คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : [Untitled] Chapter 6
Chapter 6
ซองยอลน่าจะมีความสุข
เขามีคนรัก ตื่นเช้าขึ้นมาเห็นอีกฝ่ายนอนหลับอยู่ข้างๆ กลับจากทำงานก็พบมยองซูรอต้อนรับเขาอยู่ พวกเขากินข้าวเย็นด้วยกัน ดูทีวีด้วยกัน ใช้เวลาด้วยกันอย่างที่คู่รักคู่อื่นหลายคู่ทำกัน
แต่ทำไมซองยอลไม่มีความสุข?
ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ถึงกับทุกข์ แค่พูดว่ามีความสุขได้ไม่เต็มปาก จะว่าสุขก็สุข จะว่าเศร้าก็เศร้า ซองยอลเองก็บอกไม่ถูก
เขาเหม่อบ่อยๆ เมื่อเลิกงานแล้วแทนที่จะตรงกลับห้องเหมือนเมื่อก่อน ซองยอลกลับนั่งไขว่ห้างพิงหลังกับพนักเก้าอี้ เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงและมองออกไปนอกหน้าต่างเป็นเวลานานๆ จนพอใจจึงจะเก็บของกลับ
วันนี้ก็เหมือนกัน
ขณะนั่งมองอาคารบ้านเรือน ซองยอลคิดเรื่อยเปื่อยถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับคนรัก เรื่องเดิมๆ ประเภทว่า เขาทำพลาดตรงไหน ทำไมจึงตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างนี้
เขาไม่อยากได้มยองซูมาด้วยเงิน
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะรั้งฝ่ายนั้นด้วยวิธีใด
ซองยอลพลาดที่ไม่ฟังคำเตือนของเพื่อนอย่างนั้นหรือ? แต่เขารักมยองซูจึงเลือกจะไม่ฟังคำแนะนำของอูฮยอนซึ่งมีแต่จะให้เขาผลักไสมยองซูออกจากชีวิต
ถ้าเขาผิดที่ไม่เชื่อเพื่อนสนิท ก็แปลว่าเขาผิดตั้งแต่ยอมให้มยองซูย่างเท้าเข้ามาในห้องของเขาแล้ว
ถ้าเขาอยากแก้ไขสิ่งที่ผิด ก็แปลว่าเขาต้องไล่มยองซูออกไปอย่างนั้นหรือ
ซองยอลทำไม่ได้หรอก เขามาไกลเกินไปแล้ว เขาชินกับการใช้ชีวิตในห้องสองคนกับมยองซูแล้ว หากกลับห้องไปแล้วไม่พบใครซองยอลคงเหงายิ่งกว่าที่เคยเหงา
คนบางคนเมื่อได้สัมผัสความรู้สึกยามมีใครสักหนหนึ่งก็ยากจะกลับไปใช้ชีวิตคนเดียวได้อีก
ซองยอลบังเอิญเป็นคนอย่างนั้น
บางครั้งเขาคิดจนสงสัยในความรักของตัวเองว่าเขารักมยองซูมากหรือแค่ยึดติดกับอีกฝ่ายเพราะเป็นคนรักคนแรกกันแน่ ในที่สุดเขาสรุปกับตัวเองว่าเขาเป็นเช่นทั้งสองอย่าง เพราะรักมากจึงยึดติดมาก
เหนื่อย เขาคิด
เมื่อรู้สึกตัวว่าชักจะฟุ้งซ่าน ซองยอลก็ถอนหายใจ หยุดคิดและนั่งหลับตานิ่งๆ อึดใจหนึ่งแล้วเก็บข้าวของลงกระเป๋า
เมื่อเขากลับถึงห้อง มยองซูก็ส่งเสียงทักทายจากโซฟาเหมือนทุกครั้ง
“กลับมาแล้วเหรอ?”
