ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) DARK HORSE | chanbaek hunbaek

    ลำดับตอนที่ #1 : EPISODE 0 | BLUELOCK

    • อัปเดตล่าสุด 23 ต.ค. 59









     



    DARK HOUSE

         間違えている箇所もあります。

    ….

    z e r o

     

     




     

     

    กฎข้อแรกของการสัญญา

    คือการรักษาสัญญา

     

     

     

     







     

     

    ตอนนี้ล่วงเข้าตีสี่แล้ว แถมอากาศในคืนนี้ก็ดูจะเย็นกว่าทุกคืนที่ผ่านมา เข็มนาฬิกาบนผนังยังส่งเสียงตามหน้าที่ของมันอย่างไม่หยุดหย่อน กระเป๋ากีต้าร์แมคลอเรนซ์ถูกวางอยู่มุมหนึ่งของห้อง โปสเตอร์วงเมทัลลิก้าบนผนังลอกหลุดลงบนพื้น มันเป็นอย่างนี้วันละสองสามรอบ แต่เจ้าของห้องก็ตื่นสายเกินกว่าจะกระตือรือร้นในการทำอะไร เขาถึงไม่ได้แวะร้านเครื่องเขียนสักร้านเพื่อซื้อเทปกาวมาติดมันให้แน่นเหมือนเดิมสักที

     

    “อา...”

     

    บยอนแบคฮยอนคิดว่าเขาเคยเสียงดีกว่าในตอนนี้ อย่างน้อยมันก็ไม่ได้แหบพร่าและเหมือนจะขาดใจเช่นตอนที่ใครบางคนกำลังพรมจูบอยู่บนหน้าท้องแบนราบ ต้องยกร่างขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้กางเกงยีนส์ตัวโปรดถูกดึงออกจากเรียวขาได้สะดวก และตอนนี้เขาก็เริ่มจะรู้สึกหนาวขึ้นมาแล้ว

     

    “ขยับหน่อยสิ” ร่างเล็กบอก พลิกตัวคว่ำไม่ได้ในขณะที่เข่าของอีกคนยังคร่อมอยู่ระหว่างหน้าขาแบบนี้

     

    “ช่างสิ” คนถูกสั่งว่าก่อนจะเหยียดตัวขึ้นแล้วถอดเสื้อยืดสีดำโคร่งออกอย่างรีบร้อน “แบบนี้แหละ”

     

    โน้มตัวลงทาบทับก่อนจะแลกจูบเหมือนคนขาดอากาศหายใจ มันไม่ได้ลึกซึ้ง วาบหวาม ทั้งยังรุนแรงจนแบคฮยอนรู้ว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าปากเขาต้องบวมเจ่อเหมือนคนโดนผึ้งต่อย รสจูบนั้นมีแต่กลิ่นแอลกอฮอล์และบุหรี่ขมปร่า กลิ่นเหงื่ออ่อนๆของปาร์คชานยอลทำให้เขาร้อนขึ้นนิดหน่อย หรืออาจจะเป็นเพราะเกมโง่ๆเมื่อสองชั่วโมงก่อน

     

    “หัวเราะอะไร” ชานยอลถาม มือก็พยายามดึงกางเกงเกงยีนส์ของตัวเองออกอย่างรำคาญ

     

    “กลิ่นตัวนายเหมือนตกถังเหล้า”

     

    เป็นเครื่องแปลกที่ชานยอลไม่ได้หัวเราะหรือด่าว่าเขาติงต๊องแบบทุกที ถึงคิ้วนั้นจะเอาแต่ขมวดมุ่นเหมือนคนใช้ความคิด แต่ชานยอลก็ยังเป็นชานยอลอยู่วันยังค่ำ

     

    ร่างทั้งร่างถูกดึงเข้าหาจนศีรษะตกจากหมอน ข้างหนึ่งถูกยกขึ้นพาดบนบ่ากว้าง รู้ตัวอีกที แบคฮยอนก็สัมผัสได้ถึงแรงเสียดจากช่วงหว่างขา มันทั้งร้อนและแน่นไปทั้งช่วงล่าง แต่ถึงอย่างนั้นกลับเป็นความรู้สึกที่ดี

     

