ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) DARK HORSE | chanbaek hunbaek

    ลำดับตอนที่ #2 : EPISODE 1 | THE END

    • อัปเดตล่าสุด 23 ต.ค. 59









     



    DARK HOUSE

         間違えている箇所もあります。

    ….

    o n e

     

     




     

     

    ความสุข

    อาจเป็นการผิดพลาด

     

     

     

     







     

     

    เสียงดนตรีดังกระหึ่มภายในผับขนาดกลาง ขาตั้งไมค์ถูกโยกไปตามการเคลื่อนไหวของนักร้องนำที่กำลังเปล่งเสียงไปตามจังหวะเพลง ฟลอร์เต้นขนาดย่อมเกือบจะกลายเป็นลานคอนเสิร์ตย่อมๆแออัดไปด้วยผู้คน ทุกอย่างกำลังสนุกสนานจนหยุดไม่อยู่




     

    แตร๊ง




     

    “....”

     

    บยอนแบคฮยอนหันไปมองมือกีต้าร์อายุครึ่งเดือนเช่นเดียวกับสายตาของคนทั้งผับ ร่างนั้นยิ้มแหยเมื่อรู้ตัวว่าได้ตัดบรรยากาศสนุกๆให้ขาดกลางลงกับมือ ผู้ชมหลายคนทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ ทั้งๆที่น่าจะได้สนุกต่อไปจนจบเพลงให้สมชื่อวงเกลย์ แต่ความผิดพลาดก็นำมาซึ่งความผิดหวังอยู่ดี

     

    คิมจุนมยอนถอดสายสะพายเบสออกแล้วทำท่าเหมือนคนที่อยากกรีดร้องเต็มแก่ตั้งแต่ก้าวแรกที่พวกเขาเข้ามาถึงหลังเวที โดคยองซูควงไม้กลองในมือแทนที่จะกุมขมับกดดันมือกีต้าร์คนใหม่ซึ่งกำลังขอโทษขอโพยอยู่กับนักร้องนำอย่างบยอนแบคฮยอน มันก็น่าสงสารอยู่หรอกนะเพราะเขารู้จุดหมายดีอยู่แล้ว

     

    “ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ”

     

    แบคฮยอนยังไม่ทันจะได้ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาแล้วกุมขมับให้กับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เจ้าของร้านก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน หล่อนทำเหมือนจำเป็นต้องหักเงินพวกเขา แต่มันไม่แย่เท่ากับเสียงก่นด่าผิดหวังจากผู้ชมบางคนหรอก

     

    “แล้วนายจะเอายังไง” เขาถาม และมือกีต้าร์คนใหม่ก็ดูเหมือนจะมีคำตอบในใจดีอยู่แล้วหลังจากได้ลองเข้ามาร่วมวงเมื่อครึ่งเดือนก่อน

     

    “หมด หมดแล้ว”

     

    จุนมยอนแบมือสองข้างออกกางอากาศหลังจากรู้แน่ชัดแล้วว่าเหลือเพียงพวกเขาสามคนตามเดิมกับการเป็นสมาชิกวงเกลย์ เขารีบแบ่งค่าจ้างของคืนนี้ให้กับส่วนเกินซึ่งยืนงั่นงกอยู่ในห้อง แล้วในตอนที่มีแค่ทั้งสามคน จุนมยอนก็พูดต่ออีก

     

    “แล้วจะเอายังไงต่อ”

     

    “นี่มันแย่ชะมัด” คยองซูแค่นหัวเราะพลางยัดไม้กลองลงกระเป๋าเป้ด้วยสีหน้าหงุดหงิดเสียเต็มประดา “หามือกีต้าร์สองเดือน ได้ทำงานแค่สองอาทิตย์แล้วก็ต้องวนลูปกลับไปที่สองเดือน”

     

    ถึงจะเห็นด้วยแต่นี่ก็ไม่ใช่บรรยากาศแบบที่เขาควรจะหันไปแทคมือกับคยองซูอย่างเคย จอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ของร้านฉายภาพเอ็มวีซิงเกิ้ลใหม่ของอาร์ค วงร็อคที่เข้าใกล้คำว่าตำนานที่สุดในตอนนี้ นักร้องนำชายหน้าหวานในชุดแจ๊คเก็ตสีดำดูจะเรียกความสนใจจากคนในร้านได้ดีกว่านักร้องสดบางวงเสียอีก

     

    บยอนแบคฮยอนเงยหน้ามองภาพตัดสลับไปยังสมาชิกแต่ละคนในวง แม้จะแค่สี่หรือห้าวินาที แต่ภาพของผู้ชายในชุดแจ๊คเก็ตหนังและเรือนผมสีดำซอยสั้นกำลังโซโล่กีต้าร์ก็ดูจะตราตรึงสายตาของเขาได้เป็นอย่างดี รอยสักรอบต้นนิ้วนางข้างขวายังคงเด่นชัดในตอนที่มือนั้นจับปิ๊กดีดลงไปบนสายกีต้าร์

     

    รู้สึกปวดหนึบขึ้นมาที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างประหลาด ในตอนนี้เหมือนกับว่าแหวนซึ่งเขาสวมทับรอยสักนั้นเป็นเหล็กร้อนนาบไฟไม่มีผิด มันทั้งเจ็บปวดและน่าหงุดหงิด

     

    “ว้าว เทพเหมือนเดิม” คิมจุนมยอนโพล่งขึ้นเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เขาเก็บเบสคู่ใจลงกระเป๋า เสยผมสีทองของตัวเองอย่างลวกๆแล้วเริ่มเปิดบทข้อตกลงของวันนี้ “เขาไปดีแล้วก็เหลือแต่เรา จะเอาไงต่อ?”

