คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : [Untitled] Chapter 7
Chapter 7
คิมมุนซูมายืนทำอะไรตรงนี้
ซองยอลขมวดคิ้วมุ่นขณะเงยหน้ามองอีกฝ่าย
คิมมุนซูปรากฎตัวห่างจากเขาแค่คืบ อีกฝ่ายยืนกอดอกพักขาพิงคอกกั้นโต๊ะของเขา เมื่อเห็นเขาเงยหน้าขึ้นมองก็ส่งยิ้มให้ ซองยอลสบตาฝ่ายนั้นได้ประเดี๋ยวเดียวก็เบือนหน้าหนี เขาไม่อยากมองคิมมุนซูไปนานกว่านี้เพราะมีแต่จะทำให้คิดถึงมยองซู
อูฮยอนซึ่งนั่งโต๊ะติดกันเสียอีกเป็นฝ่ายหันไปจ้องคิมมุนซูเต็มๆ ตาและไม่คิดหลบหน้า เพื่อนสนิทของเขาเท้าศอกกับพนักเก้าอี้ก่อนออกปากเรียกอีกฝ่าย
“นี่นาย” อูฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง “ไม่มีมารยาทรึไง ยืนค้ำหัวคนอื่นเขาอยู่ได้”
ทว่าคิมมุนซูไม่สนใจ
“พี่เป็นยังไงบ้างล่ะ?” ฝ่ายนั้นชวนเขาคุย
ซองยอลชะงักมือซึ่งกำลังพิมพ์คีย์บอร์ดกึก เขาตอบสั้นๆ ว่าไม่รู้
“พูดถึงตัวเองอย่างกับเป็นคนอื่นไม่กระดากปากบ้างรึไง?” ดูท่าอูฮยอนจะไม่เชื่อว่าคิมมุนซูเป็นน้องชายของมยองซู “อย่ามายุ่งกับซองยอลนะ” เพื่อนสนิทดึงเก้าอี้ของเขาให้ออกห่างจากอีกฝ่าย
คิมมุนซูถอนหายใจ “ท่าทางพี่คงก่อเรื่องเอาไว้ละสิ”
“นายทำอะไรลงไปก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ!”
“อูฮยอน” ซองยอลแตะแขนเพื่อนเบาๆ “พูดเสียงดัง คนอื่นมองกันหมด”
“ก็มันโมโหนี่!” อูฮยอนกอดอกโกรธๆ ทว่าหลังจากนั้นก็ยอมรูดซิปปากแต่โดยดี เพื่อนของเขาค้อนใส่คิมมุนซูวงใหญ่ก่อนหันกลับไปหักข้อนิ้วดังกร๊อบๆ แล้วจึงค่อยทำงานต่อ
“เป็นเพื่อนที่ดีนะ” คิมมุนซูพยักเพยิดไปทางเพื่อนของเขา “น่ารักแต่ดุ”
ซองยอลรู้สึกคุ้นๆ ว่าเคยได้ยินมยองซูพูดจาทำนองนี้มาก่อน เขาหันไปมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย คิมมุนซูยังคงส่งยิ้มให้ สุดท้ายซองยอลเลือกจะตัดบทอย่างเย็นชา “อย่ามาตีสนิทกับผมเลย ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณหรอก”
เขาลุกหนีไปปรึกษางานกับเพื่อนโต๊ะอื่น คิมมุนซูมองตามเขาแล้วขีดเขียนอะไรบางอย่างที่โต๊ะเขาครู่หนึ่งจึงค่อยเดินจากไป เมื่อซองยอลกลับมาที่โต๊ะ เขาพบโพสต์อิทสีเหลืองสดเขียนเบอร์โทรศัพท์และชื่อมุนซูแปะไว้บนหน้าจอมอนิเตอร์ อูฮยอนมองมันอย่างชิงชัง
“คิมมยองซูชัดๆ!” เพื่อนของเขาโพล่งขึ้นมาทันทีที่เห็นเขาดึงมันขึ้นดู “นายลองเทียบเบอร์ดูสิ!”
ซองยอลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูเบอร์แรกของเครื่อง
อูฮยอนเห็นแล้วโวยวายขึ้นมาอีกคำรบหนึ่ง “นายยังเก็บเบอร์หมอนั่นไว้อีกเหรอ แถมยังเมมไว้เป็นเบอร์แรกอีก ฉันจะบ้าตาย!”
