คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : DOG | ONE
DOG
(One)
บอร์ดติดประกาศขนาดใหญ่หน้าหอพักชายปีสองถูกล้อมรอบไปด้วยบรรดานิสิตมากหน้าหลายตา ดวงตาเรียวรีของใครบางคนยิ่งหรี่เล็กลงเมื่อพยายามเพ่งมองหารายชื่อของตัวเอง มือก็กระชับเอากระเป๋าสัมภาระชนิดลากไว้แน่นแม้ว่าจะโดนนิสิตคนอื่นทั้งจงใจและไม่จงใจชนมันไปทางนู้นทีทางนี้ทีจนแทบจะเซตามไปด้วย ทั้งยังได้ยินเสียงบ่นพึมพำมาจากทางด้านหลังเรื่องที่กระเป๋าแบบนี้มันกินที่คนอื่น ทว่าบยอนแบคฮยอนไม่สนใจ
เขายังคงเพ่งไล่รายชื่อลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งหารหัสนิสิตของตัวเองเจอ ในกรอบสี่เหลี่ยมหนึ่งในตารางนั้นเป็นชื่อของเขาและใครอีกคนที่ไม่รู้จัก แบคฮยอนไม่ค่อยชอบกฏที่ต้องทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมห้องพักคนใหม่ทุกปี แต่ก็ขัดไม่ได้ในเมื่อมันเป็นธรรมเนียมของมหาวิทยาลัยที่ว่าหนึ่งตึกจะมีนิสิตพักอาศัยต่อหนึ่งชั้นปี เพราะอย่างนั้นเมื่อจบการศึกษาแต่ละปีก็ต้องย้ายตึกหอพักตามไปด้วย และตึกเดิมของเมื่อปีที่แล้วก็จะมีนิสิตปีหนึ่งย้ายเข้ามาแทนที่
ชายหนุ่มเดินลากกระเป๋าเข้ามาจนถึงโถงด้านใน ระหว่างติดต่อขอรับกุญแจจากเคาน์เตอร์ระเบียน ทั้งสองตาและสองหูก็พลันรับรู้ไปถึงบุคคลภายนอกที่อยู่ด้านในห้องเฉพาะเจ้าหน้าที่ ถึงจะจับใจความบทสนทนาแบบครึ่งๆ กลางๆ ได้ไม่ดีนัก แต่แบคฮยอนก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน
“ผมยินดีจ่ายค่าหอเป็นสองเท่า เพราะอย่างนั้นช่วยจัดห้องให้ผมอยู่คนเดียวเถอะครับ”
คนพูดเป็นผู้ชายรูปร่างผอมสูงที่คลับคล้ายคลับคลาว่าอยู่คณะเดียวกันแต่คนละสาขาวิชา เขาไม่รู้จักอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัว ดูแล้วท่าทางจะเรื่องมากไม่ใช่เล่น จะมีนิสิตสักกี่คนกันที่กล้าคุยเรื่องยัดเงินกับทางมหาวิทยาลัยเพื่อจะขออภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่นอย่างโต้งๆ แค่นี้หอพักก็แน่นจะตายอยู่แล้ว ขืนมีคนแบบหมอนี่มากๆ มีหวังนิสิตที่ล้นคงต้องระเห็จไปหาหอพักเอกชนในตัวเมืองแล้วยอมเดินทางไปกลับวันละหลายสิบกิโลเมตรกระมัง
ลิฟท์มาพอดีในตอนที่เจ้าหน้าที่ดูแลหอพักกำลังอธิบายถึงเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้วในหมู่นิสิต หอพักปีหนึ่งจะเป็นตึกที่ใหญ่ที่สุด พอขึ้นปีสอง สาม และสี่ก็จะมีห้องพักน้อยลงตามลำดับ เพราะในแต่ละชั้นปีนิสิตมักจะน้อยลงเรื่อยๆ จนเหมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว บ้างก็เรียนไม่ไหว บ้างก็ทนความบ้านนอกไม่ได้ กระหายแสงสี ห้างสรรพสินค้า บ้างก็แค่สอบติดแบบไม่ได้ตั้งใจเลยตัดสินใจลาออกไปเมื่อจบปีแรก