     

    “แม่ฉันอยากให้กลับไปตั้งใจเรียนแล้ว” คยองซูตอบคนแรก นี่มันไม่ใช่เค้าลางที่ดีนักสำหรับคนที่ดึงดันให้วงไปต่อมาตลอดอย่างเขา

     

    คิมจุนมยอนและคยองซูเองก็เข้าใจข้อนั้นดี แต่ในระยะเวลาปีเศษๆพวกเขาเปลี่ยนมือกีต้าร์ไปถึงห้าคน ทั้งติดใบปลิวก็แล้ว ประกาศหาทางอินเตอร์เน็ตก็แล้ว ถึงจะมีคนมาสมัครอยู่บ้างแต่ก็ใช่ว่าจะอยู่ยืดเสมอไป สามจากห้าเป็นพวกเพิ่งหัดเล่นดนตรีแล้วอยากปล่อยของ อีกสองสามคนก็ดูจะเข้ากันไม่ได้ซ้ำยังเรียกว่าไปคนละแนวได้ไม่ผิด แล้วนี่ก็อาจจะเป็นครั้งที่ร้อยแล้วก็ได้กับการที่พวกเขาต้องมานั่งกุมขมับเพื่อคิดหาหนทางต่อไป

     

    “ฉันว่ามันไม่ไหวหรอก” เจ้าของตำแหน่งมือกลองพูดเสียงเครียด ปกติแล้วคยองซูไม่ใช่คนชอบขัดหรือมีความเห็นมากนัก แต่ในตอนที่พวกเขาเหลือกันแค่สามคน การเงียบไว้ไม่ใช่เรื่องน่าทำนัก “ถึงเวลาทำตามข้อตกลงแล้ว”

     

    “....”

     

    แบคฮยอนยกมือขึ้นลูบใบหน้าอย่างลวกๆแล้วถอดเสื้อตัวนอกออก ทั้งที่เตรียมตัวมาเพื่อเปลี่ยนใจเพื่อนร่วมวงเกี่ยวกับการยุบเกลย์ แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งที่พวกเขาประสบกับความล้มเหลว

     

    “ยอมรับเถอะน่า ว่าตั้งแต่ไม่มีหมอนั่นวงเราก็มีแต่ดิ่งลงๆ” พี่ใหญ่อย่างจุนมยอนตัดสินใจพูดความในใจออกมาหลังจากใช้เวลาคิดอยู่หลายเดือน “ขืนอยู่อย่างนี้คงอดตายกันพอดี”

     

    ความฝันที่แลกมาด้วยการทำงานหลังขดหลังแข็งในร้านสะดวกซื้อหรือวิ่งเสิร์ฟถ้วยซุปร้อนๆในร้านอาหารมันไม่ได้น่าอภิรมย์นัก อย่างน้อยๆถ้ากลับไปเรียนมหาวิทยาลัยจนจบหรือหางานประจำทำเพื่อดำเนินชีวิตต่อไปมันก็คงดีกว่าอยู่อย่างลมๆแล้งๆแบบนี้

     

    พวกเขาไม่เหมือนเดิมแล้ว

     

    เมื่อปีที่แล้วอาจจะเป็นยุคทองของเกลย์จนทำให้ต่างคนต่างนั่งๆนอนๆและรอขึ้นแสดงในตอนกลางคืนทุกๆสี่หรือห้าวัน แต่ตอนนี้เกลย์ก็ไม่ต่างอะไรจากวงดนตรีงั่งๆวงหนึ่งที่ทำลายความคาดหวังและมีจำนวนแฟนคลับลดลงเรื่อยๆ อย่าว่าแต่ไลฟ์เฮาส์เลย งานจ้างพวกเขาน้อยลง มันเกือบจะหายากพอๆกับมือกีต้าร์ที่บางทีก็ต้องไปอ้อนวอนเพื่อนจากวงอื่นมาขึ้นแทนเป็นครั้งคราว


     

    “ตกลง”

     

    “....”

     

    “ฉันยอมให้ยุบเกลย์แล้ว”
     

    เสียงสั่นๆจากปากนักร้องนำแสดงออกว่าเขาเหนื่อยเกินกว่าจะยื้อวงเกลย์ต่อไปได้อีกทั้งที่มันย่ำแย่จนเกือบจะดับอยู่รอมร่อ แบคฮยอนไม่ควรต้องยื้อให้คยองซูไม่ได้เรียนต่อ ไม่ควรปล่อยให้จุนมยอนต้องกุลีกุจอมาซ้อมดนตรีเกือบทุกเย็นทั้งที่ไม่มีมือกีต้าร์ หรือแม้แต่ตัวเขาเองที่ต้องทำงานพิเศษเพื่อหาเงินจ่ายค่าห้องและเช่าห้องซ้อมถูกๆทั้งที่รู้ว่ามันจะไฟดับทุกๆสามชั่วโมง

     

    “....”

     

    “....”

     

    ในอกมันโหวงแปลกๆ ระหว่างทั้งสามคนมีเพียงความเงียบอย่างคนที่นึกอะไรไม่ออก ถ้ายุบเกลย์ในตอนนี้ก็เท่ากับว่าพวกเขาทิ้งความฝันด้านดนตรีหลังจากกอดคอสู้มาด้วยกัน อดไม่ได้ที่จะไม่โทษใครบางคนซึ่งจากไป ผลกระทบในครั้งนั้นเหมือนทำให้เกลย์เสียศูนย์ แบคฮยอนยังคงร้องเพลงดีเหมือนเดิม จุนมยอนก็เล่นเบสได้ไม่บกพร่อง คยองซูยังตีกลองเหมือนระเบิดเวลา แต่มันก็เหมือนรถที่มีแค่สามล้อ

     

    พวกเขาไม่สามารถเดินต่อไปได้

     

    มันเป็นทางตัน เป็นจุดสิ้นสุดของวงดนตรีเล็กๆวงหนึ่ง แบคฮยอนยอมจบมันลงตรงนี้ดีกว่าการไม่เหลือชื่อให้ใครจดจำ ชื่อเสียงที่สร้างมานั้นลบลงเรื่อยๆ อัตราค่าจ้างก็ต่ำลงไม่ต่างจากวงดนตรีทั่วๆไป เพลงที่แต่งขึ้นมาใหม่ไม่ดัง ไม่มีแม้แต่รายได้ ศักยภาพ หรือความพร้อมที่จะเช่าไลฟ์เฮาส์สักที่แล้วเปิดมินิคอนเสิร์ตเหมือนอย่างเคย




     

    ต้องยอมปล่อยมือจากความฝัน... นี่แหละความจริง




     

    “งั้น... ฉันกลับแล้วนะ” คยองซูยกเป้ขึ้นสะพายบนบ่าด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน เขาไม่ได้อยากกลับไปเรียนกฎหมายหรือหาเพื่อนในมหาวิทยาลัย ไม่อยากแม้แต่จะเอาไม้กลองเก็บใส่กล่องแล้ววางลืมอยู่บนชั้น แต่ถึงอย่างนั้น...

