คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : - g h o s t △ | don't touch me anyway - o n e
G H O S T
chanyeol x baekhyun
erotic drama - short fiction
-------------------------------------------------------------------------------------
- ONE -
ผมเกลียดวันศุกร์
หรืออันที่จริงผมก็แค่เกลียดเวลาที่เดินลงมาแล้วต้องเจอเขา
บยอนแบคฮยอนลอบถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ ริมฝีปากบางเม้มจนเป็นเส้นตรงยามที่บันไดไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดแล้วคนบนโต๊ะอาหารหันมามองทางเขาเป็นตาเดียว สองในนั้นคือพ่อกับแม่ และคนอื่น
“ทำไมตื่นเช้านักล่ะ”
แม่ถามเขา อันที่จริงแบคฮยอนก็เกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าหล่อนไม่ใช่แม่แท้ๆ กว่าสิบกว่าปีที่ผู้หญิงคนนี้เข้ามาเป็นแม่ และใช่... เธอเป็นแม่ที่ดีทีเดียว “ต้องไปเคลียร์งานน่ะครับ”
“ไม่กินข้าวก่อนล่ะ แม่เขาทำเผื่อเยอะแยะ”
คราวนี้เป็นเสียงของพ่อ และนั่นทำให้เขาที่เดินเลยไปแล้วจำต้องถอยกลับมา นอกจากพ่อและแม่แล้ว ใครอีกคนก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าว ข้างตัวหมอนั่นมีกระเป๋าสะพายวางพิงเก้าอี้อยู่ ซึ่งนั่นทำให้แบคฮยอนหงุดหงิด เขาไม่ชอบใจเลยสักนิดที่จะต้องเห็นภาพแบบนี้อาทิตย์ละครั้ง
วางกระเป๋าและนั่งเยื้องเด็กหนุ่มตัวสูงไปอีกทาง แล้วก็อดจะขมวดคิ้วเล็กๆไม่ได้ถึงแม่จะขยับจานปลาทอดไปอีกทางแล้วก็เถอะ
แบคฮยอนเกลียดที่มีตู้ปลาอยู่เต็มบ้าน แม้แต่ในห้องอาหารก็ยังมีปลาสวยงามแหวกว่ายผลุบๆโผล่ๆอยู่ตามแนวปะการังเทียม เสียงช้อนส้อมแล่เนื้อปลาออกจากหนังด้านนอกนั่นทำให้ชายหนุ่มต้องข่มใจขึ้นมาอีกครั้ง แบคฮยอนเอื้อมไปตักผัดผักอย่างส่งๆเพียงเพราะคิดว่าจะได้ไม่ต้องหันไปเห็นมือนั้น
“แล้วแกจะไปทันเหรอชานยอล” พ่อถาม พ่อเองก็ชอบกินปลาทอด แต่เสียงช้อนส้อมของพ่อมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรอย่างที่เป็นเมื่อครู่... แบบที่ว่าอยากมองมือของพ่อขึ้นมาน่ะนะ
“ทันครับ ขับรถไปแปบเดียว”
เสียงทุ้มเสียดหูลอยมาจากอีกฝั่ง ตอนนี้แบคฮยอนก็แค่ก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ถึงสิบนาที ข้าวในจานก็หมดอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ร่างเล็กรีบหยิบเอากระเป๋าที่วางอยู่ข้างตัวแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร เขาไม่ได้สายทั้งออกจะมีเวลาเหลือเฟือด้วยซ้ำ
“เอ้อ แบคฮยอน” พ่อร้องเรียกเขาไว้ แบคฮยอนกำกุญแจรถในมือแล้วหันกลับมาราวกับอยากให้มันรีบๆผ่านไปสักที “พ่อบอกแกหรือยังว่าอาทิตย์หน้าจะไม่อยู่”
“ครับ?”
“ต้องไปดูงานที่สิงคโปร์น่ะ” พ่อพูดราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แบคฮยอนชินแล้ว สักปีหนึ่งพ่อต้องบินไปต่างประเทศราวๆสี่ถึงห้าครั้ง
“ครับ”
“แม่ก็ไปด้วยนะคราวนี้ คงต้องอยู่นาน แม่เลยไปเป็นเพื่อน”
ประโยคต่อมาเหมือนค้อนใหญ่ที่ทุบลงตรงกลางหัว บยอนแบคฮยอนนิ่วหน้ามองคนบนโต๊ะอาหารทีละคน ไม่สิ แค่สองคน เพราะเขาหยุดสายตาเอาไว้ที่ใบหูของแม่ก่อนจะไปถึงคนทางปลายโต๊ะ เขาไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยาก แต่ร้อยวันพันปีพ่อกับแม่ไม่เคยหายไปพร้อมๆกันแบบนี้
“ทำไมแม่ต้องไปล่ะครับ อยู่นี่ไม่ได้เหรอ” รู้ตัวว่าเผลอพูดจาเอาแต่ใจออกไปเหมือนลูกแหง่ไม่มีผิด แต่มันไม่ควรจะต้องเป็นแบบนี้สิ อย่าปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพัง
คนเป็นแม่หัวเราะคิกคัก ใช่... หล่อนไม่รู้อะไรเลย ถึงได้ร่วมหัวทำให้เขาหน้าเสียเข้าไปอีกกับคำพูดไม่รู้อิโหน่อิเหน่นั่น “ไม่เป็นไรน่า ก็อยู่กับน้องไปจะเป็นไร ช่วยๆกันดูแลบ้านด้วยนะ”
พอได้ยินคำว่าน้อง พลันสายตาก็เหลือบไปยังคนทางปลายโต๊ะอย่างไม่ทันห้ามตัวเอง ตากลมโตเหมือนแม่นั้นกำลังมองมาทางเขา แล้วแบคฮยอนก็อยากจะรู้สึกขอบคุณเสียยิ่งกว่าอะไรที่หมอนั่นรักษาท่าทีนิ่งเฉยไว้ได้อย่างไม่มีพิรุธ