“กลับมาแล้ว”
ซองยอลตอบแล้วเดินเข้าไปเก็บกระเป๋าในห้องนอนก่อนเดินกลับมาทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาข้างๆ อีกฝ่าย มยองซูเอนตัวลงวางศีรษะบนตักเขาแทบจะทันที มือก็กดรีโมทเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อย ฝ่ายนั้นฮัมเพลงเบาๆ เขาหลับตาฟังพลางเอียงหัวซบพนักพิงโซฟาก่อนลืมตาขึ้นก้มหน้าถามอีกฝ่าย
“นายเปลี่ยนน้ำหอมเหรอ?” เขาถามเพราะมีกลิ่นไม่คุ้นเคยโชยแตะจมูก
มยองซูเงยหน้ามองเขา “หา?”
ซองยอลหันกลับไปดมโซฟาฟุดฟิด ฝ่ายนั้นเห็นแล้วหัวเราะขำเขาใหญ่
“ทำอะไรน่ะ นึกว่าตัวเองเป็นสนูปปี้รึไง?”
เขาค้อนใส่อีกฝ่ายวงโต
“กลิ่นน้ำหอมคนอื่นรึเปล่า?” มยองซูหรี่ตามองหน้าเขา “นายแอบไปมีกิ๊กที่ไหนแล้วทำหน้าซื่อตาใสโบ้ยความผิดให้ฉันรึเปล่า?”
ซองยอลเขย่าขาแรงๆ จนหัวอีกฝ่ายกระดอนออกจากตัก
“แค่พูดเล่นเอง!” มยองซูลุกขึ้นนั่งกอดอกประท้วง
เขามองหน้าอีกฝ่ายดุๆ “นายชอบพูดเล่นไม่รู้กาลเทศะ”
“พ่อคนรู้กาลเทศะ” ฝ่ายนั้นล้อเลียนเขา “เลิกงานตั้งแต่สี่โมงแท้ๆ แต่กลับถึงบ้านเอาหนึ่งทุ่ม”
ซองยอลจ้องมยองซูตาขวาง
“อุ้ย น่ากลัว” คนรักของเขาทำสะดิ้ง “ไปหาอะไรกินดีกว่า" ว่าแล้วมยองซูก็ลุกจากโซฟาเดินดุ่มๆ ไปเปิดตู้เย็น
เขาผุดยิ้มขณะมองไล่หลังอีกฝ่ายก่อนเดินตามไปช่วยกันเตรียมอาหาร แต่ประเดี๋ยวเดียวก็ถูกมยองซูอุ้มกลับมาที่โซฟา
“ไหนนายว่าจะหาอะไรกินไง!?” ซองยอลดิ้นขลุกขลักในวงแขนของอีกฝ่าย
“ก็กำลังจะกินอยู่นี่ไง”
“ฉันหมายถึงข้าวจริงๆ!” เขาตะเกียกตะกายลุกหนีไปหลบหลังโซฟา
“ความผิดนายนะ” มยองซูว่าพลางตะปบแขนเขา “ใครใช้ให้นายเอาจมูกมาป้วนเปี้ยนแถวซอกคอฉันล่ะ”
“ฉันแค่สงสัยเรื่องน้ำหอมเฉยๆ!”