ทว่าในปีนี้ เพื่อนร่วมรุ่นของเขากลับรอดมาถึงปีสองกันมากกว่าที่คิด ดังนั้นหอพักที่ควรจะรองรับคนได้แบบหลวมๆ สบายๆ เลยเป็นอันแน่นขนัด บางห้องต้องถูกจัดให้อยู่ถึงสามคน แล้วยังจะมีพวกร่ำๆ จะขออยู่ลำพังเหมือนที่นี่เป็นคอนโดมิเนียมหรูอีก
บยอนแบคฮยอนเป็นฝ่ายมาถึงห้องพักก่อนเจ้าของร่วมอีกคน หอในมีขนาดห้องไม่กว้างขวางนัก เตียงสองชั้นตั้งอยู่ฝั่งหนึ่งของห้อง ถัดไปคือโต๊ะเขียนหนังสือตัวที่หนึ่ง ส่วนอีกตัวตั้งอยู่ข้างตู้เสื้อผ้าตรงข้ามกับเตียง แต่ที่พอจะทำให้รู้สึกดีกับการย้ายหอใหม่ก็คือตู้เย็นขนาดเล็กที่ทางมหาวิทยาลัยเพิ่งใช้งบซื้อมาเพิ่มให้ปีนี้เป็นปีแรก อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องพึ่งกระติกน้ำแข็งเฮงซวยพวกนั้นอีกแล้ว
ยังไม่ทันจะได้เริ่มจัดข้าวของ เสียงไขกุญแจประตูก็ดังกุกกักเป็นสัญญาณว่าเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ของเขามาถึงแล้ว แวบแรกที่อีกฝ่ายโผล่เข้ามาทั้งใบหน้าบูดบึ้งไม่สบอารมณ์ แบคฮยอนก็นึกอยากจะหัวเราะออกมาเสียเดี๋ยวนั้น ทั้งที่เขาเพิ่งด่าหมอนี่ในใจไปว่าเรื่องมากเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าแท้ๆ
ดวงตาคมมองผ่านเขาไปเหมือนธาตุอากาศ เขวี้ยงกระเป๋าเป้ใบใหญ่และกระเป๋าเสื้อผ้าทรงสปอร์ตลงกับเตียงชั้นล่างก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง พรูลมหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิดเต็มแก่ เป็นอันรู้กันว่านายเรื่องมากจองเตียงชั้นล่างไปโดยปริยาย และที่นอนของแบคฮยอนในปีนี้ก็คือเตียงชั้นสองที่ต้องคอยระวังศีรษะไม่ให้โขกเพดาน ถ้ารู้แบบนี้รีบจองเตียงชั้นล่างก่อนจะโดนแย่งไปก็ดีหรอก
“ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาพูดเปิดบทไปตามมารยาท พยายามนึกในใจว่าชื่อบนบอร์ดที่อยู่ในตารางเดียวกับตัวเองคืออะไร ปาร์ค -- เขาจำได้แค่นามสกุล และมันคงจะไม่ดีแน่ถ้าจะต้องขานชื่อคนตรงหน้าว่านายปาร์คไปเรื่อยๆ
“อืม” ผิดคาดที่หมอนั่นตอบกลับมาทั้งที่ยังอารมณ์เสียอยู่ไม่น้อย “เหมือนกัน”
ยิ้มรับเก้อๆ แล้วก็ถือวิสาสะจับจองตู้เสื้อผ้าฝั่งข้างเตียงโดยการรื้อเอาเสื้อกางเกงนานาในกระเป๋ามาใส่ไม้แขวน ส่วนอีกคนไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้นแม้แต่การบอกชื่อ นอกเสียจากว่าล้วงมือหยิบบางอย่างในกระเป๋ากางเกงแล้วแหวกม่าน เปิดประตูระเบียงหายออกไป แบคฮยอนเห็นแค่ควันคลุ้งผ่านแผ่นกระจก ดูท่าคงจะสูบบุหรี่จัดพอตัว