แล้วปาร์คชานยอลก็ทำลายความเงียบด้วยการเลื่อนเก้าอี้ออกพร้อมทั้งหยิบกระเป๋าแล้วยืนขึ้นเต็มความสูง “เดี๋ยวผมไปเรียนแล้วนะ”
มือแกร่งนั่นคว้าเอากุญแจรถมอเตอร์ไซด์บิ๊กไบค์ที่เพิ่งมีอายุไม่ถึงปีขึ้นมากำไว้ในมือ ส่วนอีกมือก็ยกกระเป๋าขึ้นพาดบ่าไปข้างหลัง เป็นครั้งที่สองของเช้าวันศุกร์ที่ทั้งคู่สบตากัน บางทีแบคฮยอนอาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาเดาความคิดชานยอลไม่ออก
ร่างเล็กเกร็งตัวแข็งเมื่อลมอ่อนๆปะทะผ่านผิวกายไปยามที่ร่างสูงเดินผ่าน เขาได้แต่ยืนนิ่งฟังเสียงเปิดประตูรั้วบ้าน ก่อนเสียงสตาร์ทบิ๊กไบค์จะดังตามมาในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที
ลมหายใจผ่อนออกอย่างโล่งอก บยอนแบคฮยอนไม่ได้มีท่าทีเร่งรีบแล้ว แต่ตอนนี้เขาอยากรู้แค่ว่าไอ้วันแย่ๆที่พ่อกับแม่จะไปจากบ้านนี้มันเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ต่างหาก
“สวัสดีครับ”
เดินเลียบทางเดินเล็กๆระหว่างโต๊ะพลางกล่าวทักทายรุ่นพี่สองสามคนที่กำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค บยอนแบคฮยอนวางกระเป๋าลงบนโต๊ะทำงานก่อนจะเลื่อนมือไปหลังจอแมคสตูดิโอแล้วกดปุ่มเปิดอย่างเคยชิน
“ค่ะ... ค่ะ ได้ค่ะ... สวัสดีค่ะ”
คนเดียวที่เขาไม่ได้ออกปากทักทายก่อนก็คือบังมินอาที่กำลังวางสายจากไลบรารีบริษัทพร้อมทั้งหันมาโบกมือโบกไม้ทักทาย เธอค่อยๆหยัดตัวขึ้นก่อนจะเดินมานั่งลงยังเก้าอี้ของครีเอทีฟข้างๆที่ยังไม่มาทำงาน
“แก้เสร็จหรือยัง?” มือเรียวสวยนั้นถือปากกาติดมาด้วย และการที่เธอหมุนมันไปมาก็ทำให้แบคฮยอนสังเกตเห็นเล็บสีเขียวเวอริเดียนที่ให้ทายว่าอีกไม่ถึงห้านาทีเธอต้องแบมือออกมาอวดเขาแน่ๆ
“เล็บสวยดีนี่”
มินอาหัวเราะร่าแล้วตีแขนชายหนุ่มเบาๆอย่างชอบอกชอบใจ “ดีใจจังเลยที่เห็นเอง ว่าแต่งานน่ะแก้เสร็จหรือยัง ไลบรารีทวงแล้ว”
“รู้แล้วน่า กำลังจะแก้ให้” ตอบปัดๆพลางเอื้อมตัวหยิบเสื้อคลุมที่พาดอยู่บนพนักเก้าอี้มาคลุมขาให้หญิงสาว มินอาเพิ่งมาทำงานเดือนแรกในตำแหน่งแอดมินโคออร์ดิเนเตอร์ และเขาก็ไม่ได้บอกใครในออฟฟิศเรื่องที่ว่ากำลังคบกับเธอ
บังมินอาได้แต่ยิ้มแล้วเอาเสื้อคลุมตรงหน้าขาขึ้นมาคลุมไหล่ เผยให้เห็นกระโปรงสั้นเข้ารูปอย่างที่ชอบใส่ ก่อนจะเดินออกไปนั่งยังที่นั่งของตัวเองซึ่งก็คือโต๊ะอีกฝั่ง ชั่วขณะที่แบคฮยอนเกือบจะลืมเรื่องหัวเสียของวันนี้ไปได้อย่างสนิทใจ แต่ก็นั่นแหละ พอมองเห็นเสี้ยวหน้าตัวเองที่สะท้อนมาจากหน้าจอก็พลันคิดถึงมันขึ้นมาอีก
ทำยังไงถึงจะเลิกคิดเรื่องนั้นได้
มือเรียวรวบเอาโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาเปิดไลน์แล้วเลื่อนหาชื่อใครบางคน หางตาก็เหลือบมองบังมินอาที่กำลังจ้องหน้าคอมพิวเตอร์อย่างใจจดใจจ่อ
‘ คืนนี้ไปค้างด้วยได้ไหม ’
กดส่งข้อความเสร็จก็หมุนเก้าอี้หันไปมองหญิงสาวที่กำลังหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ทันทีอ่านจบเธอหันขวับมาทางเขา ก่อนจะแย้มรอยยิ้มออกมาแทนคำตกลงโดยไม่ต้องพูดอะไรอีก
เสียงไลน์แจ้งเตือนเรียกให้บยอนแบคฮยอนเอื้อมมือไปหยิบมาเปิดดู แม่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากสติ๊กเกอร์โอเค นั่นทำให้ชายหนุ่มเบาใจว่าเธอคงจะปิดประตูบ้านโดยไม่ต้องรอเขากลับไปแล้ว โยนโทรศัพท์ไว้ข้างหมอนอย่างลวกๆก่อนจะเลื่อนมือไปปลดซิปกระโปรงแฟนสาวแล้วดึงออกจากเรียวขา
โคมไฟสีส้มทอดเงาของสองร่างที่กำลังทาบทับกันบนเตียงควีนไซส์ไปยังผนังห้อง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหลังจากเขาคบมินอามาแล้วเจ็ดเดือน มันเป็นทางเลี่ยงเดียวในตอนที่เขายังไม่พร้อมจะเจอหน้าผู้ชายคนนั้น
เป็นความรู้สึกแย่ๆที่เสียงครางเครือของมินอาไม่ได้เข้ามาอยู่ในโสตประสาทเขาเลยสักนิด แบคฮยอนก็แค่กลัว กลัวกับการที่จะไม่มีกำแพงใดๆกั้นกลางบ้านในรอบเจ็ดปี กลัวกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น กลัวกับความอึดอัดและใจตัวเองที่เฝ้าคิดถึงแต่เรื่องวันนั้น
มันเป็นสิ่งที่สู้ไม่ได้ และแบคฮยอนก็ทำได้แค่หนี
‘พี่’
‘ออกไป...’
