คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ` ( 두근두근 ♡ 2 )
เช้าวันนี้สดใสเหมือนทุกวัน บยอนแบคฮยอนชอบที่จะมาโรงเรียนแต่เช้าตรู่เพราะถนนไม่แออัดอย่างช่วงสาย แถมแปลงดอกไม้ที่มองเห็นได้จากหน้าต่างในห้องเรียนก็บานสะพรั่งและไม่มีใครมายืนบังเหมือนเวลาอื่น ๆ
หรืออันที่จริง... เขาก็แค่ปลอบใจตัวเองหรือเปล่านะ
คิดได้อย่างนั้นก็หยิบเอาหนังสือเล่มหนาในกระเป๋าขึ้นมาอ่านดับความฟุ้งซ่าน คินดะอิจิอาจจะช่วยเขาได้ การที่ครั้งนี้คดีฆาตกรรมในหนังสือเป็นประเภทแย่งชิงมรดกโหด (ฆ่าตัดคอ เอาเชือกรัด อะไรเทือนั้น) ช่วยให้ใบหน้าของปาร์คชานยอลนั่นลอยหายไปที่อื่นสักพัก
ครืด....
เงยหน้าขึ้นมองคนที่มาใหม่โดยไม่ตั้งใจแล้วก็ต้องก้มหน้างุด ไม่ทันขาดคำเจ้าตัวก็โผล่มาให้เห็นและกำลังเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่มั่นใจแล้วเชียวว่าคงไม่มีใครมาโรงเรียนเช้าเท่าเขาแน่ ๆ แต่เหมือนโดนแกล้งเลยแฮะ...
“อรุณสวัสดิ์”
“อะ... อรุณสวัสดิ์”
ร่างสูงนั่งลงข้างกันโดยที่ไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น บางทีชานยอลอาจจะกำลังโกรธเขา ทั้งที่อยู่กับคนสดใสแบบนี้ แบคฮยอนก็ยังนึกโทษตัวเองที่สร้างบรรยากาศอึดอัดแปลก ๆ ให้เกิดขึ้นจนได้ เขานี่มันสามารถจริง ๆ เลย
“เอ่อ...”
“เอ่อ...”
ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างที่ไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าอย่างไรดี แค่ครู่เดียวร่างบางก็ยอมแพ้และก้มหน้าลงมองหนังสือดังเดิม ชานยอลจะพูดอะไรกันนะ... จะต่อว่าเขาหรือเปล่า...
“มาโรงเรียนเช้าจัง” ผิดคาดที่คำเปิดบทสนทนานั้นเป็นเพียงคำทักทายธรรมดาเท่านั้นเอง เดี๋ยวนะ...
คำทักทาย... เขาได้รับคำทักทายยามเช้า....
“ใช่...” พอพูดไปอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ขำออกมาแบบไร้สาเหตุ เขาเห็นชานยอลผินหน้าไปอีกทางเหมือนไม่อยากให้เขาเห็นอย่างนั้นแหละ แบคฮยอนไม่เข้าใจว่ามีอะไรน่าตลกหรือเปล่าถึงได้จี้จุดชานยอลแบบนั้น
“ใช่งั้นเหรอ? ...ทำไมนายถึงตอบว่าใช่ล่ะ” ครู่หนึ่งก็หันกลับมาแล้วถามคำถามแบบนั้นคล้ายกับว่ามันแปลกเสียเต็มประดา ก็... เขาควรจะตอบว่าอะไรล่ะ อื้ม อ่าฮะ เอ้อ หรือว่ามีคำที่ดีกว่าใช่งั้นเหรอ
แต่แทนที่จะได้สวนออกไปแบบนั้น แบคฮยอนกลับพยักหน้าอย่างอาย ๆ เขาคิดคำตอบกลับไม่ออกหรอก แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็แสดงว่าปาร์คชานยอลไม่ได้โกรธเขาใช่หรือเปล่า
ร่างสูงหยิบเอาหูฟังขึ้นมาใส่หูแล้วนั่งฮัมเพลงสบายอารมณ์ สิ่งที่แบคฮยอนควรทำก็คือการอ่านหนังสือนิยายสืบสวนสอบสวนเล่มโปรดต่อไป แต่เขากลับว้าวุ่นใจจนอ่านมันไม่รู้เรื่องสักนิด เขาควรจะ... พูดอะไรสักอย่าง แล้วจะขอบคุณหรือขอโทษก่อนดีนะ
เอาล่ะ...
