คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : [Untitled] Chapter 4
Chapter 4
โทรศัพท์มือถือส่งเสียงแหลมเตือนเวลาตั้งปลุก ซองยอลพลิกตัวหนีพลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง เขาหลับตาแน่นแม้จะรู้สึกตัวตื่นแล้วเพราะยังไม่อยากลุกจากเตียงไปไหน ไม่รู้เสียงเตือนเงียบลงตั้งแต่เมื่อไร เมื่อไม่มีเสียงแหลมดังรบกวน ซองยอลก็ผล็อยหลับลงอีกหน เขาสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อถูกแสงแดดไล้แก้ม
“กี่โมงแล้ว!?” ซองยอลเอื้อมมือคว้าโทรศัพท์จากหัวเตียงมาดูเวลาแล้วร้องเสียงดังด้วยอารามตกใจ เขารีบลุกไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
“แสบตา...” มยองซูครางประท้วงจากบนเตียงเมื่อเขาเปิดไฟในห้อง
“นายกดเสียงเตือนทิ้งอีกแล้วใช่มั้ย!?” ซองยอลเอ็ดอีกฝ่ายขณะสอดขาเข้าไปในกางเกง “ฉันตื่นสายอีกแล้ว!”
มยองซูพลิกตัวนอนคว่ำซุกหน้าลงกับหมอน ฝ่ายนั้นส่งเสียงอู้อี้แก้ตัวมาว่า “ก็มันน่ารำคาญนี่นา”
“คืนนี้กลับไปนอนข้างนอกเลยนะ” เขาคาดโทษก่อนฉวยเสื้อสูทและกระเป๋าขึ้นสะพายไหล่ เมื่อเดินพ้นห้องนอนออกไปก็ได้ยินเสียงดังตุ้บๆ เขาหันกลับไปมองก็เห็นมยองซูนอนดิ้นทุบกำปั้นลงกับเตียงอย่างขัดใจ คงไม่อยากกลับไปนอนบนโซฟาแต่ง่วงเกินกว่าจะอ้าปากเถียง
ซองยอลถอนหายใจแต่จุดยิ้มมุมปาก เขาเดินไปใส่รองเท้าและเสื้อโค้ทที่โถงหน้าประตู มยองซูเดินงัวเงียตามออกมาส่ง ฝ่ายนั้นรั้งกระเป๋าเขาไว้แล้วทวงถามถึงมอร์นิ่งคิสจึงถูกเขาย่นคิ้วใส่
“นายก็ได้ไปตอนฉันออกมาเปิดประตูให้เมื่อเช้ามืดแล้วไง”
“ฮื้อ” อีกฝ่ายไม่ฟัง “มอร์นิ่งคิส”
“ฉันจะสายอยู่แล้ว” เขาแกะมือมยองซูออกจึงถูกฝ่ายนั้นชักมือไปจุมพิตบนหลังมือเบาๆ
“งั้นมัดจำไว้ก่อน” มยองซูปล่อยมือเขาเพื่อโบกมือให้ “บ๊ายบาย ตั้งใจทำงานนะที่รัก”
ซองยอลเม้มปากใส่อีกฝ่าย เขาเดินหน้าบึ้งมาจนถึงลิฟต์ เมื่อประตูเปิดออกและไม่มีใครในนั้น ซองยอลก็เดินเข้าไปกดลิฟต์ชั้น 1 ยืนพิงผนังและคลี่ยิ้มบางพลางยกหลังมือขึ้นแตะริมฝีปาก
“คุณอี อรุณสวัสดิ์ครับ” คุณอีทักทายเขาเมื่อลงมาถึงชั้นล่าง
ซองยอลโค้งรับพร้อมส่งยิ้มให้
“หลายวันมานี้ดูอารมณ์ดีนะครับ”
“เหรอครับ?” เขาเลิกคิ้วสูงก่อนเอ่ยลาอีกฝ่ายเมื่อเดินไปถึงประตู “ไปก่อนนะครับ”
คุณยามโค้งให้เขาแล้วหันไปทักทายผู้อาศัยคนอื่นที่เพิ่งเดินออกจากลิฟต์ ซองยอลยกนิ้วขึ้นแตะคางอย่างครุ่นคิด “อารมณ์ดีเหรอ?” เขาทวนคำของคุณอีเบาๆ ขณะเดินออกจากคอนโด
โทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ย ซองยอลล้วงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดรับโดยไม่ดูชื่อคนโทรเข้า “สวัสดีครับ”
“เมื่อไหร่จะกลับห้องเหรอ? คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว”
เขาเงยหน้าขึ้นมองระเบียงห้องบนชั้น 6 ก็เห็นมยองซูใช้ผ้าห่มห่อตัวยืนเกาะราวระเบียงอยู่
“อืม...อีกประมาณ 12 ชั่วโมง”
“นานขนาดนั้นฉันขาดใจตายพอดี”
“พอเถอะ ฟังแล้วปวดหัวขึ้นมาเลย”
“ยังไม่ชินอีกเหรอ? ฟังมาตั้งหลายครั้งแล้วนะ”
“นายกลับเข้าไปซะ ฉันจะวางแล้ว”
“ทำไมล่ะ วันก่อนๆ ไม่เห็นรีบไล่ให้วางเลย”
“ก็วันนี้ฉันจะสายแล้ว ใครไม่รู้ปิดนาฬิกาปลุกฉัน”
“คร้าบๆ จะไปไหนก็ไปเถอะ คุณคนบ้างาน” มยองซูตัดสายแล้วโบกมือให้เขาจากข้างบน เขาส่ายหน้าระอาทว่ากลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่
“อารมณ์ดีเหรอ?” ซองยอลนึกถึงคำพูดของคุณอีอีกครั้ง “นั่นสินะ” เขาพึมพำพลางกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปสถานีรถไฟใต้ดินอย่างมีความสุข
“กลับมาแล้วเหรอ?”