‘พี่ครับ’
‘ออกไป...!’
‘แบคฮยอน...’
“แบคฮยอน”
“....”
“แบคฮยอน เป็นอะไร?”
มินอาประคองใบหน้าเขาไว้ และนั่นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าได้ปล่อยให้ตัวเองดำดิ่งลงไปกับความทรงจำบ้าๆนั่นอีกครั้ง มันเหมือนฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเสียจนเขาไม่รู้ว่าจะยืนอยู่ตรงไหนดี รู้สึกเหมือนเสียงนั้นยังติดอยู่ในหู มันครางเรียกชื่อเขาซ้ำๆไม่หยุด
“ขอโทษที” ทาบทับมือเรียวบนใบหน้าก่อนจะโน้มลงกอดร่างข้างใต้ไว้
บยอนแบคฮยอนก็แค่กำลังหาที่ยึดเหนี่ยวเอาไว้ก็เท่านั้น เมื่อไรที่เขาปล่อยจากบังมินอา ร่างทั้งร่างก็เหมือนกับกลายเป็นใครอีกคนที่ไม่รู้จัก ใครที่กำลังอยู่ใต้อาณัติ และถูกเจ้าของเสียงทุ้มพร่านั่นบีบแน่นเสียจนเหมือนร่างจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
“ดูแลตัวเองดีๆนะลูก”
แบคฮยอนผละออกจากอ้อมกอดของแม่หลังจากที่ปล่อยให้เธอกอดจนพอใจแล้ว จากนั้นเธอก็หันไปกอดและพูดคุยกับร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาไม่ได้สังเกตหรืออยากฟังว่าสองแม่ลูกทางสายเลือดพูดอะไรกันบ้าง พอเริ่มจะได้ยินเสียงหัวเราะ ร่างเล็กก็พาตัวเองเลี่ยงออกมายืนข้างพ่อเพื่อบอกลาเป็นรอบที่สาม
“รีบกลับนะครับ” เขาพูดคำนี้มากกว่าห้าครั้งแล้วตั้งแต่มาถึงสนามบิน ใช่ว่าจะเป็นลูกแหง่อะไรหรอก อย่างที่รู้ๆว่าเขาต้องอยู่บ้านกับปาร์คชานยอลสองคนนานเป็นเดือน นั่นเป็นสิ่งแย่ๆลำดับสุดท้ายที่แบคฮยอนอยากให้มันเกิดขึ้นด้วยซ้ำไป
“ดูแลน้องด้วยนะแบคฮยอน”
แม่หันมาขัดจังหวะ หันมาพร้อมๆกับชานยอลที่กำลังมองเขาด้วยสายตายากจะคาดเดา ชายหนุ่มทำได้แค่ยิ้มแห้งๆแล้วตอบว่าครับ พร้อมๆกับเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นก่อนเด็กตัวสูงจะเข้ามาโอบกอดผู้เป็นแม่
“ผมโตแล้วนะแม่ ดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว”
ปาร์คชานยอลเป็นคนยิ้มง่าย เทคแคร์เก่ง แล้วก็ยังขี้อ้อนเสียจนสร้างเสียงหัวเราะในบ้านได้เสมอ ...แต่มันคงเป็นอดีตมากกว่า อดีตที่หลอกให้คิดว่าอะไรๆก็ดีไปซะหมด
“พูดก็พูดเถอะ แกน่ะมันเหลวไหลใช่ย่อยที่ไหน” โคลงหัวลูกชายไปมาอย่างเอ็นดู พ่อที่ยืนอยู่ข้างๆได้แต่หัวเราะก่อนจะเข้าไปตบบ่าชานยอลอีกคน ไม่มีใครเห็นว่าบยอนแบคฮยอนกำลังอึดอัดเสียยิ่งกว่าอะไร เขาหวังให้เกิดเหตุสุดวิสัยอะไรก็ได้ถ้ามันจะทำให้พ่อแม่ยกเลิกไฟลท์บินครั้งนี้ซะ
