มรำพึงใจขึ้นมาว่าจะมีน้ำองุ่นจากสวนใดอีกที่อร่อยชุ่มคอได้เท่าสวนของอนยู

     

     

    “ทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ไปร่วมฉลองเสียหน่อยล่ะ”

     

     

    “โชรง” เขาเรียกชื่อเธอราวกับกลัวจะลืมถ้าถึงวันพรุ่งนี้ โชรงเป็นหญิงสาวที่งดงามเป็นอันดับต้นๆของหมู่บ้าน กระนั้น คนคิดก็ไม่แน่ใจนักว่าเกณฑ์ของความสวยนั้นวัดจากอะไร อาจเป็นผิวพรรณที่เปล่งปลั่งและหุ่นอรชรอ้อนแอ้นใต้ชายกระโปรงนั้น หรือจะเป็นสะโพกที่เริ่มผายออกเมื่อไม่กี่ปีก่อนและน้ำนวลซึ่งขับพวงแก้มของเธอให้แดงเรื่อเหมือนถูกแต้มด้วยผลไม้บนยอดต้นตลอดเวลา แต่อะไรก็ช่าง

     

     

    “ดูสิ ทุกคนครื้นเครงกันใหญ่เลย”

     

     

    “เธอก็จะดีใจเหรอ ถ้าผมได้รับเลือกเหมือนอนยู แทมิน หรือคนอื่นๆ” ถึงตรงนี้ หญิงสาวชะงักไปแล้วจึงขยับตัวเข้ามาใกล้อีกหน่อย มือนั้นวางลงบนหน้าขากางเกง นิ่งรอเพื่อให้มือใหญ่ขยับมากอบกุมทับไว้แนบแน่น “ทั้งที่อาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วอย่างนั้นน่ะหรือ”

     

     

    โชรงช้อนสายตาจากมือขึ้นมองเสี้ยวหน้าของผู้ชายที่เธอรัก เขาเกิดก่อนถึงเกือบสี่ปี นั่นถึงหมายความว่าอาจเป็นปีหน้าหรือปีถัดจากนั้น ที่อีกฝ่ายจะได้รับเลือกเช่นเดียวกับเพื่อนรุ่นราวไล่เลี่ยกันในหมู่บ้าน

     

     

    “ดีใจสิ มันเป็นเรื่องมีเกียรติ และพ่อแม่เธอก็คงจะดีใจเหมือนกันถ้าเธอได้รับเลือกให้ออกไปเผชิญโลกภายนอกนั้น หรือบางทีเราอาจได้ออกไปพร้อมกัน ไม่อย่างนั้นฉันก็จะตามเธอไปให้ไวที่สุด”

     

     

    “....”

     

     

    “อย่ากลัวไปหน่อยเลยน่า แค่เข้าไปตรวจร่างกาย รับศีล ไม่ถึงชั่วโมงเธอก็ออกมาหาฉันแล้ว อย่าคิดถึงเรื่องของคนอื่นเลย” หล่อนดุทั้งรอยยิ้ม ร่างแบบบางลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วจึงเอื้อมมือมาดึงให้คู่รักร่วมเดินไปทางกองไฟด้วยกัน การร้องรำทำเพลงเกิดขึ้นทั้งคืนนั้น บนศีรษะของหนุ่มสาวหลายคนประดับไปด้วยมงกุฏดอกไม้อย่างที่เขาคงจะได้รับมันเช่นกันถ้าถึงเวลา

     

     

    การเลี้ยงฉลองดำเนินจนล่วงเข้ายามสาม ข้าวของระเกะระกะและซากของอาหารที่กินหมดแล้วถูกรับผิดชอบเก็บโดยกลุ่มเด็กหญิงและภรรยาผู้มีน้ำใจจากบ้านที่ยังครบครัวเรือน ส่วนครอบครัวที่มีผู้ได้รับเลือก จะถูกปล่อยให้กลับไปใช้เวลาอยู่ด้วยกันเพื่อพรรณนาถึงความรัก ความรู้สึก การรอคอยที่จะยาวนานไปจนกว่าจะถึงเวลาอันเป็นจุดหมาย

     

     

    ขนมปังอบเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ น้ำองุ่นและทับทิมถูกใช้แทนความเป็นสิริมงคลและน่ายินดีสำหรับความยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้า ในทุกๆเก้าสิบวัน จะมีชายหญิงได้รับเลือกให้เข้าพิธีผลัดถิ่น อันเป็นการส่งคนในหมู่บ้านให้ออกไปใช้ชีวิตยังโลกภายนอกเพื่อเปลี่ยนถ่ายประชากรที่จะเกิดขึ้นมาใหม่ไม่ให้หนาแน่นจนเกินไป ทั้งยังเป็นหลักประกันความแข็งแกร่ง ความพร้อม และพิสูจน์ตนต่อสิ่งศักดิ์ซึ่งเคารพยึดถือ

     

     

    โชรงค่อยๆนั่งลงบนเตียงเพื่อให้เขาปลดอาภรณ์ออกจากร่างทีละชิ้น มือลูบไปตามลวดลายประจำตัวบนหลังคอขาว นานสองปีแล้วกับการเป็นคู่รักอยู่ในบ้านหลังเล็กๆที่ผู้เฒ่าผู้แก่จัดเตรียมเอาไว้ให้โดยอ้างคำสั่งเสียของพ่อแม่ ริมฝีปากอิ่มจรดแนบทรวงอก ไล่ต่ำลงไปจนกระทั่งถึงระหว่างขา แล้วก็ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ อ้อใช่ เขายังไม่ได้ดับตะเกียง