“เรื่องเมื่อวาน... ขอโทษนะ” ในที่สุดเขาก็กลั้นใจพูดมันออกไปจนได้หลังเวลาล่วงเลยมาครู่หนึ่ง ถ้านับเอาล่ะก็ ชานยอลคงจะฟังเพลงจบไปเพลงหนึ่งแล้วล่ะ “แล้วก็... ขอบคุณมาก”
กลั้นใจครั้งที่สองกับการเงยหน้าขึ้นมอง สิ่งที่พบคือร่างสูงนั้นกำลังมองเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง แต่สิ่งที่น่าแปลกคือเขาใส่หูฟังเพียงข้างเดียว ราวกับจะรู้ถึงสิ่งที่ร่างบางคิดยังไงยังงั้น ชานยอลถึงได้ออกตัวพูดเสียงใส
“ดีจังที่นึกขึ้นได้ว่านายอาจจะอยากพูดอะไร ก็เลยเผื่อหูไว้ข้างหนึ่งน่ะ”
ยิ้มนั้นสดใสเสียจนแบคฮยอนต้องรีบหลุบสายตาหนี ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้กันนะ
‘เวลาคุยกัน ก็ต้องมองหน้าคนพูดด้วยสิ’
คำพูดนั้นที่ชานยอลพูดไว้เมื่อวานทำให้เขารู้สึกผิดขึ้นมา นี่เขากำลังหลบหน้าอีกแล้ว... ชานยอลอาจจะรู้สึกไม่ดีมากแน่ ๆ มันคงเป็นมารยาทที่แย่มากสินะ... ต้องมองหน้า... ต้องสบตาขณะพูดคุยกัน
หนึ่ง...
สอง...
สาม...
“เฮ้ จากตรงนี้มองเห็นแปลงดอกไม้ชัดแจ๋วเลยนี่นา”
แบคฮยอนทันมองเห็นแค่ข้างแก้มของอีกฝ่ายเท่านั้นเอง ชานยอลโน้มตัวเข้ามาใกล้... ใกล้มาก แต่สิ่งที่กำลังดูอยู่นั้นไกลออกไปอีกทาง แปลงดอกไม้ที่มีแค่เขาเห็น ตอนนี้มีคนเห็นมันเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว
“สวยจัง...”
ตึก... ตึก... ตึก... ตึก...
ครั้นหันมาจะถามความเห็นจากอีกคน ปาร์คชานยอลถึงได้รู้ตัวว่าใบหน้าของเขาห่างจากอีกฝ่ายแค่เพียงสองคืบเท่านั้นเอง พอเห็นว่าแบคฮยอนกำลังยิ้มบาง ๆ แบบนั้น ร่างสูงก็ร้อนผะผ่าวบนใบหน้าโดยไร้สาเหตุ ทั้งที่เวลายิ้มก็น่ารักดีนี่นา... ถึงจะไม่ได้หันมายิ้มให้เขาก็เถอะ
...แต่ว่า... รู้สึกอยากมองนาน ๆ ชะมัด
ครืด...
เสียงเปิดประตูห้องทำให้ทั้งสองสะดุ้งไม่ทันตั้งตัว ชานยอลดึงตัวเองกลับมานั่งตัวตรงดังเดิม แบคฮยอนจะรู้ตัวไหมนะว่าถูกเขาแอบมองเมื่อครู่ แต่ถ้ารู้ก็คงจะรีบก้มหน้าหนีอย่างทุกที เพราะอย่างนั้น... แบบนี้ก็คงดีแล้วล่ะ
คนที่เข้ามาใหม่เป็นผู้ชายร่างผอมคนหนึ่งที่ยังดูไม่ตื่นดี ดวงตากลมโตมองมาที่ทั้งคู่ราวกับไม่นึกใส่ใจนัก ก่อนจะเดินไปนั่งลงเยื้องไปยังอีกฝั่งของห้องแล้วฟุบหน้าหลับกับโต๊ะคล้ายจะพูดเป็นกลาย ๆ ว่า
อยากทำอะไรก็ทำต่อไปเถอะ
พอนึกถึงเรื่องดี ๆ ในเช้านี้แบคฮยอนก็รู้สึกว่าชีวิตเขาเริ่มจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว อย่างน้อยแปลงดอกไม้ของเขาก็ถูกแบ่งให้ใครอีกคนหนึ่งดู ใครอีกคนที่กลับไปใส่หูฟังทั้งสองข้างและนั่งยิ้มราวกับเพลงที่ฟังอยู่นั้นมีความสุขเสียมากมาย เขาเอง... ก็อยากมองหน้าเพื่อนคนนี้ให้ชัดขึ้นอีกจัง อยากสบตาเวลาที่คุยด้วย และไม่ต้องคอยหลบสายตาถ้าถูกมองกลับมาตรง ๆ อย่างทุกที แต่จะต้องทำยังไงนะ... เขาถึงจะกล้าสู้กับแสงสว่างจากตัวคน ๆ นี้
ผู้ชายที่มีออร่าของความสดใสเป็นประกายอยู่ตลอดเวลา เป็นที่รักของทุกคนตั้งแต่แรกเห็น...
ตึก... ตึก... ตึก... ตึก...
