ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (SEKAI) 王子和雨 | WHEN THE RAIN FALLS,

    ลำดับตอนที่ #6 : 06 | ตรงไปตรงมา

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.ย. 61


    王子和雨

    WHEN THE RAIN FALLS,

    OHSEHUN l KIMJONGIN

    - OHARHA -

     

     

     

    ( 6 )

    ตรงไปตรงมา

     

     

     

    “ข้าไม่เห็นด้วย! พี่ชายคนนี้ขอค้าน! ค้านสุดตัวเลย!”



    เปี้ยนป๋ายเซียนและลู่หานกลับมาถึงโรงหมอในช่วงสายของวันรุ่งขึ้น ทันทีที่ได้ยินเรื่องจากปากเขาก็ค้านสุดลิ่มประตู ไม่รู้ว่าเด็กนี่จะอินอะไรกับการเล่นเป็นพี่น้องนัก เพิ่งเจอกันได้ไม่กี่วันแท้ๆ ตามหลักแล้วจินจงเหรินก็เป็นคนแปลกเหมือนกันไม่ใช่หรือไง



    “หูที่ใช้การได้อะไรกัน คุณชายนั่นก็มีลู่หาน มีบ่าวไพร่มากมายอยู่แล้วแท้ๆ”



    “ข้าเองก็ยังไม่เข้าใจสักเท่าไรว่าเขาต้องการตัวข้าไปทำไม ถึงอย่างนั้นก็พอจะเข้าใจว่า...”



    “เจ้าจะไปเข้าใจอะไรจงเหริน ถ้าซื่อชุนตั้งใจหลอกเจ้าเล่า” ป๋ายเซียนพูดจาเสียงดัง ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป มีหวังเจ้าบ่าวที่ชื่อลู่หานคงได้ยินแล้วพุ่งทะยานเข้ามาด่าสาดเสียเทเสียแน่



    อันที่จริงจงอินคิดว่าตนเองต่างหากที่เหมือนจะไปหลอกคนอื่นเขา ในที่นี้จินจงเหรินนั้นมีภูมิหลังเป็นปริศนาที่สุด ฉะนั้นอย่าว่าแต่ซื่อชุนเลย แม้แต่ป๋ายเซียนก็อาจจะโดนหลอกเหมือนกัน จะว่าไปคนโบราณนั้นไว้ใจคนง่ายนัก รู้จักมักจี่กันได้ไม่เท่าไรก็เอาตัวเข้าผูกสัมพันธ์สร้างพันธะ เป็นเดือดเป็นร้อนไปด้วยต่างๆ นานา ผิดกับโลกที่เขาจากมาโดยสิ้นเชิง



    “เบาเสียงหน่อยเถอะ เดี๋ยวพวกนั้นมาได้ยินเข้าจะเป็นปัญหาอีก” ตัดบทป๋ายเซียนเพื่อหลีกเลี่ยงความรำคาญใจ ส่วนหลังจากนี้จะเอาอย่างไรต่อไปนั้นก็ขอคิดให้ถี่ถ้วนก่อนแล้วกัน



    “ไม่คิดว่ามันแปลกหรือ เจ้าคนชื่อลู่หานนั่นให้ข้านำทางไปถึงสุสานบรรพชนของพวกชนชั้นสูง แต่พอถึงแล้วกลับปล่อยให้รอข้างนอกเสียอย่างนั้น ผู้ที่อยู่ข้างในนั่นเป็นใคร เหตุใดจึงต้องทำตัวเป็นปริศนาด้วย”



    ได้ยินอย่างนั้นแล้วเขากลับไม่นึกไปว่าสองคนนั้นเป็นมิจฉาชีพหรือพวกปั้นเรื่อง กลับกันแล้วอาจจะเป็นบุคคลสำคัญเสียมากกว่า ถึงอย่างไรในประวัติศาสตร์ก็มีข้อมูลว่าลั่วหยางนั้นถือเป็นราชธานีตะวันออกอันรุ่งโรจน์ ตอนนี้เมืองหลวงอาจจะอยู่ที่ฉางอัน แต่ในปลายรัชสมัยของราชวงศ์จะต้องถูกย้ายมาที่นี่อย่างแน่นอน



    จงอินใช้เวลาขณะหนีมาอาบน้ำที่ลำธารในการใช้ความคิดเงียบๆ ตามลำพัง ความต้องการเดียวของเขาในตอนนี้ก็คือกลับไปสู่โลกเดิม ชีวิตเดิมที่แสนวุ่นวาย ซึ่งคิดๆ ดูแล้วก็เป็นไปได้ยากยิ่ง ข้อแรก จะมีโอกาสสักกี่เปอร์เซ็นต์ที่จะรอดชีวิตจากการตกตึกโรงพยาบาลสูงสิบกว่าชั้น ข้อสอง เหตุการณ์ย้อนเวลานี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้โยไร้เหตุผล บางทีมันอาจจะเหนือกว่าความบังเอิญ ตรงนี้ยังสรุปอะไรไม่ได้แน่ชัด