เสียงหัวเราะค่อยๆเงียบหายไปเมื่อพ่อกับแม่เดินยิ้มเข้าเกตไป ทิ้งไว้เพียงความอึดอัดที่โรยตัวลงมาระหว่างคนสองคน ทันทีที่พ่อแม่ลับตาไป บยอนแบคฮยอนก็หมุนตัวเองแล้วเดินออกจากตรงนั้นทันที ร้อนถึงคนสูงกว่าที่ต้องเร่งฝีเท้าตามหลังอยู่ห่างๆ
ชานยอลไม่ได้เอามอเตอร์ไซด์ของตัวเองมา นั่นคือข่าวร้ายที่แบคฮยอนยังทำใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาเดินช้าลงหรืออีกฝ่ายเดินเร็วขึ้น รู้สึกตัวอีกทีถึงได้หันไปเจอคนตัวสูงเดินขนาบข้างเข้าให้แล้ว
แบคฮยอนผละตัวออกไปอีกทางราวกับปาร์คชานยอลเป็นของมีพิษยังไงยังงั้น มือเรียวกดปลดเซฟตี้ทันทีที่เห็นรถสีเทาดำคันคู่ใจอยู่ตรงหน้า เขารีบพาตัวเองขึ้นรถ และคิดว่าคงจะดีถ้าชานยอลไม่สบอารมณ์แล้วเรียกแท็กซี่กลับเองเสีย ซึ่งมันไม่มีทางเป็นอย่างนั้นง่ายๆ
สตาร์ทรถสำเร็จตอนเดียวกับที่ร่างสูงพาตัวเองขึ้นมานั่งที่นั่งข้างคนขับเรียบร้อยแล้ว ถ้าเลือกได้แบคฮยอนอยากให้รถยนต์กว้างกว่านี้อีกสักหนึ่งเมตร เขาเกลียดความรู้สึกแบบนี้
“จะแวะกินอะไรก่อนหรือเปล่า?” ชานยอลทำลายความเงียบเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งนั่นไม่ใช่คำถามที่แบคฮยอนอยากตอบ “แบคฮยอน”
“....”
“แบคฮยอน”
“ไม่” ตอบตัดรำคาญไปอย่างนั้น แบคฮยอนไม่ชอบถูกชานยอลเรียกชื่อ ไม่ชอบแม้แต่จะมีปฏิสัมพันธ์ใดๆต่อกัน เขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าชานยอลจะพูดออกมาทำไม
ร่างสูงเงียบไปราวกับยอมแพ้ให้ความไม่สบอารมณ์ของพี่ชาย ปาร์คชานยอลเพียงแค่ยกสองมือขึ้นกอดอกหลวมๆแล้วมองตึกราบ้านช่องข้างทาง เขามองแม้แต่ทะเบียนรถ ถ้าการที่ไม่หันหน้ากลับไปแล้วบรรยากาศจะดีขึ้นบ้าง
รถสีเทาดำแล่นเข้ามาจอดในบริเวณบ้านได้ก็ตอนเย็นย่ำ ชานยอลเป็นฝ่ายก้าวขายาวๆลงจากรถไปก่อนโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ครั้นล็อกรถ ปิดประตูบ้านเสร็จ แบคฮยอนก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยืนอยู่หน้าตู้ปลาในห้องนั่งเล่น ในมือมีสลิงป้อนยาเล็กๆ ในขณะที่อีกมือยื่นควานลงไปในตู้ จนจับได้เจ้าปลาอโรวาน่าดำที่กำลังว่ายเอื่อยๆแล้วจับประคองมันไว้จนนิ่งคามือ
นี่ไม่ใช่ภาพที่แปลกใหม่นักสำหรับผู้ชายที่เรียนวาริชศาสตร์อย่างปาร์คชานยอล แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ยังเผลอมองอีกฝ่ายป้อนยาปลาเสียจนจบกระบวนการ มือแกร่งนั่นกำลังสัมผัสแผ่นเกล็ดสีเงินเข้มจนผืนน้ำไหวไปทางนั้นทีนี้ที
“....”