“กลับมาแล้ว”
“ที่ทำงานเป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ไม่มีอะไรพิเศษ”
“เหรอ งั้นฉันไปทำงานบ้างนะ”
“....ไปตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอ?”
“ทางนั้นเขาขอมาน่ะ เจอกันนะ”
มยองซูช่วยเขาถอดโค้ทแล้วสวมให้ตัวเองบ้าง ฝ่ายนั้นยื่นหน้ามาจูบเขา ขยิบตาให้ทีหนึ่งแล้วเปิดประตูเดินผิวปากออกไป ซองยอลมองส่งอยู่ประเดี๋ยวเดียวก็งับประตูปิดแล้วเดินเอากระเป๋าไปเก็บ เขามองผ้าห่มอีกผืนของมยองซูบนเตียงแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
หลายวันมานี้มยองซูย้ายตัวเองจากโซฟามาประดิษฐานบนเตียงเขาและปิดเสียงนาฬิกาปลุกจนเขาตื่นสายบ่อยๆ หนำซ้ำยังชอบดึงตัวเขาไปนอนกก ซองยอลนอนคนเดียวมาแต่ไหนแต่ไร เขาไม่คุ้นกับการนอนร่วมเตียงกับใครแต่ก็ไม่เคยปริปากบ่น
ซองยอลพอใจให้มยองซูนอนกอดเขามากกว่าจะให้อีกฝ่ายไปทำงาน เขาคอยออกปากขอให้มยองซูอยู่กับห้องบ่อยๆ ฝ่ายนั้นก็ตามใจเขาไม่ตามใจเขาบ้าง
“นายไม่ให้ฉันเกาะกินไม่ใช่เหรอ” มยองซูเคยพูด “ฉันก็มีดีแต่ทางนี้ซะด้วย คงหาเงินได้แค่วิธีนี้เท่านั้นแหละ”
เขาถอดสูท ปลดกระดุมและพับแขนเสื้อเสร็จก็ยืนเท้าสะเอวมองผ้าห่มผืนเดิมอีกหนหนึ่ง สุดท้ายเขาหอบมันออกไปโยนใส่โซฟาตามมาติดๆ ด้วยหมอน ซองยอลทำอย่างนี้ทุกครั้งที่มยองซูไปทำงาน เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายกลับมานอนกอดเขาหลังจากไปกอดใครไม่รู้มาก่อน
เขาเคยบอกปัดมยองซูเมื่อเดินไปเปิดประตูรับตอนเช้าแล้วฝ่ายนั้นเดินนำเขากลับห้องนอน “ฉันจะอาบน้ำเตรียมไปทำงานแล้ว”
“ยังเช้ามืดอยู่เลย นอนต่ออีกหน่อยแล้วค่อยไปเถอะ”
“นายก็นอนไปสิ”
“นอนด้วยกันสิ นะ ง่วงจะแย่อยู่แล้ว” แล้วอีกฝ่ายก็จูงมือเขาไป ถือวิสาสะใช้หมอนและผ้าห่มของเขาแล้วให้เขาหนุนแขนต่างหมอนโดยไม่ยอมให้ปฏิเสธ
ซองยอลรู้ดีว่ามยองซูเอาชนะเขาได้เสมอ เขาเองก็ยอมให้อีกฝ่ายเสมอเพราะลึกลงในใจแล้วเขามีความสุขที่ถูกกอด
ที่เขายังเนรเทศหมอนและผ้าห่มของอีกฝ่ายทั้งที่รู้ว่ามยองซูไม่เคยสนใจก็เพราะต้องการแสดงออกให้ฝ่ายนั้นรู้ว่าเขาไม่พอใจ เขาหวังว่าวันใดวันหนึ่งมยองซูอาจยอมตามใจเขา เลิกไปทำงานรับลูกค้าแล้วหางานอื่นทำสักที
วันหนึ่งซองยอลตื่นไปเปิดประตูให้มยองซูตามปกติ เขาประหลาดใจเมื่อหนนี้อีกฝ่ายไม่มีกลิ่นสบู่ติดตัวกลับมาเหมือนหนก่อนๆ ตรงกันข้าม ตามเนื้อตัวมยองซูฟุ้งด้วยกลิ่นน้ำหอมแปลกหน้าจนเขาต้องย่นจมูก
“เหม็น” ซองยอลบ่นเบาๆ