    “ขอนอนคว่ำไม่ได้หรือไง แบบนี้มันไม่ถนัด” พูดเสียงอู้อี้พลางยกมือหนึ่งขึ้นปิดใบหน้า ก่อนแขนสองข้างจะถูกดึงขึ้นไปให้ทั้งร่างนั่งคร่อมอยู่ตรงหน้าขา

     

    “อยากเห็นหน้า” ร่างสูงตอบสั้นๆ ในขณะที่ใช้มือข้างหนึ่งไขว้มือเขาไปด้านหลัง พอได้อยู่ในท่านั่งแบบนี้ แบคฮยอนก็รู้สึกลึกมากขึ้นในขณะที่ขยับตัวไปตามแรงส่ง

     

    “น่าอายชะมัด” บ่นอิดออดทั้งเสียงสั่นพร่า ยังไงเขาก็ไม่ชินอยู่ดีกับการแก้ผ้าแล้วต้องมานั่งมองหน้ากันขณะมีเซ็กส์แบบนี้ ชานยอลจะชินก็ชินไปคนเดียวเถอะ

     

    “ยังต้องอายอะไรอีก”

     

    เสียงเตียงโครงเหล็กลั่นเอี๊ยดอ๊าดจนน่ารำคาญ ขอบคุณที่ไม่มีใครในวงรู้เรื่องเขาแอบคบกับหมอนี่ ไม่อย่างนั้นแบคฮยอนคงต้องรู้สึกรำคาญทุกทีถ้าใครพูดแซวแล้วมีเสียงเตียงลั่นประกอบในหัวขึ้นมา เขาคิดว่าตัวเองกลายเป็นคนลามกเต็มขั้นแล้วแน่ๆ

     

    อย่างที่สองคือแบคฮยอนชอบเสียงครางต่ำในลำคอของชานยอล มันรู้สึกดีทุกครั้งที่คิดว่าเสียงนี้เป็นของเขาเพียงคนเดียวมาตลอด เสยหน้าม้าชื้นเหงื่อของอีกฝ่ายขึ้นเพื่อไม่ให้มันปรกใบหน้า หลังจากทำอย่างนี้เขาก็ถูกปากอิ่มๆนั่นกดจูบให้หายหมั่นเขี้ยวไปฟอดใหญ่ๆ

     

    มือเรียวขยำเรือนผมสีน้ำตาลย้อมจนยุ่งเหยิงไปทั้งหัว แต่แทนที่ผู้ชายคนนี้จะดูตลก กลับกันแล้วแบคฮยอนรู้สึกหมั่นไส้ความหล่อที่จมไม่ลงของชานยอลยิ่งกว่าอะไรดี โน้มหน้าลงไปพรมจูบที่พวงแก้มของคนตรงหน้าซ้ำๆ

     

    พอถูกทำอย่างนั้นปาร์คชานยอลก็ยกมือขึ้นประคองใบหน้าขาวให้รับจูบหนักๆสักชุดหนึ่ง ทั้งผละออกหายใจและกดจูบลงสะเปะสะปะ ถ้าปากของชานยอลเป็นปากผู้หญิง แบคฮยอนคิดว่าเขาคงมีแต่รอยลิปสติกยาวไปถึงหู

     

    “อา... ชานยอล... ชานยอล...”

     

    ครางเรียกชื่ออีกฝ่ายในขณะที่ต้องเชิดหน้าขึ้นเมื่อร่างสูงจับสะโพกของเขาให้ขยับแรงขึ้นพลางไซร้ริมฝีปากไปตามลาดไหล่และต้นคอ เสียงลมหายใจของแบคฮยอนขาดช่วง มีแต่เสียงครางพึงใจในลำคอที่ยังดังสม่ำเสมอ เหมือนกับในร่างกายเต้นตุบๆ ในหัวของเขามันเป็นภาพโพรงลึกลงไป แล้วชานยอลก็ตามมาเติมเต็มอยู่อย่างนั้น

     

    เหงื่อกาฬซึมชื้นขึ้นบนขมับ พอไม่สนใจจะเช็ดออกมันก็ไหลเยิ้มลงมาตามแนวสันกราม เมื่อเลียริมฝีปากก็รู้สึกได้ถึงรสเค็มแปร่งปร่า ทุกครั้งที่ปากว่าง แบคฮยอนก็จะก้มหน้าลงไปคลอเคลียให้ชานยอลจูบตอบเสมอ

