ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) HUMAN FARM | CHANBAEK SEKAI

    ลำดับตอนที่ #2 : 01 | New World

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ค. 58


    M

     

     

     

     

     

     

    ONE

    HUMAN FARM

    HUMAN NEVER PREVAIL OVER EATMAN

    - OHARHA -

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เขาสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความตื่นตระหนกและเหงื่อโทรมกาย สิ่งแรกที่ปรากฏสู่กรอบสายตาคือเพดานสีเทาที่ไม่ได้เรียบเนียนนัก ผ่อนลมหายใจเข้าออกถี่พอๆกับจังหวะการเต้นของหัวใจ ทั้งเนื้อตัวปวดร้าวจนต้องกัดฟันเอาไว้ เมื่อไรที่ขยับตัว ชานยอลรู้สึกว่าร่างกายเสียดกันราวกับอะไหล่ขึ้นสนิมก็ไม่ปาน หลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมขึ้นปรับให้เรตินามองภาพได้ชัดเจนขึ้น เขากำลังอยู่บนเตียงเก่าซอมซ่อ ห้องกว้างขนาดสี่เสื่อ ทางขวาเป็นโต๊ะไม้เก่าๆที่ตั้งติดกับด้านบานหน้าต่าง แต่ถูกปิดไว้ไม่ให้แสงใดเข้า มันไม่ใช่บ้านสักหลังในหมู่บ้าน ไม่มีใครมีบ้านสีเทาอย่างนี้

     

     

    เสื้อผ้าที่สวมใส่ยังเป็นชุดเดิม ชานยอลละมือจากการใช้ยันตัวเองขึ้นเพราะความเจ็บแสบจากแผลแดงไหม้บนฝ่ามือ ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรให้มันดีขึ้น เมื่อก่อนตอนทำสวนจนมือพอง แม่จะไปขอยาจากผู้เฒ่ามาให้และใช้ผ้าพันเอาไว้ แต่เขาไม่รู้อีกว่ามันคืออะไร และต้องทำแบบไหน แผลพวกนี้ถึงจะดีขึ้นได้ พาร่างทุลักทุเลไปหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะ มองหาของมีคมที่พอจะนำมาใช้ตัดผ้าสำหรับพันมือได้ชั่วคราว ทว่ามันไม่มีมีดหรือสิ่งใดที่รู้จักเลย

     

     

    ในใจรังแต่จะร้อนรนถึงคนในหมู่บ้าน ครุ่นคิดถึงภาพติดตานั้นด้วยความหวาดระแวงและขลาดกลัวสุดแสน ทุกอย่างทำเอาเขาหมดเรี่ยวแรง ถึงกระนั้น ชานยอลก็คิดไม่ออกอีกว่าเขาควรทำอย่างไรต่อไปจากนี้

     

     

    สะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาจากภายนอก  ตอนนี้เขาไม่มีอาวุธสำหรับต่อสู้ ไม่มีเรี่ยวแรงในการป้องกันตัวหากถูกเข้าทำร้าย ไม่มีอะไรที่พอจะ --

     

     

    เด็ก?

     

     

    คนที่เพิ่งเข้ามาคือเด็กชายอายุราวเจ็ดถึงแปดปี แต่งตัวแบบประหลาด มือเล็กขยับปิดบานประตูแล้วมองมาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น ชานยอลขยับตัวเองจนสะโพกติดขอบโต๊ะ ในหัวคิดอะไรไม่ออกเพราะท่าทางไร้พิษภัยนั้น แต่เขาจะวางใจได้อย่างไรว่าที่นี่ปลอดภัยมากพอแล้ว บางทีมันอาจเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดในอุโมงค์นั้นก็ได้ แล้วเด็กคนนี้ล่ะ

     

     

    เด็กเป็นสิ่งอ่อนแอ แม่พร่ำสอนมาอย่างนั้น

     

     

    “ตื่นแล้วเหรอ” เด็กชายเอ่ยถาม ร่างเล็กเดินไปนั่งลงบนเตียงแล้วคว้าเอาหมอนมากอดไว้บนตัก “ผมกับพ่อเจอพี่อยู่กลางถนนนอกตัวเมือง พี่หลับไปตั้งหลายชั่วโมง”

     

     

    “ที่นี่ที่ไหน” เขารวบรวมความกล้าถาม คนตอบเองก็เต็มใจพูดทั้งเสียงเจื้อยแจ้ว

     

     

    “อันดง”

     

     

    “อัน -- ดง? คือที่ไหน”

     

     

    “อันดงก็คืออันดง อยู่ในคยองซังเหนือ” ยิ่งฟัง คิ้วก็ยิ่งขมวดเข้าหากันจนเป็นปมตลก เด็กน้อยเองก็ทำตามกันเมื่อแน่ใจแล้วว่าพี่ชายตัวสูงไม่ได้รู้จักในสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย “พี่ไม่รู้จักเขตการปกครองเหรอ” พอได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าอีก เจ้าตัวเล็กก็หายใจเข้าฟึดฟัดอย่างกับว่าเจอของยากเข้าให้ “นั่นโต๊ะเขียนหนังสือของผม ผมชื่อจีซอง”

     

     

    นิ้วป้อมชี้ไปที่โต๊ะอันเป็นหลักยึดของชายหนุ่ม ชานยอลผละออกจากมัน แล้วก็รู้สึกเก้ๆกังๆอย่างประหลาดที่ตัวเองยืนจังก้าคุยกับเด็กแปลกหน้าอยู่อย่างนี้ สองมือยังแบออกด้วยความแสบร้อนเพราะจับเข้าที่ไหนก็ไม่ได้ เห็นอย่างนั้น ตาใสๆของเด็กเจ้าของนามจีซองก็เบิกโตขึ้นก่อนจะกระเด้งตัวไหลลงจากที่นอนทันที

     

     

    “อะ...!