     

    “โชคดี” จุนมยอนเป็นคนต่อมาที่หยิบกระเป๋าเบสขึ้นสะพาย เขาเดินเข้ามาตบบ่าเพื่อนร่วมวงคนสุดท้ายซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิมราวกับเป็นคำปลอบใจเท่าที่จะสามารถทำได้ “ว่างๆก็แวะมากินเบียร์ด้วยกันหน่อยนะ”

     

    ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าคนที่เจ็บปวดกับการจากไปของปาร์คชานยอลมากที่สุดก็คือนักร้องนำของวงอย่างแบคฮยอน แต่ไหนแต่ไรทั้งคู่ตัวติดกัน ฟอร์มวง แต่งเพลงขึ้นมาด้วยกัน ดวงตาของแบคฮยอนสั่นระริกในตอนที่บอกข่าวร้ายเรื่องการลาออกของหนึ่งในสมาชิก




     

    ใช่... ปฏิเสธไม่ได้ว่าปาร์คชานยอลกลายเป็นชื่อต้องห้ามสำหรับวงเกลย์ไปแล้ว




     

    ตาเรียวรีทอดมองปลายเท้าของพี่ใหญ่ซึ่งค่อยๆถอยออกไปจากกรอบสายตา จุนมยอนกับคยองซูคงจะพากันแยกย้ายกลับไปแล้ว ถ้าไม่เพียงแต่ประตูถูกชิงเปิดออกจากใครอีกคน และนั่นเรียกให้บยอนแบคฮยอนต้องเงยหน้าขึ้นมองเช่นเดียวกัน

     

    “อ่า... นี่”

     

    เสียงเป็ดๆของเด็กผู้ชายตรงหน้าทำให้ร่างเล็กต้องขมวดคิ้วมุ่น เรือนผมซอยสีทองเข้ากับผิวขาวๆและใบหน้าที่หล่อเหลาเหมือนพวกดาวโรงเรียนกำลังจับจ้องพวกเขาทีละคน ร่างโปร่งสูงชูใบปลิวขาดแหว่งที่มุมซ้ายล่างขึ้นระดับเดียวกับศีรษะ จุนมยอนอี๋ขึ้นมาทันที่เห็นรอยเท้าสีดำเปื้อนอยู่บนกระดาษแผ่นนั้นราวกับหมอนี่เพิ่งเก็บได้จากดงเท้าของคนทั้งเมือง

     

    “ผมเห็นใบปลิวนี่บอกว่าพวกคุณกำลังรับสมัครมือกีต้าร์”

     

    ทั้งสามคนมองหน้ากัน แล้วคิมจุนมยอนก็เป็นคนแรกที่หัวเราะเสียงขม “ไม่รับแล้ว เราเพิ่งจะยุบวงกันไปเมื่อกี้นี้เอง”

     

    “ทำไมล่ะครับ” เด็กคนนั้นสวนขึ้นก่อนจะก้าวขาเข้ามาภายในห้องหลังเวทีทั้งที่ยังไม่ทิ้งใบปลิวกรังๆนั้นลงพื้น “ทำไมพวกคุณถึงยุบเกลย์ล่ะ?”

     

    นัยน์ตาคมนั้นจับจ้องมายังนักร้องนำของวงซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาทางด้านในสุด คยองซูเดินกลับเข้ามายืนข้างโซฟาแล้ว และบยอนแบคฮยอนก็ยังนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเขาควรตอบคำถามนี้แบบไหน

     

    “ขอบคุณที่สนใจนะ แต่ว่า...”

     

    “ไม่มีใจจะเล่นดนตรีต่อแล้วเหรอครับ”




     

     

    ท้อทำไมกัน ไม่มีใจจะเล่นดนตรีแล้วหรือไง




     

     

    งี่เง่าสิ้นดีที่เขาเห็นภาพของมือกีต้าร์คนเก่าทาบทับลงมาราวกับยังอยู่ตรงนี้ ต่างกันที่เด็กคนนี้ยังอยู่ในชุดนักเรียนมอปลายแถมไม่ได้พกกีต้าร์สักตัว จุนมยอนรีบเดินกลับมารวมกลุ่มกับอีกสองคน เขาวางกระเป๋าเบสลงแล้วว่า

     

    “เฮ้ เด็กคนนี้ แล้วทำไมมาถึงนายก็ฉอดๆๆใส่พวกเราแบบนี้ล่ะ”

     

    หากแต่ท่อนแขนกลับถูกจับไว้จากคนที่นั่งอยู่ บยอนแบคฮยอนทอดสายตามองเด็กหนุ่มด้วยแววแคลงใจ เขาเห็นสร้อยหนังสีดำห้อยจี้รูปกุญแจโผล่พ้นเสื้อยืดตัวในออกมา มันคล้ายๆกับสร้อยเส้นนั้น แต่แบคฮยอนก็แน่ใจว่ามันเป็นคนละแบบกัน

     

    “นายชื่ออะไร”

     

    คนถูกถามเดินมาข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง มือซึ่งกระชับสายสะพายเป้ยิ่งบีบแน่นขึ้นอีก

     

    “โอเซฮุน... ผมชื่อโอเซฮุน”

     

    “....”
     

    “ผมติดตามเกลย์มาตลอด ชื่นชมพวกคุณมาตลอด”

     

    “....”

