รูปถ่าย
ผู้ที่ทำร้ายทูตมรณะไม่สามารถมองไปบนท้องฟ้าได้ในยามพิพากษา
ผู้เข้าชมรวม
213
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
รูปถ่าย
“ผู้ที่ทำร้ายทูตมรณะไม่สามารถมองไปบนท้องฟ้าได้ในยามพิพากษา”
ที่นี่มันเป็นหอพักแห่งหนึ่ง...ในเมืองโตเกียวอยู่ข้างๆศาลเจ้า ถ้าจะพูดให้ถูกต้องหอพักนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ของศาลเจ้า ภรรยาเจ้าของบ้านพักที่กลัวความหนาวเย็นเป็นคนดูแลศาลเจ้าและดูแลบ้านพัก ส่วนสามีเป็นพนักงานบริษัททั่วๆไป มีลูกชายวัยกำลังเรียนประถมคนหนึ่ง โดยรวมๆที่นี่มันจัดว่าค่อนข้างจะดีมากเลยที่เดียว แม้จะไม่มีห้องน้ำในตัวแต่ก็ยังมีห้องน้ำรวมให้ใช้...ไม่จำเป็นต้องออกไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำข้างนอก แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีข้อเสียเลยที่เดียว เพราะมันอยู่ใกล้รางรถไฟทำให้ต้องทนฟังแสงรถไฟวิ่งผ่านแทบทั้งวัน แต่ถึงยังไงมันก็ยังคงมีอีกามากมายมาเกาะอยู่ตามเสาไฟรอบๆบ้านพักและศาลเจ้า...บวกกับมีราคถูกที่ทำให้ผมสามารถที่จะอยู่ได้สบายๆไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องเงินมากนัก เพราะยังอยู่ใกล้มหาลัยแถมมีข้าวเช้าให้ฟรีเสียอีก
ห้องพักที่นี่...ตอนนี้มีคนมาพักอยู่ 3 คน ผมเป็นหนึ่งในนั้น ห้องข้างๆเป็นผู้หญิงสาวสวยผมยาวอายุพอๆกับผม วันๆผมเห็นเธอไม่ทำอะไร...เอาแต่อยู่ในห้องนั้น ไม่ออกไหน ไม่ว่าจะทำงานหรือไปเรียน นานๆครั้งพอจะเห็นเธอออกไปซุปเปอร์ซื้อของกิน ใบหน้าของเธอแม้จะสวย...แต่ค่อนข้างซีดไปหน่อย ดวงตามักแฝงความเศร้าสร้อยเอาไว้...ราวกับจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา เวลาที่เธออยู่ในห้องนั้น...ผมมักได้ยินเสียงเพลงเบาๆดังออกมาจากห้องของเธอ มันเป็นเพลงเดียวที่ดังออกมาตลอดกว่า 2 ปีที่ผมมาอยู่ที่นี่ อ้อ...ลืมบอกไปว่า”ผมมีชื่อว่านภากร เป็นคนไทยที่มาเรียนต่อมหาลัยที่ประเทศนี้” ส่วนห้องอีกห้องที่อยู่ข้างห้องของเธอนั้น เจ้าของห้องมันมีชื่อว่า”อากิระ" เจ้าหมอนี่กับผมแม้จะเจอกันหลายต่อหลายครั้ง...และทุกครั้งมักจะมีเรื่องกัน บางครั้งก็เป็นเรื่องที่เล็กน้อย...แต่ในบางครั้งกลับถึงจะต่อยกันเลยทีเดียว ส่วนสาเหตุที่ผมกับอากิระไม่ถูกกันนั้น...ก็มาจากเธอ เพราะทั้งผมและอากิระต่างหลงรักเธอ แม้อากิระจะรู้จักเธอมาก่อนผม...ทั้งแต่ยังสมัยเด็กๆก็ตาม แต่เธอก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในห้องของเธอ โดยมีแต่อากิระเท่านั้นที่เคาะเรียกเธอ ในบางครั้งเธออาจเปิดประตูออกมา...และบางครั้งก็ไม่ แต่ทุกครั้งที่อากิระชวนเธอไปไหน...เธอมักตอบปฏิเสธเสมอ ไม่ใช่แค่อากิระเท่านั้น...แต่กับทุกคนด้วย แม้แต่ภรรยาผู้ดูแลบ้านเช่า เธอก็ไม่ค่อยจะพูดด้วย...พอถึงเดือนก็แค่นำค่าเช่าไปจ่ายเท่านั้น เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมกำลังจะออกไปเรียน...พบเธอกำลังออกจากห้อง เธอเพียงแค่หันมามองผมเล็กน้อยราวกับไม่คิดที่จะสนใจ ก่อนที่จะหันกลับไปแล้วเดินออกไป ผมในตอนนั้นก็ได้เดินตามเธอไปทุกที ตั้งแต่เข้าไปในธนาคารเพียงถอนเงิน จนกระทั่งซุปเปอร์เพื่อซื้อของกินที่อยู่ได้เป็นราวเดือนกลับมา ผมสังเกตอยู่สาม-สี่ครั้งว่าเธอจะออกจากห้องพักทุกวันที่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ผมตามเธอมาสาม-สี่ครั้งก็มักพบเธอเดินไปยังที่เดิมๆ แม้ทุกครั้งเธอจะเห็นผมเดินตามเธอและมีหลายครั้งที่ผมชวนเธอคุย...เธอก็ยังไม่สนใจผมอยู่ดี ราวกับผมไม่มีตัวตน จนผมยังอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า”เธอมองเห็นผมหรือเปล่า” และในวันพรุ่งนี้ก็เป็นวันที่จะต้องจ่ายค่าเช่าบ้านอีกแล้ว...มันเป็นวันที่ผมจะได้พบเธออีกครั้ง
วันรุ่งขึ้น
“แกรก”
ทันทีที่ได้ยินเสียงประตูห้อง 2 เปิดออก ผมที่แต่งตัวรออยู่นานรีบเปิดประตูห้องออกมาทันที เธอที่กำลังเปิดประตูห้องที่ 2 ออกมาได้หันไปมองผมเหมือนอย่างทุกครั้ง เธอเพียงแค่หันไปมองตามเสียงทันที...โดยที่ยังไม่คิดที่จะสนใจผมเช่นเดิม ก่อนที่จะหันไป...เพื่อเดินไปยังบันไดที่อยู่ข้างๆห้องที่ 1 แต่ว่าทันใดนั้น...
ทันใดนั้นผมไม่สนใจสิ่งใด...ได้วิ่งเข้ามาจับแขนของเธอไว้
“เอ๋”
เธอส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจทันที...พร้อมทั้งรีบกระชากแขนออกจากมือของผมอย่างรวดเร็ว ราวกับการที่ผมจับแขนเธอไว้...มันจะก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรง ก่อนจะหันกลับมามองใบหน้าของผมอีกครั้งอย่างตกใจ...และหวาดกลัวราวกับผมได้ทำในสิ่งที่ผิดมหันต์
“ขอโทษ”
ผมส่งเสียงขอโทษออกไปจากการกระทำที่ไม่ยั้งคิดของตนเองและรู้สึกผิดของตนก่อนที่จะพูดต่อไปว่า
“บังเอิญผมจะเรียกคุณ...แต่ไม่รู้ว่าจะเรียกยังไงดี”
“...”