เพราะวันนี้ชานยอลมีหนังสือเรียนมาพร้อมแล้วเขาก็เลยไม่ต้องทนนั่งเกร็งตัวจนเมื่อยแบบเมื่อวานอีก แต่ถึงอย่างนั้นชานยอลก็ยังหันมาชวนเขาคุยอยู่เนือง ๆ ในมือนั้นมีใบรายชื่อชมรมอยู่ นั่นสินะ... เพราะว่าเพิ่งย้ายเข้ามากลางเทอมก็เลยต้องเดินหาชมรมแค่คนเดียวสินะ
แต่ถึงอย่างนั้นใครต่อใครก็แวะเวียนกันเข้ามาพูดคุยและแนะนำให้ชานยอลไปอยู่ชมรมเดียวกับตนเอง มันสุดยอดจริง ๆ ที่เพื่อนหลาย ๆ คนอยากอยู่ชมรมเดียวกับชานยอลแบบนี้
“แบคฮยอน นายอยู่ชมรมอะไรเหรอ?”
“เอ่อ...”
มาอยู่ชมรมเดียวกันไหม... ชมรมค้นคว้านิยายสืบสวนสอบสวนน่ะ
แค่คิดแต่ยังไงก็ไม่มีทางพูดออกไปแน่ ก็ชมรมของเขาน่ะไม่เห็นจะได้ทำอะไรสนุก ๆ อย่างคนอื่นเลยนี่นา แต่ทำไมเขาต้องมาคิดอะไรแบบนี้ด้วยนะ... ก็ตอนนั้นน่ะ เขาพยายามเลือกชมรมที่เพื่อน ๆ ไม่เลือกนี่นา ชมรมที่จะไม่ต้องมีใครต้องมาอยู่ติดกับเขาแค่เพราะว่ามาจากห้องเรียนเดียวกัน
คิดแล้วก็อยากจะถอนหายใจอีกรอบจัง...
“เฮ้ย ชานยอล ไปกินข้าวกัน”
พอได้ยินอย่างนั้นร่างสูงก็หันมาหาคนข้าง ๆ ทันที แต่ก็ได้รับคำตอบเป็นเพียงการส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยเท่านั้น ถึงมันจะดูทำให้เพื่อนกลุ่มที่มาชวนเขารู้สึกโล่งใจก็ตาม แต่สำหรับชานยอลน่ะ... ค่อนข้างที่จะไม่ใช่เลย
“อื้ม ไปสิ” พูดจบร่างสูงก็ลุกหายไปเหมือนกับเมื่อวาน แล้วก็อีกครั้งที่แบคฮยอนได้แต่นั่งอยู่คนเดียวภายในห้อง โดยที่ไม่ทันจะสังเกตถึงสายตาของคนที่เพิ่งเดินออกไป
หยิบเอาข้าวกล่องในกระเป๋าขึ้นมาเปิดกินหลังจากนั่งเฉย ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ถามว่าเหงาไหม... ก็อาจจะนิดหน่อย แต่เขาชินเสียแล้วล่ะ ถึงแม้ว่าอยากกินข้าวกลางวันกับเพื่อน ๆ อยากจะพูดคุยกันเหมือนคนอื่น ๆ ...
เสียงเปิดประตูห้องเรียกให้ร่างบางต้องหันไปมอง ร่างโปร่งของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาทุลักทุเล เขาไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องเรียนดังเดิม และแทนที่จะนั่งห่างออกไป ร่างนั้นกลับตรงมาทางเขาและกองเอาขนมมากมายกองลงบนโต๊ะของปาร์คชานยอล
โอเซฮุนนี่นา...
เขาหอบหายใจน้อย ๆ ราวกับเพิ่งหนีอะไรมาได้สำเร็จ ทั้งยังลากเก้าอี้ของที่นั่งข้างหน้าให้หันมานั่งตรงกันข้ามกับเขา เซฮุนรื้อหาในกองขนมนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย พอแบคฮยอนมองตามไปถึงได้เข้าใจ ว่ามันไม่มีอะไรที่พอจะใช้กินเป็นอาหารกลางวันได้เลย มีแต่ช็อกโกแลต น้ำผลไม้ แล้วก็พวกคุ้กกี้ทำเองจากวิชาการเรือนของพวกผู้หญิง
“นายชอบกินช็อกโกแลตหรือเปล่า?”
“เห?”
“ฉันเกลียดของหวาน...”