     

    ความรู้สึกทะยานสูงราวกับว่าโพรงในความคิดนั้นเป็นเขื่อนที่กำลังจะแตก เขารู้ว่าคนตรงหน้าก็คงเหมือนกัน เสียงน้ำกระทบดังขึ้น แล้วการตื่นให้ทันแดดหมดในวันนี้ก็ฟังดูเลวร้ายยิ่งกว่าเรื่องที่ระบบเสียงในผับโคตรห่วยแตกเสียอีก

     

    “ไปจัดการในห้องน้ำ เดี๋ยว อะ...เตียงเปื้อน” พูดดุทั้งที่รู้ว่ามันคงฟังแทบไม่ได้ศัพท์ บีบต้นแขนอีกฝ่ายแรงๆเมื่อรู้ตัวว่าถูกแกล้ง ยิ่งเขาปั้นหน้าดุๆแบบนี้ ชานยอลก็ยิ่งดูจงใจขยับร่างตอบให้แรงขึ้น ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าหมั่นไส้สิ้นดี

     

    ถึงปากจะพูดไปอย่างนั้น แต่ก็รู้ดีแก่ใจว่าเขาทั้งคู่คงลุกไปทั้งอย่างนี้ไม่ไหวแล้ว ร่างเล็กรู้สึกเหมือนเป็นกระทะร้อนๆที่กำลังถูกน้ำเย็นฉีดราดจากข้างใน แล้วความตั้งใจในคืนนี้ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเอาเสียเลย เพราะเขาทำหน้าท้องของปาร์คชานยอลเปื้อนเป็นรอยขาวอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งคู่ต่างหอบหายใจก่อนจะปล่อยให้หน้าผากชนกันเพื่อผลัดฟังเสียงลมหายใจ

     

    ท้ายสุดแล้วแบคฮยอนก็รู้ว่าเขาต้องรีบตื่นมาซักผ้าปูที่นอนจนได้ ลมหายใจอุ่นตรงช่วงคอเรียกให้ละสัมผัสจากหน้าผากอีกฝ่ายเพื่อสบกับดวงตากลมโตนั้น ร่างเปลือยเปล่ายังคงอยู่ในท่วงท่าเดิม สำหรับแบคฮยอนแล้ว... ปาร์คชานยอลเปรียบเสมือนโลกทั้งใบที่ทำให้เขากล้าก้าวขาต่อไปข้างหน้า เปรียบเสมือนทั้งไม้ค้ำและสายจูง เหมือนน้ำหล่อเลี้ยง เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ตาสองข้างจะมองเห็นได้ขณะอยู่ภายใต้วงแขนแกร่งโอบรอบ

     

    “....”

     

    ชานยอลโน้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อกดจูบลงกับบางสิ่งที่ปลายสายสร้อยเชือกหนังสีดำ เห็นอย่างนั้นร่างเล็กก็หัวเราะแล้วปล่อยร่างทั้งร่างให้จมอยู่ในอ้อมกอดของคนตรงหน้า

     

    “แบคฮยอน”

     

    “ว่าไง”

     

    ชานยอลพูดทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นสบกัน บยอนแบคฮยอนกำลังก้มมองจี้แม่กุญแจซึ่งคล้องอยู่ระหว่างสายสร้อยสีเงินที่วนรอบคออีกฝ่าย มันบรรจบเป็นตัวยึดไว้เหมือนปลอกคอ แล้วก็ถูกใส่เข้าไปจากกุญแจซึ่งห้อยอยู่บนคอเขา เป็นสัญญาที่หนักแน่นดังโซ่ตรวน เป็นสิ่งผูกมัดที่ทำให้ทั้งคู่เชื่อมั่นในกันและกัน

     

    “ฉันไม่เคยเสียใจที่เลือกอยู่กับนาย”

     

    “พูดอะไรน่ะ” คนฟังหัวเราะ

     

    เขาคิดว่าอะไรหวานๆเสี่ยวๆมันไม่ใช่ทางของชานยอลเลยสักนิด หากแต่วงแขนแกร่งนั้นก็รั้งร่างของเขาแน่นขึ้นอีก ราวกับจะปรามว่านี่คือเรื่องที่ชานยอลจริงจังที่สุดในโลก “ฟังก่อนสิ”

     

    “....”