     

    “เพราะอย่างนั้น... ถ้าพวกคุณจะยุบวง ก็ขอเหตุผลให้ผมด้วยเถอะครับ”

     

    ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ทั้งจุนมยอนและคยองซูมองหน้ากันเหมือนกับว่านี่คือเรื่องเหลือเชื่อเกินไปสำหรับพวกเขา เกลย์เดิมพันครั้งสุดท้ายไปแล้ว และมันล้มเหลว ถึงหมอนี่จะหล่อแต่ฝีมือกีต้าร์อาจจะห่วยแตกก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นมันคงไม่ต่างจากมือกีต้าร์คนก่อนๆนักหรอก

     

    แบคฮยอนหยัดตัวขึ้นยืน เขาทอดมองจี้รูปกุญแจตรงไหปลาร้าด้วยความรู้สึกน่าหงุดหงิดอีกแล้ว “โอเซฮุน”

     

    “....”

     

    “งั้นขอเหตุผลที่เราจะรับนายเข้าวงหน่อยสิ”

     

    “แบคฮยอน!” จุนมยอนและคยองซูอุทานขึ้นมาพร้อมกัน ให้ตายเถอะ นี่พวกเขาเพิ่งตกลงยุบวงด้วยกันหยกๆไม่ใช่หรือไง แล้วถามออกไปแบบนี้... เด็กนี่ไม่ได้เอากีต้าร์มาออดิชั่นด้วยซ้ำไป

     

    “เหตุผล...”

     

    เซฮุนพึมพำ แต่แล้วเขาก็ยิ้มออกมา

     

    “ผมรู้จุดอ่อนของพวกคุณ”

     

    เสียงแตกหนุ่มนั้นพูดอย่างมั่นใจ ในตอนนี้โอเซฮุนจับจ้องอยู่แค่กับนัยน์ตาสีเข้มของนักร้องนำแล้ว ทั้งคู่สบกันอย่างไม่มีใครยอมใคร

     

    “ถ้าแค่เรื่องเกลย์ขาดมือกีต้าร์ ใครๆก็รู้...”

     

    “ไม่ใช่” ร่างสูงว่า “จุดอ่อนของพวกคุณ แม้แต่ปาร์คชานยอลคนนั้นก็ทำให้มันดีขึ้นไม่ได้”

     

    เด็กหนุ่มพูดชื่อต้องห้ามออกมาหน้าตาเฉย แต่บยอนแบคฮยอนยังคงรักษาท่าทีได้ดีเยี่ยม เขานิ่งฟังสิ่งที่เซฮุนพูดออกมาอย่างตั้งใจ แววตาเด็กคนนี้มีประกาย ทอแสงอย่างตอนที่ผู้ชายคนนั้นชักชวนให้เขามาเป็นนักร้องนำของวงดนตรีเล็กๆวงหนึ่ง

     

    “แต่ผมทำได้”

     

    “....”

     

    “นั่นคือเหตุผลที่พวกคุณควรรับผมเป็นมือกี้ต้าร์คนใหม่ของเกลย์”

     

    หันกลับไปก็เห็นคิมจุมยอนกำลังนวดขมับเบาๆแต่กลับหลุดยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น โดคยองซูที่ดูท่าจะหมดไฟก่อนใครเพื่อนวางกระเป๋าไว้บนโซฟาแล้ว เจ้าตัวยักไหล่เหมือนกับว่านี่มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นกลับทำให้แบคฮยอนยิ้มออก ใครบอกว่าไลฟ์ห่วยๆวันนี้คือการเดิมพันครั้งสุดท้ายกัน เขาขอกลืนคำพูดห่วยแตกแบบนั้นลงคอแล้วบอกว่านี่ต่างหากคือการเดิมพันครั้งสุดท้าย

     

    “นายมีกีต้าร์ไหม”
     

    “มีครับ” เซฮุนยิ้มเผล่

     

    “แล้วสร้อยนั่นล่ะ จำเป็นกับนายหรือเปล่า?”

     

    “ครับ?” เด็กหนุ่มก้มมองสร้อยที่คอตัวเองแล้วใบหูขาวๆก็แดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาเงยหน้ามองบยอนแบคฮยอนซึ่งเดินกลับไปหยิบสัมภาระส่วนตัวขึ้นมาสะพายแล้ว

     

    “พรุ่งนี้เรานัดซ้อมที่ออเรนจ์ตอนบ่ายสามโมง ไปจัดการทิ้งสร้อยห่วยๆนั่นให้เรียบร้อย”

     

    ร่างเล็กเดินสวนออกไปแล้ว โดคยองซูเป็นคนสุดท้ายที่เฉียดไหล่เขาไปพลางตบบ่าเบาๆด้วยรอยยิ้ม ด้ามไม้กลองโผล่พ้นขึ้นมาจากกระเป๋าเป้ ก่อนเสียงประตูปิดลง หนึ่งในสามคนนั้นก็หันมาบอกราตรีสวัสดิ์เขาด้วยน้ำเสียงที่ชวนให้รู้สึกยินดีอย่างถึงที่สุด




     

    “พรุ่งนี้เจอกัน มือกีต้าร์คนใหม่”

     

     

     










     

     

     

     

    ออเรนจ์เป็นธุรกิจห้องซ้อมดนตรีที่ตั้งอยู่ในตึกเก่าซอมซ่อ นั่นคือสิ่งแรกที่โอเซฮุนรู้ ข้อดีอย่างแรกคือมันอยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน ข้อดีอย่างที่สองคือมันไม่ต้องเดินไกลนัก ส่วนข้อดีข้อที่สามขอย้อนกลับไปข้อแรกก็แล้วกัน

     

    “สวัสดีครับ”

     

    เด็กหนุ่มทักทายคุณป้าที่นั่งดูรายการทอล์คโชว์ด้วยสีหน้าหน่ายโลก หล่อนค่อยๆหยัดตัวขึ้นนั่งหลังตรงแล้วยิ้มทักทายแบบขอไปที “มาเช่าห้องซ้อมเหรอ วันนี้มีคนจองยาวไปแล้วแหน่ะพ่อหนุ่ม”

     

    “อ่า...” เขาเกาหัวเก้อๆแล้วยิ้มแบบคนทำตัวไม่ถูก ถ้าพูดชื่อวงเกลย์ออกไปป้าจะรู้จักไหมนะ

     

    ครืด

     