     

     

    ชานยอลสงสัยมาเสมอ แม้กระทั่งยามที่เฝ้ามองแผ่นหลังกว้างของพ่อหายลับเข้าไปในอุโมงค์ศักดิ์สิทธิ์เมื่อสิบปีก่อน ส่วนสี่ปีต่อมาก็ถึงเวลาของแม่ หล่อนใช้เวลาทั้งคืนเพื่อพร่ำบอกว่าภูมิใจในตัวลูกชายถึงเพียงไหน รวมถึงรอวันที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรกับการพบกันอีกครั้ง เธอหยอกว่าเขาคงไม่ต้องตามหาครอบครัวจนสุดขอบโลก พ่อสัญญาจะสร้างบ้านใกล้ๆนี้และทำงานอย่างขมักเขม้นเพื่อให้ชายหนุ่มออกไปวาดรูปหลานให้ดู

     

     

    ถึงอย่างนั้นชานยอลก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว ว่าขนบธรรมเนียมปฏิบัตินี้ แท้จริงมีความหมายใดที่ฟังขึ้นมากไปกว่าการแยกทุกคนออกจากกัน คนที่เคยเห็นหน้าค่อยๆหายไปทีละครึ่งร้อย จากนั้นไม่นานก็มีทารกเกิดขึ้นมาใหม่เป็นโขยง ไม่มีข้อห้ามแย่ๆสำหรับหญิงสองชาย ผู้เฒ่าสอนให้ทุกคนมีความสุขภายใต้หมู่บ้านแห่งนี้ หมู่บ้านที่ถูกล้อมรอบด้วยป่าอาถรรพ์และฝังใจใครก็ตามว่าอย่าได้ย่างกรายเข้าไปถ้ากลัวอาสัญ

     

     

    สำหรับชานยอล ทุกอย่างล้วนเต็มไปด้วยปริศนาทั้งหมดทั้งสิ้น

     

     

    มันไม่มีเคยมีเหตุผล ไม่เคยมีใครสักคนที่กลับมาเพื่อบอกเล่าเกี่ยวกับโลกภายนอกว่ากว้างใหญ่ถึงเพียงใด เด็กๆต่างพากันโม้ถึงความน่ากลัวของสุดขอบโลกว่าคงเป็นโพรงเวิ้งว้างและดำทะมึน จินตนาการท้องฟ้าเป็นโดมกว้างใหญ่ปกคลุมพวกเขาเอาไว้และคอยส่งหยาดฝนลงมาหล่อเลี้ยง ทุกครั้งที่เดินผ่านบ้านไม้ถัดจากนี้ไปห้าหลัง ผู้เฒ่าเก่าแก่ของหมู่บ้านก็จะเอ่ยทักเขาทุกทีถึงเรื่องเจ้าตัวน้อย พร้อมยังพูดติดตลกว่าให้บำรุงโชรงมากๆหน่อย หล่อนทั้งผอมแห้ง แรงน้อย น่ากลัวจะป่วยไข้ง่ายถ้าอากาศหนาวเย็นขึ้นมา

     

     

    ถ้านับเวลาจากเกิดแล้ว โชรงอายุเพียงแค่สิบห้าปี แตกเนื้อสาวเมื่อไม่นานมานี้ ขณะที่ชานยอลเอาแต่ทำงานหนักและขลุกอยู่แต่ในสวนในไร่ เขารู้สึกแปลกแยกเสมอที่ไม่เคยดีใจไปกับค่ำคืนเฉลิงฉลองทุกเก้าสิบวันนั้น ใจมันรังแต่อยากรู้อยากเห็น เฝ้ามองเข้าไปในป่าลึกทุกครั้งเมื่อต้องผ่าน หลายครั้ง ร่างสูงคิดอยากเดินเข้าไปเสี่ยงดูให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าความกลัวกลับกัดกินใจเขาได้เช่นเดียวกับคนอื่นๆในที่นี้เสียแล้ว

     

     

    เท้าใหญ่ขยับขยุกขยิกเมื่อต้องยืนต่อแถวนานนับชั่วโมงภายใต้รองเท้าสานขนาดพอดีกับเมื่อหกปีก่อนแม่จะจากไป ผู้ชายส่วนใหญ่ในแถวนี้ล้วนหน้าตาแช่มชื่น บางคนหวังว่าถ้าตรวจร่างกายผ่านก็จะได้เข้าสู่พิธีผลัดถิ่นไวขึ้น ขอเถอะ ชานยอลขอให้เขาน่ะเป็นไอ้บ้าขี้โรคหรืออะไรสักอย่างเพื่อจะได้อยู่สร้างครอบครัวที่นี่ไปนานๆ คนอื่นไม่ใจหายบ้างเลยหรืออย่างไร

     

     

    อุโมงค์นี้ถูกสร้างด้วยวัตถุดิบแข็งๆที่ไม่มีใครบอกได้ว่ามันคืออะไร ผู้เฒ่าบอกว่ามันจะทอดยาวออกไปจนพ้นแนวป่าอาถรรพ์และทำให้พวกเขาปลอดภัยเพราะคบเพลิงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะคอยปกป้องตลอดทาง เอาจริงๆก็อยากเห็น แต่บอกแล้วอย่างไรว่าเขายังไม่พร้อมแลก

     

     