     

    “ฉันพูดจริงๆ ทั้งเรื่องที่เราฟอร์มวงขึ้นมาด้วยกัน ได้เจอพี่จุนมยอน คยองซู”

     

    “....”

     

    “แล้วก็ที่รู้ตัวว่าฉันต้องการนายมากแค่ไหน”

     

    ทั้งที่คิดว่านัยน์ตาคมนั้นคงกำลังหวานซึ้งอย่างที่ผู้ชายสักคนจะมีได้ในตอนที่ตกอยู่กับห้วงความรัก แต่กลับกันแล้วครั้งนี้ตาของชานยอลไม่ได้สื่อว่าอย่างนั้น มันทอความเศร้าหมองคล้ายคนมีอะไรในใจ

     

    “เป็นอะไรหรือเปล่า” ประคองหน้าอีกฝ่ายขึ้นแล้วจูบเบาๆที่สันจมูก “อยู่ดีๆมาทำซึ้งทำไม”

     

    ในใจของแบคฮยอนมีแต่ความทรงจำเปี่ยมสุข ทว่าสีหน้าของชานยอลไม่สู้ดีนัก หลังการมีเซ็กส์ไม่ใช่จังหวะที่ดีในการพูดเรื่องเครียดๆสักเรื่อง แน่นอนว่าพวกเขารู้ดี แต่ถึงอย่างนั้นชานยอลก็เปิดมันขึ้นมาด้วยท่าทางลำบากใจ แต่กลับปัดจบราวกับไม่พร้อมจะพูดอีก

     

    “ฉัน...”

     

    “....”

     

    “....”

     

    “ชานยอล?”

     

    “....”

     

    “....”

     

    “ไม่มีอะไร”

     

    ร่างสูงตัดบท ค่อยๆประคองร่างเขาให้นั่งลงบนเตียงดีๆก่อนจะลุกหายไปในห้องน้ำพร้อมกางเกงยีนส์ตัวเดิมซึ่งกองอยู่ข้างเตียง ระหว่างนั้นแบคฮยอนก็ลุกไปหยิบเสื้อผ้าตัวใหม่ในตู้มาสวมใส่อย่างลวกๆ เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงประตูห้องน้ำ

     

    ชานยอลไม่แม้แต่จะเปิดไฟ แล้วก็ใช้น้ำจากก๊อกลูบใบหน้าตัวเองจนปรอยผมเปียกชุ่ม แบบนี้มันผิดปกติ แบคฮยอนรู้ดี ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายได้แต่เก็บเงียบอยู่กับก็กลัวว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่เกินจากความคิดของเขา

     

    บางทีชานยอลอาจกำลังเครียดเรื่องเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

     

    “ชานยอล” ใบหน้าหล่อนั้นหันมาทางเขา อีกครั้งที่แบคฮยอนแน่ใจว่าคนตรงหน้ากำลังแปลกไป “ยังคิดมากเรื่องนั้นอยู่เหรอ?”

     

    “....”

     

    พออีกคนไม่ตอบ คำพูดดีๆหลายอย่างที่ตั้งใจจะพูดก็พาลกลืนหายลงลำคอไปอย่างน่าอึดอัด ชานยอลยอมพาตัวเองออกมาสู่แสงสว่างภายในห้อง ร่างสูงนั่งลงที่เตียง มองคนรักซึ่งกำลังเดินตามมานั่งลงยังโซฟาบุหนังเก่าๆ

     

    “แบคฮยอน” ชานยอลเรียกเขาอีกครั้ง

     

    “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกน่า ใครๆก็ผิดพลาดกันได้” ร่างเล็กรีบชิงพูดขึ้นก่อน การที่ชานยอลรู้สึกไม่ดีกับเรื่องการแสดงนั้นไม่ใช่ลางที่ดีนัก “เลิกคิดมากได้แล้ว”

     

    คนฟังเสยผมเปียกชุ่มของตัวเองเหมือนว่าทุกอย่างบนโลกนี้ยุ่งยากขึ้นมาไม่มีผิด แจ๊คเก็ตยีนส์ของชานยอลบนโซฟายังเหม็นกลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆ และแทนที่จะยอมนอนกอดเขาทั้งท่อนบนเปลือยเปล่าอย่างนั้น ชานยอลกลับคว้าเอาเสื้อยืดสีดำบนพื้นขึ้นมาใส่แล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผากอย่างผิดวิสัย

     

    “ฟังนะ”

     

    “....”