ที่แท้ก็กำลังลำบากใจนี่เอง ทั้งที่ได้ของมาตั้งมากมายแต่ดันไม่ใช่สิ่งที่ชอบกินสักนิด ดูท่าจะกำลังหงุดหงิดเสียด้วย... เขาจะทำยังไงดีนะ
เขาเลื่อนข้าวกล่องฝีมือแม่ออกห่างจากตัวเล็กน้อย นั่นทำให้โอเซฮุนเลิกคิ้วขึ้นมอง มันเพิ่งพร่องไปหน่อยเดียวเท่านั้นเอง แต่ดู ๆ แล้วน่ากินสุด ๆ เลยล่ะ โดยเฉพาะ... คิมบับอันนั้น... “ไม่เป็นไร... นายกินเถอะ”
พูดไม่ทันขาดคำแบคฮยอนก็บังเอิญคีบคิมบับอันนั้นขึ้นมายื่นให้เขาพอดี นี่มันจะเรียกว่ามีน้ำใจเกินไปหรือเปล่านะ...
“ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็... กินด้วยกันก็ได้นะ”
แค่นั้นโอเซฮุนก็หัวเราะออกมาในรอบหลายวัน แล้วที่เหนือคาด... ก็คือเรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายมาได้ด้วยการรับเอาตะเกียบนั้นมาป้อนคิมบับใส่ปากอย่างไม่รังเกียจ ถ้าจะให้เลือกใครสักคนในห้องล่ะก็... คงมีแค่บยอนแบคฮยอนคนนี้ล่ะมั้งที่ไม่เคยแสดงท่าทีประหลาดใส่เขาเหมือนคนอื่น ๆ เลย
“นายน่ะ... เวลายิ้มก็น่ารักดีออก”
นึกเป็นห่วงใครอีกคนที่ต้องนั่งกินข้าวคนเดียวอย่างนั้นแล้วก็เกิดอยู่ไม่สุขขึ้นมา ทำไมกันนะ... ทำไมแบคฮยอนถึงต้องโดดเดี่ยวอย่างนั้นกัน ไม่มีเพื่อนเลยหรือไงนะ...
“ขอตัวก่อนนะ”
บอกลาเพื่อนคนอื่น ๆ บนโต๊ะแล้วก็ลุกเดินออกไปทันที เขาเลือกที่จะเอาจานข้าวไปเก็บแล้วแวะซื้อขนมปังมาหนึ่งห่อกับนมอีกหนึ่งกล่อง อ้อ... น้ำผลไม้ด้วยดีกว่า ชอบรสอะไรกันนะ... ริมฝีปากอิ่มระบายยิ้มอ่อน ๆ เมื่อคิดว่าอาจจะได้เห็นรอยยิ้มนั้นอีกก็ได้ แบคฮยอนคงจะดีใจที่มีเพื่อนกินข้าวกลางวันแบบนี้
เสียงแว่วของใครอีกคนดังมาจากภายในห้อง ครั้นมองผ่านกระจกใสตรงประตูเข้าไปก็เห็นบยอนแบคฮยอนกำลังนั่งกินข้าวอยู่กับใครอีกคนหนึ่ง หรือจะพูดให้ถูก... ก็ข้าวกล่องของแบคฮยอนนั่นแหละที่ทั้งคู่กินด้วยกัน แล้วยังน้ำผลไม้ที่กำลังดูดนั่นอีก...
ที่สำคัญ... เขาเห็นแบคฮยอนหัวเราะ... หัวเราะในเรื่องที่เขาแทบไม่ได้ยินว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน ดูมีความสุขกว่าตอนที่เห็นแปลงดอกไม้นั่นด้วยซ้ำ
ร่างสูงเดินไปนั่งยันตัวกับขอบหน้าต่างริมทางเดิน แกะห่อเอาขนมปังมากัดกินคำโต ๆ ทั้งนม ทั้งน้ำผลไม้ ชานยอลกินมันเข้าไปจนหมด แล้วก็หัวเราะกับตัวเองราวกับว่าน่าขันสิ้นดี เพิ่งรู้จักกันแค่วันสองวันแท้ ๆ ...มันจะเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะเป็นเพื่อนคนแรกของแบคฮยอนน่ะ
“ชานยอล กลับบ้านกันเถอะ ท่าทางวันนี้ฝนจะตกว่ะ”
“พวกนายกลับไปกันก่อนเถอะ ฉันต้องรีบหาชมรมอยู่น่ะ”
คนถูกเรียกรวบเอาข้าวของบนโต๊ะเก็บใส่กระเป๋าเรียบร้อย เว้นแต่ใบรายชื่อชมรมที่มีรอยปากกามาร์คไว้เป็นบางอัน เขาสะพายกระเป๋าเข้ากับบ่า และไม่ได้หันไปบอกลาแบคฮยอนอย่างเช่นเมื่อวาน แน่นอนว่าอีกฝ่ายก็ได้แต่นั่งเงียบ เก็บของใส่กระเป๋าตัวเองอย่างช้า ๆ โดยที่ไม่ออกปากพูดอะไรแม้ว่าชานยอลจะออกไปแล้วก็ตาม
ก็ไม่แปลกหรอก... ชานยอลก็คงจะรู้แล้วว่าเขามันไม่น่าคบสักนิด... เหมือนทุกคนที่เข้ามาแล้วก็หายไป...