     

     

    จีซองสะดุ้งตามเมื่อเขาชักมือกลับหลังจากถูกจับเข้า เด็กน้อยทำหน้ารู้สึกผิด ริมฝีปากบางเม้มแน่นในขณะคิดหาทางว่าควรทำอย่างไรต่อไป แต่แล้วมันก็ฉีกกว้างจนเกิดรอยยิ้ม ทั้งหมดนั่นชานยอลไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว “พี่รอผมแป๊บหนึ่งนะ”

     

     

    ร่างสูงยืนงงอยู่ที่เดิมในขณะที่อีกคนเปิดประตูหายออกไปแล้ว เขาไม่รู้ว่าจีซองจะทำอะไร ทว่าใจทั้งดวงมันกระสับกระส่ายและหวาดผวาเกินกว่าที่จะคิดในแง่ดีได้ ชานยอลค่อยๆสาวเท้าไปใกล้ประตู ใช้ไหล่ดันแผ่นไม้เปิดออก เอี้ยวตัวมองซ้ายขวาเพื่อสังเกตเห็นว่าภายนอกนั้นคือกำแพงแข็งที่มีโครงสร้างค่อนข้างซับซ้อน มันเลี้ยวหายไปได้ตรงนั้น มีประตูอยู่ทางนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่อาจพบเจอได้ในหมู่บ้าน บ้านของชานยอลเองก็มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมแบ่งสองห้องโล่งๆ แบ่งเป็นส่วนกลางและห้องนอน มีแค่โต๊ะ เตียง ไม่ได้เต็มไปด้วยสิ่งของมากมายอย่างที่นี่

     

     

    “แล้วจะเอายังไงกับไอ้นั่น

     

     

    เสียงทุ้มของผู้ชายดังแว่วมาตรงทางเดิน สองเท้าเปล่าค่อยๆก้าวไปข้างหน้าด้วยความหวาดระแวงท่ามกลางแสงสลัวจากอะไรบางอย่างที่เรืองรองมาจากบนเพดานห่างไปจากนี้ มันเหมือนกับแสงไฟที่เขาเห็นในอุโมงค์นั่น ในหัวมีแต่คำว่าไม่รู้ลอยคว้างเต็มไปหมด

     

     

    ทะ -- ทำลงเหรอวะ มันเหมือนเรามากขนาดนั้น”

     

     

    “แต่มันก็เป็นอาหาร! โอกาสดีๆไม่ได้มีบ่อยขนาดนี้นะ นึกดูสิ ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยได้กินอะไรดีๆอย่างนี้เลยสักครั้ง”

     

     

    “เราเอาไปคืนที่ฟาร์มดีไหม อย่างน้อยก็น่าจะได้เงินก้อนโต”

     

     

    “อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า”

     

     

    ชานยอลแยกได้เป็นเสียงคนสามคน ชายสอง หญิงหนึ่ง ทั้งหมดนั่นกำลังพูดถึงอะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ ไอ้นั่นคืออาหารอย่างนั้นหรือ แล้วทำไมอาหารถึงได้เรียกความลำบากใจจากคนพวกนี้ได้ขนาดนั้น ในหมู่บ้าน เราเก็บเกี่ยวพืชผักกันเป็นปกติอยู่แล้ว มันไม่มีชีวิต

     

     

    “ดูบาร์โค้ดที่คอมันซี่ ถึงออกไปก็ไม่รอดอยู่ดี คนอื่นคงจับกินเหมือนกันนั่นแหละ”

     

     

    “แต่นี่มันเหมือนฆ่า --”

     

     

    มันไม่เหมือนเราสักหน่อย”

     

     

     

     

    “พี่”

     

     

    จีซองทำเอาเขาสะดุ้งตัวโยนอีกแล้ว เด็กชายดูจะงุนงงที่คนแปลกหน้าอย่างชานยอลออกมาทำอะไรอยู่ตรงทางเดิน ถึงอย่างนั้นก็ใช้มือเล็กดันให้ร่างใหญ่กว่ากลับเข้าไปทางด้านในห้องเดิม ชานยอลถูกสั่งให้ช่วยปิดประตู ส่วนจีซองปล่อยเอาสิ่งที่ถือบนเบาะเตียง ทั้งยังหันมาตบเรียกแล้วพยักเพยิดให้นั่งลงตรงหน้าอีก

     

     

    “เร็วสิ ผมอุตส่าห์ไปเอาผ้าก๊อซกับยามาให้”

     

     

    สมองชายหนุ่มครุ่นคิดแต่กับเรื่องที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่ ถ้าพูดถึงคอแล้ว เขาก็มีลวดลายขนาดสองข้อนิ้วปรากฏอยู่ที่หลังคอเหมือนกัน นั่นทำให้ใจหนึ่ง ชานยอลเกิดระแวงในแง่ร้ายขึ้นมาอีกแล้วว่าคนพวกนั้นพูดถึงเขาเอง แต่พอกอปรคำว่าจับกินเข้าด้วยกัน ทั้งหัวก็ตื้อจนหาคำอธิบายให้เรื่องนี้ไม่ถูก

     

     

    ตากลมโตจ้องมองวัตถุประหลาดที่ถูกมือเล็กจับแผ่ออกกระจัดกระจาย จีซองขมวดคิ้วใส่ของสองอย่างในมือด้วยใบหน้าครุ่นคิด ปากก็ขยับพูดโดยไม่สนใจนักว่าเขาจะรู้เรื่องไปด้วยหรือเปล่า “ผมเคยไปจับโดนของร้อน แล้วแม่ใช้ยาอันนี้ทาให้”

     

     

    แล้วจีซองก็วางมันลงอันหนึ่ง ส่วนอีกอันที่ถือเอาไว้เป็นตลับสีน้ำเงินสด ใช้วิธีเปิดโดยการหมุนฝาให้หลุดออก พอได้เห็นเนื้อครีมสีขาวข้างใน ชานยอลถึงนึกออกว่ามันคล้ายกับยาที่ผู้เฒ่าเคยให้แม่มา เขาควักมันขึ้นมา ชั่งใจว่าหากสัมผัสลงไปบนผิวเนื้อแดงๆนี่คงจะเจ็บปวดเหลือทน ซึ่งเป็นดังคิด ตอนนี้ชานยอลอยากลงไปดิ้น อยากร้องออกมาดังๆ หรือทำอะไรสักอย่างเพื่อระบายความแสบร้อนเหมือนถูกปากเล็กๆกัดยิบบนฝ่ามือ

     

     

    หากนึกย้อนไปเรื่องที่ติดอยู่ในหัวเมื่อครู่ เด็กจีซองช่วยให้ความเชื่อใจสมานลงกับความคิดของชายหนุ่มอีกครั้ง เขารู้สึกดีที่ได้รับการช่วยเหลือ รู้สึกดีที่เด็กคนนี้กำลังพันผ้าที่เจ้าตัวเรียกชนิดของมันว่าผ้าก๊อซเข้ากับมือใหญ่ทั้งยังบ่นหน้ามุ่ยว่าทำได้ไม่สวย พอถึงตอนนี้ ชานยอลก็คิดเป็นห่วงโชรงขึ้นมาอีก เธอจะยังปลอดภัยไหม แล้วการที่เขาไม่ได้กลับไปนั้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางใดบ้างหรือเปล่า