เธอนิ่งเงียบอย่างชั่งใจเล็กน้อย-สุดท้ายก็ตอบมาว่า
“มินาโกะ”
แล้วถามต่อไปว่า
“มีอะไรหรือ”
“ผมตามคุณมาตั้งหลายครั้งแล้ว”
“ชั้นรู้”
“แต่ละเดือนผมเห็นคุณเอาแต่อยู่ในห้อง นานๆจะออกมาซื้อของกินสักครั้งหนึ่ง”
“มันเรื่องของชั้น”
“ทำมัยล่ะครับ...ก็ผมอยากรู้”
“คุณจะรู้ไปทำมัยกัน”
“เพราะว่าผมชอบคุณ
”
ผมคิดที่จะตอบไปเช่นนั้น...แต่ก็ไม่ได้ตอบออกไป ผมเพียงแต่ได้แต่คว้าแขนเธออีกครั้ง...แล้วพูดต่อไปว่า
“จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ ไหนๆคุณก็ออกมาแล้ว...เราไปดูหนังกันเถอะ บังเอิญผมมีตั๋วหนังอยู่สองใบ”
“...”
เธอมีท่าทีขัดขืนและลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะตัดสินใจก้าวเดินตามผมไป...แต่ผมคล้ายได้ยินเธอพูดออกมาเบาๆกับตัวเองว่า
“ช่างเถอะ...ไหนไหนก็ไหนไหนแล้ว”
“ว่าอะไรน่ะ”
ผมหันกลับมาถามเธอ...เพราะฟังไม่ชัดว่าเธอพูดว่าอะไร แต่เธอกลับเพียงตอบกลับมาว่า
“เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ”
“หา”
อากิระที่พึ่งตื่นนอนมองออกไปยังนอกหน้าต่างเห็นนภากรจูงมือมินาโกะเดินออกไปจากบ้านพักส่งเสียงร้องออกมาทันที...ก่อนที่จะรีบสวมเสื้อผ้าวิ่งลงบันไดตามออกทันที ทันทีที่เปิดประตูบ้านออกไปอากิระแทบจะชนกับภรรยาเจ้าของบ้านเช่า...แม้จะหลบพ้นแต่ก็ยังส่งเสียงขอโทษออกไป
“ขอโทษครับ”
“จะรีบไปไหนหรือจ๊ะอากิระคุง”
ภรรยาเจ้าของบ้านส่งเสียงถามออกมา...แต่อากิระยังคงไม่สนใจรีบวิ่งออกไปเหลียวซ้ายแลขวาทันที ทั้งนภากรและมินาโกะได้หายไปเสียแล้ว จึงได้เดินกลับเข้ามาอย่างผิดหวัง เมื่อผ่านหน้าภรรยาเจ้าของบ้านที่ยืนทำหน้างงอยู่...อากิระได้แต่ตอบกลับไปว่า
“ไม่มีอะไรครับ”
หลังจากที่ผมพาเธอไปดูหนังเสร็จ ก็พาไปเดินเล่นให้ห้างก่อนจะหาอะไรกินกัน...แล้วเราสองคนจึงไปนั่งพักที่สวนสาธารณะ ในตอนนั้นเป็นเวลาเย็นที่พระอาทิตย์กำลังตกเย็นพอดี ท่ามกลางสายลมที่พัดโชยมา...ผมได้แว่วยินเสียงขายของจึงถามออกไปว่า
“กินไอศกรีมมัย”
“อืมม์”
ผมรีบวิ่งไปทันทีที่เธอตอบรับกลับมา เมื่อซื้อไอศกรีมมา 2 แท่งแล้ววิ่งกลับมาหาเธอทันที
“ขอบคุณ...”
เธอยืนมือออกมารับพร้อมยิ้มอย่างมีความสุขแล้วพูดต่อไปอีกว่า
“...วันนี้ชั้นมีความสุขมากที่สุดเลย”
ท่ามกลางแสงสีส้มแดงที่สาดส่องมาของดวงตะวันยามที่จะตกดิน...ผมมองดูรอยยิ้มที่สดสวยของเธออย่างตกตะลึง แม้ผมจะรู้ว่า”เธอเป็นผู้หญิงสวยมากคนหนึ่ง” แต่ใบหน้าของเธอในยามที่เศร้าหมอง...มันเทียบไม่ได้กับเธอเลยในยามนี้
...ยามที่เธอยิ้ม...เธอสวยกว่ายามที่เศร้าหมองนับร้อยนับพันเท่า
แม้ให้ผมตายตรงนี้ก็ยอม...เพียงเพื่อรอยยิ้มนี้ ผมอดที่จะกล่าวออกไปไม่ได้ว่า
“ผมชอบคุณ
ชอบรอยยิ้มของคุณน่ะ”
และยังพูดต่อไปอีกว่า
“...พรุ่งนี้เรามาเที่ยวกันอีกน่ะ”
รอยยิ้มที่สวยงามของเธอพลันหายไป...เหมือนแสงตะวันที่หายไปจากท้องฟ้า ใบหน้าของเธอมีแต่ความหม่อนหมองเท่านั้น...เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะร้องไห้ว่า
“หากพรุ่งนี้คุณยังมีความคิดเช่นนี้...ชั้นก็คงยิ้มได้อย่างมีความสุขเหมือนวันนี้”
เธอพูดเสร็จก็ลุกโดยไม่ได้หันกลับมามองผมอีกเลย ส่วนผมก็ได้แต่ยืนมองเงาหลังของเธอเดินจากไปเท่านั้น
...แต่เรื่องราวที่แท้จริงของวันนี้เพิ่มจะเริ่มขึ้นต่อไปเท่านั้น
ในยามนี้ผมได้แต่ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเท่านั้น...อดครุ่นคิดไม่ได้ที่จะคิดถึงเธอ คิดถึงรอยยิ้มที่สวยงามของเธอ...ที่ทำให้ผมอดรู้สึกไม่ได้ถึงความอบอุ่นแห่งรู้สึกของฤดูกาลที่เรียกว่า”ใบไม้ผลิ” เพียงแค่เธอยิ้มเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นแสงแดดที่สาดส่องมา...สายลมที่พัดโชยมา ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและนุ่มนวลของมัน ราวแสงอาทิตย์ทอนความร้อนแรงลง...สายลมยาวเย็นแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้น ผมในตอนนี้คล้ายไม่จำเป็นต้องมีสิ่งใดก็รู้สึกถึงความสุขได้ เพียงแค่หลับตาลงนอนนิ่ง...แล้วคิดถึงเธอเท่านั้น เท่านั้นเอง แต่...แต่ว่าความรู้สึกนี้มันกลับแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นเอง ผมอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเธอ...คิดถึงรอยยิ้มที่สลายหายไปของเธอ เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวโลกทั้งใบจากสีชมพูสลายกลายเป็นสีดำ เพียงแค่รอยยิ้มเธอเลือนหาย...ทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปหมดสิ้น ดวงตาที่มองกลับมาด้วยความเศร้าสร้อย แม้เธอจะไม่ได้ร้องไห้ออกมา...แต่ผมกับรู้สึกได้ถึงฟ้ากำลังหลั่งน้ำตาทั้งๆที่สายฝนมิได้โปรยปรายลงมา กับคำพูดสุดท้ายของเธอ...ยังคงก้องอยู่ภายในหูผมราวสายลมที่ยังคงพัดโชยมา ถึงแม้เธอจะเดินหายกลับไป...แต่ใบหน้าของในยามนั้นคล้ายยังคงอยู่เบื้องหน้าผม ราวกับแค่เอื้อมมือออกไปก็คว้าถึง ใบหน้าของเธอในยามนี้...ยามที่หลับตาลง เธอคล้ายกำลังนอนหลับสนิทซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนที่หนาและทั้งใหญ่ แต่ฝันของเธอในคืนนี้คงจะไม่ดีนัก เพราะผมเห็นที่ปลายดวงตาของเธอมีหยาดน้ำตาเอ่อเตรียมที่จะไหลรินออกมาอยู่เล็กน้อย...จนผมอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปหมายที่จะเช็ดน้ำตาปาดปัดเป่าความเศร้าโศกและผิดหวังเสียใจไปจากเธอ แต่...