     

    “ฉัน...”

     

    ร่างสูงเหมือนคนที่นั่งก้นไม่ติด สุดท้ายแล้วเขาก็ยืนขึ้นแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโซฟาสีเลือดหมูเพียงเพื่อจะบอกเล่าอะไรสักอย่างทั้งที่คิ้วยังขมวดไม่คลาย

     

    “สักพักหนึ่งแล้วที่ฉันเก็บเรื่องนั้นมาคิด” เรื่องนั้นที่ว่า แบคฮยอนไม่แน่ใจนักว่าชานยอลหมายถึงอะไรกันแน่ เรื่องนั้นในหัวของเขามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ก็น่ากลัวถ้ามันจะเป็นเรื่องอื่นซึ่งเขาไม่เคยรู้มาก่อน “ฉันขอโทษที่ไม่เคยบอกนายหรือว่าคนในวง”

     

    “....”

     

    “....”

     

    “มีอะไรก็พูดมาสิ ฉันรับฟังนายทุกเรื่องอยู่แล้ว”

     

    ปาร์คชานยอลทำสีหน้าเหมือนคนมีก้อนหินติดอยู่ตรงคอ ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก พยายามเรียบเรียงคำพูดมากมายในหัวแต่ก็ไม่เห็นว่าประโยคไหนจะดี

     

    “เนเบอร์ติดต่อฉันมาเมื่อเดือนที่แล้ว”

     

    เหมือนมีค้อนปอนด์หนักๆจ่อตรงกลางหัวของบยอนแบคฮยอนยังไงยังงั้น เขาไม่เคยต้องเครียดถ้าจะมีค่ายเพลงสักค่ายมาติดต่อดึงตัวชานยอลไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แม้ว่ามันจะเป็นทางที่ดีกว่า แต่ชานยอลก็ไม่เคยใส่ใจจนถึงกับเก็บมาคิดอย่างที่กำลังสารภาพกับเขาอยู่

     

    ใช่... ปาร์คชานยอลหนักแน่นกับวงมากกว่าคนที่ดูลนลานอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้

     

    ครั้งนี้มันต่างออกไป เนเบอร์เป็นค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ที่คนรู้จักกันทั้งประเทศ เขาไม่กล้าพูดอะไรในตอนนี้ ไม่กล้าแม้แต่จะฟังการตัดสินใจของปาร์คชานยอลที่ส่อเค้าลางไม่ดีมาตั้งแต่เมื่อครู่

     

    “นายคงรู้ว่าตอนนี้อาร์คกำลังขาดมือกีต้าร์”

     

    “อาฮะ...”

     

    “....”

     

    เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้เลื่อนมือมากำอยู่ตรงจี้กุญแจตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะเป็นตอนที่มันทำท่าจะหลุดออกไป หรือแม้แต่ตอนนี้ในมือของบยอนแบคฮยอนก็ยังร้อน ในหัวของเขาเป็นสีแดงวาบเหมือนแสงแดดตอนสายๆ ร่างกายเย็นเยียบเหมือนน้ำทะเลตอนกลางดึก และปาร์คชานยอลก็ดูเหมือนตัวอะไรสักอย่างที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน

     

    “รู้สิ”

     

    แบคฮยอนตอบเสียงสั่น เขาไม่เคยเป็นเดือดเป็นร้อนกับการลาออกของมือกีต้าร์จากวงร็อคระดับประเทศอย่างอาร์ค ไม่เคยสนใจเรื่องการประกวดหาสมาชิกคนใหม่ของค่ายเนเบอร์ แล้วก็ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ปาร์คชานยอลพูดเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยท่าทางอย่างที่กำลังเป็นอยู่

     

    “....”

     

    “....”