“งั้นก็เข้ามาสิ เดี๋ยวถอดเสื้อให้ดมเลยก็ได้ เอ้า! เข้ามาสิ”
ซองยอลปัดมือมยองซูทิ้ง “อย่าสิ!” เขาเอ็ดพลางหัวเราะพลางกับวิธีเย้าแหย่ของอีกฝ่าย “นายคิดเป็นแต่เรื่องพรรค์นี้รึไง?” ในที่สุดเขาถูกจับตัวได้จนต้องกลับมานอนแบ็บบนโซฟาอย่างหมดท่า
มยองซูเหยียดยิ้มมุมปากขณะก้มหน้าลงขโมยจูบเขา “ฉันหาเลี้ยงตัวเองได้ด้วยเรื่องพรรค์นี้นะ”
ซองยอลดันหน้าอกอีกฝ่ายออกก่อนริมฝีปากของพวกเขาจะทันสัมผัสกัน “แต่ฉันไม่ได้จ่ายเงินให้นายเพื่อเรื่องพรรค์นี้นะ”
“ฉันรู้หรอกน่า” มยองซูย้ายมือเขาไปโอบไหล่ของตนแล้วหอมแก้มเขาเบาๆ ซองยอลยอมให้อีกฝ่ายแค่นั้นแล้วลุกหนีไปอาบน้ำ
“ฉันอาบน้ำเสร็จแล้วต้องได้กินข้าวนะ” เขาพูดจบก็เดินหนีเข้าห้องน้ำไปยืนถอนหายใจหน้ากระจกเงา
นี่แหละ ความรู้สึกนี้แหละ
จะว่าสุขก็สุข จะว่าทุกข์ก็ทุกข์
เขาสัมผัสมันมาพักใหญ่แล้ว
หลายวันต่อมาซองยอลยังนั่งทอดอารมณ์ในบริษัทหลังเลิกงาน เขาถอดสร้อยคอออกมาหมุนแหวนเล่นในมือพักใหญ่ ในหัวคิดวนเวียนแต่เรื่องเดิมจนเหนื่อยใจ ในที่สุดซองยอลสวมสร้อยและสอดมันกลับลงไปใต้เสื้อ เขาออกจากที่ทำงานไปหาข้าวเย็นกินคนเดียวในร้านอาหารข้างทาง นั่งอ้อยอิ่งในนั้นอยู่นานสองนานจึงค่อยกลับห้อง
“สวัสดีครับ” คุณอีทักทายเขา
ซองยอลยิ้มรับและยื่นกาแฟกระป๋องให้ฝ่ายนั้น ยามกะดึกก้มหัวขอบคุณเขาใหญ่ “กระป๋องที่สองของคืนนี้แล้วครับ เมื่อซักครู่คุณมยองซูก็เพิ่งเอามาให้”
เขาฟังแล้วเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “มยองซูน่ะเหรอครับ?”
คุณอีชะงักไปประเดี๋ยวหนึ่ง “เอ่อ ครับ ใช่ครับ” ชายสูงวัยตอบตะกุกตะกักจบก็รีบเดินไปกดลิฟต์ให้เขาและผายมือส่งเมื่อประตูลิฟต์เปิดก่อนผละกลับไปยืนประจำที่หลังเคาน์เตอร์เล็กๆ ใกล้ประตูทางเข้า
พอดีมีผู้อาศัยคนอื่นขอโดยสารลิฟต์ไปด้วยซองยอลจึงยืนกดลิฟต์รอและทันเห็นคุณอียกโทรศัพท์ของคอนโดขึ้นแนบหู เขานึกในใจว่าคุณยามมีท่าทีแปลกๆ แต่ไม่ติดใจสงสัยอะไร
เมื่อลิฟต์เปิดออกที่ชั้น 6 ซองยอลเดินตรงไปทาบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์เปิดประตูห้อง เขาเตรียมขานตอบมยองซูว่า ‘กลับมาแล้ว’ เมื่ออีกฝ่ายถามเขาว่า ‘กลับมาแล้วเหรอ?’ ทว่าเมื่อเขาก้าวเท้าเข้าห้องไปกลับได้ยินเสียงของคนอื่นดังขึ้นมาว่า
“กลับมาซักที”
ซองยอลขมวดคิ้วขณะงับประตูปิด เขาหันกลับไปมองเจ้าของเสียงไม่คุ้นหู ฝ่ายนั้นเป็นเด็กหนุ่มร่างผอมบางกำลังนั่งกอดอกหน้าเชิดอยู่บนเท้าแขนของโซฟาตัวยาว ใบหน้าน่ารักงอง้ำอย่างไม่พอใจ มยองซูนั่งไขว่ห้างบนโซฟาตัวเดียวกัน กอดอกหันหน้าไปอีกทางพลางถอนหายใจ
“คุณเป็นใคร?” ซองยอลขมวดคิ้วถามคนแปลกหน้า ทว่าเขาเปลี่ยนใจหันไปถามเอาความจากคนรักก่อนฝ่ายนั้นจะทันตอบ “มยองซู คนรู้จักของนายเหรอ?”