เขายิ้มระอาให้ความขี้บ่นของเพื่อน
“นายนี่เอาใจยากจัง”
“นายไม่ต้องมาเอาใจฉันหรอก” อูฮยอนค้อนเขาวงเบ้อเริ่ม “ฉันมีพี่ซองกยูเอาใจคนเดียวก็พอแล้ว”
ซองยอลยิ้มบางก่อนถอนหายใจ “ไม่ใช่เบอร์มยองซูหรอก คล้ายๆ กันแต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว” เขาส่งโทรศัพท์กับโพสต์อิทให้เพื่อนดู
“คิมมยองซูแหงๆ” อูฮยอนยังยืนยันความคิดเดิม ฝ่ายนั้นบ่นพึมพำว่า ‘เหมือนกันจะตายชักจะเป็นคนอื่นไปได้ยังไง’ พลางขยำกระดาษแผ่นเล็กโยนลงถังขยะ ซองยอลรับไว้ได้ก่อนมันจะลงไปนอนแอ้งแม้งรวมกับขยะชิ้นอื่นๆ ในถัง เขามองเพื่อนดุๆ พลางคลี่มันออกแล้วขยับปากพึมพำ
“หรือจะเป็นน้องชายฝาแฝด”
“นายอยากให้หมอนั่นเป็นคิมมุนซูละสิ จะหาคนมาดามใจก็บอกมาเถอะ”
“นัมอูฮยอน”
“ฉันเตือนนายแล้วนะ” อูฮยอนชี้หน้าเขาควับๆ “ไม่ว่าหมอนั่นจะเป็นคิมมยองซูหรือคิมมุนซูก็อย่าไปยุ่งด้วยอีก ขอร้องละ อย่าหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บปวดอีกเลย”
“นายตาบอดรึไง ฉันเพิ่งไล่เขาไปหยกๆ”
“เดี๋ยวพอฉันเผลอนายก็ใจอ่อน”
“ฉันเจ็บแล้วจำหรอกน่ะ!”
“ฉันไม่เชื่อนายหรอก” เพื่อนสนิทแย่งโพสต์อิทยับๆ ไปจากมือเขา “ถ้าคราวนี้นายยังขืนยุ่งกับคิมมยองซูในร่างคิมมุนซูอีกฉันจะถือว่านายไม่สนใจฟังคำของฉัน ฉันจะลืมว่าเราเป็นเพื่อนกันไปเลย”
ซองยอลมุ่นคิ้วอย่างหนักใจ
“รู้แล้ว” เขารับคำเพื่อนสั้นๆ
อูฮยอนถือโอกาสลบเบอร์โทรศัพท์ของมยองซูออกจากโทรศัพท์มือถือของเขา เขาฉวยมันกลับมาแล้วบ่นเบาๆ “ลบไปก็เท่านั้น ฉันจำได้หรอกน่ะ”
“งั้นก็ลืมซะสิ!” อูฮยอนเอ็ดเขาเสียงดัง
ในห้องของซองยอลยังมีข้าวของของมยองซูอยู่ พวกเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยและขวดน้ำหอม เขาเก็บมันไว้ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้า นานๆ ครั้งก็เดินไปหยิบมันมานั่งมองบ้าง บางทีก็ใช้น้ำหอมของอีกฝ่ายแทนของตัว
บาดแผลที่มยองซูสร้างไว้ในใจเขาทุเลาลงจนหายเจ็บแล้วก็จริง แต่แผลนั้นบาดลึกจนทิ้งรอยแผลเป็นไว้รอยใหญ่ ซองยอลอาจทำใจยอมรับว่ามยองซูจากไปแล้วได้ แต่เขาไม่เคยลืมเรื่องของมยองซูได้เลย
ช่วงแรกๆ ที่มยองซูเพิ่งทิ้งเขาไป ซองยอลเหงาจนทนแทบไม่ไหว เขาใจหายวาบเมื่อกลับถึงห้องแล้วไม่พบใคร ไฟในห้องปิดสนิท ไม่มีเสียงทักทายจากมยองซูถามว่า ‘กลับมาแล้วเหรอ?’ เหมือนอย่างเคย
ซองยอลแทบไม่ออกไปไหนเพื่อรออีกฝ่าย เขาหวังว่ามยองซูอาจกลับมาสักวันจึงเอาแต่นั่งรอเงียบๆ คนเดียวในห้องและรีบรับโทรศัพท์ทุกครั้งทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกเข้า
‘มยองซู!’