อืม... เขาจะลองสูบบุหรี่บ้างดีไหมนะ
“เฮ้”
แบคฮยอนเดินไปเปิดประตูระเบียง กลั้นใจไม่ให้ไอค่อกแค่กเพราะควันที่คลุ้งอยู่ในอากาศจนแทบหายใจไม่ออก นายปาร์คจัดการบี้บุหรี่กับราวระเบียงแล้วโยนออกไปอย่างมักง่ายก่อนจะหันมาหาเขา เสยเรือนผมสีดำขณะทำสิ่งที่แบคฮยอนเดาว่าคงกำลังจะหยิบมวนใหม่ขึ้นมาจุดสูบ
“นายจะเอาโต๊ะเขียนหนังสือตัวไหน” คนตัวเล็กกว่าพยักพเยิดเข้าไปในห้อง เพื่อนร่วมห้องคนใหม่มองตาม เห็นกระเป๋าเดินทางเปิดอ้าอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าข้างเตียงแล้วก็ตัดสินใจได้
“นายเอาฝั่งเตียงไป”
นายปาร์คตอบกลับมาแค่นั้นจริงๆ บทสนทนาถูกยุติ ริมฝีปากหนาหันกลับไปคาบบุหรี่จากซองสีแดงแล้วทอดสายตามองวิวทิวทัศน์ของภูเขาจากมุมสูง ลมเย็นๆ พัดเอื่อยไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศระหว่างทั้งคู่สนิทสนมกันมากขึ้น แบคฮยอนรู้สึกอึดอัด เขาไม่คิดว่าตัวเองโชคดีเลยที่ได้เป็นเพื่อนร่วมห้องกับนายเรื่องมากถึงหนึ่งปีเต็ม
เขากลับเข้ามาในห้อง ปิดประตูระเบียง ถอนหายใจแล้วจึงเดินไปวุ่นวายอยู่กับตู้เสื้อผ้าต่อ
บยอนแบคฮยอนพลิกดูเมนูท่ามกลางบรรยากาศจอแจในร้านอาหารตามสั่ง สายตาก็มองไปยังคนตรงข้ามซึ่งเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มเพียงคนเดียวที่ยังตื่นกลางวันมากินข้าวกับเขาได้ นอกนั้นก็พากันหลับเป็นตายเพราะฟาดแอลกอฮอล์กันทุกวันตั้งแต่กลับมาอยู่หอ อีกสองวันจะเปิดเทอมแล้ว ชีวิตที่แสนวุ่นวายและคึกครื้นกว่าบ้านที่โซลคงกลับมาอีกครั้ง
“ผมเอาข้าวราดพุลโกกิแล้วก็ซุปไข่ปลาครับ”
“ส่วนผมเอาต๊อกโปกิใส่ชีสหนึ่งจาน” โดคยองซูสั่งอาหารจานโปรดอย่างไม่รู้จักเบื่อ มือก็ยกขึ้นนวดหัวตาเพราะยังคงแฮงค์จากการดื่มกับเพื่อนเมื่อคืนนี้ แบคฮยอนไม่รู้ว่าคยองซูกินชีสเข้าไปได้อย่างไรไหว ที่ควรสั่งน่าจะเป็นซุปปลาแห้งร้อนๆ สักชามมากกว่า
“ดื่มกันหนักตั้งแต่บังไม่เปิดเทอมเลยนะ”
คยองซูหัวเราะเบาๆ “เดี๋ยวเปิดเทอมก็เพลาๆ ลงมั้ง”
“เพลากับผีน่ะซี เจ้าพวกนั้นน่ะเหรอ” เขาโบกมือปัดๆ เชื่อยากว่ากลุ่มเพื่อนของตัวเองจะจริงจังกับการเป็นนิสิตปีสองมากขึ้นและเข้าร้านเหล้าหลังมหาวิทยาลัยให้น้อยลง เพราะว่าเป็นสถานศึกษานอกเมือง ตัวเลือกให้เที่ยวโดยที่ไม่ต้องเข้าเมืองจึงไม่เยอะนัก พอรู้ว่าถ้าไปดึกแล้วร้านจะเต็ม พวกเพื่อนของเขาก็พอกันไปจับจองโต๊ะดื่มตั้งแต่หัวค่ำ ไม่เห็นแววจะน้อยลงอย่างที่คยองซูว่า