กระทั่งชานยอลอาจจะรู้ตัว เขาถึงได้หันดวงตาคมปลาบนั่นมาทางพี่ชายอย่างแปลกใจ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้แบคฮยอนได้สติ แล้วพาตัวเองออกจากการเป็นเป้าสายตาให้ไวที่สุด
นานถึงเจ็ดปีที่บยอนแบคฮยอนต้องใช้ชีวิตอยู่กับความหวาดระแวง ระแวงว่าจะปล่อยให้สายตาเหลือบมองมือคู่นั้น หรือสังเกตว่าร่างกายสูงโปร่งนั่นจะขยับไปทางไหน เขาอาจจะดูเหมือนคนที่เกลียดทุกอย่าง
แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่เท่าที่เขาเกลียดตัวเองหรอก
ลนลานหยิบบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาจุดสูบ แบคฮยอนเปิดหน้าต่างออกไปก่อนจะทรุดตัวนั่งลงข้างเตียง มองท้องฟ้าสีส้มซึ่งพาดผ่านด้วยผืนเมฆที่กำลังคล้อยตัวอย่างช้าๆ นาทีต่อมาลมหายใจก็ผ่อนเข้าออกช้าขึ้น ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะบุหรี่หรือท้องฟ้าพันแน่ที่ทำให้เขาสงบลง
จากตรงนี้มองไปก็เห็นทะเลสาบประจำหมู่บ้าน รอบๆนั้นมีเด็ก คู่รักหนุ่มสาว และคนแก่ที่มาออกกำลังกายยามเย็น ชายหนุ่มกำลังเพ่งมองคุณแม่ยังสาวพร้อมทั้งเดาว่าเธอกำลังพูดอะไรกับเด็กชายที่กำลังขี่จักรยานซวนเซไปมา บางทีอาจจะเรียกให้กลับบ้าน หรือไม่ก็บอกว่าสู้ๆนะ
เอื้อมตัวไปยังโต๊ะทำงานเพื่อจะเปิดหน้าจอแมคบุ๊คโปรขึ้นแล้วลงมือทำงานที่ค้างคาไว้ หรือเขาควรจะต้องโทรหามินอา คิดได้อย่างนั้นแบคฮยอนก็ขอเลือกข้อแรกเพียงเพราะเขาไม่ชอบคุยโทรศัพท์เท่าไรนัก ยังไงคืนนี้เธอก็คงโทรมาตอนดึกๆอยู่แล้ว
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูสองทีนั่นทำให้สีหน้าที่เริ่มผ่อนคลายกลับมาขมวดคิ้วมุ่นอีกครั้ง บยอนแบคฮยอนเหลือบมองลูกบิดพร้อมทั้งคิดเป็นรอบที่ร้อยว่าเขาควรจะติดกลอนโซ่จริงๆจังๆสักที บี้บุหรี่ลงกับที่เขี่ยแล้วขยำคอเสื้อตัวเองไว้แน่น
ร่างเล็กคลายมือที่เสื้อออกก่อนจะเปิดแง้มประตูห้องด้วยทีท่ายึกๆยักๆ ปาร์คชานยอลไม่ได้มองเขาด้วยแววตาที่อยากจะก่นด่าเรื่องเสียมารยาท ตากลมโตนั้นยังคงเรียบเฉย ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยขึ้น
“ผมจะทำกับข้าว พี่เอาด้วยไหม?”
พยักหน้าตอบกลับไปส่งๆเพราะคิดว่าคงดีกว่าการรอให้ท้องร้องโครกครากแล้วขับรถไปหาอะไรกินในตอนที่ละแวกนี้เงียบเป็นป่า พอเห็นอย่างนั้นชานยอลก็พยักหน้าส่งๆตอบรับกลับมาเหมือนกันไม่มีผิด ก่อนร่างสูงจะเดินลงบันไดไปและพร้อมให้เขาปิดประตูไล่ได้ทุกเมื่อ
เสียงลมหวีดหวิวพัดพาอยู่ในอากาศ เดินกลับไปตรงหน้าต่างอีกทีแบคฮยอนก็เห็นว่าเด็กขี่จักรยานและแม่หายไปแล้ว เหมือนฝนกำลังจะตก และนั่นเป็นเรื่องดี
ฝนทำให้บยอนแบคฮยอนคิดงานออก ทำให้เขารู้สึกสงบเพราะฟังเสียงฝนจนลืมคิดถึงเสียงของใครบางคน แต่มันเป็นเรื่องแย่ที่ในหนึ่งปีจะมีเพียงแค่ไม่กี่เดือนให้เขารู้สึกดีๆได้ ช่างเถอะ พอได้กลิ่นไอฝนชื้นๆลอยมาชายหนุ่มก็รู้สึกดีขึ้นจมแล้ว
ฝนตกลงมาในตอนที่แบคฮยอนเลือกฟอนท์สำหรับงานกราฟฟิคตัวใหม่ได้เข้าตา เกือบชั่วโมงที่ผ่านมาเขาเพิ่งทำไปแก้ตรวจเช็ครูปเล่มสำหรับแพคเก็จอัลบั้มตัวใหม่ที่ศิลปินจะเข้ามาพรูฟงานพรุ่งนี้ ขยับเลเยอร์นู้นเลเยอร์นี้หน่อย เผลอๆก็หมดเวลาไปโขแล้ว
และในตอนที่เริ่มรู้สึกตัวว่าหิว แสงจากหน้าจอโทรศัพท์ก็สาดเข้าทางหางตา
แบคฮยอนถอดหูฟังที่เล่นเพลงของวงไลฟ์เฮาส์ออกจากหัวแล้วเพ่งมองเบอร์แปลกบนหน้าจออย่างแปลกใจ เขากดรับในอีกราวๆห้าวินาทีหลังจากนั้น แล้วเสียงทุ้มคุ้นหูก็ดังเข้ามาจากปลายสาย มันมีเสียงฝนคลอในจังหวะเดียวกัน และจากระยะห่างใกล้ๆกัน
“ลงมากินข้าวได้แล้ว”
นั่นทำให้แบคฮยอนรู้ว่านี่เป็นเบอร์ของปาร์คชานยอล เขาไม่เคยเมมเอาไว้ แล้วก็ไม่คิดว่าจะมีวันไหนที่จำเป็นต้องเมมเบอร์นี้เอาไว้ด้วย พอกดวางสายแบคฮยอนก็เห็นเบอร์ลงท้ายของชานยอลเป็นเลขหกหก และนั่นทำให้เขาเริ่มที่จะเกลียดเลขหกขึ้นมาดื้อๆ
อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะมีแค่พาจอนกุ้งสีเหลืองนวล ซุปกิมจิ แล้วก็ข้าวสองชามเท่านั้น บางทีนี่คงเป็นมื้อพิเศษเพราะไม่ใช่แม่ที่ขลุกอยู่ในครัว แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ไม่ได้รู้สึกเจริญอาหารขึ้นมาเท่าไหร่ ยิ่งเป็นตอนที่ปาร์คชานยอลเดินมานั่งยังโต๊ะอาหารพร้อมแก้วน้ำสองแก้วด้วยแล้ว
“ขึ้นไปเคาะประตูแล้วเห็นไม่เปิดสักที ก็เลยต้องโทรเรียก” ร่างสูงบอกราวกับรู้อยู่แล้วว่าเขาติดใจสงสัย แบคฮยอนไม่ได้ตอบอะไรกลับไปนอกเสียจากนั่งเก้าอี้เยื้องไปอีกทางอย่างที่ทำทุกที
ใช้เวลาอยู่นานกว่าที่จะตัดสินใจเดินลงมาข้างล่าง อันที่จริงเขาควรจะขับรถออกไปหาอะไรกินข้างนอกด้วยซ้ำไป แต่หากแบคฮยอนทำย่างนั้นก็มีแต่จะทำให้ชานยอลสังเกตเห็น เห็นว่าเป็นเขาเองที่ผิดปกติไปเสียทุกอย่าง
ร่างสูงเอาแต่จ้องมองมาจากอีกทาง อาจจะด้วยอยากรู้ฝีมือทำอาหารตัวเองหรือเหตุผลอื่นก็แล้วแต่ หากแต่มันทำให้แบคฮยอนอึดอัด ทฤษฎีเสียงฝนใช้กับเขาในตอนที่อยู่หน้าผู้ชายคนนี้ไม่ได้ สายตานั้นเหมือนกับคนที่มองเห็น... เห็นทุกอย่างอย่างเท่าที่เขามองเห็นตัวเอง
ปาร์คชานยอลเป็นน้องชายต่างแม่ ทั้งคู่เจอกันเมื่อตอนที่แบคฮยอนอายุได้สิบขวบแล้ว ซึ่งอันที่จริงนับจากตอนนั้นมาแบคฮยอนก็ไม่ได้เจอหน้าแม่แท้ๆของตัวเองอีกเลยถึงจะยังใช้นามสกุลบยอนเป็นตัวตีตราลูกนอกสมรสอยู่ก็เถอะ ส่วนชานยอลที่เป็นลูกเมียแต่งน่ะเหรอ? เด็กคนนั้นเด็กกว่าเขาสี่ปี แล้วก็ทำอย่างที่เด็กแปลกหน้าสองคนจะพึงปฏิบัติต่อกันนั่นแหละ
แก้วน้ำทางซ้ายมือยังไม่ลดลงไปสักอึก นอกจากจานข้าวแล้วแบคฮยอนก็มองแค่น้ำซึ่งละลายอยู่ตรงก้นขวดน้ำแบบเติมที่กลางโต๊ะ สองในหกครั้งที่เขามอง ชานยอลหยิบมันไปเติมน้ำใส่แก้วตัวเอง
ถึงตอนนี้แบคฮยอนเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาไม่ได้ถอดนาฬิกาที่มือขวาออก นั่นเป็นเรื่องดีที่ระหว่างเคี้ยวข้าวเขาจะเบี่ยงไปมองเข็มวินาทีแทนเพื่อฆ่าเวลา แต่พอถึงเวลากินข้าวคำต่อไปเข้าจริงๆ เขาก็มองไปที่ขวดน้ำกลางโต๊ะเหมือนเดิม
มือของปาร์คชานยอลเข้ามาในกรอบสายตาอีกครั้ง ข้อนิ้วและเส้นเลือดเด่นชัดตรงหลังมือ มันกำลังกำขวด ก่อนจะยกไปเทใส่แก้วที่อยู่ทางขวาของกรอบสายตา
รู้สึกตัวอีกทีร่างกายสูงโปร่งของปาร์คชานยอลก็โน้มมาทางนี้ แบคฮยอนสะดุ้งน้อยๆ แล้วก็เห็นชานยอลหยิบแก้วน้ำของเขาแล้วเดินไปเททิ้งลงในอ่าง ก่อนจะกลับมาที่โต๊ะแล้วเทน้ำเย็นๆจากขวดเติมลงไปให้แทน
แบคฮยอนมองก้นแก้วน้ำของตัวเองแล้วก็เห็นน้ำที่ละลายนองไม่ต่างจากขวดกลางโต๊ะ มันใกล้ตัวเกินกว่าเขาจะมองเห็น
เสียงรวบตะเกียบจากฝั่งตรงข้ามทำให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเหลือเกิน ตาเรียวรีมองข้าวที่เพิ่งพร่องไปได้แค่ครึ่งชามของตัวเองแล้วก็รู้สึกอิ่มขึ้นมาเสียดื้อๆ
บยอนแบคฮยอนได้แต่ฟังเสียงน้ำไหลจากทางด้านหลังสลับไปกับเสียงฝนด้านนอก ชานยอลกำลังล้างจาน หลังของทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่ถึงสองเมตร แต่แบคฮยอนนึกอยากให้มันเป็นคนละโลก
กินไปได้อีกสองคำร่างเล็กก็รวบตะเกียบแล้วผุดลุกขึ้นยืน จัดแจงเอาเศษอาหารบนโต๊ะไปกรองใส่ถังขยะ และสิ่งที่ต้องลำบากใจต่อจากนั้นคือการเดินเอาจานเข้าวางในอ่างที่ชานยอลยืนกินที่เสียจนเต็ม มือนั้นมีแต่ฟองของน้ำยาล้างจานและเปียกชุ่ม เสียงวางจานกระเบื้องยังชั้นวางข้างๆดังแทรกเสียงฝนขึ้นมาเป็นระยะ
เสียงของชานยอลดังขึ้นในตอนที่แบคฮยอนตัดสินใจจะเอาจานชามไปวางให้ในอ่าง “วางไว้ตรงนั้นก็ได้ เดี๋ยวผมหยิบเอง”
อาจจะเห็นว่าเขายืนคิดอยู่นานจนเกินไป ตานั้นไม่ได้หันมามอง ราวกับมันเต็มใจที่จะช่วยรักษาระยะห่างและความน่าอึดอัดเอาไว้อย่างคงที่ แต่มันจะแลกมาด้วยความรู้สึกแบบไหนของชานยอลก็ช่าง แบคฮยอนเดินเข้าไปอีกหน่อย แล้วก็เลือกที่จะวางจานชามไว้ข้างอ่างให้พอหยิบสะดวก
“....!!”