แต่...เอ๋
เอ๋...
มือของผมคล้ายสัมผัสผิวแก้มเธอ...รู้สึกถึงความอบอุ่นนุ่มนวลจากปลายนิ้วที่ส่งความสุขมากยังหัวใจผม และเสพได้ถึงความหนาวเย็นหดหู่และอ้างว้างเสียดายของหยาดหยดน้ำตาของเธอ ก่อนที่มือของผมมันจะแทรกผ่านหายไป...หายไปยังเบื้องหลังใบหน้าเธอ ในตอนนี้...วินาทีนี้ผมผมจึงได้รู้ว่า”ผมไม่ได้นอนหลับลง” และ”ผมก็ไม่ได้อุปทานละเมอคิดถึงเธอไปเอง” ผมไม่ได้นอนหลับพริ้มตาแล้ววาดภาพในหน้าของเธอในฝันนี้...แต่เป็นวิญญาณของผมได้หลุดออกมาจากร่างกายตน และได้มาล่องลอยอยู่บนตัวเธอที่กำลังนอนนิทราหลับสนิทอยู่ภายในห้องนอนของเธอ หากเธอตื่นขึ้นมาในนี้...ก็คงจะมองไม่เห็นผม แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า”ถ้าเธอมองเห็นผมในยามนี้”...เธอจะรู้สึกเช่นใดน่ะ ท่ามกลางความเงียบสงบของยามค่ำคืนนี้...ที่มีเพียงเสียงกระซิบของสายลมขับกล่อมเป็นเพื่อนให้ผมได้ยินนี้ เบื้องหน้าของผมเป็นเธอ...ผมได้แต่นิ่งมองดูใบหน้ายามหลับไหลของเธอผ่านกาลเวลาที่ไหลไปดุจสายน้ำ ผมไม่ทราบถึงความนานยาวแตกต่างของชั่วเวลาว่าจะเป็นเพียงวินาที นาทีหรือชั่วโมงยาม ผมรับรู้เพียงแต่ว่าความยาวสั้นของลมหายใจของเธอ...หยาดน้ำตาที่ค่อยๆเอ่อล้นจนรินไหลออกมา จากปลายดวงตาสู่ปลายคางเธอ ริมฝีปากที่กัดแน่นซีดขาวราวกับจะกล้ำกลืนความโศกเศร้าผิดหวังและอ้างว้างของเธอ...ได้คายออกเปิดเผยความลับออกมาเป็นเสียงร่ำไห้ที่สุดแสนแผ่วเบายามนิทราหลับ กระตุ้นเตือนให้ผมอดรู้สึกไม่ได้ที่จะปกป้องเธอ...แม้แต่สายลมเย็นก็ไม่อยากให้สัมผัสพัดผ่านกายเธอ และก็อดกระตุ้นเตือนผมไม่ได้ให้โน้มริมฝีปากลงไปให้จุมพิตเธอ แม้รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนัก...แต่ก็ไม่สามารถหักห้ามใจได้ และแม้รู้ว่า”ผมไม่อาจสามารถที่จะสัมผัสถึงริมฝีปากนี้ได้”...แต่ก็ต้องการเสพสัมผัสถึงความรู้สึกอันคล้ายกับไปสัมผัสจูบเธอนี้ ในยามที่ริมฝีปากของเรากระทบกันนั้น...แท้จะเป็นเพียงแค่คล้ายหรือหนึ่งในหมื่นล้านของชั่ววินาทีที่รู้สึกสัมผัสได้นี้ แต่ความรู้สึกของความสุขที่ผมได้รับนั้น...มันคล้ายมากยิ่งว่าชั่วเวลาทั้งชีวิตที่ผมเคยสัมผัสมารวมกันเสียอีก แม้มันจะไม่ใช่สัมผัสที่เกิดจาผิวกายสัมผัสก็ตาม แต่ผมคล้ายรู้สึกวิญญาณของผมได้สัมผัสวิญญาณของเธอ ริมฝีปากของผมได้สัมผัสริมฝีปากของเธอ...แม้จะเป็นเพียงแค่วิญญาณของเราสองเท่านั้น และในยามนี้วิญญาณของผมก็ได้สัมผัสถึงบางสิ่งกำลังพุ่งเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็วจากทางด้านหลัง แม้มันจะอยู่ห่างไกลจนเลยสุดขอบแดนโลกนี้ก็ตาม...แต่ผมรู้ได้ทันทีว่ามันคือ”ความตาย” ความตายกำลังพุ่งเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็วกว่าความเร็วใดๆที่มุนษย์จะรู้จัก...ความตายมันกำลังพุ่งมายังด้านหลังของผมแล้ว
ก่อนที่ผมจะได้คิดหรือทำอะไรต่อไปนั้น มินาโกะเธอได้ลืมตาขึ้นมาทั้งที่ริมฝีปากของเรายังสัมผัสกันอยู่ ดวงตาของเธอจ้องมายังผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อเครียดแค้นแสนสาหัส ผมได้แต่ตกใจเคลื่อนตัวถอยไปด้านหลังทั้งที...พร้อมกับร้องตะโกนว่า
“ขอโทษ”
เธอคล้ายไม่ได้ยินเสียงผม มือของเธอชูขึ้นแล้วตวัดลงมาคล้ายกับจะตบหน้าผม แต่ว่ามันผ่านเลยไป...เลยไปยังด้านหลังของผม คล้ายกับว่ามีอะไรบ้างอย่างพุ่งออกไป
“กา”
ผมได้ยินเสียงการ้องดังอย่างชัดเจน ในวินาทีนั้นผมจึงได้รู้สึกตัวอีกครั้งว่า”ที่เธอมองนั้น”...ไม่ใช่ผม เธอไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียงผม ผมในตอนนี้เป็นเพียงดวงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่เท่านั้น ผมอดรู้สึกไม่ที่จะโล่งใจ...และก็อดรู้สึกไม่ได้ที่จะเสียใจ กับความรู้สึกที่มาและผ่านไปอย่างรวดเร็วชั่ววินาทีนั้น กับความรู้สึกแห่งความสุขนั้นที่ผมเสพรับเพียงลำพัง...โดยที่เธอไม่มีส่วนร่วมด้วยเลย ทั้งๆที่มันควรเป็นความความรู้สึกและสัมผัสที่เราสองคนต้องมีร่วมกัน ที่แม้เธออาจจะไม่รู้สึกสุขเช่นเดียวเหมือนกันกับผมก็ตาม ในตอนนี้ผมแทบจะไม่รู้สึกถึงสิ่งใดอีกเลย แม้แต่ความตายที่รู้สึกได้ในตอนแรกนั้น...ในตอนนี้มันก็ได้เลือนหายไปจนหมดสิ้น ราวกับที่ผมรู้สึกนั้น...มันเป็นแค่อุปทานไปเอง อุปทานไปเองเท่านั้น...เท่านั้นเอง ถึงแม้ดวงตาของเธอได้ยามนี้จะมองยังยังผมก็ตาม...แต่ผมก็รู้สึกได้ว่า”มันผ่านเลยไป” แม้ว่าเธอจะจ้องมองผมอยู่...แต่ที่เธอมองเห็นนั้นมันกลับไม่ใช่ผม ในใจผมตอนนี้รู้สึกเศร้าอยากที่ไม่สามารถจะบรรยายออกมาได้ มันเป็นความเศร้าที่มีแต่คนผิดหวังจะรับรู้ได้เท่านั้น เบื้องหน้าผมเป็นเธอและเบื้องหน้าเธอเป็นผม แต่สิ่งที่ขว้างกั้นเราสองคนนั้น...มันยิ่งใหญ่เกินจะบรรยายได้ ทั้งๆทีเผชิญหน้ากันแต่ราวกับอยู่กันคนละโลก...หรือนี่อาจเป็นชะตาลิขิตของผมและเธอ แววตาของเธอที่จ้องมองผ่านผมไปกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกต่างๆ หากจะให้บอกออกไปคงพูดได้ว่า”มันคือความสับสน” ทั้งมุ่งหวังและไม่มุ่งหวัง ทั้งโศกเศร้าและไม่โศกเศร้า ทั้งตัดพ้อและไม่ตัดพ้อ ทั้งยินดีและไม่ยินดี แต่ว่าสิ่งที่ผมเห็นในดวงตามากที่สุดกลับเป็นหยาดน้ำของความสุขที่รินไหลออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะปาดมันทิ้งไป