“เออ ช่างพวกมันเถอะ อย่าไปซีเรียสนักเลย โตๆ กันแล้ว” คยองซูเทน้ำชาใส่แก้วเป็นรอบที่สองหลังดูดแก้วแรกจนหมด “อีกอย่างคืนนี้นายห้ามชิ่งแล้วนะ ไอ้พวกนั้นให้มาตามแล้ว”
แบคฮยอนถอนหายใจ “ดื่มแล้วต้องนอนโรงพยาบาล ทรมานจะตาย”
“เอาน่า ก็โผล่ๆ ไปให้เพื่อนเห็นหน้าหน่อย แล้วก็นั่งดูดโค้กไป”
เป็นที่รู้กันดีว่าหนึ่งในกลุ่มขาดื่มอย่างเขาแพ้เหล้าง่ายอย่างกับอะไรดี หรือจะพูดให้ถูกก็คือแบคฮยอนเลือกดื่มได้แค่บางยี่ห้อ ซึ่งบางยี่ห้อที่ว่าก็ไม่มีเหล้าแบบถูกๆ ที่พอจะใช้ดื่มแทนน้ำได้อย่างที่คนอื่นชอบเลย แทนที่จะต้องสั่งแพงมาให้ตัวเองดื่มได้ ถ้าต้องไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อน เขาจึงเลือกดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำอัดลมแทนเพื่อตัดปัญหา
“เออใช่” เหมือนคยองซูจะนึกอะไรขึ้นได้ แต่ก็หันไปหยิบตะเกียบในกล่องออกมาเตรียมพร้อมเพราะหันไปเห็นว่าต๊อกโปกีถูกตักใส่จานเรียบร้อยแล้ว “เมื่อวานฉันแวะเข้าไปเอาของที่ล็อกเกอร์ในตึกคณะ แล้วบังเอิญเจออาจารย์อี้ฟานพอดี”
ถึงตรงนี้ใบหูของแบคฮยอนแดงเรื่อ แต่คยองซูให้ความสนใจกับมื้อกลางวันจนไม่ทันสังเกตเห็น
“เขาถามหานายแน่ะ เห็นว่าจะคุยเรื่องไปจีนหรือไงนี่แหละ”
บยอนแบคฮยอนยกสองมือขึ้นอุดหูเพราะเสียงเพลงที่ดังเสียจนบทสนทนากลายเป็นตะโกนแข่งกัน ให้พูดแล้วพูดอีกก็ได้ว่าเขาไม่ชอบบรรยากาศอย่างนี้เลย เสียงกระหึ่มจนแสบแก้วหูมันทำให้เขารู้สึกระแวงไปเสียทุกทีว่าอาจจะหัวใจวายตายเมื่อไรก็ได้ ที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันตรงกลางร้านเป็นกลุ่มเพื่อนราวสี่ถึงห้าคน ดูเหมือนจะยังมีสติสตังครบถ้วนเพราะยังมีแรงลุกขึ้นโบกมือเรียกให้เขาเดินเข้าไปหา น้ำอำพันในขวดทรงสูงลดไปเกือบครึ่งแต่ดูท่ายังไม่ระคายกระเพาะของใคร แบคฮยอนคว้าเอาขวดน้ำอัดลมมิกเซอร์มาเทใส่แก้วเสียจนเต็มแล้วยกขึ้นจิบหน้าตาเฉย ร้อนจนเสียงหนึ่งต้องถามขึ้นมาทั้งที่รู้ทั้งรู้
“ไม่เอาสักหน่อยเหรอวะแบคฮยอน”
“ไม่ล่ะ”
คนถูกถามตอบไม่หยี่ระ เขาเอียนกับเรื่องนี้เสียจนรู้จักเข็ดที่จะรักตัวเองแล้ว แรกเริ่มเดิมทีตอนขึ้นมหาวิทยาลัยใหม่ๆ เหล้าทั่วไปก็ยังพอได้เข้าปากบ้าง แต่พอต้องพบประสบการณ์ถูกหามขึ้นรถเข้าตัวเมืองแล้วนอนโรงพยาบาลสองคืนติด แบคฮยอนก็สัญญากับตัวเองว่าเขาต้องหาทางเอาตัวรอดในสังคมวัยรุ่นให้จงได้โดยที่ไม่ต้องทรมานอีก