เพล้ง
ชานยอลไม่ได้ตั้งใจ เขาแค่ตั้งใจจะหยิบชามใบบนสุดมาล้างเป็นอย่างแรกก็เท่านั้น ไม่ตั้งใจแม้แต่จะแตะต้องโดนร่างกายส่วนไหนของอีกคนด้วยซ้ำ
“....”
“....”
บยอนแบคฮยอนมองชามซุปกิมจิที่แตกกระจายอยู่บนพื้นจากแรงปัดของเขาด้วยอารามตกใจ ครั้นเงยขึ้นมาก็เห็นชานยอลกำลังมองมาทางเขาเช่นกัน ริมฝีปากนั้นทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วมันก็หลุดมาแค่คำว่า
“แบคฮยอน”
มือของคนเป็นพี่ยังคงร้อนวูบวาบ แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง... เสี้ยววินาทีที่ชานยอลแตะต้องเขาในรอบเจ็ดปี ราวกับความรู้สึกวันนั้นมันกลับมาอีกครั้ง
“แบคฮยอน”
‘แบคฮยอน’
ปาร์คชานยอลส่งเสียงเรียกเป็นครั้งที่สอง แววตานั้นดูลำบากใจอย่างบอกไม่ถูก มันทั้งอ่อนล้า สั่นไหว และราวกับมองทะลุทะลวงลงมาบนตัวเขาจนพรุน
“....”
“แบคฮยอน”
“อย่า!”
ทันทีที่ร่างนั้นทำท่าจะเข้ามาหาร่างเล็กก็ถอยกรูดโดยอัตโนมัติ สิ่งแรกที่บยอนแบคฮยอนรู้สึกก็คือความเจ็บ เขารู้ตัวว่าภายใต้ฝ่าเท้ามีเศษชามกระเบื้องที่กดทาบลงบนเนื้อหนัง และนั่นทำให้ร่างสูงขมวดคิ้วจนเป็นปม
ชานยอลถลาเข้ามาจับแขนประคองอีกฝ่ายไว้ก่อนจะใช้มือแกร่งยกขาข้างนั้นขึ้นจนแผ่นกระเบื้องหลุดลงบนพื้น แบคฮยอนขืนตัวแล้วทำท่าจะดิ้นขลุกขลัก และนั่นทำให้จำต้องออกแรงบีบที่แขนแน่นขึ้นเป็นเชิงบังคับ
ใช่... ชานยอลคงถนัดนักกับการบังคับ
“พี่ต้องทำแผล”
“ไม่ต้อง”
ตอบกลับไปเสียงแข็ง หน้าแบคฮยอนเหมือนคนจะร้องไห้อยู่รอมร่อในตอนที่แขนถูกกอบกุมด้วยมือใหญ่และเหมือนร่างทั้งร่างจะจมไปกับวงแขนนั้น แต่ต่อให้รู้ทั้งรู้ ปาร์คชานยอลก็ยังบังคับพาเขากะเผลกไปยังห้องนั่งเล่นอยู่ดี
“นั่งรออยู่นี่” เสียงนั้นดังขึ้นกว่าปกติ ทั้งที่คิดจะหนีขึ้นไปบนห้องแล้วล็อกประตูไว้แต่เขาก็รู้ตัวว่าคงไม่ทันได้ไปถึงแน่ แผ่นหลังของชานยอลที่กำลังง่วนอยู่กับการรื้อหาของในตู้ยา เสื้อยืดสีเทาชื้นเป็นวงเหงื่อเล็กน้อยที่กลางหลัง
แผ่นหลังของชานยอลใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ร่างสูงเดินกลับมายังโซฟาที่สั่งให้ใครอีกคนนั่งรอก่อนจะวางยาและอุปกรณ์ทำแผลไว้บนโต๊ะรับแขกแล้วคุกเข่าบนพื้น ถึงตอนนี้ชานยอลดูลังเลนิดหน่อย แต่เขาก็ตัดสินใจยื่นมือไปประคองเท้าแบคฮยอนขึ้นมาวางไว้บนหน้าขาตัวเอง
มือนั้นใหญ่และอุ่นเสียจนทำให้แบคฮยอนร้อนไปทั้งตัว มันกำลังสัมผัสอยู่บนเท้าเขา ค่อยๆบรรจงแตะกระดาษทิชชู่ซับเลือดที่ไหลซึมออกมา ตาคมปลาบนั้นกำลังจับจดอยู่ที่รอยแผล ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ยังเกร็งตัวจนแข็งแล้วพร้อมจะลุกหนีไปทุกนาที
‘แบคฮยอน’
อีกแล้วที่เสียงนั้นดังขึ้นในโสตประสาทซ้ำๆ จนตอนนี้ดูเหมือนปากของชานยอลก็กำลังจะขยับตามมันไปด้วย
สายตาของปาร์คชานยอลเหมือนจะท้อนอยู่กับของเคลือบเงาทุกอย่างในห้องนี้ นั่นทำให้บยอนแบคฮยอนอดคิดไม่ได้ว่าหมอนั่นกำลังมองเขาด้วยสายตาแบบไหน มีเหตุผลมากมายที่เขาพร้อมจะหลอกตัวเองให้เชื่อ เพียงแต่ชานยอลไม่เคยโกหกมันออกมา
“ทนหน่อยนะ อาจจะแสบหน่อย”
‘แบคฮยอน’
มือนั้นบรรจงใช้สำลีชุบเบตาดีนทาที่แผลให้เขาอย่างเบามือ ขาของคนตัวเล็กกว่าเกร็งเสียจนชานยอลต้องออกแรงจับมันไว้ เขาคิดว่าแบคฮยอนก็แค่แสบ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาเพื่อจะหยิบผ้าพันแผลถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยกมือขึ้นกุมใบหน้าราวกับไม่อยากมองเห็นอะไรอีก
“....”