     

     

    “ตอนนี้เมื่อไรแล้ว”

     

     

    “ห้าโมงกว่า” คนถูกถามตอบ พอเห็นเจ้าของเสียงทุ้มขมวดคิ้วไม่เข้าใจคำว่าห้าโมง เด็กน้อยก็เริ่มพูดงอแงขึ้นมาอีกรอบ “ห้าโมงก็ตอนเย็นไง ตอนเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะตก ทำไมพี่ไม่รู้อะไรเลยล่ะ”

     

     

    ไม่ใช่แค่ไม่รู้เท่านั้น แต่ชานยอลรู้สึกเหมือนเขาหลุดมาอีกโลกด้วยซ้ำ “วันเดิมหรือเปล่า”

     

     

    จีซองทำท่าคิด ใช้สมองที่อัดแน่นอยู่ในกะโหลกเล็กกว่าผลแตงโมนั่นทำความเข้าใจคำว่าวันเดิม “ถ้าหมายถึงเรื่องที่ช่วยพี่เมื่อเช้าล่ะก็ใช่ ผมกับพ่อ แล้วก็อาจีอุคต้องขับรถไปเอาของที่อีกเมือง พ่อบอกว่าแถวที่เจอพี่มีแต่พวกฟาร์มเนื้อกับโรงงาน”

     

     

    ชานยอลนึกอยากจะถามอีกว่าอะไรคือฟาร์มเนื้อ แล้วอะไรคือโรงงาน แต่ก็คิดว่าคงทำให้เด็กคนนี้ชักสีหน้ารำคาญใจขึ้นมาอีก เขาถึงได้สงบปากสงบคำไม่พูดอะไร ปล่อยให้จีซองบ่นเรื่องการผูกเงื่อนเป็นปมหลังจากพันผ้าก๊อซเข้าที่มือข้างซ้ายเสร็จ

     

     

    “เสร็จแล้ว” อมยิ้มภูมิใจให้กับผลงานชิ้นโบว์แดงซึ่งจะเรียกว่าโบว์คงไม่ถูก มันดูเหมือนปมโง่ๆอันหนึ่งแต่สวยงามเหลือเกินในสายตาของเด็กน้อย จีซองหยิบเครื่องมือโลหะอันใหญ่กว่ามือมาตัดผ้าก๊อซให้หลุดจากม้วน เห็นอย่างนั้น คนตื่นตาตื่นใจถึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมาอีกครั้ง

     

     

    “นี่คืออะไร”

     

     

    “พี่อะ ถามอีกแล้ว” จีซองทำปากยื่น “นี่เรียกว่ากรรไกร”

     

     

    ทวนคำว่ากรรไกรออกไปโดยไม่มีเสียงในขณะที่ใช้สายตากักเก็บรายละเอียดสิ่งนี้อีกครั้ง มันมีลักษณะเป็นใบมีดสองอัน ปลายแหลมคม ถูกยึดเอาไว้เป็นรูปไขว้โดยมีรูให้สอดนิ้วเข้าไปทางส่วนหัว ถ้าในหมู่บ้านมีสิ่งนี้ล่ะก็ พวกผู้หญิงคงจะตัดเย็บเสื้อผ้าได้ง่ายขึ้น

     

     

    ฝ่ามือของชานยอลรู้สึกดีขึ้นมากแล้วหลังอาการแสบยิบทุเลาลง เขายังเฝ้าวนเวียนถึงสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ เมื่อชั่งใจ จึงได้เลือกทำตัวเจ้าปัญหาออกไปอีก “แล้วข้างนอกมีใครอยู่อีก”

     

     

    “พ่อ แม่ แล้วก็อา พวกผู้ใหญ่บอกว่าจะคุยเรื่องสำคัญกัน เลยไล่ผมให้ขึ้นมาดูพี่”

     

     

    อาคืออะไร”

     

     

    จีซองหน้าเหวอ อุทานคำว่าจริงเหรอเนี่ยออกมาถึงสองครั้ง “อาก็คือน้องของพ่อไง โอ๊ย ผมจะบ้าตายอยู่แล้ว พี่ไม่รู้จักแม้แต่คำว่าอา

     

     

    “แล้วบา --” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว นึกไม่ออกว่าคำแปลกๆที่ได้ยินมานั่นเรียกอะไร เขายกมือขึ้นแตะที่หลังคอตัวเอง พยายามใบ้ให้จีซองเข้าใจสิ่งที่ถามถึง พอจีซองร้องว่าอ๋อ เขาจึงขอวิสาสะดูลวดลายบนหลังคออีกฝ่ายบ้าง ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมแต่โดยดี ทว่ามันว่างเปล่า

     

     

    “นั่นสิ แล้วทำไมที่คอพี่ถึงมีบาร์โค้ดล่ะ ผมไม่เคยเจอใครมีอย่างนี้เลย”

     

     

     

     

    ดูบาร์โค้ดที่คอมันซี่ ถึงออกไปก็ไม่รอดอยู่ดี

     

    แต่นี่มันเหมือนฆ่าค --’

     

    มันไม่เหมือนเราสักหน่อย

     

     

     

     

    ราวกับปริศนาในใจส่งเสียงดังติ๊งขึ้นมาเมื่อได้รับคำตอบ ชานยอลได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก มันบอกให้เขาตื่นตัว รู้แจ้งถึงอันตราย และชี้ชัดถึงเหยื่อในบทสนทนาครั้งนั้นว่าเป็นตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย คนอื่นคงจับกินเหมือนกันนั่นแหละ แล้วประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร คำสองพยางค์ที่ค่อนข้างเรียบง่าย แต่เมื่อกอปรเข้ากับการอยู่ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตซึ่งรูปร่างหน้าตาเหมือนกันแล้ว ชานยอลกลับตีความคำว่าจับกินไม่แตกเสียทีเดียว

     

     

    จีซองหันไปตามเสียงเปิดประตู เสี้ยวนาทีนั้น ไหวพริบสั่งให้ชานยอลรีบคว้าเอากรรไกรมาซ่อนไว้ข้างหลัง ตากลมโตหลุกหลิกมองหญิงในชุดแปลกประหลาด หล่อนมองเขาแข็งกร้าว มือไม่ยอมละออกจากส่วนที่ดูเหมือนจะเป็นสลักประตูเพื่อพร้อมปิดได้ทุกเมื่อ ในดวงตานั้น ชานยอลคิดว่ามันประหลาดไม่แพ้ท่าทางของเธอ ทำให้เขานึกถึงสายตาของพวกผู้เฒ่าที่มักจะพูดว่าจงรีบมีลูกไวๆ