‘ไม่ใช่ซักหน่อย’
ครั้งหนึ่งอูฮยอนโทรศัพท์มาชวนเขาออกไปกินข้าว ซองยอลปฏิเสธเพื่อนและรีบวางสาย เขานั่งมองมันพักใหญ่ก็กดโทรศัพท์หามยองซู ได้ยินเสียงรอสายดังอยู่สองสามครั้งแล้วจึงกลายเป็นเสียงสัญญาณไม่ว่าง เมื่อเขาลองโทรอีกหนก็กลายเป็นเสียงตอบรับอัตโนมัติ
ซองยอลไม่ได้ยินเสียงมยองซูมาอาทิตย์หนึ่งแล้ว เขามองเหม่อไปรอบห้องอย่างว่างเปล่า
หลังจากนั้นอูฮยอนและพี่ซองกยูผลัดกันโทรศัพท์หาเขาหลายครั้ง ซองยอลรับสายและคุยด้วยไม่นานก็วาง ในที่สุดทั้งคู่ก็มาหาเขาถึงห้อง เขาซึ่งถลันไปเปิดประตูทันทีที่ได้ยินเสียงกริ่งถอนหายใจอย่างผิดหวังเมื่อพบหน้าเพื่อนสนิทแทนที่จะเป็นคนรักเก่า
‘เป็นอะไร ทำไมทำหน้าอย่างนั้น?’ อูฮยอนถามเสียงขุ่น ‘เบื่อหน้าฉันเหรอ ตานายมองได้แต่คิมมยองซูรึไง?’
‘อูฮยอน’ พี่ซองกยูปรามเบาๆ ก่อนหันมาทักทายเขา ‘ไม่เจอกันนาน ผอมลงรึเปล่า?’
ซองยอลยกแขนของตนขึ้นสำรวจก่อนจะถูกอูฮยอนฉวยไปมองอย่างเป็นห่วง
‘นายผอมลงจริงๆ ด้วย ไม่สิ ซูบลงต่างหาก หน้าตาไม่มีสีสันเลย’
‘เหรอ’ เขาพยักหน้ารับรู้
‘คิมมยองซูล่ะ?’ เพื่อนสนิทถาม
ซองยอลได้แต่ยืนก้มหน้านิ่ง
‘ไม่อยู่เหรอ หมอนั่นออกไปรับแขกอีกแล้วเหรอ!?’
‘ทะเลาะกันรึเปล่า?’ พี่ซองกยูถาม เขาฟังแล้วเจ็บแปลกในอก...ถ้าแค่ทะเลาะกันก็ดีน่ะสิ
อูฮยอนคงเห็นเขาสีหน้าไม่ค่อยดีจึงว่าอย่างรู้ทัน ‘นายมีอะไรไม่บอกฉันอีกแล้วใช่มั้ย ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าอมพะนำสามอาทิตย์!’
‘ไม่มีอะไรนี่’ ซองยอลพูดเสียงแผ่ว ‘ไม่มีอะไร’
‘อย่ามา!’ อูฮยอนแทรกตัวเข้ามากวาดตามองรอบห้องของเขาจากนั้นจึงสำรวจตามห้องครัว ห้องน้ำ และห้องนอนก่อนเดินกลับมากอดอกถามเขาอย่างเอาเรื่อง ‘คิมมยองซูไม่อยู่ใช่มั้ย ฉันไม่ได้กลิ่นน้ำหอมเลย ในครัวมีแก้วน้ำจานชามใช้แล้วแค่ชุดเดียว แปรงสีฟันก็แห้งสนิทด้วย หมอนั่นหายหัวไปไหน ไม่ได้เรื่องเลย!’
‘เดี๋ยวก็คงกลับมา’ เขาพึมพำราวกับพูดกับตัวเอง
‘ว่าไงนะ?’
‘มยองซูน่ะ...เดี๋ยวก็คงกลับมา’
อูฮยอนเดินเข้ามาหาเขาแล้วถามเบาๆ ‘นี่’ อีกฝ่ายเว้นจังหวะกลั้นหายใจจึงค่อยพูดต่อ ‘หมอนั่นไม่อยู่นานแค่ไหนแล้ว?’
ซองยอลส่ายหน้า
‘ซองยอล’ เพื่อนของเขาเขย่าตัวเขาเพื่อเรียกสติ ‘บอกมาน!ะ นานแค่ไหนแล้ว!?’