    หากแต่เสียงประตูที่ถูกเปิดออกทำให้เด็กหนุ่มรีบหันหลังไปมองทันที ร่างเล็กในชุดเสื้อยืดสีขาวยิ้มทักทายคุณป้าเจ้าของกิจการก่อนจะหันมามองเขา แบคฮยอนไม่มีสัมภาระอะไรนอกจากกระเป๋าหนึ่งใบ แต่นั่นก็ทำให้เซฮุนรู้สึกปลอดภัยว่าเขาไม่ได้ถูกหลอกให้มาเก้อ

     

    “มาไวนะเรา”

     

    ร่างเล็กมองเด็กในชุดนักเรียนสภาพเดียวกับเมื่อคืนไม่มีผิด เขาหยิบเอาแบงค์หมื่นวอนออกเป็นเงินมัดจำให้หญิงแก่ ก่อนจะเดินล้วงกระเป๋านำขึ้นไปทางบันไดแคบชันที่อยู่ด้านในของตึก

     

    บนชั้นสองของตึกเก่าซอมซ่อถูกกั้นเป็นห้องซ้อมดนตรีขนาดเล็กแต่ก็มีเครื่องเสียงครบครัน จุนมยอนกำลังนั่งเช็คเสียงเบสอยู่ในนั้น เช่นเดียวกับโดคยองซูที่กำลังเคาะแป้นกลองเบาๆเป็นการฆ่าเวลารออีกสองคนมาถึง ทันทีที่แบคฮยอนเปิดประตูเข้าไป จุนมยอนก็เอ่ยทักทายรวมไปถึงคนข้างหลัง

     

    “ไง”

     

    “สวัสดีครับ” เซฮุนโค้งน้อยๆด้วยรอยยิ้ม เขารีบกุลีกุจอหาที่วางของก่อนจะหยิบเอากีต้าร์ไอบาเนซสีขาวออกมาสะพายให้เข้าที่เข้าทาง

     

    “โว้ว” เป็นจุนมยอนอีกนั่นแหละที่ถลาเข้ามาเป็นคนแรกหลังจากเห็นกีต้าร์ราคาเหยียบเจ็ดแสนวอนของเด็กเมื่อวานซืนอย่างโอเซฮุน เห็นใส่ชุดนักเรียนกะโปโลแบบนี้แต่ดันใช้ไอบาเนซ นี่มันเกินความคาดหมายชัดๆ

     

    บยอนแบคฮยอนเคาะนิ้วกับไมค์เพื่อแยกพี่ใหญ่กับน้องเล็กออกจากกันจะได้เริ่มซ้อมเสียที ทั้งที่เมื่อคืนยังทำท่าเหมือนกัดกันจะเป็นจะตาย แต่พอมาวันนี้สิ...

     

    “นายเล่นเพลงอะไรได้บ้าง”

     

    หันไปถามเด็กโข่งที่ยืนยิ้มแป้นเกลาสายกีต้าร์คลอเบาๆฆ่าเวลา เซฮุนยิ้มเผล่ก่อนจะตอบออกมาเสียงใส “สตรอมก็ได้ครับ”

     

    “....”

     

    “บอกแล้วว่าผมเป็นแฟนคลับของเกลย์”

     

    ได้ยินอย่างนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง เดาไว้ว่าเด็กนี่คงจะเสนอเพลงร็อคกระแสง่ายๆขึ้นมาสักเพลงเพื่อโชว์ฝีมือเป็นครั้งแรก ผิดคาดว่าโอเซฮุนเลือกเพลงสตรอม เพลงที่เกลย์แสดงเป็นครั้งแรกในคอนเสิร์ตไลฟ์เฮาส์เมื่อปีที่แล้ว


     

    และที่สำคัญ นี่เป็นเพลงที่ปาร์คชานยอลแต่งเอาไว้สำหรับปล่อยของในการแสดงครั้งนั้น




     

    ตั้งแต่ผู้ชายคนนั้นหายไปเกลย์ก็เล่นเพลงนี้ไม่ได้อีก นั่นคือสิ่งที่ทั้งสามคนรู้แก่ใจดี เขาคิดว่าโอเซฮุนเป็นเด็กผู้ชายกร่างๆสักคนที่ชอบโชว์พาวด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าร่างสูงโปร่งกำลังเกลากีต้าร์ในมือเพื่อเริ่มทำนองเพลงขึ้นมา

     

    แตร๊ง

     

    จุนมยอนยังไม่ทันจะเริ่มเบสตามเสียงเพี้ยนๆก็ดังขึ้นขัดจังหวะทุกสิ่งทุกอย่าง แบคฮยอนได้แต่กระแอมไอเบาๆในขณะที่เซฮุนยิ้มแก้เก้อ ส่วนคยองซูก็ดูจะหลุดขำออกมานิดหน่อยเพราะคาดไว้แล้วว่าเด็กนี่คงเล่นเพลงยากอย่างสตรอมไม่ได้แน่

     

    “ขอโทษครับ”

     

    เซฮุนพูดเบาๆแล้วดีดสายกีต้าร์อีกครั้ง ครั้งนี้คิมจุนมยอนมีโอกาสได้เริ่มเบสตามแต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะหยุดเอากลางครันเมื่อไหร่ แบคฮยอนร้องคลอเบาๆแบบไม่ได้เปล่งเสียงออกมามากนัก เขากำลังฟังแยกเสียงกีต้าร์ออกจากเบสและกลองประกอบการพิจารณา เพราะได้ฟังผู้ชายคนนั้นเล่นมาตลอดบยอนแบคฮยอนถึงรู้ดียิ่งกว่าใครว่าท่อนไหนต้องใช้ฝีมือมากเท่าไหร่ และเขาคิดว่าโอเซฮุนจะต้องพังในท่อนโซโล่อีกสิบห้าวินาทีจากนี้แน่ๆ

     

    คีย์เสียงไม่คุ้นเคยชวนให้รู้สึกแปร่งปร่า แม้แต่คิมจุนมยอนและโดคยองซูก็ชะงักมือไว้ที่เครื่องดนตรีทั้งอย่างนั้นเมื่อได้ฟังโซโล่ที่ปาร์คชานยอลเคยเล่นเอาไว้ในแบบที่ต่างออกไป

     

    “....”