“ไม่ใช่ซักหน่อย ฉันเป็นเจ้าของพี่มยองซูต่างหาก!”
มยองซูถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกหน “อย่าจู่โจมเร็วนักสิ ซองยอลตกใจแย่”
ซองยอลถอยหลังกลับไปเปิดประตูทันที เขามองหน้าเจ้าของพี่มยองซูนิ่งก่อนเลื่อนสายตาไปยังประตูที่เปิดอ้าอยู่เป็นเชิงไล่
ฝ่ายนั้นลุกขึ้นพรวดตั้งท่าจะกระโจนมาหาเขาแต่ถูกมยองซูรั้งตัวไว้ก่อน “ไหนว่าจะทำตัวดีๆ ไง ฉันถึงได้บอกใช่มั้ยว่าให้กลับไปก่อน อุตส่าห์ขอร้องยามข้างล่างให้โทรเตือนก่อนซองยอลกลับถึงห้องแล้วเชียว”
“ฉันไม่กลับคนเดียวหรอก พี่ต้องกลับไปกับฉันด้วย!”
“ก่อนหน้านี้นายเป็นคนไล่ฉันออกมาเองนะ”
“ฉันถึงได้มารับพี่กลับอยู่นี่ไง”
“แล้วฉันบอกว่าจะไม่ไปรึไง ฉันยังไม่กลับวันนี้ไม่ได้หมายความว่าฉันจะอยู่ที่นี่ตลอดไปซักหน่อย”
“คราวก่อนที่ฉันมาที่นี่พี่ก็พูดอย่างนี้”
“ก็ฉันไปทันทีไม่ได้นี่”
“แต่คราวนี้คงไปได้แล้วใช่มั้ยล่ะ?” เด็กหนุ่มยิ้มอย่างพอใจก่อนหมุนตัวกลับไปกอดมยองซูไว้อย่างถือสิทธิ์ “คุณคนนี้คงไม่ยอมให้พี่อยู่กับเขาต่อแล้วละ” ฝ่ายนั้นพูดจบก็เอื้อมมือขึ้นคล้องคอมยองซูและเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบ
ซองยอลอึ้งไป เขาได้แต่ยืนกำมือแน่นและกัดริมฝีปากเงียบๆ ขณะคนแปลกหน้าถือวิสาสะแตะต้องคนรักของเขา เขาทบทวนบทสนทนาของทั้งสองคนพลางปะติดปะต่อเรื่องราวในใจ
‘อุตส่าห์ขอร้องยามข้างล่างให้โทรเตือนก่อนซองยอลกลับถึงห้องแล้วเชียว’
เอากาแฟกระป๋องไปติดสินบนคุณอีให้โทรศัพท์มาเตือนเพื่อจะให้เด็กคนนี้รีบกลับไปก่อนฉันจะมาสินะ
‘ฉันเป็นเจ้าของของพี่มยองซูต่างหาก!’
คงเคยกล่อมให้เด็กคนนี้ซื้อตัวเองเหมือนอย่างที่ทำกับฉันสินะ
‘นายเป็นคนไล่ฉันออกมาเองนะ’
เพราะอย่างนี้ถึงได้มาขอฉันอาศัยจนทุกวันนี้สินะ
‘คราวก่อนที่ฉันมาที่นี่นายก็พูดอย่างนี้’
แปลว่าครั้งนี้คงไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กคนนี้มาที่นี่สินะ
‘ก็ฉันไปทันทีไม่ได้นี่’
หมายความว่านายตั้งใจจะทิ้งฉันไปวันใดวันหนึ่งสินะ
ซองยอลสังเกตเห็นโลหะสีเงินบนนิ้วนางข้างซ้ายของเด็กหนุ่มร่างเล็ก เขาเข้าไปกระชากตัวมยองซูออกจากวงแขนของคนแปลกหน้าแล้วผลักคนรักล้มลงกองกับพื้น
“กลิ่นน้ำหอมบนโซฟาคงเป็นของเด็กคนนี้สินะ” เขาพูดเสียงเรียบ
มยองซูยกมือขึ้นเกาท้ายทอยอย่างยุ่งยากใจแต่ไม่ปฏิเสธ ซองยอลรู้สึกราวกับได้กลิ่นน้ำหอมของคนแปลกหน้าชัดเจนขึ้นจนต้องเบือนหน้าหนี
เขาหันไปเผชิญหน้าเด็กหนุ่มที่อ้างตัวเป็นเจ้าของของคนรักของเขา “คุณเกี่ยวข้องอะไรกับเขา?”