     

    ระหว่างคนทั้งคู่มีเพียงแค่ความเงียบที่น่าอึดอัด สร้อยแม่กุญแจสีเงินเด่นชัดขึ้นมาบนเสื้อยืดสีดำที่เขาให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปลายปีที่แล้ว ในหัวของร่างเล็กอื้ออึง ถ้าชานยอลไม่พูดอะไรออกมาอีก เขาคิดว่าเรื่องมันคงจะไม่แย่ไปกว่านี้แล้วก็ได้

     

    “แบคฮยอน...”

     

    มือแกร่งเข้ามาเสยผมที่ปรกใบหน้าเขาอย่างอ่อนโยน ทว่าแบคฮยอนก็ปัดมันออกเหมือนของร้อน ในตอนนี้ภาพของชานยอลพร่ามัวไม่ต่างจากการมองผ่านกำแพงกระจกขุ่นๆตอนฝนตก มันทั้งบิดเบี้ยว ผิดรูปทรง และเหลือแค่ความเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดขึ้นมา

     

    “นายจะพูดอะไร”

     

    “....”

     

    “อยากบอกอะไรก็พูดมาสิ”

     

    เขาคิดว่าเขาใจเย็นมากแล้วที่กล้าถามแบบนี้ออกไป ถึงอย่างนั้นภาพเลือนรางของชานยอลก็ยังดูน่าโมโห แม้แต่รอยสักรูปแหวนรอบนิ้วนางข้างซ้ายแบคฮยอนก็ยังนึกรังเกียจมันขึ้นมาเพียงแค่รู้แก่ใจว่าบนนิ้วนางข้างขวาของคนตรงหน้าก็มีรอยสักแบบเดียวกัน

     

    ใบหน้าหล่อเหลาของร่างสูงเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน เขาไม่รู้ว่าควรเข้าไปกอดรั้งอีกคนเอาไว้หรือปล่อยให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ การร้องขอให้อีกฝ่ายยกโทษให้มันน่ารังเกียจเกินไป ทั้งดูไร้ศักดิ์ศรีและเห็นแก่ได้

     

    “....”

     

    “....”



     

    “ฉันขอลาออกจากวง”



     

    เปลือกตาบางปิดลงเมื่อปะทะเข้ากับจี้เหล็กเย็นเยียบก่อนที่มันจะร่วงลงไปอยู่บนพื้น เขาลืมตามองบยอนแบคฮยอนที่ไม่มีสายสร้อยหนังสีดำบนคอแล้ว ใบหน้าขาวที่คอยพรมจูบอยู่ทุกคืนก่อนนอนนั้นแดงก่ำด้วยโทสะ แม้แต่เขาเองในตอนนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอลเป็นใครมาจากไหน







     

     

    นายว่าวงเกลย์จะมีโอกาสดังกับเขามั่งไหมชานยอล?

     

    ถ้าพูดแบบให้กำลังใจก็คงจะมีล่ะมั้ง

     

    รู้ใช่ไหมว่าเกลย์เป็นชีวิต... เป็นความฝันของฉัน

     

    รู้แล้วน่า เกลย์ก็เหมือนนายนั่นแหละ

     

    ‘…’



     

    เป็นชีวิตของฉัน







     

     

    “ออกไป”

     

    “....”

     

    “ฉันไม่อยากเห็นหน้านายอีก”

     

    แบคฮยอนไม่คิดมาก่อนว่าจะมีวันที่เขาต้องพูดคำนี้และกับผู้ชายคนนี้ คนที่เคยให้สัญญาเขาอย่างหนักแน่นว่าจะเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งชีวิตและความฝัน คนที่เขาคิดว่าไม่มีทางโกหก ไม่มีทางหักหลังแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น




     

    เขากำลังโกรธที่ปาร์คชานยอลเลือกตัวเองอย่างนั้นสินะ



     

    “....”

     

    “ออกไปสิ!

     

    ทั้งแผดเสียงและชี้ตรงไปที่ประตูห้องราวกับถูกบุกรุกจากคนแปลกหน้า ใช่... มันไม่ต่างอะไรหรอก คนตรงหน้าไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้าในชีวิตเขาแล้วด้วยซ้ำ

     

    “ไสหัวออกไปจากชีวิตของฉันได้แล้ว”

     

    เขาไม่เคยคิดว่าการถูกหักหลังมันรุนแรงขนาดนี้มาก่อน ไม่คิดด้วยซ้ำว่าระยะเวลาปีกว่าที่เล่นดนตรีมาด้วยกันมันไม่มีความหมายอะไรสำหรับผู้ชายคนนี้เลย โอกาสเป็นข้อเสนอที่เย้ายวนเสมอ

     

    “....”