    การตรวจร่างกายถูกทำโดยชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าหมอ โอ้ อย่างหนึ่งที่หาได้ยากในหมู่บ้านนี้ก็คือชายวัยกลางคน เพราะไม่เกินยี่สิบห้า ต่อให้ตัวอ้วนท้วมหรือผอมกะหร่องก็ไม่เคยมีใครได้อยู่สัมผัสช่วงวัยกลางคนทั้งนั้น น่ากลัวว่าเขาเองก็คงถูกตรวจว่าไม่แข็งแรง เพราะจวบจนอายุสิบแปดแล้วยังไม่ยอมสร้างทายาทออกมาเสียที ซ้ำยังแต่งงานก็ช้ากว่าเพื่อน โชคดีที่คำว่าติดแหงกไม่ได้หยาบคายสำหรับคนฟังอย่างเขานัก อนยูอ่อนกว่าเขาปีหนึ่ง แต่กลับทำคนรักตั้งท้องลูกคนที่สามได้เมื่อเดือนก่อนราวกับว่านี่เป็นการแข่งขัน ทนขยับเท้ายุกยิกอีกไม่นานนัก แถวของเขาก็ได้เคลื่อนเข้าไปอีกหน่อยจึงถึงคิวชานยอลในที่สุด

     

     

    เหลือบตามองคนในความคิดซึ่งแยกเดินไปอีกทางทั้งเสียงบอกลาคนท้ายๆในแถว คนมองส่ายศีรษะเพียงเล็กน้อยแล้วจึงปล่อยให้ตัวเองถูกพาเข้าไปในห้องตรวจโดยชายในชุดแปลกประหลาดสีขาวสองคนทางด้านหน้า พวกเขาถูกเรียกว่าอาลักษณ์ ชานยอลเจอคนพวกนี้มาหกปีแล้ว แต่เพราะไม่มีโอกาสเห็นหน้าจึงไม่รู้ว่าเป็นคนเดิมหรือเปล่า โอ้ใช่ ธรรมเนียมตรวจร่างกายจะเริ่มต้นขึ้นเป็นปกติเมื่ออายุสิบสอง ขั้นตอนนั้นก็อย่างเดิมๆเช่นการทาบวัตถุสีเงินวาวลงมาตามร่างกาย เจาะเลือดไปนิดหน่อย แล้วก็ส่องดูหูตาปากอะไรเทือกนั้น

     

     

    “ผอมไป ให้เพิ่มน้ำหนักด้วย”

     

     

    เหมือนห้าครั้งก่อนนั่นแหละ ร่างสูงต้องเดินออกมายังประตูอีกบานหนึ่งและรู้ว่าจะมีคนต่อไปเดินเข้ามาแทนที่ เขาไม่เคยได้รับอะไรนอกจากการสั่งให้ขยับอวัยวะร่างกายอย่างนู้นอย่างนี้เพื่อฟังคำว่าผอมไปหรือเรียบร้อยดี ทางเดินยาวสุดสายตานี้ตีวงโค้งพาเขาไปปรากฏที่อีกด้านของโดมทางเข้าอุโมงค์ ทุกครั้ง ชานยอลมีแต่ความอยากรู้อยากเห็นเมื่อต้องเดินผ่านบานประตูปิดสนิทพวกนี้ เขาได้แต่รอว่าวันใดความอยากรู้จะอิ่มตัว หรือทะยานขึ้นมากพอให้ชายหนุ่มทำอะไรนอกคำบอกเล่าพวกนั้นได้บ้าง

     

     

    ซึ่งมันคงเป็นวันนี้

     

     

    ร่างสูงหยุดฝีเท้า เอี้ยวตัวมองกลับไปตามทางที่เพิ่งเดินผ่านมา เดาใจเอาว่ามันคงตีวงโค้งไปฝั่งของพิธีผลัดถิ่น แล้วเขาก็ดันบ้าที่คิดจะเดินย้อนขึ้นไปยังทางต้องห้ามเพื่อแอบดูอุโมงค์ศักดิ์สิทธิ์นั้นให้เป็นบุญตาก่อนถึงเวลาของตัวเอง ถ้าถูกจับได้จะเป็นอย่างไรนะ คงไม่มีอะไรหรอก แย่ที่สุดก็คงเจอกลุ่มผู้เฒ่าผู้แก่เทศน์ลืมวันลืมคืนแล้วจบท้ายด้วยการพูดเรื่องลูกอย่างทุกทีนั่นแหละ

     

     

    ผิดคาด ทางเดินตีโค้งพาเขามาเจอทางตันลักษณะเดียวกับกำแพงขาวๆที่เป็นปราการอุโมงค์ มันถูกขีดเป็นลายตารางใหญ่ๆรอบด้าน มือใหญ่ลูบไปบนสัมผัสเรียบลื่นนั้นช้าๆ ก่อนจะเกิดหวั่นใจถ้าเกิดว่าคนตรวจร่างกายหลังจากเขาออกมาเห็นท่าทางแปลกประหลาดอย่างนี้เข้า

     

     

    เห็นชายชุดขาวปิดหน้าตาเดินมาทางนี้ก็เกิดตื่นตกใจเสียยิ่งกว่าความคิดเมื่อครู่ ชานยอลคิดหาทางหนีทีไล่ให้ความซุกซนไม่ใช่เด็กของตัวเอง แล้วจึงยั้งใจได้ว่ามันฟังไม่ขึ้น อย่างนั้นเขาควรตัดปัญหาด้วยการหาที่ซ่อนตัวชั่วคราวแล้วรอจนผู้ดูแลที่นี่เดินผ่านไปดีกว่า ก็แค่คิด เมื่อมองซ้ายขวาแล้วไม่เห็นช่องทางใดเลยสักอย่างเดียว

     

     