“เฮ้ยแบคฮยอน”
รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่กลุ่มเพื่อนผู้ชายหลังห้องสองสามคนมาหยุดยืนล้อมรอบเขา หนำซ้ำยังยิ้มให้อย่างเป็นมิตรผิดไปจากทุกที
“คือว่า... เย็นนี้นายไปไหนหรือเปล่า”
แค่นั้นร่างบางก็รู้สึกดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาเคยเห็นคำถามแบบนี้จากการคุยกันของเพื่อนคนอื่น ๆ กำลังจะชวนเขาไปเที่ยวอย่างนั้นเหรอ... หรือว่าไปติวหนังสือกันนะ...
“คือว่า... คงไม่ได้ไปไหน...”
“ดีเลย พอดีว่าพวกเรามีธุระน่ะ ถ้ายังไงฝากนายช่วยทำเวรจะได้หรือเปล่า หวังว่าคงไม่ปฏิเสธนะ”
อาจจะ... เสียใจหน่อย ๆ ล่ะมั้ง แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก การที่เพื่อนพึ่งพามันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ ในเมื่อทุกคนมีธุระแล้วเขาว่าง... ก็คงไม่เป็นไรหรอก “ได้สิ...”
แค่ได้ยินคำนี้เพื่อนผู้ชายกลุ่มนั้นก็พากันเดินกอดคอกันออกไปพลางพูดคุยเรื่องคาราโอเกะและนัดบอดไปด้วย บยอนแบคฮยอนรอจนทุกคนเดินออกไปจากห้อง แล้วจึงลุกขึ้นไปหยิบไม้กวาดอย่างใจเย็น ท้องฟ้าเริ่มครึ้มฟ้าครึ้มฝน กลัวจะกลับบ้านไม่ทันฝนตกจัง...
“เสียใจด้วยนะ แต่ชมรมฟุตบอลน่ะเต็มแล้วล่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ปาร์คชานยอลยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะถอยออกมาจากห้องชมรมฟุตบอลสวนกับพวกนักกีฬาที่กำลังตรงมาทางห้องล็อกเกอร์หลังจากซ้อมไปได้เพียงครู่เดียวเพราะสภาพอากาศไม่เป็นใจ เขาขีดฆ่าชื่อชมรมฟุตบอลในกระดาษรายชื่อชมรมเหมือนกับที่ชมรมก่อน ๆ ที่ปฏิเสธมา ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับนักเรียนที่ย้ายมาใหม่เลยหรือไงนะ ถ้าหมดจากชมรมเบสบอลไปอีกล่ะก็ ปาร์คชานยอลก็คงจะต้องกัดฟันเข้าชมรมชงชาหรือชมรมหมากโกะอะไรเทือก ๆ นี้ไปซะแล้วล่ะ
เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเดินหาห้องชมรมแต่ละห้องว่ามันอยู่ตรงตึกไหนชั้นอะไร บางทีก็อ้อมไปอ้อมไปอ้อมมา เผลอเดินเลยไปบ้างจนเสียเวลาไปมากโข ให้ไปเที่ยวขอร้องทุกชมรมแบบนี้น่ะเหนื่อยชะมัดเลยแฮะ
เดินไปเดินมาก็กลับมาจนถึงชั้นเรียนของตัวเอง ป่านนี้ทุกคนคงกลับไปกันหมดแล้วสินะ ร่างสูงเอนตัวพิงกับผนังแล้วนั่งไล่ดูชื่อชมรมตั้งแรกไปจนสุดท้ายอีกครั้งเพราะหวังจะมีตัวเลือกอื่นบ้าง เพื่อนผู้ชายส่วนใหญ่อยู่ชมรมกีฬาแล้วก็ชมรมค้นคว้าเรื่องเกมส์ ส่วนเพื่อนผู้หญิงน่ะเท่าที่ฟังมาก็จะเป็นพวกชมรมจัดดอกไม้หรือว่าทำอาหาร อ้อ.. มีชมรมวิจัยแฟชั่นอีกอย่างนึง อันนี้ก็ดูจะไม่ต้องทำอะไรดีแฮะนอกจากฟังพวกผู้หญิงคุยกัน
พลันได้ยินเสียงก๊องแก๊งดังมาจากทางห้องเรียน ครั้นหันไปมองก็เห็นร่างบางของใครบางคนกำลังแบกถังน้ำออกมาพร้อม ๆ กับหนีบไม้ถูพื้นมาด้วย เห็นอย่างนั้นก็รีบม้วนกระดาษชมรมเข้าเสียบไว้ในกระเป๋ากางเกงหลังแล้วปรี่เข้าไปแย่งถังน้ำมาช่วยถือไว้ซะเอง แบคฮยอนดูจะตกใจไม่น้อยที่เห็นเขาอยู่ที่นี่ อีกฝ่ายก้มหน้าลงอีกครั้งราวกับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี
“ต้องเอาน้ำนี่ไปเททิ้งที่ไหนเหรอ?”