     

    ปาร์คชานยอลก้มลงเก็บสร้อยกุญแจขึ้นมาไว้ในมือ มันยังเหลือไออุ่นจากมือนั้น ยังเหลือความรู้สึกมากมายที่บยอนแบคฮยอนไม่ได้ไขมันออกมาเพื่อทำความเข้าใจว่าเขากำลังรู้สึกยังไง

     

    ถึงอย่างนั้นนี่ก็คือสิ่งที่เขาตัดสินใจแล้ว

     

    และแบคฮยอนก็ยอมให้กุญแจอันนี้มา... เพียงเพื่อให้ไขปลอกคอออกจากข้อผูกมัดทั้งมวล




     

    “ฉันขอโทษ”




     

    เก็บเอาสร้อยกุญแจใส่ลงกระเป๋ากางเกงแล้วเดินไปคว้าเอากระเป๋ากีต้าร์คู่ใจขึ้นมาสะพายไว้บนไหล่ ในตอนนี้แค่อยากให้เวลาเดินช้าลง หรือให้มีโซ่ตรวนสองเท้าที่หนักอึ้งนี้เอาไว้เพื่อยืดเวลาออกไปอีกสักหน่อย แบคฮยอนยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น อยู่ตรงหน้าโซฟาบุหนังสีเลือดหมูที่เขาเป็นคนออกปากว่าอยากซื้อ แล้วสุดท้ายแบคฮยอนก็ยอมเอาเงินเก็บที่มีอยู่น้อยนิดเข้ามาหารจ่ายเป็นสมบัติของห้องนี้

     

    ฟ้าเริ่มสางแล้ว ร่างสูงค่อยๆหยิบเอากุญแจและคีย์การ์ดที่เตรียมไว้วางคืนตรงหน้าโต๊ะกระจก ทั้งที่เมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อนบยอนแบคฮยอนยังหัวเราะได้ แต่เขาก็เลือกที่จะจบความสุขนั้นลงด้วยมือตัวเอง

     

    ชานยอลหันไปมองคนรักเป็นครั้งสุดท้ายหลังจากรู้สึกถึงแรงปะทะที่แผ่นหลัง เสื้อยีนส์ตัวเก่งที่เขามักจะใส่ขึ้นแสดงดนตรีนั้นกองอยู่ตรงปลายเท้า แบคฮยอนนั่งกุมหน้าอยู่บนโซฟาแล้ว แล้วเขาก็คิดว่ามันคงเจ็บปวดเกินไปถ้าจะฝืนอยู่ที่นี่เพียงเพื่อมองดูคนที่เป็นเหมือนโลกทั้งใบกำลังร้องไห้

     

    เขาควรจะพูดอะไรออกไป

     

    “....”

     

    แล้วความเงียบก็เป็นการจากลาที่ดีที่สุด




     

    โลกทั้งใบของแบคฮยอนคงพังทลายลงแล้ว

     

    สิ้นเสียงประตูห้องปิดลง บยอนแบคฮยอนก็ปล่อยเสียงสะอื้นออกมาเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะสามารถมีได้ ในเวลานี้เขาไม่จำเป็นต้องอายใคร ห้องนี้มีเพียงแค่เขา... แค่คนโง่เง่าสักคนที่เลือกจะอยู่ตรงที่เดิม




     

    ในขณะที่ใครอีกคนจากไป






     

    จากไปอย่างคนเห็นแก่ตัวและไม่ได้เหลียวหลังกลับมาอีกเลย

     










     

     

     

    ________________________________________

     

    ลั่นจนได้........................
    ขอบคุณแรงบันดาลใจและเค้าโครงเรื่องจากการ์ตูนเรื่อง
    NANA ด้วยค่ะ

    เกิดอยากจะเขียนขึ้นมา อิอิ ฝากติดตามด้วยนะคะ

    #ficdarkhorse



















     


    M
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×