    จะทำอย่างไรดี ขณะนั้นใจชานยอลเฝ้าคิดด้วยความว้าวุ่น

     

     

    เขาไม่อยากเป็นตัวปัญหา แล้วก็เกลียดชังความใคร่รู้ของตัวเองอย่างรุนแรงที่มันทำให้เขาแปลกแยกจากคนอื่นๆถึงเพียงนี้ นอกจากทางที่เคยถูกพาเดินมาตลอดห้าปี ชายหนุ่มก็ไม่รู้ว่าในโดมนี้ยังมีส่วนใดที่เป็นความลับจากคนในหมู่บ้านได้บ้าง ในเวลาธรรมดามันถูกล็อกปิด และทุกๆเก้าสิบวันก็จะมีคนในชุดสีขาวมาเปิดออกพร้อมทั้งรับให้ผู้เฒ่าประจำหมู่บ้านกับหมอวัยกลางคนคนนั้นเข้าไปยังด้านใน พวกเขาคงอยู่ที่ไหนสักแห่ง

     

     

    อาลักษณ์นั่นเข้ามาใกล้แล้ว ชานยอลไม่อยากจะนึกว่าเมื่อไรที่ตีโค้งมาจนเจอเขา ชะตากรรมจากนี้จะถูกลงโทษอย่างไรที่ก้าวก่ายในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ พลันทางออกก็ปรากฏแก่สายตาเมื่อสังเกตเห็นราวโลหะเล็กปรากฏอยู่บนกรอบผนังอีกฝั่ง บนนั้นเป็นรอบขีดเขียนขยุกขยุยอย่างสิ่งที่เคยสังเกตเห็นในบ้านของผู้เฒ่าคนหนึ่ง แต่เพราะห้องพิธีน่าจะอยู่อีกด้าน คนเดือดร้อนจึงชั่งใจว่าควรเสี่ยงไปดูมันหรือไม่

     

     

    ทว่าทางเลือกมีไม่มาก ชานยอลใช้เวลาเฮือกสุดท้ายวิ่งก้มต่ำไปจนถึงราวเล็กนั้น เมื่อมองใกล้ขึ้น จึงเห็นว่าเส้นตารางรอบราวโลหะนี้ทั้งลึกและแปลกตากว่าร่องลายอื่นๆมากนัก ออกแรงดันมากหน่อยก็คิดไม่ผิดว่านี่คือประตู ชายผ้าวับแวมสีขาวเร่งให้ชายหนุ่มรีบเปิดพาตัวเองเข้าไปข้างในและดันมันปิดอย่างเช่นก่อนหน้า เอาเป็นว่าถ้าอาลักษณ์นั่นผ่านไปแล้ว เขาจะยอมเปิดกลับออกไปและตีโค้งไปยังประตูทางออกที่คุ้นเคยมาตลอดหกปี

     

     

    เบื้องหลังบานประตูเป็นขั้นบันไดซึ่งพบได้หน้าบ้านเกือบทุกหลัง มันถูกทำด้วยวัสดุแข็งสีขาวอย่างเดียวกันกับผนังอีกแล้ว ซ้ำยังมีทางเดียวคือทอดวนลงไปด้านล่าง ชานยอลลืมคำพูดยอมแพ้เมื่อครู่นี้และกลืนน้ำลายให้กับความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองอีกครั้ง สิ่งแปลกแยกในใจเต้นตุบ ทุกย่างก้าวของการได้เหยียบขั้นบันไดแปลกตาพวกนี้ทำให้เขารู้ว่ามันทั้งแข็งแรงและมั่นคงกว่าแผ่นไม้มาก บางทีด้านใต้นี้คงไปโผล่ออกที่อุโมงค์ศักดิ์สิทธิ์ แค่เห็นเท่านั้น ขอแค่เห็น แล้วเขาจะรีบกลับขึ้นมา

     

     

    ไม่เป็นอะไร ปลอบใจตัวเองมากกว่าสิบครั้งเมื่อเห็นแสงขาวเรืองปลายขั้นล่างสุด

     

     

    มันเป็นโค้งประตูที่ไม่ได้มีไว้สำหรับเปิดหรือปิด ซ้ำที่นี่ยังสว่างไปด้วยอะไรสักอย่าง ใช่ มันคืออะไรสักอย่างที่ต่างออกไปจากตะเกียงไฟแต่ให้แสงสว่างได้เหมือนกัน ทั้งขาวจ้า รูปทรงแปลกตา ถูกติดเอาไว้ยังจุดต่างๆเหนือผนังเพดานที่ไว้ไปด้วยท่อมากมายไขว้ซ้อนกันจนลายตา เมื่อได้ยินเสียงบางอย่างมาทางนี้ ชายหนุ่มจึงรีบแอบเข้ายังซอกหลังวัตถุโลหะใหญ่ๆทรงประหลาดอันหนึ่ง มันถูกคลุมด้วยผ้าอะไรบางอย่าง ต่างจากผ้าฝ้ายที่ชานยอลสวมใส่ มีลักษณะเป็นมัน ลื่น แล้วก็หยุ่นๆอย่างบอกไม่ถูก

     

     