     

     

    “จีซอง ลงไปหาพ่อข้างล่าง”

     

     

    “ครับ” เด็กชายรับคำ ก่อนวิ่งสวนแม่ออกไปก็ไม่ลืมที่จะหันมาหาชายแปลกหน้าทั้งรอยยิ้ม “พี่หิวไหม เรามีอาหารสำเร็จรสเบ --”

     

     

    “จีซอง” หญิงคนนั้นพูดเสียงแข็งจนคนถูกเรียกต้องยอมออกไปทั้งตาละห้อย เธออาจจะแก่กว่าแม่ของชานยอลนิดหน่อย แต่ก็ยังห่างไกลริ้วรอยบนใบหน้าของผู้เฒ่าหรือหมอวัยกลางคน เขาเจ็บมือเหลือเกินในตอนที่เผลอกำเอากรรไกรสีเงินวาวไว้เสียแน่น ถึงอย่างนั้น สิ่งที่อาคันตุกะอย่างเขาได้รับกลับเป็นรอยยิ้มแปลกๆ มันดูสวนทางกับแววตาไม่น่าไว้วางใจนั่นเหลือเกิน “พักผ่อนให้สบายนะ เดี๋ยวจะเอาอาหารมาให้”

     

     

    จากนั้น เธอก็ปิดประตูเสียงดังปึงแทนตัวเลือกหรือคำตอบรับใดๆที่เขาน่าจะพูดออกไป ชานยอลเลื่อนกรรไกรมาถือมองในระดับสายตา หัวใจทั้งดวงเต้นถี่ มันเร้าให้เขาทำอะไรก็ตามมากกว่าการนั่งรออันตรายอยู่เฉยๆ ไม่รู้หรอกว่าคนพวกนั้นมีจุดประสงค์ในการพาชายหนุ่มกลับไปที่ฟาร์มหรือฆ่าทิ้ง แต่จะทางใดก็ล้วนไม่ใช่ทางดีทั้งสิ้น

     

     

    บนเก้าอี้ตรงโต๊ะนั้นมีเสื้อคลุมอยู่ตัวหนึ่งที่น่าจะเป็นของผู้ใหญ่ มีติ่งชายออกไปสำหรับคลุมศีรษะเอาไว้ได้ ถึงจะยังไม่มั่นใจอะไรนัก แต่คำพูดของชายคนนั้นบอกเขาได้ว่าการมีสัญลักษณ์แบบนี้ที่คอเป็นเรื่องอันตราย ชานยอลเก็บกรรไกรไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุม รุดไปง่วนอยู่ตรงสลักประตูที่ก่อนหน้าไม่ได้เรียกความสนใจจากเขามาก่อน ชายหนุ่มพยายามจับมันแล้วดึงเข้าหาตัว บิด หักซ้ายขวาจนสุดแรง แต่ไม่ว่าจะทางใดมันก็ไม่ปลดล็อกให้เขาเสียที

     

     

    พยายามมองหาทางหนีทีไล่อื่นจนกระทั่งสายตาหยุดลงยังบานหน้าต่าง คราวนี้สลักมันคล้ายหน้าต่างที่ใช้ในหมู่บ้าน ทดลองไม่นานเขาจึงเปิดมันออกได้ หากต้องเบิกตาโพลงอีกครั้งเมื่อเสียงอึกทึกจอแจดังผ่านเข้ามาในหู ข้างนอกนั้นมีผู้คนมากมายเหลือเกิน รวมถึงสถานที่และวัตถุทรงประหลาดหลากหลายรูปแบบ หากให้ร่ายสิ่งที่เห็นตอนนี้ มันคงยิงยาวไปถึงตอนเขาถูกฆ่าตายถ้าไม่รีบเข้า

     

     

    สิ่งเดียวที่เชื่อได้ว่านี่ไม่ใช่หนึ่งในอุโมงค์นั้นก็คือท้องฟ้า ชานยอลเชื่อธรรมชาติ เชื่อในสีเขียวของต้นไม้ซึ่งอยู่ห่างไกลสายตาออกไป ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม แล้วนอกหน้าต่างนี่ก็มีที่เหยียบแค่ชายหลังคาแคบๆที่น่ากังวลเหลือเกินว่าจะแข็งแรงเพียงใด ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ฝืนความเจ็บที่ฝ่ามือแล้วจับขอบหน้าต่างเอาไว้ให้มั่น กรรไกรในกระเป๋าเสื้อไม่ได้ทำให้เขาทะมัดทะแมง แต่มันคงดีกว่าถ้าจะมีอาวุธติดไว้ป้องกันตัวบ้าง

     

     

    เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้นอีกแล้ว ใจทั้งดวงหล่นวูบไปอยู่ตรงตาตุ่ม ชานยอลใช้สองมือทาบผนังกำแพงในขณะที่ขยับตัวเลื่อนไปทางขวา คิดในใจว่าคนมาใหม่คงจะรู้ได้จากหน้าต่างซึ่งถูกเปิดทิ้งไว้แน่ๆว่าเหยื่อหนีไปแล้ว

     

     

    “บ้าเอ๊ย มันหนีออกทางหน้าต่าง!

     

     

    แล้วก็เป็นดังคิด เสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นหลังจากเสียงชายคนนั้นร้องตะโกนลั่น จากนั้นชานยอลได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นกับชายอีกคนพูดคุยอะไรสักอย่างซึ่งเขาฟังไม่ได้ศัพท์ ตอนนี้เขามาถึงสุดมุมตึกแล้ว ทางเดียวที่จะไปได้ต่อจากนี้ก็คือการสไลด์ตัวลงจากกันสาดผ้าใบซึ่งก็คงสูงอยู่ดีเมื่อวัดระยะจากพื้นแข็งด้านล่าง เขาไม่มีทางเลือก เพราะขืนยังเสียเวลาตัดสินใจอย่างนี้ก็คงถูกคนพวกนั้นหาทางไล่ต้อนเอาจนได้

     

     

    “พี่”

     

     