“มาทำมัยที่นี่”
เธอส่งเสียงถามอออกมา...ทำเอาผมได้แต่มองไปรอบๆว่า”เธอกำลังถามใครอยู่” นอกจากห้องที่เต็มไปด้วยรูปถ่ายบนฝาหนังแล้ว...มันกลับไม่มีสิ่งใดเลย เธอยังคงถามมาอีกว่า
“ฉันถามคุณ”
ในวินาทีนั้นเอง...ผมจึงได้รู้ว่า”เธอมองเห็นผม” แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยแต่ผมก็รู้สึกถึงความสุข ความสุขที่เป็นเพียงของเราคนเดียวกับมีคนมาร่วมแบ่ง...คุณจะรู้สึกเช่นไร โดยเฉพาะคนๆนั้นเป็นคนที่เรามุ่งหวังอยู่ด้วยแล้ว เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก...และผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเพียงแต่แค่จ้องมองตากันเท่านั้น ในดวงตาผมมีแต่เธอ...และผมเห็นเงาตนเองในประกายตาเธอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร...เราทั้งสองยังไม่ได้ส่งภาษาใดๆออกไป ไม่ว่าจะเป็นกายหรือวาจา แต่ดวงตาของผมและเธอที่จ้องมองกันคล้ายส่งและได้เห็นภาษาเดียวกัน...มันเป็นภาษาใจ ผมเห็นเพียงแค่นั้นก่อนที่ทุกสิ่งจะเลือนหายไปกลับสู่ความมืด...และผมลืมตาตื่นขึ้นมา มันเป็นเช้าวันใหม่ที่สดใสสำหรับผม...แต่สิ่งที่ผมต้องการกลับเป็นยามราตรีนิทราฝัน หรือสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น...เท่านั้นเอง สิ่งที่ผมทำในตอนนี้คือหลับตาลงอีกครั้ง...เพื่อที่จะได้นอนหลับแล้วฝันถึงเธออีก
มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นอันแสนสุขอย่างประหลาดที่ชั้นคล้ายรอคอยมานาน...จากใครคนหนึ่ง ยามเมื่อชั้นลืมตาขึ้น...เขาก็ปรากฏอยู่ ณ เบื้องหน้าชั้น กำลังจูบชั้นอยู่...และในวินาทีนั้นชั้นก็ได้เสพสัมผัสความสิ้นหวังจากความตายเช่นนั้นกัน ชั้นรู้ดีว่าอะไรกำลังมา
สำหรับชั้นมันคือชะตากรรมที่ถูกสาป เพราะชั้นคือผู้ที่เคยทำร้ายทูตมรณะ
“กา”
นั้นคือพลังที่ชั้นมี...เป็นพลังเป็นหนึ่งเดียวที่ชั้นจะสามารถใช้ได้เพื่อปกป้องผู้คนที่โดยคำสาบจากชั้น เพราะว่าชั้นรักเขาแล้ว...พร้อมกันนั้นเขาก็ต้องคำสาบด้วยเช่นกัน
...คำสาบความรักของชั้น
ทุกคนที่ชั้นรักต้องตาย...ทุกคนที่ชั้นพูดคุยหรือสัมผัสดวงวิญญาณจะล่องลอยออกจากร่าง แม้ว่าครั้งนี้เขาจะรอดได้...แต่ครั้งต่อไปไม่มีใครสามารถที่จะบอกได้ ชั้นจึงใช้ชีวิตอยู่ภายในห้อง พบกับผู้คนให้น้อยที่สุด มีคนมากมายต้องตายเพราะชั้น...ถึงจะมีบางคนที่ชั้นสามารถช่วยได้ก็ตาม โดยเฉพาะยิ่งคนที่ชั้นรัก...ความตายคล้ายยิ่งต้องการพวกเขา เหมือนพ่อกับแม่ของชั้น คนส่วนมากแค่ครั้งเดียวก็ไปจากชีวิตชั้น...จะมีก็แต่ภรรยาเจ้าของบ้านพักซึ่งเป็นน้องสาวของพ่อชั้นที่ไม่เป็นอะไร เธอคล้ายได้รับการคุ้มครองจากอะไรบ้างอย่างที่คนอื่นๆไม่มี แม้กระทั่งอากิระก็เคยหวาดกลัวกับความรู้สึกเข่นนั้น...ก็ที่ชั้นปฏิเสธการพบอากิระก็เพราะไม่ต้องการให้เขาต้องหวาดกลัวเช่นนั้นอีก และสำหรับเขา...ผู้ชายชาวไทยที่ชื่อนภากรคนนี้ ในตอนแรกชั้นก็คือว่า”เขาเป็นเหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆ” ที่ชอบชั้นที่ความสวย แต่พบมาพบกันความหวาดกลัวเช่นคืน...เขาก็คงหายไปจากฉันเช่นกัน ถึงแม้ในยามนี้เขาจะอยู่เบื้องหน้าชั้นในฐานะวิญญาณก็ตาม
“มาทำมัยที่นี่”
ชั้นถามออกไป...เพื่อซ่อนความรู้สึกไว้ภายใน เพราะตลอดเวลาหลายเดือนที่เขาเดือนตามชั้น...ไม่ใช่ชั้นไม่รู้ ยิ่งสิ่งที่เขาทำในวันนี้ยิ่งทำให้ชั้นมีความสุข...ความสุขที่มันได้หายไปจากชีวิตชั้นนานแสนนานจนแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายมันเป็นเมื่อไหร่
“ฉันถามคุณ”
ชั้นพูดออกไปอีกครั้ง เพื่อให้เขารู้ว่า”ฉันมองเห็นเขา” แต่เขาไปได้ตอบอะไรออกมา...ชั้นก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปอีกเช่นกัน เราได้แต่จ้องมองกันเท่านั้น...มองไปในดวงตากันและกัน จนชั้นสามรถอ่านสิ่งที่อยู่ภายในดวงตาเขาออก...โดยแลกเปลี่ยนกันการสูญเสียความรู้สึกที่ต้องการจะซ่อนเร้นไป เราไม่ได้พูดอะไรกันอีก มันไม่จำเป็น...ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูด เวลาฝากความเงียบไปจนยามเช้า...ดวงวิญญาณเขาไปจางหายไป ทิ้งเพียงความรักของเขาไว้กับชั้นที่นี่และทำให้ชั้นรักเขาแล้ว ยามนี้ชั้นจึงได้แต่หลั่งน้ำตา...เพียงแต่มุ่งหวัง
“หากพรุ่งนี้คุณยังมีความคิดเช่นนี้...ชั้นก็คงยิ้มได้อย่างมีความสุขเหมือนวันนี้”