    ชายหนุ่มรีบกระตุกนิ้วกลับจากการลองสัมผัสผ้าข้างตัวพลางขดก้มต่ำลงมากกว่าเดิม น่ากลัวว่ารูปร่างสูงเก้งก้างนี้จะกลายเป็นอุปสรรคและทำให้ถูกจับได้ เหนือขึ้นไปเกือบสุดเพดานนั้นมีแท่งราวโลหะทอดยาวเป็นวงกว้างโดยไม่สนใจทิศทางของลายท่อนั้น และทุกๆสองช่วงแขน จะมีตะขอหัวสมอยาวแกว่งไปมาปรากฏอยู่ตลอดทั้งแนวราว มันเริ่มเคลื่อนตัวไปในทางเดียวกันหลังเสียงกึงในทีแรก จากนั้นอาลักษณ์ชุดขาวไม่เห็นหน้าตาจึงปรากฏตัวขึ้นประจำตำแหน่งต่างๆราวกับรออะไรอยู่

     

     

    เสียงกึงกึงกึงกึงกึงดังทุกจังหวะขั้นที่ถูกเหยียบลงไป บันไดโลหะมีอยู่แทบทุกหนทุกแห่ง ห้องนี้ช่างดูวุ่นวายและพิศวงยิ่งกว่าเรื่องเล่าสั่นประสาทใดๆของเด็กจอมขี้โม้ ชานยอลเฝ้ารอดูทุกการเคลื่อนไหวอย่างใจจดใจจ่อ ศีรษะโผล่ขึ้นในระดับที่พอมองเห็น แต่แล้วก็ต้องหลุบลงทุกครั้งที่เห็นว่าหน้ากากสักอันทำท่าจะมองมาทางนี้ ถึงนี่จะลำบากไปสักหน่อย แต่เขาคงเดินกลับไปทางซุ้มประตูเดิมไม่ได้ในเร็วๆนี้แน่

     

     

    สิ่งแปลกปลอมอย่างแรกถูกเคลื่อนมาตามรางเลื่อนทางด้านบนแล้ว แวบแรกที่เห็น ดวงตาของชายหนุ่มเบิกโพลงขึ้นอย่างตื่นตระหนก เขาเกือบเสียสติด้วยการถลาออกไปเพื่อมองมันใกล้ๆถ้าไม่ติดว่ารู้ตัวถึงสถานะผู้บุกรุกเข้าเสียก่อน ความคลื่นเหียนตามมาเป็นความรู้สึกอย่างที่สอง มือใหญ่ต้องยกขึ้นปิดปากกลั้นทุกเสียงกรีดร้องเอาไว้ ในหัวเกิดคำถามร้อยพันกดทับร่างทั้งร่างให้ชาวาบ นี่มันเกิดอะไรขึ้น สิ่งตรงหน้านี้คืออะไร ทำไม -- ทำไมพวกคนที่ควรจะไปอยู่ในอุโมงค์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้

     

     

    อนยูที่เพิ่งร้องอวดถึงลูกคนที่สามในงานเฉลิมฉลองเมื่อคืนนี้ถูกแขวนห้อยหัวอยู่บนตะขอตัวหนึ่งทั้งร่างเปลือยเปล่า ปลายแหลมคมทั้งสองข้างนั่นเสียบยึดเข้ากับข้อขาและน่ากลัวว่าจะตกลงมาทุกครั้งที่เจ้าร่างเลื่อนนี่กระตุกหยุด จากนั้นเพียงไม่นาน มันก็เคลื่อนตัวอีกโดยมีอาลักษณ์ชุดขาวยืนรออย่างใจเย็น ตะขอตัวที่สองแขวนร่างของคนในหมู่บ้านอีกคนที่เขารู้จัก คนที่สาม สี่ ห้า หรือคนต่อๆมา ชานยอลก็ล้วนรู้จักทั้งสิ้น

     

     

    รางอีกด้านหนึ่งเริ่มเคลื่อนตัวบ้างแล้ว คราวนี้เป็นร่างของผู้หญิงถูกห้อยหัวทั้งร่างเปลือยเช่นเดียวกับผู้ชายพวกนี้ ปลายโค้งของรางเลื่อนทางซ้ายมีควันสีขาวพวยพุ่งพ่นร่างแรกสุด เมื่อเลื่อนพ้นออกมันก็พุ่งใส่ร่างที่สองต่อราวกับนี่เป็นขั้นตอนของอะไรสักอย่าง ชานยอลเห็นอ่างขนาดใหญ่อบอวลไปด้วยไอร้อน เห็นอย่างนั้น ชายหนุ่มจึงเริ่มเดาถูกว่าอ่างนั่นคือน้ำร้อนเดือดๆจากร่างที่เพิ่งถูกนำขึ้นมาหลังถูกจุ่มลงไปเพียงไม่กี่วินาที คราวนี้คนในวงล้อมด้านในเริ่มได้ทำงานบ้างแล้ว

     

     

    ไม่ไหว -- ไม่ไหวแล้ว

     

     

    นี่มันเรื่องบ้าอะไร เขาควรต้องรีบออกจากที่นี่เพื่อไปบอกคนในหมู่บ้าน ชานยอลพยายามหาทางหนีทีไล่ที่ใกล้ที่สุด ทางซ้ายมือคือทางที่เขาใช้เดินเข้ามา ส่วนทางขวามีประตูลักษณะเดียวกันกับด้านบนในระยะห่างใกล้กัน ระหว่างตัดสินใจนั้น สองหูก็ได้ยินเสียงอาลักษณ์ซึ่งเข้ามาใหม่โพล่งขึ้น



     

    “แปดสองสองไม่กลับเข้าฟาร์ม”

     

     

    แปดสองสอง

     

     

    ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น มือใหญ่ก็เผลอลูบเข้าที่หลังคอโดยอัตโนมัติ ตั้งแต่เกิดมา เขาไม่เคยเข้าใจว่าสัญลักษณ์แปลกๆที่มีติดตัวทุกคนหลังจากเข้าพิธีรับพรกำเนิดนั้นหมายถึงอะไร มันมีลักษณะเป็นเส้นดิ่งสูงขนาดหนึ่งข้อนิ้วและหนายาวไม่เท่ากันนับสิบๆเส้น ส่วนด้านใต้ถูกกำกับด้วยลวดลายต่างกัน ชานยอลเคยดูของโชรง ของแม่ ของพ่อ หรือแม้แต่หลังคอองคนอื่นๆในหมู่บ้าน ที่ถึงแม้จะคล้าย แต่กลับไม่เหมือนกันเสียทีเดียว

     

     

    “แปดสองสองไม่กลับเข้าฟาร์ม!