มันก็ตั้งเจ็ดปีแล้ว... เจ็ดปีแล้วนะนับตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้น ชานยอลรู้ว่ามันแก้ไขอะไรไม่ได้ และต่อให้ย้อนเวลากลับไปก็ใช่ว่าเขาจะห้ามใจไม่ทำมัน
เหมือนอย่างตอนนี้
เขาอดทนได้มาตลอดที่แบคฮยอนสะอิดสะเอียนเหมือนกับว่าเขาเป็นตัวอะไรสักอย่าง แต่ใช่... นั่นมันในตอนที่เขาแตะต้องอะไรคนตรงหน้าไม่ได้ ในตอนที่มีคนอยู่เต็มบ้าน ในตอนที่พ่อกับแม่พร้อมจะเดินผ่านไปผ่านมาได้ทุกเมื่อ
แต่ตอนนี้มันไม่มีข้อจำกัดอะไรเลย... นอกจากตัวเขาเอง
ข่มใจแล้วหยิบเอาผ้าพันแผลบนโต๊ะมาพันปิดแผลที่เท้า และทันทีที่เสียงกรรไกรดังขึ้น บยอนแบคฮยอนก็ยอมปล่อยให้ดวงตาสั่นระริกโผล่พ้นขึ้นมาสบกัน
ไม่มีคำขอบคุณ ร่างนั้นหยัดตัวลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล แบคฮยอนอาจจะต้องใช้ความพยายามมากพอตัวในการเดินหนีไปจากบรรยากาศน่าอึดอัดตรงนี้ แต่คงไม่เท่าความพยายามในการเก็บความลับระหว่างเขาทั้งคู่หรอก
รู้อยู่แก่ใจ
จำได้ตลอด
แต่ถึงอย่างนั้น...
“แบคฮยอน”
ชานยอลเคยชอบเรียกชื่อแบคฮยอน จนถึงตอนนี้เขาก็ยังชอบที่จะเรียก เหมือนปฏิกิริยาโต้ตอบที่คุ้นเคย ร่างนั้นหยุดนิ่ง เหมือนใจของแบคฮยอนยังคงนั่งอยู่โซฟาเพื่อรอให้เขาพูดอะไรสักอย่าง
ร่างสูงหยัดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง ค่อยๆหันไปหาร่างที่ยืนหันหลังให้อยู่ตรงหน้าบันได ความอุ่นที่มือยังไม่จางหายไป และชานยอลเองก็คิดว่าเขาเข้าใจไม่ผิด
“พี่จำมันได้แบบไหน?”
“....”
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบ แต่เขาเห็นมือเล็กนั้นกำลังกำเข้าหากันแน่น แบคฮยอนอาจจะกำลังห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงคำตอบ หากแต่สิ่งหนึ่งที่ปาร์คชานยอลเชื่อ
ไม่ก็คือไม่
ความลังเลของแบคฮยอนทำให้เขายอมโยนสิ่งที่เรียกว่าความอดทนทิ้งไปอีกกำมือหนึ่ง และถ้านานกว่านี้ ความอดทนนั้นอาจจะหมดจนทำให้เขากลายเป็นคนบ้าขึ้นมาอีกครั้งก็ได้
ค่อยๆเดินไปจนซ้อนหลังกับร่างตรงหน้า ไหล่เล็กห่อขึ้นน้อยๆ ร่างที่อยู่ตรงหน้าชานยอลในตอนนี้คงไม่ต่างอะไรจากต้นไม้
“....”
“จริงๆแล้ว...”
ชานยอลไม่ได้พูดต่อในทันที เขาไม่แน่ใจว่าถ้าพูดจบแล้วจะห้ามตัวเองไว้ได้อีกไหม ไม่แน่ใจว่าคนเป็นพี่จะกำลังขยะแขยงจนอยากอ้วกหรือเปล่า
“พี่ไม่ต้องฟังก็ได้”
“....”
สองมือใหญ่ยกขึ้นปิดหูอีกคน มันเป็นสัมผัสที่บางเบาเสียจนชานยอลรู้ดีว่าคงช่วยอะไรไมได้ ตอนนี้แบคฮยอนคงอยากจะเลือกรับฟังเสียงฝน แต่ความเอาแต่ใจของเขามันเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว
“....”
“....”
“ผมคิดถึงพี่”
ความคิดเห็น