คำพูดนี้ก้องอยู่ในหูของชั้นอีกครั้ง มันเป็นคำพูดของชั้น...ที่ชั้นพูดกับเขา แต่ตอนที่พูดนั้นชั้นไม่ได้มุ่งหวังจะพบเขาอีก แต่ยามนี้ชั้นกลับอยากพบเขา...พบเขามากยิ่งกว่าทุกครั้งที่เปิดบานประตูออกไป แต่ว่าชั้นทำไม่ได้...เพราะนั้นจะนั้นความตายมาสู่เขา สำหรับเขาค่ำคืนวานอาจเป็นความฝันที่แสนสวยงาม...แต่สำหรับชั้นมันจะเป็นความทรงจำไปตลอดชั่วชีวิต
“ชั้นรักเขา”
ชั้นยอมรับในความรู้สึกนี้...และยอมรับที่จะหลั่งน้ำตาในเช้าวันนี้ ยอมรับในความรักครั้งแรกนี้ไปชั่วชีวิตแม้ว่ามันจะเป้นเพียงนิทราฝันของเขาก็ตาม สิ่งที่ชั้นต้องการในยามนี้...เพียงแค่ได้มีรูปถ่ายคู่กับเขาสักใบ
ท่ามกลางความแผ่วของความเงียบ...ผมที่ได้แต่นั่งนอนอยู่กับความฝันเมื่อคืนวาน พลันได้ยินเสียงของอากิระดังขึ้น เขาคล้ายกำลังเคาะประตูอยู่เช่นทุกวัน...และเธอก็ยังคงไม่เปิดมันเช่นเดิม ถึงแม้ผมพอจะทราบถึงคำตอบของมันอยู่แล้ว...ก็อดที่จะภาวนาให้มันเป็นเช่นนั้นไม่ได้ เป็นดั่งเช่นทุกครั้ง เพราะว่าหากเธอเปิดมันออกมา...แม้แต่ตัวของผมเองก็ไม่รู้ว่า”จะรู้สึกเช่นใด”กัน แต่ละครั้งที่อากิระเคาะประตู...ผมรู้สึกมันยาวนานมาก ยาวนานจนแทบผมจะรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปรของโลกหล้าใบนี้...ทุกสิ่งมันสามารถที่จะเกิดขึ้นมาได้ ทุกครั้งที่เคาะลงไป...เสียงเคาะนั้นคล้ายเคาะในใจผม ราวกับมันกำลังเคาะเปลือกเกราะปกกันอันแข้งแกร่งเพื่อแย่งชิงสิ่งที่ผมรักไป แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ได้ผ่านไปแล้ว...ผ่านไปจนหมดสิ้นแต่ยังไม่หมดสิ่ง ทุกสิ่งผ่านไปแต่ยังทิ้งบางสิ่งไว้...ทิ้งไว้ให้กับผม ทิ้งความรู้สึกทั้งความอยากและความกังวลไว้ ผมอยากที่จะลุกแล้วเดินออกไปเคาะประตูห้องของเธอเช่นเดียวกับอากิระ...แต่ผมก็กังวลว่าเธอจะไม่เปิดปานประตูบานนั้นออกมาต้อนรับผมเช่นเดียวกับอากิระ ผมจะลุกแล้วเดินออกไปดีหรือไม่ดี...เธอจะเปิดบานประตูบานนั้นออกมาหรือไม่ แล้วความรู้สึกของผมมันจะเป็นเช่นไรกัน ผมได้แต่นั่งและนอนปล่อยเวลาไปกับความรู้สึกเช่นนี้โดยที่ผมก็ไม่ทราบว่า”มันนานมากเท่าไร” ผมคล้ายรอคอยแต่ก็ไม่รู้รอคอยอะไร ราวกับว่าจะต้องรู้คอยอะไรบางอย่าง ที่อาจเป็นเวลาหรือความกล้า...และก็อาจจะเป็นการตัดสินใจ แต่ที่แน่ใจที่สุดคือรอคอยการสิ้นสุดเพื่อที่จะได้รู้ว่า”ควรจะทำอะไร”หรือ”ไม่ทำอะไร”ดี
ชั้นได้แต่นั่ง เพราะไม่อาจข่มตาลงหลับได้ คล้ายรอคอยให้วันนี้ผ่านไปเช่นทุกวัน...รอคอยให้คนผู้หนึ่งมาและจากไปจากชั้น เขาก็คงเป็นเหมือนเช่นทุกคนทีผ่านเข้ามาในชีวิตชั้น...และก็จะผ่านจากไป เพียงแต่ว่า”ชั้นรักเขา” ชั้นรู้ดีว่าหากวันนี้เขาไม่มากก็ไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้ว หากหมดสิ้นวันนี้ก็หมดสิ้นความหวังลง...ความหวังของชั้นจากจะไปเหมือนดวงตะวันที่ลับขอบฟ้า
“หากพรุ่งนี้คุณยังมีความคิดเช่นนี้...ชั้นก็คงยิ้มได้อย่างมีความสุขเหมือนวันนี้”
คำพูดของชั้นเอง ยังคงก้องอยู่ในหูของชั้น...ยังคงหลอกหลอนดวงใจและจิตวิญญาณชั้น ที่ไม่ว่าชั้นจะพูดมันออกไปหรือไม่...ชั้นก็ยังคงรู้สึกถึงมันได้ดี เพราะมันเป็นความจริงที่อยู่ในใจชั้น สิ่งที่ชั้นทำได้ตอนนี้คือหลั่งน้ำตาเท่านั้น...หลั่งน้ำตาให้กับความเสียใจของตนเองตามลำพังเท่านั้น สำหรับคนที่ถูกสาบเช่นชั้น...ความรักเพียงแค่วันเดียวมันก็ควรที่จะมากพอแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงชั้นก็ทำใจยอมรับมันไม่ได้อยู่ดี สำหรับผู้ที่ทำร้ายทูตมรณะ...นี่มันคือชะตากรรมของชั้น ชะตาชีวิตของชั้น
“ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก!”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น...ชั้นแทบลุกขึ้นไปเปิดมัน ถ้าไม่ได้ยินเสียงของอากิระดังเรียกชั้น มันเป็นเช่นนี้ทุกวัน...และชั้นก็จะปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ทุกวัน ชั้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ถึงไม่มีอากิระชั้นก็อยู่ได้...อยู่ได้มาจนทุกวันนี้ จนสักพักชั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของอากิระคล้ายเดินจากไป มันเป็นเช่นนั้น...และก็จะเป็นตลอดไป
“ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก!”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง...คนที่ส่งเสียงเรียกยังคงเป็นอากิระ ไม่ใช่คนที่ชั้นต้องการจะพบในตอนนี้ เพราะถ้าเป็นเขา...ชั้นก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นประตูให้หรือไม่ เพราะเพื่อตัวเขาเอง...ชั้นไม่ควรที่จะเปิดประตูให้ ชั้นว่าชั้นจะไม่เปิดประตูให้เขา...เพื่อตัวของเขาเอง ยิ่งเป็นอากิระด้วยแล้ว...ชั้นยิ่งไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องเปิดมันออกไป สุดท้ายเมื่อมันเช่นเดิมเริ่มต้นอีกครั้ง...มันก็ควรจบลงเช่นเดิมอีกครั้ง เมื่อชั้นไม่ได้เปิดประตู...อากิระก็ได้แต่เดินจากไปเท่านั้น คราวนี้ชั้นว่าชั้นได้ยินเสียงฝีเท้าเขาเดินจากไปอย่างแน่ใจแล้ว แต่...
“ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก!”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง...ดูเท่าเขายังไม่ยอมที่จะตัดใจ เขาอยากมีอะไรบางอย่างที่คลั่งค้างในใจที่จะต้องพบชั้นให้ได้ แต่ว่าพบแล้วจะทำมัย...ไม่พบแล้วจะทำมัย ในเมื่อชั้นไม่สามารถตอบสนองสิ่งที่เขาต้องการได้ การพบกันไม่เพียงแต่นำความเศร้ามาสู่เขาเท่านั้น...แต่ยังนำโชคร้ายและความตายไปสู่เขาด้วย เพื่อตัวเขาเองแล้ว..ชั้นไม่ควรพบเขา และยิ่งเพื่อตัวชั้นเอง...ชั้นยิ่งไม่จำเป็นต้องพบเขา เพราะว่าเราพบกันแล้วจะทำมัย..ไม่พบกันแล้วจะทำมัย ระหว่างสองคนไม่พบกันยังดีกว่าพบกัน นั่นสิพบกันแล้วจะทำมัย..ไม่พบกันแล้วจะทำมัย
“มินาโกะเปิดประตูออกมาพบผมได้มัย”
คนที่ส่งเสียงเรียกชั้นในครั้งนี้ไม่ใช่อากิระ...แต่เป็นเขา คนต่างชาติคนนั้น ที่แม้แต่ตอนนี้ชั้นก็ต้องยอมรับว่า”ยังเรียกชื่อเขาไม่ถูก” แต่นั้นมันไม่สำคัญหรอก เพราะมันมีสิ่งที่สำคัญอยู่มากกว่านั้น เช่นเขาเป็นคนที่เคาะประตูในครั้งนี้ หรือชั้นรักเขา แต่นั้นก็ไม่สำคัญหรอกเท่าที่ชั้นตกลงใจแล้วว่า”จะไม่พบเขา”...เพราะเพื่อตัวเชาเอง หากเราพบกันอีกครั้งคำสาปนั้นจะรุนแรงยิ่งขึ้น แม้แต่ชั้น...แม้แต่พลังของชั้นก็ไม่สามารถที่จะปกป้องเขาได้อีก เหมือนกันพ่อแม่ของชั้น นี่มันเป็นชะตากรรมของชั้นที่แม้แต่ชั้นก็ไม่อาจที่จะฝืนมันได้ ชั้นได้แต่มองไปยังบานประตูห้องเท่านั้น...บานประตูที่ชั้นไม่สามารถที่จะเปิดมันได้ บนปานประตูที่มีรูปถ่ายของคนมากมายที่ต้องตายเพราะชั้น...ทั้งพ่อและแม่ของชั้นก็มีรูปถ่ายบนปานประตูนั้น ชั้นมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้โดยกินความตายของคนที่รักชั้นและชั้นรัก มีชีวิตของบนเงินประกันของพ่อและมรดกของแม่ตลอดจนญาติที่หวังดีที่พยายามจะอุปการะชั้น...แต่สุดท้ายก็ทิ้งไว้เพื่อเงินที่จะทำให้ชั้นใช้ชีวิตอยู่ได้ตลอดชั่วชีวิต หากชั้นพบเขาแล้วจะทำมัย...ไม่พบเขาแล้วจะทำมัย ในเมื่อถ้าเราพบกันจะนำความตายมาสู่เขา แม้พบเขาได้ในวันนี้ก็ไม่สามารถจะพบเขาได้อีกในวันพรุ่งนี้ พบกันแล้วจะทำมัย..ไม่พบกันแล้วจะทำมัย สู้ให้เขามีชีวิตอยู่ไม่ดึกว่าหรือ ถึงแม้เขาจะลืมชั้นไปในสักวัน...แต่อย่างน้อยที่สุดชั้นก็ยังรักเขาอยู่มิใช่หรือ ชั้นจึงตกลงใจแล้วที่จะไม่เปิดประตูออกไปพบเขา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม...ชั้นจะไม่เปิดประตูออกไปอย่างเด็ดขาด
“ผมรักคุณน่ะ ไม่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นเมื่อวานมันจะเป็นอะไรก็ตาม ในตอนนี้ผมยังรักคุณและในเวลานี้สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดคือพบคุณมินาโกะ”
นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ชั้นรับรู้และจำได้ก่อน...