พอถามออกไปอย่างนั้นแบคฮยอนก็ชี้ตรงไปข้างหน้าและเดินถือไม้ถูพื้นนำออกไป อาจจะเป็นในห้องน้ำหรือท่อน้ำทิ้งล่ะมั้ง
ทว่าเขาคิดผิด แบคฮยอนน้ำมันมารดแปลงดอกไม้ที่เขาเห็นเมื่อเช้านั่นต่างหาก มันอยู่ห่างจากอาหารเรียนออกมาพอสมควรและค่อนไปทางหลังโรงเรียน เขาเห็นซากบุหรี่เก่า ๆ ตรงมุมผนังประปราย แสดงว่าแถวนี้คงไม่ค่อยมีใครมาเหยียบนักนอกจากคนพวกนี้
ฟ้าร้องครืนครานมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ยังไม่ทันที่จะคิดหาที่หลบฝนก็ตกซู่ลงมาจนเปียกชุ่ม ทั้งคู่หลบเข้าใต้กันสาดทั้งที่มือยังถือถังน้ำเปล่า ๆ กับไม้ถูพื้นเอาไว้ ยืนอยู่ได้ครู่เดียวชานยอลก็นึกเป็นห่วงที่คนที่ได้แต่ผินหน้าหลบสายฝนที่สาดเข้ามา กันสาดนี่เล็กนิดเดียว บางทีถ้าเกิดว่าได้เข้าไปในอาคารได้ละก็...
คิดอย่างนั้นปาร์คชานยอลก็วางคว่ำถังน้ำไว้ตรงนั้นแล้วหยิบเอาไม้ถูพื้นในมืออีกฝ่ายวางพิงผนังไว้อย่างลวก ๆ เขาถอดเสื้อนักเรียนตัวนอกออกจนเหลือแค่เสื้อเชิ้ตบาง ๆ แล้วเอาคลุมศีรษะแบคฮยอนเอาไว้ ก่อนจะจับมือแล้วพาวิ่งฝ่าสายฝนออกไปยังอาคารเรียนที่ใกล้ที่สุด
ทั้งที่ฝนตกหนัก แต่แบคฮยอนก็ยังได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นดัง ตึก... ตึก... รัวกว่าครั้งไหน ๆ
“ขอโทษนะ เปียกหมดเลย”
ร่างสูงเอาเสื้อที่ใช้คลุมศีรษะอีกคนมาบิดน้ำออกที่เชิงบันไดก่อนจะหันไปยิ้มแห้ง ๆ ให้แบคฮยอนที่ยืนกอดตัวเองอยู่ด้านใน ร่างบางส่ายหัวรัว “เพราะว่ามาช่วยผม... นายถึงได้ลำบากแบบนี้”
ทั้งที่อยากจะพูดไปว่าไม่เป็นไร แต่ชานยอลก็เลือกที่จะเงียบไว้แล้วยิ้มแทนคำตอบทุกอย่าง เขานั่งลงบนม้านั่งตรงประตูก่อนจะเรียกอีกคนให้มานั่งด้วยกัน
“ทำไมถึงกลับบ้านเย็นนักล่ะ วันนี้เป็นเวรนายเหรอ? ทำไมไม่เห็นคนอื่น ๆ เลย”
แบคฮยอนไม่ตอบแต่กลับยิ้มบาง ๆ แบบไม่สู้ดีนัก เขาก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าเข้าใจสีหน้าแบบนั้นดีไหม... แต่ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เหมือนตอนที่เขาต้องยิ้มเพื่อให้อีกคนสบายใจ
“ถ้าไม่อยากทำน่ะ ก็ไม่เห็นต้องฝืนนี่นา” ถึงจะพูดไปอย่างนั้นแต่ชานยอลก็รู้สึกปวดแปลบในใจลึก ๆ ใช่... ทำไมจะต้องฝืนยิ้มออกมาทั้งที่รู้สึกไม่ดีด้วยนะ
แล้วทำไมชานยอลจะต้องฝืนทำดีกับแบคฮยอนกันล่ะ
ร่างบางเกลียดตัวเองที่เผลอคิดไปแบบนั้น ชานยอลเป็นคนดีเกินไป แล้วสักวันหนึ่งก็จะย้ายที่นั่งไปเหมือนคนอื่น ๆ และไม่คุยกับเขาอีกเลย... ทุกคนหาว่าเขาเป็นคนแปลก ๆ ไม่ผิดหรอกที่จะไม่มีเพื่อน
“คิดอะไรอยู่เหรอ?”