     

    ความเงียบโรยตัวลงมาเมื่อโซโล่จบลงในเวลาไม่กี่วินาที ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มชะงักไปหลังจากที่รู้ตัวว่าไม่มีใครต่อดนตรีให้เขาอีก สายตาทั้งสามคู่จ้องมองมาเป็นตาเดียว ตั้งแต่เริ่มเพลงแล้วที่เขาเห็นสายตาอย่างนั้น ถึงไม่ได้ยิ้มออกมาแต่ภายในใจของโอเซฮุนกลับเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ

     

    “โซโล่เมื่อกี้คืออะไร” แบคฮยอนถามขึ้นเสียงเรียบ พอไม่มีสร้อยกุญแจบนคอแล้วเขาก็หายประหม่าจากคนตรงหน้าลงได้นิดหน่อย

     

    “สตรอมครับ” เซฮุนตอบ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่แบคฮยอนอยากได้ยิน

     

    บางทีพี่ๆในวงอาจจะไม่ชอบใจที่เขาดัดแปลงโซโล่ของปาร์คชานยอลจนผิดเพี้ยนเป็นอีกอารมณ์ มันไม่หนักหน่วง ไม่รุนแรง ทั้งยังอ่อนลงจนประสานเข้ากับเสียงเครื่องดนตรีอื่นๆได้อย่างกลมกล่อม

     

    “ทำไมนายถึงเล่นแบบนั้น?”
     

    พอถูกถามอย่างนั้นโอเซฮุนก็ยิ้มออกมาจนได้ เขาปัดสายเนคไทให้พาดไปทางด้านหลังก่อนจะมองตอบดวงตาเรียวรีซึ่งกำลังจับจ้องอย่างเอาจริงเอาจัง “จุดอ่อนของเกลย์ไง”

     

    “....”

     

    “บอกแล้วว่าผมสามารถกลบจุดอ่อนให้พวกคุณได้”

     

     

     










     

     

     

     

    “ทำอะไรอยู่เหรอ?”

     

    ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาบุหนังสีเลือดหมูเก่าๆก่อนจะชะโงกหน้ามองสมุดสันห่วงเล่มโตที่กำลังถูกขีดเขียนด้วยลายมือขยุกขยิก เสียงนุ่มจากคนข้างตัวฮัมเป็นทำนองเพลงเบาๆ นั่นทำให้ร่างสูงโปร่งยิ้มออกมา

     

    เซฮุนอ้อมแขนข้างขวาโอบรอบคนที่ไม่ยอมตอบคำถามเขาแล้วทาบมือลงกับมือของอีกคน บังคับทิศทางดินสอให้เขียนอะไรบางอย่างลงไปสองสามที และนั่นทำให้บยอนแบคฮยอนถึงกับครางในลำคอ

     

    “ดีขึ้นไหม? ผมว่าท่อนนั้นดูขาดๆ”

     

    ยังคงถูกจับมือเขียนโน้ตลงไปทั้งที่แก้มเกือบแนบแก้ม สองเดือนแล้วที่เกลย์เหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง โอเซฮุนเล่นเข้าขากับจุนมยอนและคยองซูได้อย่างไม่น่าเชื่อ นั่นหมายถึงเสียงดนตรีที่กลมกล่อมขึ้นผิดหู แล้วก็ความสนิทชิดเชื้อของคนในวงซึ่งดูจะจูนเข้าหากันติดอีกครั้งด้วยตัวเชื่อมหน้าใหม่อย่างเด็กโข่งเซฮุน

     

    แบคฮยอนไม่ได้คาดหวังว่ามันจะดีขนาดนี้ ลองถ้าวันนั้นพวกเขาไม่ยอมให้โอกาสเดิมพันกับเด็กคนนี้ล่ะก็เกลย์คงมีต้องเหลือแค่ชื่อและความทรงจำอย่างไม่ต้องสงสัย ที่บอกว่าเป็นแฟนคลับมาก่อนก็เห็นจะจริง เพราะโอเซฮุนแกะทุกเพลงของเกลย์และเล่นได้แทบจะทั้งหมด นั่นยังไม่รวมถึงเรื่องการปรับคอร์ดและคีย์ตามใจชอบ และผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจของเพื่อนร่วมวงอีกสองคนเสียด้วย

     

    เสียงฮัมเพลงข้างๆหูเขาทุ้มต่ำขึ้นกว่าครั้งแรกที่เจอกันมาก ในตอนนั้นแค่เซฮุนพยายามจะฮัมเพลงสักเพลงโดคยองซูก็ต้องตีกลองร้องขอให้หยุดแล้ว พอเห็นว่าช่วยเขียนโน้ตได้ไม่ถนัดร่างโปร่งก็กระแซะตัวเข้ามาเบียดจนแบคฮยอนแทบจะเกยขึ้นไปนั่งบนตัก

     

    “แต่งเพลงใหม่สำหรับขึ้นแสดงที่ไหนเหรอ”

     

    เซฮุนถามหลังจากปล่อยให้ร่างเล็กเป็นฝ่ายเพิ่มเติมโน้ตเพลงที่เหลือด้วยตัวเอง มือที่ละออกจากดินสอก็ดูเหมือนจะไม่มีที่วางจนต้องแตะลงบนเอวเขาแบบเนียนๆ นั่นทำให้บยอนแบคฮยอนต้องแกะมือของอีกฝ่ายออกอย่างลวกๆแล้วเขยิบหนีไปทางขวาอีกนิดหน่อย

     

    “คิดว่าจะทำเดโม่ส่งประกวดร็อคไรซิ่งน่ะ”

     

    “ว้าว... ร็อคไรซิ่งคอนเทสต์ที่ดังๆนั่นน่ะเหรอ” แล้วก็ดูเหมือนว่าหางเสียงของโอเซฮุนจะหายไปตามเวลา จากที่พูดครับผมทุกคำก็เหลือเพียงแค่เรียกแบคฮยอนห้วนๆ ทั้งที่น่าหมั่นไส้อยู่หรอก แต่ก็ทำใจโกรธเด็กนี่ไม่ลงสักครั้งเดียว “ได้ยินว่าเนเบอร์เป็นสปอนเซอร์ด้วยนี่นา”

     

    “....”