    เนื้อตัวที่ปวดอยู่แล้วยิ่งร้าวขึ้นมาหลังจากลงมาถึงพื้นได้ แม้จะเสียหลักจนเกือบล้มกลิ้ง ทว่าเสียงกลองระทึกในอกกลับยิ่งดังรัวเมื่อเสียงของเด็กชายร้องเรียก จีซองยืนงกๆเงิ่นๆที่บริเวณหน้าประตู ในมือนั้นมีขนมปังโง่ๆครึ่งก้อน แน่นอนว่าหากจะมีใครทำให้ชายหนุ่มชะงักการหลบหนีได้สำเร็จ คนๆนั้นก็คงจะเป็นเด็กชายซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่เอาแต่ปั้นหน้าบูดบึ้งแต่ก็ทำแผลให้คนแปลกหน้าเป็นอย่างดี

     

     

    “ต้องไปแล้ว” ชานยอลบอก สิ่งเดียวที่รู้สึกดีก็คือการที่จีซองไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการฆ่า เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงัก เดาได้จากเสียงก่นด่าทางชั้นบนของบ้าน ร่างสูงเท่าเอวนั้นวิ่งมาเพื่อยัดขนมปังใส่มือเขา ทั้งยังดันหลังให้รีบไปต่อ ก่อนที่พ่อ แม่ และอาแท้ๆจะลงมาถึง

     

     

    “พ่อบอกว่าจะฆ่าพี่ รีบไปเร็วเข้า”

     

     

    เป็นอย่างที่จีซองว่าไม่มีผิด ชายวัยกลางคนตะโกนบอกเด็กว่าจับมันไว้ทั้งเสียงเอ็ดตะโร ผู้คนโดยรอบเริ่มหันมามองเหตุการณ์นี้เป็นตาเดียว ชานยอลออกตัววิ่ง หากแต่เขาก็กลัวผู้คนเกินกว่าจะกล้าแหวกทางหนีไปได้ตรงๆ ยึกยักอยู่หลายที สุดท้ายแล้วจึงตัดสินวิ่งเลี่ยงไปอีกทาง ในหูแว่วเสียงตะโกนไล่หลัง

     

     

    คำบางคำนั้นเกือบทำให้เขาหยุดฝีเท้า ภายในท้องปั่นป่วน สับสนกับทุกสายตาซึ่งจ้องมองมาขณะคำนามบางอย่างถูกใช้จำกัดความคนแปลกแยกเพียงหนึ่งเดียว

     

     

     

     

    “มันคือมนุษย์ฟาร์ม!

     

     

     

     

    ทันทีที่สิ้นคำนาม ชานยอลรู้สึกราวกับเขาตกเป็นเป้าสายตา สัญลักษณ์ประหลาดบนหลังคอร้อนวูบขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ มันบ่งสัญญาณอันตราย ไม่ว่าจะหนีไปทางไหน กลับเห็นประกายความหิวกระหายเคลือบอยู่บนความสนใจของผู้คนโดยรอบ ท้องฟ้าครึ้มฝนส่งเสียงครืนดังเตือนเป็นระลอก กรรไกรในกระเป๋าเสื้อคลุมแกว่งไกวไปมาจนน่ากลัวว่าจะหลุดหล่นไประหว่างทาง มันเป็นสิ่งเดียวที่อาจเรียกได้ว่าความปลอดภัย อาวุธชิ้นเล็กๆที่ทำอะไรไม่ได้มากไปการหยิบขึ้นมาถือขู่เมื่อจวนตัว

     

     

    ล้มลุกคลุกคลานเมื่อชนเข้ากับผู้คนซึ่งสวนไปมา เหงื่อโทรมทั้งแผ่นหลัง ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเขายังคงถูกไล่ตามหรือคนพวกนั้นหายไปแล้ว มีผู้หวังดียื่นมือเข้ามาช่วยมากขึ้น ร่างสูงพยายามสะบัดตัวออกทุกครั้งที่ถูกเกาะเกี่ยว ภาพภายในหัวหมุนลนทิศ เพราะเรี่ยวแรงยังไม่กลับคืนเท่าที่ควรนัก ชานยอลจึงรู้สึกเหนื่อยหอบง่ายกว่าตอนที่ทำไร่อยู่ในหมู่บ้านเป็นไหนๆ

     

     

    มือภายใต้ผ้าพันแผลยังคงปวดแสบปวดร้อน หากแต่ก็ดีขึ้นมากจนสามารถถือเอาก้อนขนมปังไว้ได้โดยไม่เผลอทำมันตกไปเสียก่อน สายตาพร่ามัวเพราะเม็ดฝนที่หยดลงมา มันไหลผ่านใบหน้า หยดแหมะลงจากเปลือกตา แล้วก็กลายเป็นฝนซู่ใหญ่เมื่อชานยอลยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนซึ่งพากันแยกย้ายจากที่ชุมชนโดยไม่เห็นเงาของผู้ไม่หวังดีแล้ว

     

     

    อาหารเพียงชิ้นเดียวตกจากมือพร้อมกับร่างที่เซล้มลงบนพื้นเฉอะแฉะ ชายหนุ่มขยับเสื้อคลุมขึ้นปิดหลังคอ สอดส่องสายตาระแวดระวังอันตรายเผื่อจะมีใครจากที่นั่นตามมาอีก เมื่อได้อยู่นิ่งๆ ชานยอลถึงเพิ่งรู้สึกขึ้นมาว่าฝ่าเท้าของเขานั้นเจ็บปวดเหลือเกิน มันขรุขระจนแทบจะเป็นพื้นผิวอย่างเดียวกับทางที่วิ่งเหยียบ มีร่องรอยบาดแผลจากเศษหินหรือแม้แต่ของมีคม

     

     

    มองหาชายคาเพื่อบดบังตัวเองจากห่าฝน หากมีเพียงแค่แนวกันสาดเล็กๆให้พอคลานไปขดตัวอยู่ได้เท่านั้น กระเพาะบีบตัวร้องโครกคราก ไม่เคยรู้สึกสมเพชตัวเองมากเท่านี้มาก่อนเมื่ออาหารที่เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวก็คือขนมปังเปื้อนคราบโคลนเป็นปื้นดำเหมือนเชื้อรา อาจด้วยความเหนื่อยล้าหรืออะไรก็ตามแต่ หากสิ่งที่ไหลเปรอะอยู่บนใบหน้าจนไม่อาจแยกออกจากสายฝนนั้นคือน้ำตา ห้วงอารมณ์เพียงไม่กี่อย่างของชีวิตที่ชานยอลแทบไม่เคยได้สัมผัส ไม่รู้แม้กระทั่งว่าพื้นที่เหยียบอยู่นี้คือโลกไหน

     

     

    ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะเลือกอะไร เลือกเดินออกไปยังทางเดิมเพื่อใช้ชีวิตปกติสุขโดยไม่ต้องเห็นใครถูกแขวนบนราวนั้น ไม่ต้องโดนไล่ฆ่าและได้รู้อะไรที่ไม่ควรรู้ หรือเลือกตรากตรำอยู่บนความเป็นจริงอย่างที่กำลังเกิดขึ้น เลือกกัดกินก้อนขนมปังโง่ๆเหม็นกลิ่นสาบดิน ขดตัวจนหลังชิดระนาบกำแพงเพื่อให้พ้นแรงสาดซัดของฝน ยิ่งคิดมากเท่าไร จะทางไหนก็ไม่เห็นปลายทางที่ดีกว่าความตายทั้งนั้น

     

     

    ขณะกัดกินอาหารรองท้อง เขาจำเป็นต้องเรียบเรียงความคิดในหัวเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราวเท่าที่จะทำได้ ฆ่า จับกิน และหลังคอ สามอย่างนี้ล้วนสร้างความฉงนและไม่อาจหาเหตุผลมาเชื่อมโยงกันได้เลย แม้แต่ตอนที่วิ่งหนี เขาก็ไม่รู้แม้กระทั่งว่าทำไมต้องวิ่ง ทิศไหนคือหมู่บ้าน ทิศไหนคือทางที่เพิ่งจากมา ชานยอลไม่รู้อีก มือยกขึ้นลูบเรือนผมตัดสั้นจนยุ่งเหยิง รสเค็มปร่าของน้ำตาคือรสชาติเพียงอย่างเดียวเท่าที่ชายหนุ่มจะรู้สึกได้

     

     

    หรือบางที นี่คงเป็นโลกแห่งปีศาจอย่างที่ผู้เฒ่าต่างข่มขู่ไว้

     

     

    ชานยอลซบหน้าลงกับท่อนแขนที่พาดบนหัวเข่า ปล่อยให้ร่างทั้งร่างสั่นเทาเพราะความท้อแท้และหยาดน้ำตาซึ่งพรั่งพรูออกมา วันนี้ทั้งวันเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า หลากหลายเหตุการณ์มากเกินการรับรู้ของชายที่เคยทำเพียงแค่ใช้ชีวิตไปวันๆด้วยระบบกิจวัตรอย่างเดิม ชานยอลไม่ได้หวังการเปลี่ยนแปลงถึงเพียงนี้ ไม่ได้หวังให้ความคิด ความสงสัยเปลี่ยนโลกทั้งใบของเขาราวกับพลิกฝ่ามือ

     

     

    ตอนนี้ แม้แต่พ่อ แม่ หรือเพื่อนฝูงที่ต่างจากไปด้วยรอยยิ้ม ชายหนุ่มก็แน่ใจว่าทุกคนต่างถูกฆ่าแขวนบนรางนั้นเช่นเดียวกันหมด เมื่อได้ลองตั้งสติ คิดใคร่ครวญอย่างช้าๆ ใจก็เกิดครุ่นคิดขึ้นมาอีกว่าหลังถูกชุบในน้ำร้อน จุดหมายหลังจากนั้นคือสิ่งใดกันแน่

     

     

     

     

    “อยู่นี่เอง”

     

     

     

     

    พลันร่างทั้งร่างกลับถูกลากออกไปกลางฝน คอเสื้อคลุมถูกดึงรั้งขึ้นจนก้นแทบลอยจากพื้น น้ำเสียงเคียดแค้นชิงชังจากหนึ่งในผู้ที่ไล่ตามมาจากบ้านหลังนั้น ชานยอลผวาเมื่ออีกฝ่ายส่งเสียงตะโกนเรียก จากนั้น ชายที่จีซองเรียกว่าพ่อและคนแปลกหน้าอีกสามถึงสี่คนก็พากันกรูเข้ามาก่อนที่เขาจะล้วงหยิบกรรไกรออกมาถือขู่ได้

     

     

    “ตอนแรกพวกกูลังเลว่าจะฆ่ามึงหรือจับส่งฟาร์มเอาเงินดี แต่เล่นทำเอาหอบอย่างนี้ สงสัยมีดบ้านกูจะได้มีบุญเชือดของแพงแล้วมั้ง”

     

     

    เจ้าของเสียงพูดปล่อยมือออกจากเสื้อก่อนจะถอยออกไปยืนรวมกับคนอื่นๆ ชานยอลพยายามควานหากรรไกรที่น่าจะหนักอยู่ใต้กระเป๋าเสื้อ ทว่าโชคร้ายก็คือมันตกอยู่ไกลออกไป เมื่อกลุ่มคนจับได้ถึงทิศทางสายตาเขา อาวุธเพียงหนึ่งเดียวนั้นก็ถูกหยิบขึ้นโดยมือซึ่งอยู่ใกล้กว่า

     

     

    น้ำตาแห่งความตื่นกลัวเหือดหาย น่ากลัวว่าการดิ้นรนครั้งนี้อาจทำให้เขาพบจุดจบที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะดีหรือแย่กว่าที่เจอมา แม้รู้ว่าทั้งหมดคือการหลอกลวง หากใจของชายหนุ่มก็ยังพร่ำภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก้อนหินโง่ๆที่ผู้เฒ่าบอกว่ามีพลังอำนาจ หรือแม้แต่อุโมงค์ศักดิ์สิทธิ์แห่งการกราบไหว้บูชาและความสุขทั้งหมดทั้งมวลของชีวิต

     

     

    เขาขยับตาไล่น้ำฝนอยู่หลายครั้ง หากนี่เป็นเพียงฝัน ชานยอลหวังว่าการลืมตาขึ้นใหม่ในแต่ละครั้งจะทำให้เขาตื่นจากเรื่องที่เกิดขึ้น

     

     

    “ทำไม...”