     

     

    เสียงใหญ่ประกาศกร้าว ชานยอลกลัวว่าแปดสองสองนั่นจะเป็นชื่อเรียกของเขา รีบตัดสินใจเสี่ยงดวงเข้าไปทางประตูขวามือโดยทิ้งเสียงปิดประตูให้ดังเรียกทุกสายตาของอาลักษณ์ในที่นี้ มีเสียงติ๊ดดังอยู่ใกล้หู รวมถึงบริเวณลวดลายหลังคอนั้นกลับเต้นตุบๆขึ้นมาจนปวดหนึบ ข้างในนี้มืดอย่างกับอะไรดี นั่นทำให้ชายหนุ่มต้องออกตัววิ่งสะเปะสะปะเพราะเสียงเปิดประตูดังไล่หลัง พวกอาลักษณ์ตามเขามาติดๆ และความขี้สงสัยทั้งหมดทั้งมวลซึ่งเก็บมาตลอดชีวิตบอกว่า บทลงโทษนี้คงไม่ใช่แค่นั่งคุกเข่าฟังผู้เฒ่าผู้แก่พวกนั้นบ่นแล้ว

     

     

    ที่นี่อันตราย! มันอันตรายมาตลอดโดยที่เราต่างไม่รู้

     

     

    ชานยอลรำคาญรองเท้าสานคับๆจนต้องตัดสินใจถอดมันทิ้งในตอนที่พยายามปีนท่อข้างผนังเพื่อยืดตัวไปให้มือจับถึงขอบหน้าต่าง นึกหงุดหงิดกับร่างสูงเก้งก้างนี้อย่างกับอะไรดีในตอนที่ทิ้งตัวมาสู่ฝั่งมีแสงสว่างอีกครั้ง เสื้อผ้าฝ้ายของพ่อเกี่ยวกับอะไรสักอย่างจนชายขาดเป็นทางยาว จุดที่ชานยอลยืนอยู่เป็นโถงทางเดินค่อนข้างโล่ง แต่แล้วเสียงโหวกเหวกของอาลักษณ์ที่เอาแต่ตะโกนว่าแปดสองสองก็ดังไล่ตามมาอีก

     

     

    “หาให้เจอ! มันแพง!

     

     

    เขานึกสงสัยขึ้นมาอีกแล้วว่าตัวเองเป็นคนแรกที่แส่หาเรื่องเช่นนี้หรือไม่ ในหมู่บ้านมีคนตั้งหลายร้อย ผ่านมาแล้วรุ่นต่อรุ่น มันเป็นไปได้หรือว่าในหมู่คนที่ผ่านๆมานั้นจะไม่มีใครที่นึกข้องใจกับระบบพิลึกพิลั่นส่งกลิ่นอันตรายนี้เลย หรือบางทีก็คงจะมี แต่อาจหนีไม่รอดหลังจากรู้เรื่องอุโมงค์นั้นอย่างที่ชานยอลกำลังเผชิญอยู่

     

     

    ฝีเท้าชะงักกึกเมื่อเห็นเงาอาลักษณ์อีกสี่คนทอดมาตามผนังสีขาวของโค้งด้านหน้า เท้าเปล่าของชานยอลอยู่ไม่สุข มันย่ำกับที่ซ้ำๆราวกับจะคิดหาที่ซ่อนหลังจากเจอไล่ล่าทั้งสองด้าน ถ้าโกหกไปว่าไม่รู้ไม่เห็น คนพวกนี้จะเชื่อไหม แต่ไม่ว่าคำตอบนั้นเป็นเช่นไร ชายหนุ่มรู้ดีแก่ใจว่าไม่ตอนนี้ก็อนาคตอันใกล้ที่เขาจะต้องถูกฆ่าแขวนคออย่างพวกคนในห้องนั้นแน่นอน

     

     

    ต้องไปบอกทุกคน จะไม่ให้โชรงถูกฆ่า เด็กผู้ชาย ผู้หญิง หรือว่าใครก็ตาม

     

     

    ตัดสินใจหลบเข้าหลืบมุมหนึ่งเพื่อรอจนอาลักษณ์วิ่งผ่านไป แต่ทันทีที่ออกตัวและวิ่งสวนไปยังทางออก ชานยอลถึงได้เอะใจขึ้นมาว่าเสียงติ๊ดนั้นจะดังมาจากหลังคอของเขาเอง รอบสายตามีแต่สีขาว มันทั้งชวนให้สะเปะสะปะ มึนงง จนรู้ตัวอีกที เขาก็ยืนอยู่บนพื้นแข็งๆหน้าประตูบานหนึ่งที่เพิ่งเสี่ยงเปิดออกมาเสียแล้ว

     

     