“พี่มยองซูเป็นของฉัน” อีกฝ่ายกอดอกตอบ “ฉันไล่เขาออกจากบ้าน แต่ตอนนี้จะมารับกลับแล้ว”
“เขาเป็นของคุณ...ยังไง?”
“นายไม่อยากรู้หรอก” มยองซูขัดขึ้นขณะลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่
เขาเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยหางตาก่อนหันกลับไปพูดกับคนแปลกหน้า “คุณจ่ายเงินให้เขาสินะ”
“ใช่ ฉันซื้อรถมาง้อด้วย จอดอยู่ข้างล่าง ป้ายยังแดงอยู่เลย”
“มยองซูตอบแทนคุณด้วยอะไรบ้างล่ะ?” ซองยอลถามเสียงสั่น หลุบตาลงมองแหวนเงินบนนิ้วนางข้างซ้ายของอีกฝ่าย “เขาซื้อให้คุณใช่มั้ย แหวนนั่นน่ะ”
เด็กหนุ่มเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่งพลางหรี่ตาสำรวจมือทั้งสองของเขา ฝ่ายนั้นยิ้มเยาะเมื่อเห็นนิ้วทั้งสิบของเขาว่างเปล่าแล้วยกมือขึ้นเสยผมเพื่ออวดแหวน “พอฉันอ้อนให้ซื้อ พี่มยองซูก็ซื้อให้ ใจดีใช่มั้ยล่ะ?”
“แหวนแพลทตินัมใช่มั้ย”
“รู้ด้วยเหรอ?”
ซองยอลสาวสร้อยคอออกจากใต้เสื้อเชิ้ต ร่างเล็กมองจี้ของมันอย่างตกตะลึง “นาย!?“ ฝ่ายนั้นพุ่งเข้ามากระชากสร้อยอย่างรุนแรงจนเขาเซล้มลง มยองซูช่วยดึงตัวเขาขึ้นแต่เขาสลัดมืออีกฝ่ายทิ้ง “อย่ามาจับ” เขาสั่งเสียงเรียบโดยไม่มองหน้าหรือสบตาคนรัก
“แหวนนั่นมันอะไร!?” คู่กรณีของเขายังไม่เลิกตั้งคำถาม
เขากุมมันไว้โดยไม่ตอบ ฝ่ายนั้นจึงตั้งท่าจะเข้ามาแย่งมันไปอีกครั้ง
“ไปกันเถอะ” มยองซูคว้าแขนร่างเล็กไว้ก่อนจะพากันเดินออกจากห้องไป
ซองยอลยืนเคว้งคว้างอยู่กลางห้องครู่เดียวก็รู้สึกตัว เขารีบวิ่งตามทั้งสองคนออกไป เมื่อเห็นลิฟต์จอดค้างอยู่ที่ชั้นสี่ก็ถลันลงบันไดหนีไฟไปอย่างรวดเร็ว
เขาวิ่งออกจากลิฟต์มาทันเห็นคนรักทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะคนขับ คิมมยองซูสตาร์ทรถและถอยหลังออกจากซองโดยไม่สนใจว่าอาจจะชนเขา ซองยอลกระชากสร้อยคอคล้องแหวนแพลทตินัมวงเกลี้ยงออกจากลำคอแล้วเขวี้ยงใส่รถเต็มแรง แหวนสีเงินลอยไปถูกขอบหน้าต่างแล้วกระดอนลงนอนกับพื้นส่วนสร้อยพันติดกับเสาอากาศอย่างพอเหมาะพอเจาะ
“นี่น่ะเหรอ!?” เขาตะโกนลั่นลานจอดรถ “นี่น่ะเหรอที่บอกว่ารักน่ะ!?! นายรักฉันได้แค่นี้เองเหรอ!?!”