เขาส่ายหน้าแรงขึ้น
‘คิมมยองซูทิ้งนายไปใช่มั้ย!? หมอนั่นอยู่ที่ไหน ฉันจะไปจัดการให้!’
‘ฉันไม่รู้!’ ซองยอลตะโกน ‘ฉันไม่รู้ว่ามยองซูอยู่ที่ไหน เขาไปแล้ว...มยองซูไปแล้ว!’ เขาร้องไห้ออกมาอีกครั้ง หลังจากวันที่มยองซูขับรถจากไป ซองยอลคิดว่าน้ำตาของเขาคงเหือดแห้งไปหมดแล้ว ทว่ามันกลับไหลไม่หยุดเมื่อต้องยอมรับออกมาดังๆ ว่ามยองซูจากเขาไปแล้วจริงๆ
เขาซบหน้าร้องไห้กับไหล่ของอูฮยอน เพื่อนสนิทตบหลังปลอบใจเขา พี่ซองกยูเองก็ด้วย หลังจากนั้นเขาได้ทั้งสองคนช่วยไว้มากจริงๆ จึงค่อยๆ กลับมาตั้งหลักได้อีกครั้งหนึ่ง
วันนี้ซองยอลดึงลิ้นชักแล้วหยิบแหวนแพลทตินัมวงเกลี้ยงออกมาพิจดูอีกครั้ง เขานั่งลงบนเตียง สวมมันลงบนนิ้วนางข้างซ้ายและใช้มือขวากุมไว้แนบอกก่อนล้มตัวลงนอนมองเพดานพลางคิดในใจ
ถ้าคนเราลืมอดีตกันได้ง่ายๆ ก็ดีหรอก
คิมมุนซูมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้
ซองยอลขมวดคิ้วมุ่นขณะหรี่ตามองอีกฝ่ายซึ่งยืนเอามือล้วงกระเป๋ารอลิฟต์อยู่ในโถงลิฟต์
“ไง?” ฝ่ายนั้นยกมือทักทายเมื่อเห็นเขา
ซองยอลพลิกข้อมือดูนาฬิกา ยังพอมีเวลาก่อนเข้างาน เขาหมุนตัวกลับออกไปข้างนอกโดยไม่สนใจคิมมุนซู เดินตรงไปร้านกาแฟใกล้ๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้าอีกฝ่ายให้อึดอัดใจ
ตึก ตึก ตึก
เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามมาข้างหลังจึงหันกลับไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นคิมมุนซูก็รีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง
“นี่ รอก่อนสิ!” อีกฝ่ายร้องเรียกเขา
ซองยอลไม่สนใจ เขาวิ่งตรงไปเรื่อยๆ ในหัวลืมเรื่องร้านกาแฟไปสนิท ในที่สุดคิมมุนซูก็วิ่งตามเขาทัน ฝ่ายนั้นตะปบไหล่เขาไว้ก่อนดึงเขาเข้าไปหาจึงถูกเขาซึ่งเสียหลักล้มทับไม่เป็นท่า เขารีบยันตัวลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินกลับบริษัท แต่คิมมุนซูก็คว้าตัวเขาไว้ได้อีกที
“พักก่อนสิคุณ วิ่งหน้าตั้งขนาดนั้นไม่เหนื่อยบ้างรึไง?”
ซองยอลยังหอบอยู่จึงตอบไม่ได้ อีกฝ่ายเห็นแล้วหัวเราะเสียงดัง
“เหนื่อยเหมือนกันยังทำอวดดีอีก” คิมมุนซูลุกขึ้นยืนแล้วพาตัวเขาไปนั่งด้วยกันบนม้านั่งหน้าตึกสูงตึกหนึ่ง
ซองยอลบิดข้อมืออีกฝ่ายทิ้ง เขานั่งมองไปทางอื่นขณะปรับจังหวะหายใจ แต่หางตาเหลือบเห็นคิมมุนซูคอยมองเขาอยู่ตลอดเวลา เมื่อหายเหนื่อยแล้ว ซองยอลลุกขึ้นเดินกลับบริษัท อีกฝ่ายเดินเคียงเขาพลางผิวปาก เขาอยากถามคิมมุนซูว่าตามเขามาทำไม แต่ตัดสินใจไม่เปิดปากเพราะนึกถึงคำเตือนของเพื่อนสนิท
ไม่ว่าหมอนั่นจะเป็นคิมมยองซูหรือคิมมุนซูก็อย่าไปยุ่งด้วยอีก
อูฮยอนถลึงตาใส่เขาเมื่อเห็นว่าเขาเดินมากับใคร ซองยอลส่ายหน้าปฏิเสธเพราะอ่านใจเพื่อนออก "ฉันเปล่านะ” เขาบอก
“ร้อนตัว” อูฮยอนตอกกลับพลางมองไล่หลังคิมมุนซูกระทั่งอีกฝ่ายเดินหายไปหลังบานประตูห้องเจ้านาย เพื่อนของเขาหันมาพูดด้วยเสียงเขียว “นายอยากเลิกเป็นเพื่อนกับฉันจริงๆ ใช่มั้ย?”