     

     

    ส่งเสียงถามออกไปแผ่วเบา ไม่มีใครสนใจจะฟังมัน ทุกคนล้วนย่างเข้ามาใกล้ สองคนในนั้นมีมีดขนาดใหญ่ถืออยู่ มันเกือบเท่าพร้าทำสวน แต่ชานยอลแน่ใจว่าครั้งนี้มันคงไม่ได้ถูกพกมาเพื่อการนั้น คอเสื้อถูกกระชากจนทั้งร่างถอยกรูดเข้ามุมผนัง บังคับให้แหงนศีรษะขึ้น ชานยอลไม่เห็นว่ามือที่จับมีดนั้นสั่นเทา สิ่งเดียวที่เขาเห็นคือสายตาแห่งความขลาดกลัวเจือปนด้วยความหิวกระหายซึ่งมองมาเป็นตาเดียวเท่านั้น

     

     

    หัวใจใต้อกซ้ายเต้นระรัว เสี้ยวนาทีที่คมมีดจรดลงบนคอหอย ชานยอลคิดว่าทั้งร่างเขาคงสูบฉีดไปด้วยเลือดจนเนื้อหนังทุกส่วนแดงฉาน

     

     

     

     

    “หยุด”

     

     

     

     

    กลุ่มชายฉกรรจ์จำต้องชะงักสิ่งที่ทำอยู่เพื่อให้ความสนใจเจ้าของเสียงทุ้มนุ่มในชุดคลุมกันฝนสีน้ำเงิน หากแต่ยังไม่มีใครยอมถอยออกหรือเลือกตอบคำถามนั้น จนกระทั่งผู้มาใหม่สาวเท้าเข้ามาใกล้ ชานยอลเห็นเพียงครึ่งล่างของใบหน้าเท่านั้น เมื่อสองคนนั้นหันมองมา เขาก็ไม่อาจรู้อีกว่าสายตาใต้ชายหมวกคลุมนั้นเป็นอย่างไร

     

     

    “เรา -- เราเจอมัน” หนึ่งในกลุ่มพูดตะกุกตะกัก หากแต่ความเฉยชาจากคนฟังนั้นกลับไม่ช่วยให้เหยื่อที่ใกล้ตายใจชื้นขึ้นเลยสักนิด

     

     

    “ช่วยเอาอาวุธออกจากคอมันด้วย ก่อนที่ผมจะต้องจับกุมพวกคุณ” ชายชุดคลุมคนเดิมพูด ในขณะที่อีกคนแทรกกลางวงล้อมเข้ามาแล้วดันมีดออกห่างจากลำคอ “การสังหารมนุษย์ฟาร์มเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่มีใบอนุญาต ต้องโทษจำคุกไม่ต่ำกว่ายี่สิบปี”

     

     

    แวบหนึ่ง เพียงแวบหนึ่งที่อาจะเป็นการตาฝาดหรืออะไรก็ตาม ริมฝีปากที่โผล่มานั้นลอบยิ้ม แต่ยังไม่ทันได้ประมวลผลว่ายิ้มนั้นหมายความอย่างไร ความรู้สึกชาวาบอย่างรุนแรงก็แล่นปลาบไปทั่วทั้งร่างเมื่อถูกแท่งอะไรบางอย่างแตะเข้าที่ช่วงบั้นเอว

     

     

    “พะ -- พวกคุณเป็นใคร โชว์บัตรประจำตัวให้เราดูก่อน”

     

     

    แม้แต่เสียงฝนยังแว่วออกไปไกลแสนไกล คำพูดหลังจากนั้น ชานยอลไม่อาจฟังมันได้ศัพท์ สติของเขาดับวูบไปพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่ต่างจากการถูกมีดจ่อคอ

     

     

    “ฝ่ายเทศกิจสำนักงานเขตสิบสี่ เรารับแจ้งว่ามีเหตุวุ่นวายเมื่อสิบห้านาทีก่อน”

     

     

    ทันทีที่เลื่อนบัตรขนาดครึ่งฝ่ามือผ่านตัวสแกนบนข้อแขน แสงสีเขียวหน้าเหมือนบัตรระบุตัวตนก็ส่องแสงขึ้นเพื่อประจักษ์แก่สายตาของผู้ขัดขืน ร่างผอมสูงมีบาร์โค้ดอยู่บริเวณหลังคอถูกยกขึ้น ที่ทางด้านหนึ่งของลานมีรถแวนสีขาวไร้ลวดลายสกรีนใดๆจอดรออยู่แล้ว

     

     

    “ถ้าพวกคุณต้องการขัดขืนการปฎิบัติหน้าที่ ผมมีความจำเป็นที่จะต้องนำตัวไปสอบสวนเพื่อแจ้งข้อหาต่อไป”

     

     

    เหยื่อในเหตุจลาจลเมื่อครู่ถูกลากขึ้นไว้ภายในหลังรถ จัดท่าทางไม่ให้เรียวขายื่นยาวออกมาแล้วจึงดันประตูปิดล็อกเรียบร้อย ในขณะที่อีกคนขึ้นรถไปรอ แสงสีเขียวที่ส่องขึ้นจากข้อมือของคนซึ่งยังยืนพูดก็ดับวูบลงพร้อมเสียงจิ๊ปากขัดใจจากกลุ่มชายฉกรรจ์

     

     

    “ขอบคุณสำหรับการเป็นพลเมืองดี มนุษย์ฟาร์มที่พวกคุณจับได้จะถูกส่งกลับฟาร์มหลังได้รับการตรวจสอบแล้ว”

     

     

    จัดการถอดชุดคลุมกันฝนสีน้ำเงินออกก่อนขึ้นรถ คนที่มาด้วยกันนั่งประจำที่คนขับอยู่ก่อนแล้ว เสียงหัวเราะดังครืนขึ้นแข่งเสียงรถยนต์สตาร์ทเครื่อง ยิ่งมองผ่านกระจกและเห็นกลุ่มพลเมืองดีพากันแยกย้ายกลับทั้งหน้าบึ้งตึง ทั้งสองแน่ใจว่าคงยิ่งหยุดหัวเราะไม่ได้เมื่อละครตบตาเมื่อครู่มันดูสมจริงเสียยิ่งกว่าอะไรดี

     

     

    “เกือบไปแล้ว”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    สะดุ้งโหยงจากแรงกระแทกที่ทำให้เปลือกตาลืมตื่นขึ้นในเวลาต่อมา ความรู้สึกปวดแปลบตามเนื้อตัวส่งผลให้ชายหนุ่มทำได้แค่กลอกตามองไปโดยรอบเพื่อพบว่าตัวเองอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมสีขาวแคบๆ ซ้ำหน้าต่างบานเล็กซึ่งพอจะทำให้มองเห็นข้างนอกก็มืดทึบเสียจนหัวใจต้องปลุกเตือนตัวเองเรื่องสถานการณ์อันตรายอีกครั้ง

     

     