ทว่ารถสปอร์ตสีดำคันใหม่มีแต่จะแล่นออกไปไกลขึ้นๆ เท่านั้น มยองซูคงไม่คิดจะย้อนกลับมาหาเขา ฝ่ายนั้นไม่มีท่าทีแม้แต่จะลังเล
จบแล้ว ทุกอย่างจบลงแล้ว
ซองยอลทรุดตัวลงนั่งกองกับพื้นสากๆ แสงสะท้อนจากแหวนสีเงินส่องเข้าตาทำให้เขาแสบตาจนร้องไห้ เขาคลานไปหยิบมันขึ้นมากำไว้แน่นแม้หลังจากนั้นจะต้องแพ้จนเป็นผื่น
ซองยอลน่าจะรู้ตั้งแต่วันที่มยองซูซื้อแหวนวงนี้มาให้
มันทำจากทองคำขาว แต่ซองยอลแพ้ทองคำขาว
มันเป็นแหวนเบอร์เก้า แต่ซองยอลใส่แหวนเบอร์แปด
แหวนวงนี้ไม่เหมาะกับเขา พอๆ กับที่มยองซูไม่เหมาะกับเขา แต่ซองยอลก็ไม่เคยปล่อยให้มันอยู่ห่างตัว เหมือนที่ไม่อยากให้มยองซูจากไปไหนไกล
“กลับมาเถอะ” เขานั่งคุกเข่าสะอึกสะอื้นกับแหวนในมือ
แต่มยองซูไม่เคยกลับมา
หนึ่งวินาที หนึ่งนาที หนึ่งชั่วโมง
หนึ่งวัน หนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเดือน หนึ่งปี
คิมมยองซูไม่เคยกลับมาหาอีซองยอลอีกเลย
เขาจมอยู่กับความเศร้านานหลายเดือน แต่เมื่อลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งและตั้งต้นชีวิตใหม่ในที่ทำงานแห่งใหม่ คนๆ นั้นก็กลับมาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้งหนึ่ง
‘มยองซู!’
‘ยินดีที่รู้จัก ผมคิมมุนซู เกรงว่าคุณจะจำสลับกับพี่ชายผม’
ซองยอลสับสนไปหมด
คิมมยองซู... คิมมุนซู...
คนเดียวกัน หรือคนละคน
เขาเอามือคลำอกเสื้อด้วยความเคยชิน ทว่าเมื่อสัมผัสได้แต่ความว่างเปล่าจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองถอดสร้อยคล้องแหวนแพลทตินัมทิ้งไว้ที่ห้องนานแล้ว ซองยอลได้แต่ก้มหน้าครุ่นคิดถึงชายคนที่เพิ่งพบกันในห้องทำงานของเจ้านาย
“ซองยอล” อูฮยอนลุกขึ้นเดินมาแตะไหล่ของเขา “จะมัวคิดถึงหมอนั่นทำไม ถามจริงๆ เถอะ นายยังไม่เข็ดอีกเหรอ?”
ซองยอลสบตาเพื่อนสนิทที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเขาแทนพ่อแม่ตลอดปีก่อนแล้วหลบตา อูฮยอนบีบไหล่เขาแรงๆ ทีหนึ่งเพื่อเตือนสติ
“ไม่ว่าหมอนั่นจะเป็นคิมมยองซูหรือคิมมุนซูก็อย่าไปยุ่งด้วยอีก”
“แต่ว่า-”
“คราวนี้ไม่มีแต่” เพื่อนของเขาสั่ง “เชื่อสิ่งที่นายเจอกับตัวสิ”
ซองยอลพรูลมหายใจอย่างกลัดกลุ้ม เขายกอเมริกาโน่ที่เหลือขึ้นดื่มจนหมดแก้วโดยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำพูดของเพื่อนสนิท
ความคิดเห็น