    ลมหายใจหอบขาดช่วงเมื่อเห็นว่าภาพตรงหน้าคือป่าปีศาจที่สร้างเรื่องขลาดกลัวต่อทุกชีวิตในหมู่บ้านโดยไม่มีใครได้เห็นปีศาจที่แท้จริง แวบแรกของการเหยียบลงไปบนพื้นดิน เรื่องเล่ามากมายตั้งแต่เกิดก็ประดังประเดเข้ามาในหัวจนร่างสูงไม่กล้าก้าวต่อ ทุกครั้ง ปีศาจนั้นโผล่ขึ้นในคราบของเงาดำมืด เขี้ยวยาวใหญ่ และอุ้งมือที่คมราวกับโครงเหล็กของคราดขูดดิน แต่หากลองเทียบกับเสียงแปดสองสองทางด้านหลังนั่นเล่า มันน่ากลัวพอให้สู้กับภูติผีหรือไม่ ชานยอลคิดว่าหากไม่มีอะไรเป็นความจริงแล้ว เรื่องอาถรรพ์ต่างๆนานาก็คงเป็นเพียงกำแพงกักขังทุกคนเอาไว้ เพราะเขานึกถึงความน่ากลัวที่มากกว่ารางเลื่อนมนุษย์นั้นไม่ออกเลยสักนิด

     

     

    เมื่อกล้าย่างก้าวที่สอง เสียงติ๊ดที่หลังคอก็ดังเร่งเร้าจนชายหนุ่มต้องออกตัววิ่งไปบนผืนป่าทั้งเท้าเปล่า เหยียบเศษกิ่งไม้ เหยียบก้อนหิน สะดุดล้มลุกคลุกคลานจนอยากหยุดยอมแพ้ แต่เมื่อแว่วเสียงแปดสองสอง ฟันขาวก็จำต้องขบกันเพื่อกัดสู้แล้ววิ่งต่อไปอีกครั้ง ป่านี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากปีศาจเช่นในจินตนาการของเขา มันมีเพียงแมกไม้ แสงแดด และช่องทางให้พอลัดเลาะไปสู่อิสรภาพทางด้านนอก อย่าเพิ่งหันหลังยอมแพ้ ถ้าตายไปตั้งแต่ตอนนี้ ต้องรออีกนานเพียงไรถึงจะมีเด็กชายขี้สงสัยอย่างเขาเกิดขึ้นมาอีกคนหนึ่ง แล้วมันต้องวนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อยๆหรือ เป็นวัฏจักรของความล้มเหลวที่ไม่มีทางเอาชนะอย่างนั้นใช่ไหม

     

     

    กำแพงสูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เต็มสองตา สองหูแว่วเสียงติ๊ดที่หลังคอดังและถี่ขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้เสียงแปดสองสองเงียบหายไปแล้ว ทว่าความรู้สึกอันตรายในใจยังคงส่งเสียงเตือนระรัว อะดรีนาลีนทำให้เขาลืมความเจ็บปวด แม่เคยบอกว่าชานยอลซนอย่างกับอะไรดี ชอบปีนต้นไม้และปีนป่านนู่นนี่ไปทั่ว สำหรับชีวิตของเด็กชายที่น่าเบื่อและเข้ากับใครไม่เก่งแล้ว สิ่งนี้เป็นอย่างเดียวที่ทำให้เขาเห็นพระอาทิตย์ได้ชัดขึ้น เห็นท้องฟ้า เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากคนในหมู่บ้านและแมลงตามพืชผัก ชั่วนาทีนั้น เขาจึงทำตัวเหมือนนกที่มีปีก เสี่ยงกระโดดจากกิ่งไม้ที่ยื่นออกไปเกาะขอบกำแพงเอาไว้ แล้วค่อยคิดหาทางลงจากบนนั้นถ้าเห็นว่าข้างล่างปลอดภัยมากพอ

     

     

    หากทุกความคิดของเขาหยุดลงเมื่อทั้งร่างชาวาบจากกระแสอะไรบางอย่างที่ขอบกำแพงนั้น ชานยอลไม่มีแรงแม้แต่จะยึดเกาะมันไว้ได้ ใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายดันส่งตัวเองให้ข้ามไปอีกฝั่ง ชั่ววินาทีที่กระเด็นร่วงจากระนาบกำแพงสูง ตากลมโตมองเห็นท้องฟ้า เห็นนกบินผ่าน แล้วเสียงติ๊ดที่หลังคอก็ดังยาวกว่าครั้งไหนๆราวกับมันไม่อยากปรานีอีกแล้ว

     

     

    “....!

     

     

    ความเจ็บแปลบร้าวไปทั่วทั้งร่างสูงหลังกระเด็นตกลงมาสู่พื้นด้านล่าง เขาได้แต่สูดลมหายใจลึก พยายามขยับเอาชนะความปวดชาทั้งร่างตัวเองให้ได้ แต่ต้องเสียเวลาอยู่นานหลายนาทีกว่าจะเรียกเรี่ยวแรงให้มีมากพอสำหรับการหยัดตัวขึ้นนั่ง เขาอยู่บนพื้นหญ้าที่เละเหมือนโคลนตม ข้างขวาเป็นกำแพงสุดเขตป่าอาถรรพ์ ส่วนซ้ายมือคือเส้นทางสีเทาของอะไรบางอย่าง มันโล่งเตียน ทั้งหัวท้ายยังทอดยาวไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา

     

     