ผมเคาะประตูส่งเสียงร้องออกไป...เธอก็ยังไม่เปิดประตูออกมา หรือว่าที่สิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนวาน มันเป็นเพียงความฝันที่ผมอุปทานไปเองคนเดียวเท่านั้น ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันบอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไร”...เมื่อเธอไม่ยอมเปิดประตูออกมา แต่ที่ผมแน่ใจได้ยิ่งหนึ่งคือ...มันต้องไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีแน่นอน หลักฐานก็คือผมได้หลั่งน้ำตาออกมา หากบอกว่าผมรู้สึกผิดหวัง...แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นมากกว่านั้น
“ผมรักคุณน่ะ ไม่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นเมื่อวานมันจะเป็นอะไรก็ตาม ในตอนนี้ผมยังรักคุณและในเวลานี้สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดคือพบคุณมินาโกะ
”
ผมได้พูดออกไปอีก...พูดออกไปอย่างสิ้นหวัง เพราะผมในยามนั้นรู้แล้วว่า”ยามไม่มีเธอนั้น”...โลกนี้มันไร้ค่าเพียงใด ผมพบเธอเพียงไม่กี่เดือน...กับความรักที่มอบให้เธอนั้นมันยังอาจไม่มากพอ แต่พอผ่านเมื่อวานแล้ว...เพียงชั่วเวลาเพียงวันเดียว ผมสามารถบอกได้ว่า”ความรักที่ผมมีต่อเธอนั้น”...มันมากจนไม่อาจที่จะทำให้ผมใช้ชีวิตโดยปราศจากเธอได้อีกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยฝันอย่างเดียวดายกลับมาเธอมาอยู่ด้วยในความฝันนั้น ราวกับว่า”วิญญาณของผมและเธอได้ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว” ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลใดก็ตาม...ผมจะต้องพบเธออีกให้ได้
“...ผมรักคุณ...มินาโกะ”
ผมพูดออกไปอีกครั้งด้วยความรู้สึกและตั้งใจที่แท้จริงของผม ทั้งๆที่หวาดกลัว...กลัวว่าเธอจะไม่ยอมเปิดประตูออกมาพบผม เพียงแค่เธอไม่ยอมเปิดประตูออกมาพบผม...ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะน่าหวาดกลัวมากมายเช่นนี้ ขาของผมไม่มีแรงมากพอที่จะทำให้ผมยืนยัดอยู่ได้...แทบจะทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นที่เบื้องหน้าห้องของเธอ ผมรู้สึกรุ่มร้อนไม่สบายใจ...สายลมที่พัดมาคล้ายเข็มที่แหลมคมเสียดแทงใจผม แต่อยู่ๆแรงและกำลังของผมก็กลับคืนมาพร้อมกับรอยยิ้ม...ทันทีที่บานประตูนั้นเปิดออกมา เธอเปิดประตูออกมา...แค่เธอเปิดออกมาทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป ผมรู้สึกโลกทั้งโลกเปลี่ยนไปคล้ายอบอุ่นและเป็นสุขขึ้น ความรู้สึกที่เคยร้อนร้นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นสบายอย่างบอกไม่ถูกภายใต้ดวงตะวันดวงเดียวกัน สายลมที่เคยพัดมากลับเย็นสบายและอ่อนโยนขึ้น เพียงแค่นี้ก็ทำให้ผมยิ้มได้...รักโลกนี้และน่าอยู่มากขึ้น
ชั้นยังคงนั่งนิ่งตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ลุกไปเปิดประตู...ปล่อยให้เขาผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านออกไป เหมือนเช่นทุกคน แต่...
“...ผมรักคุณ...มินาโกะ”
คำพูดที่เขาพูดออกมา...ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของชั้น ทั้งความตั้งใจและความมุ่งมั่นให้พังทลายลง ชั้นลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู...โดยไม่สนใจสิ่งใด เพียงแค่อยากที่จะเจอเขาเท่านั้น ทั้งๆที่ตั้งใจแล้วว่า”จะไม่เปิดประตู” แต่สุดท้ายชั้นก็ทำลงไปเหมือนกับไม่รู้ตัว เพียงแค่อยากจะพบกับเขาอีกครั้งนั้น เราพบกันแล้วทำมัย...ไม่พบกันแล้วทำมัย แต่สุดท้ายชั้นกลับเลือกการพบกันที่ครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายระหว่างเรา และอยากทำให้คำสาปสาปส่งเขารุนแรงยิ่งขึ้น ชั้นต้องแคร์สิ่งใดมัย...ถ้าที่ต้องแคร์มันก็คือเขา ถึงรู้ดีว่า”การพบกันครั้งนี้”อาจพรากเขาจากไป...แต่ก็มิอาจไม่พบได้ เพื่อตัวเขาแล้วชั้นไม่ควรพบเขา...แล้วเพื่อตัวชั้นล่ะ? ชั้นอาจเป็นคนที่เห็นแก่ตัว...แต่มีความรักของใครบ้างเล่าที่ไม่เห็นแก่ตัว ชั้นยอมรับว่า”ชั้นเห็นแก่ตัว” ชั้นอยากพบเขา...แม้จะนำคำสาบนั้นไปสู่เขาก็ตาม ความตายที่มาพร้อมกับคำสาบจะไปสู่เขา...เพียงเพราะชั้นเปิดประตูบานนี้ออกไปพบเขา แม้จะเป็นการหลอกตนเองเพียงเล็กน้อย...ชั้นก็ทำ ชั้นหลอกตนเองว่า”คำสาบนั้น” มันอาจจะไม่เกิดขึ้น ไม่รุนแรงขึ้น ชั้นสามารถขับไล่มันไปได้...เหมือนเช่นทุกครั้ง นั่นเป็นพริบตาและเป็นความรู้สึกยามที่ชั้นเปิดบานประตูนี้ออกไปพบเขา พบกับสิ่งที่ชั้นหวังไว้มานาน...ที่ที่จะทำให้ความรู้สึกอันอ้าวว้างของชั้นสูญหายไป หากบอกว่า”มีคนมากมายยอมที่จะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความรัก” แต่สิ่งที่ชั้นสูญเสียมันอาจมากกว่าทุกคน เพราะเพื่อแค่จะพบกัน...ชั้นถึงกับยอมที่จะสูญเสียแม้ชีวิตของคนที่ชั้นรักไป เพียงแค่การพบกันแค่ครั้งเดียว...แค่ที่จะพบกันอีกครั้งเดียว นี่มันเป็นชะตากรรมของชั้น...ชะตากรรมของผู้ที่ทำร้ายทูตมรณะ ยามนี้ชั้นหลั่งน้ำตาออกมา ไม่รู้ว่า”มันเป็นหยาดน้ำตาของอะไร” หยาดน้ำตาของความรัก หยาดน้ำตาที่ได้พบเขา หยาดน้ำตาแห่งทุกข์หรือหยาดน้ำตาแห่งความสุข หรือว่ามันเป็นหยาดน้ำตาของชะตากรรมผู้ที่ทำร้ายทูตมรณะ
...หรือว่าหยาดน้ำตานี้คล้ายหลอมรวมทุกสิ่งไว้