     

    “แบคฮยอน?”

     

    เซฮุนหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงหลังจากถูกละเลยความสนใจ เขาเดินไปหยิบเอากีต้าร์ไอบาเนซคู่ใจออกมาจากกระเป๋า ลากลำโพงแอมป์ที่ใต้เตียงออกมานั่งต่อสายขลุกๆขลักๆ แล้วแบคฮยอนก็ต้องสะดุ้งจนสุดตัวเมื่อเสียงดีดกีต้าร์ดังก้องสะท้อนไปทั้งห้องจนไม่แคล้วต้องถูกข้างห้องเคาะด่าอีกแหงๆ

     

    แล้วก็เป็นดังคิด ไม่ถึงครึ่งนาทีต่อมาประตูห้องก็ถูกเคาะสองทีเป็นการตำหนิโทษฐานที่ทำเสียงดัง เขามองค้อนเซฮุนปรามๆแต่เด็กบ้าคนนั้นก็ได้แต่ไหวไหล่กลับมาแบบไม่ใส่ใจนัก เซฮุนจัดการเบาเสียงแอมป์ให้เบาลงในระดับที่คงไม่ถูกด่า

     

    สมุดโน้ตบนโต๊ะถูกแย่งไปวางไว้ยังตักของคนที่นั่งไขว้ขาเกลากีต้าร์สบายใจอยู่บนเตียง ใบหน้าหล่อของเด็กหนุ่มพยักขึ้นลงตามจังหวะ หลังจากนั้นก็เงยขึ้นมาส่งยิ้มให้นักร้องนำซึ่งได้แต่นั่งขมวดคิ้วน้อยๆอยู่บนโซฟา

     

    “ผมว่าใช้ได้นะ”

     

    “ต้องเอาไปให้สองคนนั้นช่วยดูอีกที” แบคฮยอนตอบเสียงเรียบ มองดูอีกฝ่ายแลบลิ้นเลียลิมฝีปากแห้งผากก่อนจะวางกีต้าร์ราคาแพงไว้บนเตียงแล้วถือสมุดกลับมาทิ้งตัวลงนั่งข้างเขาด้วยรอยยิ้ม

     

    “ผมว่าเขาต้องชอบกันแน่ๆ”

     

    “นี่โอเซฮุน” เอี้ยวตัวไปจ้องหน้าเด็กตัวสูงข้างๆด้วยสายตาจริงจัง นี่มันก็สองเดือนเข้าไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันจนถึงวันนี้แบคฮยอนก็ลืมถามทุกทีไป “ทำไมเจอนายทีไรถึงอยู่ในชุดนักเรียนตลอดเลยล่ะ”

     

    ถึงตอนนี้คนถูกถามได้แต่กลอกตาไปอีกทางเหมือนคนมีชนักติดหลัง “ถ้าผมบอกล่ะก็พี่ห้ามด่านะ”

     

    “ถ้าไม่ได้ทำผิดฉันจะด่าทำไมกัน”

     

    “ถูกของผมแต่ผิดของพี่ก็ห้าม” เซฮุนขยับตัวจนหันมานั่งขัดสมาธิเข้าหาอีกคนเหมือนเด็กกำลังจะสารภาพผิดยังไงยังงั้น นี่ไม่ใช่ลางดีเลยกับเรื่องที่กำลังจะได้ฟังจากปากหมอนี่ “คือว่า...”

     

    “ว่า?”

     

    “ผมสอบเทียบมหาลัยติดตั้งแต่สองเดือนที่แล้ว”

     

    “แล้ว?”

     

    “ผมก็เลยไม่ได้ไปเรียน”

     

    “นี่อย่าบอกนะว่า...” พูดจบก็ตบหัวเด็กโข่งเบาๆไปเสียทีหนึ่ง คิดไว้ไม่ผิดเลยจริงๆว่าที่โอเซฮุนต้องใส่ชุดนักเรียนมาขลุกอยู่กับพวกเขาแม้กระทั่งวันที่ไม่มีซ้อมนี่มันแปลกๆ หรือจะวันนี้ก็เถอะ ไม่มีความจำเป็นเลยสักนิดกับการที่เด็กนี่ร้องขอจะมานอนเล่นที่ห้องเขาด้วยข้ออ้างประเภทที่ว่าเลิกเรียนครึ่งวันอะไรเทือกๆนั้นน่ะ “นายหลอกพ่อแม่ว่าไปโรงเรียนแล้วมาซ้อมดนตรีเนี่ยนะ ถ้าความแตกขึ้นมาจะเป็นยังไง”

     

    รีบคว้าเอาข้อมือของคนที่กำลังจะบ้องหัวเขาอีกรอบมารวบไว้ตรงหน้าตัก แกล้งทำสีหน้าอ้อนวอนเข้าหน่อยแบคฮยอนก็รู้สึกผิดแล้ว ใช่ มันง่ายอย่างนั้นนั่นแหละ

     

    “จะไปหรือไม่ไป ยังไงผมก็ติดมหาลัยแล้วอยู่ดี”

     

    “แต่ถึงอย่างนั้น

     

    “ดูตาผมนะแบคฮยอน” นัยน์ตานั้นสะท้อนภาพของเขาที่กำลังบึ้งตึงอย่างชัดเจน ตลกดีที่พอเห็นอย่างนั้นเขาดันเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา “ผมอยากเล่นดนตรีกับพวกพี่”

     

    “....”

     

    “ไม่ได้อยากเป็นทนาย นักบัญชี หรือบริหารบริษัทอะไรพวกนั้นสักหน่อย”

     

    “....”



     

    “ต่อให้จบด็อกเตอร์ ผมก็คงจะนอกคอกออกมาเป็นนักดนตรีอยู่ดี”

     

    “แต่ถ้า

     

    “เดี๋ยว” เสียงทุ้มปรามขึ้น นี่อาจเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่แบคฮยอนต้องฟังคำสั่งบ้าๆของเด็กนี่ก็ได้ “ฟังให้จบก่อน”

     

    “....”