    ชานยอลกลัวว่ามันจะมีกระแสพลังประหลาดอย่างกำแพงอีก เขาจึงค่อยๆลุกคลานอย่างทุลักทุเลแล้วใช้มือปวดแสบปวดร้อนไปด้วยอาการแดงไหม้นั้นเพียงแผ่วๆ ลองหยิบก้อนหินเขวี้ยงไปบนนั้นก็แล้ว ทว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใบหน้าเหลียวมองไปทางกำแพงสีขาวพร้อมทั้งชั่งใจว่าเสียงแปดสองสองนั่นจะดังตามมาอีกไหม ชานยอลไม่รู้อีกว่าที่นี่คือที่ใด แต่เส้นสีขาวที่กลางทางสีเทาเข้มนี้ไม่ได้ชวนให้รู้สึกอันตรายอย่างรางเลื่อนโลหะข้างในอุโมงค์

     

     

    ก้าวแรกที่เหยียบเท้าลงไป ชายหนุ่มก็ต้องรีบชักกลับเพราะมันร้อนเหลือเกินถ้าเทียบกับผืนหญ้าลาดเอียงพวกนี้ แต่เมื่อลองเหยียบอีกครั้ง เขาก็คิดได้ว่ามันอาจจะเป็นเพราะแสงแดดเช่นเดียวกับที่ส่องลงบนดินในไร่ที่ร้อนไม่ต่างกันในตอนแดดจ้า กัดฟันทนความทรมานอีกหน่อย แม้ร่างกายจะบอบช้ำและปวดไปทั่วทั้งตัว เขาก็ต้องรีบไปให้ไกลจากที่นี่

     

     

    ไม่มีหยดน้ำใดไหลเข้าปากนอกจากเหงื่อเค็มๆที่ซึมชื้นทั้งหน้าผากและขมับ ชานยอลวิ่งมาจนพ้นแนวกำแพงแล้ว เมื่อมองจากไกลๆ เขาเห็นยอดโดมสีขาวสูงแข่งกับยอดไม้ลิบๆ ไม่มีอาลักษณ์คนไหนตามมาเมื่อพ้นกำแพง แต่ความกลัวในจิตใจก็สั่งให้วิ่งไกลขึ้นอีก วิ่งไปเรื่อยๆอย่าหยุดพัก ชานยอลไม่เคยรู้ว่าโลกข้างนอกป่านั้นมีอะไรบ้าง ไม่รู้แม้กระทั่งว่าไอ้เสาที่ทอดยาวขึ้นเสียดฟ้าและป้ายประหลาดตาพวกนี้คืออะไร เขาวิ่งจนสายตาพร่ามัวและเริ่มแยกท้องฟ้ากับสีเขียวแมกไม้ไม่ออก กระทั่งรู้ตัวอีกที ร่างผอมกะหร่องของชายหนุ่มก็นอนแผ่อยู่บนพื้นทางร้อนๆนี่โดยมีเพียงเสื้อผ้าบางๆขวางระหว่างผิวเนื้อเอาไว้

     

     

    เสียงอะไรบางอย่างดังใกล้เข้ามาทุกขณะ ร่างสูงพยายามขยับตัวเพื่อลุกหนีหรือทำตัวเองให้ปลอดภัยกว่าที่เป็นอยู่ ทว่านอกจากสมองกับใจแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ยอมทำตามความคิดเลยสักอย่างเดียว พวกอาลักษณ์ตามมาแน่แล้ว ตามมาเพื่อจับเขากลับไปห้อยบนราวตะขอนั้น พ่นควันสีขาว แล้วก็จุ่มลงในน้ำร้อนก่อนจะดึงขึ้นมา

     

     

    สองตาปรือมองล้อรูปร่างแปลกประหลาดค่อยๆหยุดลงตรงหน้า มันคล้ายกับล้อเกวียนขนของแต่ว่าเป็นสีดำ มีเท้าลงมาจากสิ่งที่อยู่เหนือล้อนั้น หนึ่งคน สองคน สามคน อาจจะสามคน

     

     

    “พ่อ ทำไมเขามานอนตรงนี้ล่ะ”

     

     

    ชานยอลได้ยินเสียงเด็กพูดเจื้อยแจ้ว เท้าเล็กๆนั่นเดินตรงเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มพยายามลืมตาขึ้น สติดับวูบลงเมื่อมืออุ่นๆทาบลงมาบนแก้มแล้วตบเบาๆ

     

     

    “พี่ชาย เป็นอะไรไหม”

     

     

    “จีซอง ออกมาห่างๆก่อน”

     

     

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ เขาสลบไปแล้ว”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ------------------------------------------------------------------------

     

    หลังจากวางพล็อตไว้ข้ามปี ในที่สุดก็ได้ฤกษ์สำหรับฟิคเรื่องนี้

    จุดเริ่มต้นเกิดจากภาพวาดหนึ่งรูป บวกกับวันหนึ่งที่นั่งเสพกระทู้พันทิปเรื่องการกินสุนัข

    หลายความเห็นบอกว่า รับได้นะ ใครใคร่กิน กิน แต่ทำฟาร์มหมาให้ถูกกฏหมายเป็นไง

    โอ้ -- วิธีการแก้ปัญหานี้น่าเก็บมาคิดทีเดียว เมื่อนำไปประกอบกับข่าวคนจีนกินทารก

    ถ้าวันหนึ่งคนกินเนื้อมนุษย์ด้วย อย่างนั้นก็ทำฟาร์มมนุษย์ให้ถูกกฏหมายไปเลยสิ!

     

    ขอบคุณแรงบันดาลใจดีๆที่มีส่วนสำคัญในการหล่อหลอมฟิคเรื่องนี้ขึ้น

    Cloud Atlas , The Village , Day Breaker , Hunger Games

    รวมถึงประวัติศาสตร์ ข่าวคราวปัจจุบัน และความน่าจะเป็นในอนาคต





     

     

     

     

     

     

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×