สถานที่นั้นคล้ายกับอัฒจันทร์รูปวงกลม ตรงกลางของมันเป็นลานวงกลมที่สูงยิ่งกว่าชั้นสูงสุดของอัฒจันทร์ และบนลานวงกลมนั้นยังมีหินรูปวงกลมเตี้ยๆอยู่อันหนึ่ง ชั้นฝันทุกค่ำคืนว่า”ชั้นถูกจับให้นั่งคุกเข่ากดหน้ามองดูหินรูปวงกลมนั้น” ชั้นพยายามที่จะเงยหน้ามองดูท้องฟ้า...แต่ก็มีมือหรืออะไรบางอย่างกดศีรษะไม่ให้มองดูท้องฟ้าได้ ท่ามกลางความเงียบสงบในความฝันนอกจากเสียงร้องของกาแล้ว หูของชั้นก็ได้ยินเสียงลมกระซิบแผ่วบอกพร้อมกับความตายว่า“ผู้ที่ทำร้ายทูตมรณะไม่สามารถมองไปบนท้องฟ้าได้ในยามพิพากษา” และในวินาทีนั้นคล้ายมีคมเคียวตวัดลงมาบนคอชั้น แล้วหัวของชั้นก็ลอยกระเด็ดลงไปตกยังนอกอัฒจันทร์ ดูตาที่ยังคงลืมอยู่ แม้จะมองท้องฟ้าอยู่...แต่ก็ไม่สามารถเห็นซึ่งท้องฟ้านั้นได้
สำหรับชั้นแล้วมันไม่ใช่ความฝัน...แต่มันคือความเป็นจริง และมันไม่ใช่แค่ลางบอกแห่งเหตุ...แต่เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดกับชั้นอย่างแน่นอน เมื่อวันและเวลาที่ความตายหรือทูตมรณะมาถึงตัวชั้น
“ผู้ที่ทำร้ายทูตมรณะไม่สามารถมองไปบนท้องฟ้าได้ในยามพิพากษา”
คำพูดนี้ยังคงก้องอยู่ในหูชั้น...ทั้งยามที่นิทราหลับใหลและยามที่ตื่นพื้นคืน
“มันเป็นเพียงแค่ฝัน...มันเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น”
มันเป็นสิ่งที่ผมบอกเธอ...และบอกตนเอง ทั้งๆที่ในใจของผมยอมรับรู้ถึงคำสาบนั้น เพราะผมก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ถึงมัน สิ่งที่ผมคิดว่าฝันเมื่อค่ำคืน...และสิ่งที่เธอฝันทุกค่ำคืน ทั้งๆที่ผมยังคงลืมตา...ทั้งๆที่ผมยังคงจ้องมองแต่เธอ แต่ในยามที่ฟังเธอเล่าความฝันนั้น ผมกลับมองเห็นความฝันนั้นได้อย่างชัดเจน...ราวกับหนึ่งผมอยู่ในการพิพากษานั้น เป็นเพียงผู้เฝ้ามอง...เฝ้ามองเธอถูกพิพากษา ยามที่เธอบอกว่านก็ได้ยินเสียงลมกระซิบแผ่วบอกพร้อมกับความตายว่า“ผู้ที่ทำร้ายทูตมรณะไม่สามารถมองไปบนท้องฟ้าได้ในยามพิพากษา” หูของผมก็คล้ายได้ยินเสียงลมกระซิบเช่นกัน ยามเมื่อเธอเล่าถึงคมเคียวที่ตวัดลงมา...ผมก็มองเห็นคมเคียวของสายลมและความมืดแห่งความตายตวัดลง ผมมองเห็นศีรษะเธอลอยกระเด็นขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะล่วงลงไปยังด้านนอกของอัฒจันทร์ และสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือผมก็มองไม่เห็นท้องฟ้าเช่นกัน
“ท้องฟ้าเป็นสีม่วงและเมฆเป็นสีน้ำเงิน...”
ผมบอกเธอทั้งๆที่ผมมองไม่เห็นท้องฟ้า...แต่ผมรู้สึกได้ถึงท้องฟ้านั้นในความฝัน และผมยังคงบอกต้องไปอีกว่า
“...และมันก็ไม่ได้มืดครึ้ม...แต่กลับสว่างไสวเหมือนกับท้องฟ้าของเรายามกลางวัน เพียงแต่สวยงามมากกว่า...เท่านั้น”
“ชั้นรู้...”
เธอตอบกลับมา...และตอบต่อไป
“ชั้นรู้สึกได้เหมือนกันว่าท้องฟ้ามันเป็นเช่นนั้น แต่ชั้นก็ไม่สามารถมองเห็นมันได้ ไม่ว่าจะพยายามมองดูมันเท่าไร...ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ ท้องฟ้านั้นมันเหมือนเป็นอาณาจักรแห่งความตายที่ทุกคนควรจะต้องไป หรืออาจเป็นสรวงสวรรค์ที่ทุกคนต้องการไป มันอาจมีพ่อแม่ชั้นอยู่...อาจมีคนมากมายที่รอชั้นอยู่ เพียงแต่ชั้นไม่สามารถจะไปถึงมันได้...ไม่สามารถเพียงแม้แต่จะมองดูถึงมัน”
เธอพูดพร้อมหลั่งน้ำตา...พูดพร้อมหัวใจแหลกสลาย และนำพาหัวใจของผมแหลกสลายไปด้วย ผมไม่รู้ว่า”ควรจะทำเช่นไร”...ที่จะรักษาหัวใจที่แตกสลายของเราสองคนได้ ผมเพียงแต่โอบกอดเธอเข้ามา คล้ายให้หัวใจที่แหลกสลายของเราทั้งสองดวงมาผสานร่วมกันเป็นหัวใจที่สมบูรณ์สักหนึ่งดวง
“เรายังมีเวลาอีกหนึ่งวันไม่ใช่หรือ...มินาโกะคุณมีอะไรที่อยากทำใช่ล่ะ”
ผมถามเธอออกไป...เพราะมันยังเป็นความต้องการของผมเองเดียว เพราะวันนี้มันอาจจะเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของผม...ค่ำคืนนี้คำสาปนั้นอาจพาผมไปจากโลกใบนี้ ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเธอจะต้องโดนทูตมรณะมาพรากเวลาไป โดยเฉพาะยิ่งเป็นคนที่เธอรักและรักเธอ...นี่คือเหตุผลที่เธอใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว สิ่งที่ผมต้องการในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งใด ไม่ใช่ทั้งเวลาและชีวิต...แต่เป็นรอยยิ้มของเธอ
“หากพรุ่งนี้คุณยังมีความคิดเช่นนี้...ชั้นก็คงยิ้มได้อย่างมีความสุขเหมือนวันนี้”
คำพูดของเธอเมื่อวันวานคล้ายผุดขึ้นมาในหัวผม...ผมจึงยิ้มและพูดออกไปอีกว่า
“ผมชอบคุณ
ชอบรอยยิ้มของคุณน่ะ”
และยังพูดต่อไปอีกว่า
“...พรุ่งนี้เรามาเที่ยวกันอีกน่ะ”
ในยามนั้นสิ่งที่ผมมุ่งหวังก็ปรากฏขึ้น เธอยิ้มออกมาและตอบรับกลับมาว่า
“อืมม์...”
มันเป็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดเท่าที่ผมจะเห็นได้ในโลกใบนี้...เพราะมันเป็นรอยยิ้มของคนที่ผมรักและรักผม และแน่นอนที่สุดสิ่งมันเป็นรอยยิ้มของเธอ
เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็ว...คำพูดนี้มักเป็นจริงเสมอ
...โดยเฉพาะกับผมในเวลานี้
กลางคืนมาเยือนเราเร็วกว่าที่คิดไว้ สิ่งที่เหลือทิ้งไว้ถึงช่วงเวลากลางวันของเราสองคนมีเพียงรูปถ่ายไม่กี่สิบใบเท่านั้น อากาศยิ่งเย็นลงทุกที...ผมสัมผัสได้ถึงความตายและทูตมรณะที่มาพร้อมๆกับความหนาวเย็นที่ค่อยจับขั้วหัวใจนี้ ขณะที่เธอกับเปิดประตูเข้าห้องอยู่นั้น เธอคิดที่จะให้ผมตามเข้าห้องไปด้วย...และผมก็คิดที่จะตามเข้าไปเช่นกัน ถ้าไม่ใช่อากิระที่ไม่รู้โผล่ออกมาจากที่ใด...เข้ามาคว้าจับแขนเธอไว้ สิ่งที่เธอทำมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นคือสะบัดแล้วปิดประตูเข้าไปในห้องทันที ทิ้งผมกับอากิระไว้ที่หน้าประตูเพียงสองคน...ก่อนที่ผมจะถูกอากิระลากไปที่ห้องในเวลาไม่นานนัก
ผลงานอื่นๆ ของ ดาร์ชไลท์ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ดาร์ชไลท์
ความคิดเห็น