    พยายามฝืนขึ้นนั่งทรงตัวให้ได้ท่ามกลางความสั่นไหวของสิ่งที่กักขังอยู่ ชานยอลสังเกตุเห็นว่าในกล่องนี้มีหน้าต่างเล็กๆอยู่สองบาน อีกด้านหนึ่งคล้ายกับเป็นประตูบานใหญ่ ส่วนด้านสุดท้ายนั้นมีอะไรบางอย่างแวบผ่านจากอีกด้านให้ระทึกใจเป็นครั้งคราว ค่อยๆคลานเข้าหาความเคลื่อนไหวเพียงเดียวคือช่องเล็กๆขนาดเท่าข้อแขนจนถึงศอก ข้างในนั้นมีคน -- สองคน แล้วก็ภาพสมจริงของพื้นทาง นี่เขากำลังเคลื่อนตัวไปพร้อมๆกับกล่องประหลาดนี้อย่างนั้นหรือ

     

     

    ความรู้สึกแรกในใจบอกว่าอย่าไว้ใจใคร สิ่งต่อมาที่ชายหนุ่มเลือกคลานไปหาก็คือประตูบานใหญ่ เขาพยายามดันมันออก ทั้งถีบ ทั้งทุบ กระแทกด้วยไหล่ หากความเปลี่ยนแปลงคือมันไม่เปิดออก แต่เป็นการเฉวียนตัวที่เหวี่ยงให้ร่างทั้งร่างเซล้มไปกระแทกกับด้านหนึ่งจนต้องร้องโอดขึ้นมา

     

     

    เมื่อใช้มือใต้ผ้าพันแผลลูบแขนป้อยๆ ชานยอลก็เพิ่งสังเกตว่าเขาไม่ได้เจ็บแผลร้อนไหม้นี่เท่าที่ควรแล้ว

     

     

    เสียงครืนที่ดังหวี่อยู่เต็มสองหูตั้งแต่ตื่นเงียบลง ชายหนุ่มได้ยินเสียงกระแทกกระทั้นของบางอย่าง จากนั้น เสียงการเคลื่อนไหวจากประตูบานใหญ่ที่เขาใช้แรงต่อสู้เมื่อครู่ดังแกร๊งอยู่สองสามที แสงจันทร์ยามค่ำคืนลอดผ่านตามความกว้างซึ่งถูกเปิดออก เมื่อสองตาสู้แสงได้เต็มที่ ชานยอลจึงเห็นว่าที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าเขาคือบุคคลปริศนาที่แต่งตัวประหลาดไม่น้อยไปกว่าจีซองเลย

     

     

    “ฟื้นไวดีแฮะ” คนทางขวาพูด เป็นผู้ชายร่างสูงโปร่งเจ้าของเรือนผมสีดำ ทั้งยังเท้าแขนข้างหนึ่งไว้บนบานประตูทั้งท่ายืนพักขาด้วย

     

     

    “ใจเย็นๆก่อน” ส่วนคนทางซ้ายนั้น ชานยอลจำได้ว่าเป็นเสียงเดียวกับที่พูดใส่พวกพ่อของจีซอง ชายคนนี้ร่างเล็กกว่าคนทางขวา กวักมือกวักไม้เป็นท่ากดลงต่ำพร้อมฉีกรอยยิ้มเป็นมิตรที่ดูรู้ว่าฝืนเต็มที “ไม่ต้องกลัว”

     

     

    “ทำอย่างกับหมอนี่จะฟังรู้เรื่องงั้นแหละ”

     

     

    ตาของชายหนุ่มกลอกไปมาตามแต่ว่าใครเป็นคนพูด ไม่ว่าจะเป็นพวกอาลักษณ์หรือใครหน้าไหน ถ้ามีกรรไกรอยู่กับตัว ชานยอลก็คงเลือกถือมันขึ้นขู่แล้วหนีไปจากกล่องนี้ทั้งสิ้น ตอนนี้เขาทำได้แต่รอจังหวะ ช่องว่างระหว่างการสนทนาของชายปริศนาสองคนนี้ ทันทีที่สบโอกาส ร่างสูงโปร่งก็รีบถลาตัวเองกระโจนออกทางประตูแล้วตั้งท่าจะวิ่งหนีไปตามทางเปลี่ยวมืดให้ได้ ถ้าไม่ติดว่าสองคนนั้นช่วยกันล็อกแขนแล้วออกแรงดึงกลับมานั่งลงยังกล่องได้เสียก่อน

     

     

    “บอกแล้วว่ามันฟังไม่รู้เรื่อง!” คนสูงกว่าโวยวาย พอได้ลองสังเกตุริมฝีปากนั้นดีๆแล้ว ให้เดาคงเป็นคนในชุดกันฝนที่ลอบยิ้มก่อนทำให้เขาหมดสติเป็นแน่ “นับหนึ่งถึงสาม เดี๋ยวเหวี่ยงกลับเข้าไปได้แล้วฉันจะรีบปิดประตู ค่อยไปว่ากันที่โซล”

     

     

    “หนึ่ง”

     

     

    อีกคนตัดบทด้วยการพูดนับจังหวะแรก และก่อนที่จะได้เจ็บตัวอีกรอบ ชานยอลคิดว่าเขาควรโพล่งถามออกไปเพื่อระบายความตื่นกลัวนี้เสียก่อน

     

     

    “จะทำอะไรผม”

     

     

    “...” ยังไม่ทันนับสอง ดวงตาสี่ดวงจำต้องจับจ้องมาที่เขาอีกครั้งหลังจากถกเถียงกันอยู่พักใหญ่ มันเต็มไปด้วยความตระหนก แปลกใจ และคลางแคลงว่าเมื่อครู่จะเป็นแค่อาการหูฝาดชั่วขณะ “เมื่อกี้ นายพูดเหรอ”

     

     

    คนถูกถามขมวดคิ้วมุ่น เขารู้เรื่อง แต่ไม่เข้าใจคำถาม “นายสองคนเป็นใคร”

     

     

    “....”

     

     

    “จะพาผมไปที่ไหน”

     

     

    ทิ้งช่วงให้ความเงียบอีกครู่หนึ่ง คนตัวสูงที่ไม่ใช่ชานยอลถึงได้ยอมส่งเสียงออกมาอีกครั้ง

     

     

    “พระเจ้า...” ซ้ำยังผิวปากเสียงเล็กแหลมที่ไม่ได้ดูเป็นพิษภัยเอาเสียเลย “ท่าทางเราจะเจอของแพงเข้าแล้ว”

     

     

    กลับกันแล้ว สายตาเคร่งเครียดของคนตัวเล็กทางด้านซ้ายกลับดูไม่สู้ดีเอาเสียเลย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ------------------------------------------------------------------------

     

    คุณคงสงสัย เหมือนที่เขาสงสัย


     


     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×