“เฮ้ย มึงดูโต๊ะนั้นสิชานยอล”
เจ้าของชื่อละสายตาจากเหล้า บุหรี่ และผู้หญิงที่ขนาบข้างเพื่อหันไปมองคนโชคร้ายซึ่งกำลังจะเป็นเป้าหมายในบทสนทนาใหม่ของเพื่อนร่วมกลุ่ม หากใครว่าผู้ชายไม่มีนิสัยชอบพูดชอบสอดอย่างเพศตรงข้ามแล้วล่ะก็เขาคงอยากเถียงขาดใจ ดวงตาคมมองปราดผ่านโต๊ะแล้วโต๊ะเล่าแต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครโดดเด่นขึ้นมาเป็นพิเศษ เขาไม่รู้ว่าคิมจงอินกำลังพูดถึงใครอยู่
คนต้นเรื่องเหมือนจะเข้าใจความเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นกับคนตัวสูงได้ง่ายแสนง่าย จึงหัวเราะร่าแล้วขยับนิ้วที่ชี้ออกไปนิดหน่อยราวกับมันจะช่วยเจาะจงเป้าหมายได้มากขึ้น “คนที่ตัวเล็กๆ ตาตี่ๆ นั่นน่ะ... นั่นไง ที่กำลังเทโค้กเพียวๆ”
“อ้อ...”
ปาร์คชานยอลหรี่ตาลงนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าคนๆ นั้นก็คือเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ของเขานั่นเอง สีหน้าของหมอนั่นไม่สู้ดีนัก ดูเบื่อเต็มแก่แต่ก็ไม่ยอมลุกออกไปโต๊ะเสียที ถึงอย่างนั้นก็ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษ บางทีจงอินอาจหมายถึงคนอื่นก็เป็นได้
แต่แล้วเขาก็เห็นว่าอีกฝ่ายเทน้ำอัดลมเพียวๆ ใส่แก้วที่เพิ่งดื่มจนหมด พอทำอย่างนั้นพวกจงอินก็หัวเราะร่า
“คนนั้นกูรู้จัก แบคฮยอนเอกโฆษณาไงมึง ที่ใครๆ ก็ว่าเก่งน่ะ” ชานยอลเงียบฟังคิมจุนมยอนพูด แล้วก็เป็นจงอินที่สวนขึ้นมาเหมือนเป็นตัวสร้างความสนุกของกลุ่ม
“ไอ้คนที่มึงเคยเล่าว่าดูติ๋มๆ แต่แม่งเอแทบทุกตัวใช่ไหมวะ”
“ถ้าแม่งจะเฟี้ยวขนาดไม่กินเหล้าในร้านเหล้าแบบนี้ ทีหลังกูแนะนำแดกเกลือแร่อยู่บ้านดีกว่า”
“ไอ้สัตว์ มึงอย่าว่าไป เหล้ามันทำให้สมองฝ่อโว้ย!”
คนทั้งโต๊ะพากันหัวเราะรวมทั้งพวกผู้หญิงที่ถูกชวนมาด้วย ทว่าชานยอลกลับเป็นคนเดียวที่ดื่มแอลกอฮอล์จากแก้วเงียบๆ ภาพลักษณ์ของผู้ชายคนนั้นค่อนข้างแย่ทีเดียวในสายตาพวกไม่สนใจเรียนอย่างเพื่อนๆ เขา แต่กลับกันแล้วก็ไม่ใช่พวกไร้เพื่อนฝูง ขนาดว่าไม่ดื่มเหล้า แต่คนทั้งโต๊ะที่หมอนั่นนั่งอยู่ก็ยังพากันให้ความสนใจ ทั้งกอดคอคะยั้นคะยอด้วยบาคาดี้รสชาติอ่อนๆ อีก
เป็นคนที่น่าเบื่อจริงๆ
ปาร์คชานยอลวางแก้วที่ดื่มจนหมดลงกับโต๊ะ คนอื่นๆ ดูเหมือนจะสนใจอยากให้เขาพูดอะไรออกมาสักอย่าง ไม่มีใครรู้ว่าเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ที่เขาบ่นถึงเป็นใคร ไม่มีใครรู้ว่าไอ้อ่อนที่นั่งทำหน้าเหยเกเป็นตัวตลกให้ทุกคนหัวเราะแบบนี้จะอยู่ใกล้ตัวเขาถึงเพียงไหน