     

    “ผมโตแล้ว ตามหลักก็จบมอปลายแล้วด้วย”

     

    “....”

     

    “พี่ช่วยเลิกมองผมเป็นเด็กได้ไหมครับ?”

     

     










     

     

     

     

     

    “เฮ้ ทำไมไม่ติดสักทีล่ะ”
     

    จุนมยอนพูดขึ้นแทนสายตาทั้งสี่คู่ที่กำลังจับจ้องอยู่กับหน้าจอแล็ปท็อปขนาดสิบสามนิ้วอย่างเป็นเอาตาย เซฮุนสไลค์หน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองอีกนิดหน่อย ภาพจอสีดำที่ขึ้นโหลดเมื่อครู่ก็ฉายภาพรายการเรียลไทม์ขึ้นมาในที่สุด




     

    ขอแสดงความยินดีกับวงแรกที่ผ่านเข้ารอบแปดทีมสุดท้ายด้วยนะครับ วงต่อไปที่ผ่านเข้ารอบ--’




     

    “สี่จีติดแล้ว...”

     

    ร่างสูงโปร่งของโอเซฮุนค่อยๆขยับถอยออกมาอยู่ทางด้านหลังคู่กับบยอนแบคฮยอนและปล่อยให้รุ่นพี่ทั้งสองคนนั่งลุ้นติดขอบคออย่างที่ต้องการ หันไปเห็นลาดไหล่เล็กของคนข้างๆสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น

     

    แบคฮยอนเป็นคนที่เริ่มชักชวนเกลย์เข้าประกวดตั้งแต่ต้น สามเดือนผ่านไปไวยิ่งกว่าตอนโรงเรียนเปิดเทอมเสียอีก ทั้งต้องซ้อมดนตรีอย่างหนักเพื่อความหวังที่ว่าอาจจะได้เข้ารอบ แต่ก็ต้องเผื่อใจทุกครั้งที่ฟังประกาศหากว่าไม่ติดเข้าไปจนถึงรอบสุดท้าย ยิ่งในช่วงหนึ่งสัปดาห์มานี้เซฮุนไม่แม้แต่จะกลับไปเหยียบบ้านด้วยซ้ำหลังจากรู้ว่าได้ติดสิบหกทีมสุดท้าย ทั้งต้องนั่งแชร์เพลงลงโซเชียลเน็ตเวิร์คและเกณฑ์ทุกคนที่รู้จักมานั่งกดโหวตเป็นคะแนนช่วย แต่ถึงอย่างนั้นการติดแปดทีมสุดท้ายก็แทบจะไกลเกินเอื้อมสำหรับวงดนตรีเล็กๆในต่างจังหวัดอย่างพวกเขาด้วยซ้ำ




     

    วงที่ผ่านเข้ารอบเป็นวงที่เจ็ด คือ




     

    “ติดสิ ติดสิโว้ย” เสียงคยองซูพึมพำขึ้นมาในขณะที่เอาไม้กลองแนบกับหน้าผากราวสวดภาวนา หกวงที่ผ่านมาไม่มีชื่อวงเกลย์ติดโผอยู่เลยสักนิด น่าลุ้นว่าพวกเขาอาจจะมีฝีมือแค่พอเข้าสิบหกทีมสุดท้ายก็ได้

     

    “....”

     

    บยอนแบคฮยอนเหลียวมองมือแกร่งที่เลื่อนมากอบกุมมือของเขาไว้ก่อนจะกระชับจนมั่นเหมาะ เด็กเซฮุนกำลังแย้มรอยยิ้มให้อย่างที่ชอบทำ นั่นไม่ได้ทำให้แบคฮยอนรู้สึกว่าตัวเองหายสั่น ร่างทั้งร่างยังคงร้อนวูบวาบเหมือนมีแมลงนับพันตัวพากันเจาะเข้ามา

     

    ถ้าได้เข้ารอบแปดทีมสุดท้ายนั่นหมายถึงว่าวงเกลย์มีโอกาสไปแสดงสดกลางแจ้งยังการประกวดครั้งใหญ่ประจำปีที่นักดนตรีทั้งประเทศต่างเฝ้ารอ พวกเขาจะได้เหยียบโซล ได้เหยียบเวทีเดียวกับนักร้องดังๆมากมาย ได้มีโอกาสแสดงฝีมือต่อหน้าคนในแวดวงดนตรีที่รอชมอย่างคับคั่ง

     

    และถ้าถึงตอนนั้น...




     

    เกลย์




     

    “เยสสสสสสสสสสส”



     

    “เราทำได้! เราทำได้จริงๆว่ะ!

     

    ไม่มีเสียงจากแล็ปท็อปลอยเข้าโสตประสาทบยอนแบคฮยอนอีกแล้ว เขาได้ยินแค่เสียงกู่ร้องดีใจของเพื่อนร่วมวงซึ่งพากันโหวกอยู่ที่หน้าจอ จุนมยอนทำท่าเหมือนจะโผกอดเจ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ในขณะที่โดคยองซูทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ

     

    “....!

     

    หากแต่สิ่งที่บยอนแบคฮยอนอึ้งที่สุดก็คงจะเป็นสัมผัสอุ่นๆจากเรียวปากบางที่ทาบลงมาบนแก้มเขาฟอดใหญ่ โอเซฮุนยังไม่ปล่อยมือหนึ่งออกจากการกอบกุมมือของเขาที่ข้างตัว ในขณะที่อีกมือก็ยกขึ้นชูนิ้วโป้งพลางขยับปากโดยไม่มีเสียงเป็นคำพูดอะไรสักอย่าง

     

    เยี่ยมมาก

     

    แบคฮยอนอ่านปากคนตรงหน้าได้ว่าอย่างนั้น เป็นครั้งแรกที่เขาคิดว่าเซฮุนสูงขึ้น แล้วสันกรามก็ดูจะเด่นชัดกว่าครั้งแรกที่เจอกันในตอนที่อีกฝ่ายยิ้มออกมา

     

     

     









     

    ________________________________________

     

    เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งเผลอใจให้เด็กเซฮุนกันนะคะ <3

    #ficdarkhorse





















     


    M
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×