แบคฮยอนไม่รู้ตัวสักเท่าไหร่ว่าคิ้วของเค้านิ่วจนแทบจะชนกันอยู่แล้ว เผลอสะดุ้งตัวโยนเมื่อนิ้วของปาร์คชานยอลกำลังนวด ๆ อยู่ระหว่างหว่างคิ้วเขา ปากก็พร่ำบอกว่าอย่าย่นไปด้วย นั่นทำให้แบคฮยอนหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว
“หัวเราะแล้ว...”
หัวเราะเหมือนกับเมื่อตอนกลางวันนั่น
“นาย... ดีกับผมมากเลยล่ะ” พูดทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่อย่างนั้น เขาไม่กล้ามองหรอกว่าชานยอลจะกำลังยิ้มแบบไหนอยู่ แต่หลังจากเกิดความเงียบขึ้นครู่ใหญ่ แบคฮยอนก็ชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายทำสีหน้าอย่างไรกันแน่
“แบคฮยอน...”
“...........”
“รังเกียจที่จะมองหน้ากันขนาดนั้นเลยเหรอ...?”
“เห...?”
พอได้ยินอย่างนี้เขาก็เผลอเงยหน้ามองคนตรงหน้าอย่างไม่ตั้งใจ สีหน้านั้นไม่สู้ดีนัก มันดูเสียใจ... น้อยใจ... หรืออะไรประมาณนั้นที่แบคฮยอนเจาะจงไม่ถูกนัก ที่ถามแบบนี้อยากได้คำตอบแบบไหนกันนะ
“ไม่ใช่... คือว่า...”
“หืม?”
“ผมแค่... มองหน้านายไม่ไหวน่ะ”
“มองไม่ไหว?” คนฟังเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทวนคำนั้นด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่แน่ใจนัก เพียงครู่เดียว เขาก็หัวเราะออกมาจนตัวงอแล้วเงยหน้าขึ้นมองแบคฮยอนทั้งที่ยังงอตัวอยู่อย่างนั้น “หน้าฉันมันแย่มากขนาดที่นายมองไม่ไหวเลยเหรอ”
“มะ... ไม่ใช่...” แบคฮยอนผินหน้าหนีไปอีกทาง เขาต้องรวบรวมความกล้ามากเท่าที่จะมีได้ในตอนนี้ถึงตอบคำถามนั้นออกไป “ก็นายเหมือน... พระอาทิตย์... ฉันหมายความว่า... นายสดใสเอามาก ๆ”
แปลกที่ครั้งนี้ชานยอลไม่ได้หัวเราะเพาระมันตลกหรือว่าแปลกคนหรอก เขาหัวเราะน้อย ๆ เพราะนึกโทษตัวเองที่กำลังนั่งหน้าแดงกลางสายฝนนี่ต่างหาก ก็คงถือเป็นบทลงโทษล่ะมั้งที่ไปคาดคั้นให้แบคฮยอนพูดน่ะ ก็เลยเข้าตัวจนพูดไม่ออกอยู่อย่างนี้
สบถออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นสายฝนเทลงมาในที่สุด แต่อย่างน้อยก็คงเรียกว่าโชคดีได้ล่ะมั้ง เพราะคนอื่น ๆ ที่กลับไปแล้วป่านนี้ก็คงจะเปียกฝนอยู่กลางทางแน่ ลู่หาน ยัดของส่วนตัวและปิดล็อกตู้ล็อกเกอร์เรียบร้อยก่อนจะสะพายกระเป๋าและเปิดประตูออกไป
เขาเดินเอื่อยเฉื่อยไปตามทางเดินอย่างไม่เร่งรีบนัก อย่างน้อยเผื่อว่าจะเจอเพื่อนคุยเพื่อนเล่นสักคนแก้เหงาระหว่างรอฝนหยุด ในอาคารเรียนที่แทบไม่มีใครอย่างนี้
“ขอบคุณนะจ๊ะที่ช่วยอยู่สอนการบ้านจนเสร็จ”
ได้ยินเสียงแว่วมาจากในห้องเรียนห้องหนึ่ง ลู่หานแวะยืนมองผ่านกระจกบนประตูห้อง เห็นใครบางคนกำลังยิ้มกระอักกระอ่วนให้กับเด็กสาวตรงหน้า เมื่อถูกหล่อนรุกคืบด้วยด้วยการเริ่มถอดเสื้อผ้าทีละชิ้น
“ใคร ๆ ก็ว่าเซฮุนน่ะเก่งมาก ฉันน่ะ... ชอบเซฮุนมาตั้งแต่ปีที่แล้วเลยนะ”
โอ้โห... หนังสด
เขายิ้มขำออกมาเมื่อเห็นโอเซฮุนผงะถอยหนีไปนิดหน่อย ดวงหน้ามองซ้ายทีขวาทีราวกับคิดจะกระโดดลงไปจากหน้าต่างที่อยู่ใกล้ที่สุดด้วยซ้ำ เด็กสาวเข้าไปโอบรอบคอร่างโปร่งไว้เย้ายวนให้ถูกกระทำ เซฮุนคงจะถูกเธอปล้ำไปแล้ว ถ้าไม่เพียงแต่...