“กูว่ากระแดะ”
อยู่กับหมอนั่น... ยังไงก็คนละโลกชัด ๆ
“อาจารย์ครับ”
นี่คงเป็นเสียงที่อู๋อี้ฟานนึกอยากจะได้ยินมากที่สุดหลังจากเสียงเคาะประตู คนที่เพิ่งเดินเข้ามานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นบยอนแบคฮยอน ลูกศิษย์เอกออกแบบกราฟิกและโฆษณาที่เจอหน้ากันมาถึงหนึ่งปีเต็มแล้วนั่นเอง การที่แบคฮยอนมาที่นี่ย่อมเป็นเพราะคำฝากบอกที่เขาเอ่ยกับเพื่อนของเจ้าตัว และเพราะอย่างนั้นถึงอดเสียใจไม่ได้ อย่างน้อยถ้าได้เจอกันตั้งแต่ตอนที่กลับมามหาวิทยาลัยในสองสามวันแรกก็คงจะน่าดีใจกว่านี้
“ถ้าไม่ให้เพื่อนเธอเป็นคนไปบอก ก็คงไม่คิดจะมาหาฉันที่นี่ใช่ไหม”
นิสิตหนุ่มแค่ระบายยิ้มเป็นคำตอบให้กับคำถามนั้น ร่างเล็กกว่าในชุดไปรเวทค่อยๆ เดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าคนบนเก้าอี้แล้วจึงย่อตัวลงคุกเข่ากับพื้น “ผมไม่ลืมสัญญาของเราหรอกครับ”
สิ้นคำอู๋อี้ฟานก็หัวเราะเบาๆ แล้วว่า “ที่เรียกมาเพราะอยากจะคุยเรื่องไปดูงานที่จีนต่างหาก”
“ผมรู้ว่านั่นน่ะเรื่องรอง”
ทว่าแบคฮยอนก็ตัดบทด้วยรอยยิ้มที่มีลับลมคมในกว่าเดิม
มือขาวค่อยๆ ปลดเข็มขัดของอาจารย์หนุ่มแล้วรูดซิปกางเกงลงอย่างรู้งาน จะว่าไม่รู้สึกกระดากอายเลยก็คงโกหก แต่ในเมื่อสิ่งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกและมันก็เป็นรสนิยมของคนทั้งคู่ ทั้งยังกล่าวได้ว่าเป็นการตอบแทนบางสิ่งบางอย่างที่ช่วยเชิดหน้าชูตาความเป็นนิสิตว่าที่เกียรตินิยมของเขาได้เป็นอย่างดี เป้าหมายของแบคฮยอนยังอีกไกลนัก ซึ่งเขาไม่รังเกียจเลยถ้าคนที่คอยพยุงตัวเองจนถึงฝั่งฝันจะเป็นอี้ฟาน
“ขอบคุณนะครับสำหรับเกรดสวยๆ ในเทอมที่ผ่านมา”
ความลับของการแลกเปลี่ยนที่ถูกรักษายิ่งชีพ กลโกงที่ใช้เอาเปรียบเพื่อนร่วมรุ่นโดยไม่มีใครได้รู้ บยอนแบคฮยอนคิดว่าเขาคงสามารถผ่านมันไปได้โดยง่าย และถึงคราวตาย ความลับพวกนี้ก็ไม่มีวันโผล่ออกมาจากหลุม
หากเขาคิดผิด ตึกคณะที่ร้างผู้คนอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมาเมื่อไรก็เป็นได้ เช่นเดียวกับการบังเอิญมีใครสักคนอยู่หน้าประตูห้องพักอาจารย์ประจำภาควิชา
“ที่แท้ก็โสโครก”
เสียงนี้อาจพูดกับเขา แต่ในตอนนั้นแบคฮยอนมองไม่เห็นสิ่งใดเลย
-----------------------------------------
ชอบไม่ชอบอย่างไร อย่าลืมคอมเมนท์เป็นกำลังใจ
หรือติดแฮชแท็ก #ficdog มาทักทายกันหน่อยนะคะ <3
ความคิดเห็น