“ฉันไม่ได้ยุ่งกับเขานะ เขาตามฉันมาเองต่างหาก”
“นายก็ไล่หมอนั่นไปซะสิ”
“ฉันวิ่งหนีแล้วนะ”
“วิ่งหนีกับไล่มันเหมือนกันที่ไหน”
“ถ้าเขาเป็นมยองซูอย่างที่นายสงสัยจริงไล่ยังไงก็ไม่ไปหรอก”
“แล้วนายจะปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกรึไง ไม่ต้องพูดแล้ว เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
อูฮยอนสั่งเสียงเฉียบแล้วลุกขึ้นยืนกอดอกมองคิมมุนซูผ่านบานกระจกใสซึ่งไม่ได้รูดม่านปิด อีกฝ่ายไม่รู้ตัวกระทั่งหัวหน้าของเขาเป็นฝ่ายสังเกตเห็นแล้วสะกิดบอก คิมมุนซูจึงหันกลับมาสบตาอูฮยอนแล้วยิ้มให้ เพื่อนของเขาทำปากคว่ำตอบกลับไปจากนั้นจึงกระแทกก้นนั่งลงทำงานต่อ ซองยอลเห็นแล้วอดสงสัยไม่ได้
“นี่น่ะเหรอวิธีการจัดการของนาย?”
“นี่แค่เริ่มต้นต่างหาก! ไม่รู้จักการประกาศสงครามรึไง?”
เขาฟังแล้วได้แต่ถอนใจ “ไม่เห็นต้องประกาศให้เปลืองแรงเลย ถ้าคิมมุนซูไม่รู้ว่านายไม่ชอบหน้าเขาสิแปลก”
“รู้แล้วรู้อีกไม่เห็นจะเป็นไร!”
“แทนที่เขาจะรู้สึกไม่ดีเขาจะยิ่งสนุกไปใหญ่น่ะสิ”
“อืม ผมก็สนุกจริงๆ นั่นแหละ”
ซองยอลสะดุ้งโหยง เขาลุกหนีไปยืนข้างอูฮยอนทันควัน คิมมุนซูกอดอกมองพวกเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ท่าทางเหมือนได้เล่นสนุกอย่างที่ปากพูด
“คุยกันหน่อยสิ” เพื่อนสนิทถือโอกาสบอกกับอีกฝ่ายพลางเพยิดหน้าไปทางห้องครัวเล็กๆ คิมมุนซูพยักหน้ารับและเป็นฝ่ายเดินนำไปก่อน ซองยอลขยับเท้าจะเดินตามอูฮยอนไป แต่เพื่อนของเขากลับชี้นิ้วสั่งว่า ‘ไม่ต้องตามมาเลย!’ เขาจึงได้แต่ชะเง้อคอมองห้องครัวอยู่ห่างๆ
อูฮยอนคุยกับคิมมุนซูอยู่หลายประโยค เพื่อนสนิทท่าทางหัวเสีย คงเพราะถูกอีกฝ่ายกวนโมโหหรือพูดจายอกย้อนใส่ เขาเห็นอูฮยอนกระดิกปลายนิ้วขอมือฝ่ายนั้น เมื่อคิมมุนซูส่งมือให้เพื่อนของเขาก็ถูกบิดแขนโดยไม่ทันตั้งตัว อีกฝ่ายท่าทางตกใจในขณะที่อูฮยอนยิ้มกริ่ม เพื่อนของเขาโน้มตัวลงกระซิบบางอย่างกับคิมมุนซู พอฝ่ายนั้นพยักหน้าแกนๆ ก็ยอมปล่อยมือแล้วเดินกลับมาอย่างผู้ชนะ
“เรียบร้อยแล้ว” อูฮยอนชูนิ้วโป้งให้เขา
“นายเป็นนักเลงรึไง?” เขายกมือขึ้นกุมขมับ
“ช่วยไม่ได้ หมอนั่นหาเรื่องเอง” เพื่อนสนิทยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “พูดดีๆ ด้วยไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลัง”
“นายไปคุยอะไรกับเขา?”