“เซฮุน! อยู่นี่เอง หาแทบแย่”
ลู่หานเปิดประตูเข้าไปโต้ง ๆ ก่อนจะแกล้งทำเป็นชะงักเขินอายให้กับภาพเกือบจะอีโรติคเบื้องหน้า โอเซฮุนมองเขาอย่างงุนงงแต่ก็แฝงแววดีใจในสายตาเล็ก ๆ เมื่อมีคนมาช่วยชีวิตถึงที่ “นาย... คนที่อยู่ห้องเดียวกัน...?”
“อ้อ ใช่ อาจารย์ควอนให้ฉันมาตามนายไปพบน่ะ” พูดพร้อมกับขยิบตาให้ข้างหนึ่งอย่างรู้กัน เซฮุนดูจะซื่อบื้อไปครู่หนึ่งกว่าเขาจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ชายหนุ่มรีบผลักเด็กสาวตรงหน้าออกอย่างสุภาพแล้วคว้ากระเป๋าเดินหนีไปทันที
เจ้าของดวงตากลมโตปรายมองคนที่ยังยืนอึ้งอยู่ในห้องก่อนจะใช้สายตาโลมเลียพอเป็นกระสัยแล้วเดินตามเซฮุนออกไป บิ๊กอายส์ หน้าอกเล็ก ไม่ใช่สเป็กเขาเลยสักนิด
“โอเซฮุน!”
เซฮุนชะงักหยุดก่อนจะหันมองคนที่เดินตรงมาทางเขา เดินเร็วชะมัด เขายังไม่ได้ขอบคุณหมอนี่เลยสินะ เหมือนจะคุ้นหน้าว่าอยู่ห้องเดียวกันแต่ไม่ค่อยได้เจอสักเท่าไหร่ “เมื่อกี้... ขอบคุณมาก”
ลู่หานยิ้มใสอย่างไม่ถือสา ก่อนจะลอบสำรวจคนตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าโดยไม่ให้รู้ตัว ผอมสูง หน้าหล่อ แต่ท่าทางอ่อนหัดสุด ๆ ทำไมถึงเพิ่งจะมาสังเกตเห็นเอาตอนนี้นะ “ไม่เป็นไรหรอก ยังไงเราก็อยู่ห้องเดียวกันนี่นา”
“จริงสิ...” ร่างโปร่งดูจะยิ้มผ่อนคลายขึ้น อาจจะมีเพิ่มขึ้นมาอีกคนก็ได้ เพื่อนผู้ชายที่ไม่เอาแต่เขม่นเขาทั้งเรื่องหน้าตาและเรื่องผู้หญิงน่ะ
“ฉันชื่อลู่หาน ไม่ค่อยได้ไปเรียนเพราะต้องเก็บตัวแข่งฟุตบอลน่ะ” ยื่นมือออกไปอย่างเป็นมิตร รอจนเซฮุนยอมเลื่อนมือมาจับด้วยอย่างเก้ ๆ กัง ๆ สีหน้าอีกฝ่ายติดจะมีแววฉงนอยู่นิดหน่อย
“นายไม่ใช่คนเกาหลี?”
“ฉันเชื้อชาติจีน แต่มาอยู่เกาหลีตั้งแต่เด็ก ๆ” ตอบกลับไปเสียงใสพลางเหวี่ยงกระเป๋าขึ้นพาดหลัง ฝนซาลงแล้ว แล้วเขาก็มองเห็นร่มตรงผนังห้องพักอาจารย์เสร็จสรรพ “ไว้เจอกันในห้องนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เช่นกัน”
พออกพอใจกับรอยยิ้มบาง ๆ นั่นเสร็จแล้วก็หมุนตัวกลับเดินออกมา แววตาสดใสเป็นมิตรเมื่อครู่ฉายแววสนุกอย่างบอกไม่ถูก ถ้าจะให้เทียบ... ก็คงไม่ต่างจากเด็กที่ได้ของเล่นใหม่ล่ะมั้ง?
______________________________________
ไฟแรงมาก ไม่เคยแต่งอะไรใสใสแบบนี้มาก่อนเลย -.-
จริง ๆ ชื่อเรื่องนี้อ่านว่า ทูกึนทูกึน ค่ะ อารมณ์ประมาณ ตึกตักตึกตัก ของเรานี่แหละ 55555
ฝากติดตาม ให้กำลังใจกันด้วยนะคะ ;D
ใครพูดถึงในทวิตเตอร์ ก็อย่าลืมติดแท็ก #ฟิคฮบ ให้ไปแอบอ่านกันด้วยนะคะ 5555
ความคิดเห็น