    ด้วยเหตุผลแรกเพียงข้อเดียว คิมจงอินก็แทบจะหมดหวังในการดิ้นรนกลับไปยังอนาคตแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ที่นี่มาถึงหกวัน เริ่มจะเคยชินกับการใช้ชีวิตที่ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่ชักโครกขึ้นมาบ้าง แต่ที่ทำใจได้ยากก็คือมันไร้ซึ่งความสะดวกสบายโดยสิ้นเชิง จะทำอะไรก็ยุ่งยากมากขั้นตอนไปหมด



    ชายหนุ่มยังจำคืนแรกของการโผล่มาโลกนี้ได้เป็นอย่างดี จะข่มตานอนเท่าไรก็นอนไม่หลับ ทั้งแปลกที่แปลกทางและเสื้อผ้ายังไม่สบายตัว ป๋ายเซียนปูผ้าบนพื้นให้เขานอนปวดหลังทั้งอย่างนั้น จนเมื่อง่วงจนไร้ทางเลือก จงอินก็พบว่าตนเองสามารถหลับได้อย่างง่ายดาย ซึ่งก็นับว่าเป็นตลกร้ายแปลกๆ เพราะตอนทำงานเป็นแพทย์ประจำบ้านที่โรงพยาบาลนั้น ในรอบสองปียังแทบไม่มีวันใดได้นอนครบแปดชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ



    ส่วนเรื่องที่คุณชายซื่อชุนร้องขอมานั้น เขายังต้องการรายละเอียดอีกมาก มากพอที่จะมีน้ำหนักในการเปลี่ยนชีวิตของใครสักคน









    เป็นอย่างที่คิดว่าพอเข้าวันที่สอง แขนของซื่อชุนก็ปวดบวมจนขยับแทบไม่ได้ อีกทั้งยังมีจ้ำเลือดและถุงน้ำปรากฏโดยรอบบาดแผล ซึ่งถือเป็นอาการขั้นที่สองของผู้ป่วยถูกงูเขียวหางไหม้กัด แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือซื่อชุนมีอาการไอเป็นเลือดและเลือดออกตามไรฟัน ร้อนถึงหมออวี้ที่เริ่มแสดงอาการไม่มั่นใจออกมาว่าจะจัดการเรื่องในครั้งนี้จนผ่านไปได้ด้วยดี



    คิมจงอินพยายามมองภาพการรักษาของหมออวี้อย่างใจเย็น ตั้งใจว่าจะไม่พาตนเองเข้าไปใกล้มากนักแต่ก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดี ข้างกันนี้มีลู่หานและป๋ายเซียนที่ยืนรออย่างใจจดใจจ่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงกลายเป็นผู้เกี่ยวข้องกับคุณชายมากปริศนาผู้นี้ไปได้



    หมออวี้ทำท่าจะใช้มีดกรีดถุงน้ำให้แตกออก เมื่อนั้นจงอินจึงทนไม่ไหวอีกต่อไป



    “เดี๋ยวก่อนครับ”



    เขากลืนน้ำลายตนเองในที่สุด ขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป มีหวังซื่อชุนได้ทรมานหนักกว่าเก่า หรืออย่างแย่อาจถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็ได้



    “ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องกรีดถุงน้ำให้แตกออก มันไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก เดี๋ยวจะทำให้ติดเชื้อง่ายขึ้นเสียเปล่าๆ”



    จิตใจคนเป็นหมอนี่มันยากจะควบคุมจริงๆ



    ในที่สุดอาการของซื่อชุนก็ดีขึ้นตามลำดับในวันที่สามและสี่ เห็นแบบนี้คงไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว ถึงจะยังขยับแขนไม่ได้มากและมีอาการปวด แต่ชายหนุ่มก็สามารถกินข้าวหรือพูดคุยได้เป็นปกติ ถึงกับสั่งลู่หานให้ไปจัดการหารถม้ามารอเอาไว้เพื่อจะได้ออกเดินทางทันทีหลังหมออวี้อนุญาต



    และเพราะอย่างนี้นี่เอง ซื่อชุนถึงร้อนใจอยากได้คำตอบจากเขาจนต้องหาข้ออ้างสารพัดให้อยู่ด้วยกัน อย่างเลวร้ายที่สุดก็คือจ่ายเงินจ้างป๋ายเซียน มากพอให้ไม่ต้องเข้าไปค้าของป่าในเมืองพร้อมๆ กับลากตัวเขาไปด้วย



    “เจ้าตัดสินใจได้หรือยัง”