อูฮยอนเหล่ตามองเขาอย่างจับผิด “ทำไม เป็นห่วงรึไง ไปแอบชอบกันตอนไหนถึงต้องเป็นห่วงเป็นใยกันอย่างนี้ล่ะ?”
ซองยอลถอนสายตากลับมาทำงานต่อ “ช่างมันเถอะ” เขาบ่นพึมพำพลางพรมนิ้วมือไปตามแป้นคีย์บอร์ด ใจหนึ่งรู้สึกขอบคุณอูฮยอนที่เป็นห่วงและคอยช่วยเหลือเขา แต่อีกใจกลับรู้สึกอยากต่อต้านเพื่อนสนิท
เขาส่ายหน้าเบาๆ เพื่อไล่ความคิดอย่างหลัง
อูฮยอนพูดถูกมาตลอด
เพื่อนสนิทบอกว่ามยองซูไม่น่าไว้ใจ เรื่องก็ปรากฏว่ามยองซูไม่ควรค่าแก่การไว้ใจ เมื่อคราวนี้เพื่อนของเขาบอกว่าอย่าไปยุ่งคิมมุนซู ซองยอลก็ควรอยู่ให้ห่างจากคิมมุนซู
ใจเขาคิดอย่างนั้นก็จริง แต่เมื่อเห็นคิมมุนซูตรงไปทางห้องน้ำเขากลับลุกขึ้นเดินตามอีกฝ่าย
อีกสักครั้งเถอะนะ เขาขอไม่เชื่อฟังคำของอูฮยอนอีกสักครั้ง
“มยองซู” ซองยอลเรียก
ฝ่ายนั้นหันกลับมาหาเขาก่อนเลิกคิ้วมองอย่างประหลาดใจ
“คุณคือ...มยองซูรึเปล่า?” เขาเดินเข้าไปหาและสำรวจใบหน้าอีกฝ่ายใกล้ๆ แต่คิมมุนซูกลับถอยเท้าออกห่าง
“คุณตามมาบิดแขนผมอีกคนรึเปล่า?” ฝ่ายนั้นตั้งการ์ดถามอย่างไม่ไว้ใจ
ซองยอลส่ายหน้า “ผมไม่ได้เรียนศิลปะการป้องกันตัว”
คิมมุนซูถอนหายใจอย่างโล่งอก “ค่อยยังชั่ว” อีกฝ่ายว่าพลางนวดแขนข้างที่โดนบิดแล้วบ่นพึมพำว่าเจ็บสุดๆ
“คุณใช่เขารึเปล่า?” ซองยอลถามย้ำอีกครั้ง “มยองซูไม่เคยเล่าให้ฟังว่ามีน้องชาย”
ฝ่ายนั้นยักไหล่ไม่ยอมตอบ
เขาหรี่ตามองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า คิมมุนซูยื่นมือมาปิดตาเขา “มองมากๆ อย่างนี้เดี๋ยวก็คิดเงินซะเลย”
เมื่อได้ยินฝ่ายนั้นพูดเรื่องเงิน ซองยอลปัดมือที่ปิดตาเขาอยู่ออก “มยองซู” เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างมั่นใจ
“มุนซูต่างหาก”
“มยอง-”
“คุณหายมานานอย่างนี้ระวังเพื่อนคุณจะสงสัยนะ” คิมมุนซูชี้นิ้วไปยังโต๊ะทำงานของเขา เมื่อซองยอลหันไปมองตาม อีกฝ่ายก็ดันไหล่เขาเบาๆ แล้วโบกมือให้ก่อนจะเปลี่ยนใจเดินออกประตูบริษัทแทน
“ผมไม่ใช่พี่นะ” ฝ่ายนั้นว่าพลางเดินถอยหลังไปยังโถงลิฟต์ “ผมคือคิมมุนซู”
ซองยอลมองตามอีกฝ่ายอย่างข้องใจ เขาขมวดคิ้วมุ่นขณะเดินกลับไปที่โต๊ะ
“หายไปไหนมา?” อูฮยอนถามเขา
“ไปห้องน้ำมา” ซองยอลตอบสั้นๆ แล้วจึงนั่งมองจอมอนิเตอร์อย่างใช้ความคิด
ความคิดเห็น