    คุณชายผู้สูงศักดิ์เอ่ยถามขึ้นเมื่อเข้าราตรีที่สี่ ใบหน้าหล่อนั้นฉาบไปด้วยความกังวลจนจงอินเห็นได้ชัด เขาไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านป๋ายเซียนกับโรงหมอมาสามวัน ดังนั้นจึงกำลังเหนื่อยล้าและงุนงงกับตนเองเป็นพิเศษ



    “ตัดสินใจอะไร” จงอินยกมือขึ้นเสยผม โดยลืมไปว่ามันไม่ใช่ทรงซอยสั้นหากแต่เป็นผมมวยแบบคนสมัยก่อน ผมเผ้ายาวๆ แบบนี้น่าหงุดหงิดนัก ทำให้นึกอยากจะตัดสั้นขึ้นมาให้รู้แล้วรู้รอด “ยังไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นแหละ”



    ซื่อชุนย่นคิ้วเล็กน้อย ริมฝีปากอ้าออกจะเอื้อนเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็หุบลงเพื่อใช้ความคิดมากขึ้น เห็นอย่างนี้เขาจึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังแสดงอาการผิดหวัง แต่หากตัดสินใจสุ่มสี่สุ่มห้าคงจะทำให้เจ้าของร่างอย่างจงเหรินเดือดร้อนตามไปด้วย



    “ข้าเข้าใจว่าท่านคิดอะไร แต่มันก็ไม่แฟร์สำหรับข้าเหมือนกัน”



    “ไม่แฟ? เจ้าหมายความว่าอย่างไร”



    เขาไม่ได้สนใจแปลความหมายของศัพท์ แต่กลับเลือกยิงคำถามออกไปตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก “ท่านเป็นใคร มาจากไหน และต้องการหูที่ใช้การได้ตอนฝนตกไปทำอะไรกันแน่”



    พอถูกถามตรงๆ เช่นนี้ ซื่อชุนก็เริ่มประมวลผลในหัวอย่างรอบคอบอีกครั้ง แน่นอนว่าคิมจงอินสังเกตเห็นอาการทุกอย่าง หากเขาก็เลือกที่จะรอฟังอย่างสงบ โชคดีว่าคนอื่นอยู่ทางด้านนอก แม้แต่หมออวี้เองก็กำลังดูแลคนไข้อยู่อีกฝั่งหนึ่งของบ้าน ไม่มีเวลามากพอจะมาสนใจพวกเขาสองคนนัก



    “ข้าเป็นคนฉางอัน” ภูมิลำเนาของซื่อชุนไม่น่าแปลกใจ อย่างไรจงอินก็คิดว่าคนคนนี้ต้องมีชาติกำเนิดไม่ธรรมดาอยู่แล้ว “เดินทางมาลั่วหยางเพื่อกราบไหว้สุสานบรรพชนแล้วก็จะกลับ แต่กลับเกิดเรื่องนี้ขึ้นเสียก่อน”



    “อาฮะ” จงอินผายมือให้ว่าต่อ



    ถึงตรงนี้คุณชายแสดงสีหน้าท่าทางอึดอัด “เจ้าอาจจะคิดว่าโรคของข้าเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ หากแท้จริงแล้วมันสำคัญกับข้าเป็นอย่างยิ่ง”



    “...”



    “พูดไปเจ้าก็คงไม่เข้าใจ แต่ข้ายังไม่สามารถบอกเล่าสิ่งใดในตอนนี้ได้”



    จงอินกอดอกฟังอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งคิดว่าอีกฝ่ายพูดจบ เขาถึงได้สวนกลับไป “รู้ไหมว่าการที่ท่านไม่ยอมบอกอะไรกับคนที่คิดจะพาไปด้วย มันไม่น่าไว้วางใจ แล้วก็เสียมารยาทมาก”



    คนถูกตำหนิลดสีหน้าลงเล็กน้อย อย่างไรซื่อชุนก็คงเด็กกว่านายแพทย์คิมจงอินอย่างไม่ต้องสงสัย คิดอย่างนี้แล้วคนตรงหน้าจึงไม่ต่างอะไรจากแมวขี้อ้อนสักตัว เว้นเสียแต่ว่าน่าหงุดหงิดที่อมพะนำเหตุผลเอาไว้อยู่ได้



    “บอกตรงๆ นะ ข้าไม่เข้าใจหรอกว่ามันจะสำคัญกับท่านยังไง อยากให้ช่วยอะไรก็พูดให้ชัด อย่าอ้อมค้อม คนเขาจะได้ตัดสินใจง่ายๆ” 



    เขาไม่ชอบความยืดเยื้อ เล่นแง่ ซึ่งคุณชายคนนี้ทำมันหมดทุกอย่าง!



    “ข้าให้โอกาสท่านอีกรอบนะซื่อชุน พูดทุกอย่างออกมา ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่แม้แต่เก็บไปคิดเลย”












    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×