“เหรอ” ฝ่ายนั้นยกแขนเสื้อขึ้นดม “ไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย”
“นายคงรู้สึกหรอก อยู่ด้วยกันมาทั้งคืนนี่” เขาพูดประชดกลายๆ แล้วผละจากโถงหน้าประตูกลับไปหยิบผ้าเช็ดตัวจากห้องนอนออกมาพาดไหล่เตรียมอาบน้ำ มยองซูเพิ่งถอดรองเท้ากับโค้ทเสร็จเดินมาแนบจมูกลงบนแก้มของเขา เขาผลักอีกฝ่ายออกไปโดยไม่มองหน้าพลางยกมือขึ้นถูแก้มแรงๆ อย่างหงุดหงิดอยู่นานจนมยองซูเอ่ยปาก
“จะเช็ดถึงเมื่อไหร่ เดี๋ยวก็ถลอกหมดหรอก” ฝ่ายนั้นดึงมือเขาออก
“อย่าทำอย่างนี้อีกนะ” เขาสลัดมืออีกฝ่ายทิ้ง “แค่นายออกไปรับลูกค้าก็แย่พอแล้ว อย่าพาพวกนั้นมาที่นี่แม้จะแค่กลิ่นก็ตาม”
มยองซูมองเขาตาโตสักพักจึงคลี่ยิ้ม
“หึงรุนแรงจัง”
“ฉันเปล่าหึง แค่ไม่ชอบเฉยๆ”
“อย่างนี้แหละเขาเรียกว่าหึง” ฝ่ายนั้นพูดจบก็เดินตัดหน้าเขาเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน กลับออกมาซับหน้ากับผ้าเช็ดตัวบนไหล่เขา จากนั้นจึงถอดเสื้อสูทกับเสื้อยืดทิ้งแล้วคว้าตัวเขาไปจูบ
“อย่างนี้ใช้ได้รึยัง?”
ซองยอลผลักอกอีกฝ่ายออกมายืนเม้มปาก
“ทำไมล่ะ ยังมีกลิ่นติดตัวอยู่อีกเหรอ?” ฝ่ายนั้นยกมือและแขนสองข้างขึ้นดม “งั้นเดี๋ยวฉันอาบน้ำแล้วออกมาลองใหม่ละกัน”
“ไม่ต้องแล้ว” เขาแทรกตัวเข้าห้องน้ำไปดึงประตูปิด หางตาเหลือบเห็นใบหน้าสีลูกตำลึงสุกของตัวเองในกระจก
มยองซูก็เป็นอย่างนี้ทุกที ทำให้เขาโกรธแล้วก็ง้อด้วยวิธีน่าอาย เขาไม่เคยโกรธอีกฝ่ายได้นานเกินหนึ่งวันสักที
“เพราะทำงานอย่างนั้นรึเปล่านะ...” ซองยอลพึมพำกับตัวเองขณะรอให้น้ำจากฝักบัวอุ่นขึ้นแล้วจึงก้าวเข้าไปอาบ
“ว่าไงนะ?”
“ฉันคบกับมยองซูแล้ว”
“มยองซูไหน?”
“ก็มีอยู่มยองซูเดียวนั่นแหละ”
“คิมมยองซูน่ะนะ?”
“คิมมยองซูนั่นแหละ”
“คนที่ฉันบอกว่าไม่น่าไว้ใจใช่มั้ย”
“...ใช่”
“คนที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาขอนายอาศัยทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนน่ะเหรอ?”
“คนนั้นแหละ”
“คนที่เจอหน้าฉันครั้งแรกก็จีบ เจอหน้านายกี่ครั้งก็จูบรึเปล่า”
“นัมอูฮยอน”
อูฮยอนไม่มองหน้าซองยอลเลยตั้งแต่ถูกเขาเรียกชื่อตัวเองดุๆ แม้ว่าเขาจะคีบซี่โครงใส่จานหรือรินโซจูให้ เพื่อนสนิทก็เอาแต่กินเงียบๆ โดยไม่คุยกับเขาสักคำ
ซองยอลพยายามเอาใจเพื่อนด้วยการย่างซี่โครงและยกให้อูฮยอนทั้งชิ้นทว่าอีกฝ่ายยังคงเอาแต่กินท่าเดียว เขาลองยื่นตะเกียบไปแย่งเนื้อจากจานเพื่อนมาส่งเข้าปาก อูฮยอนก็หันมามองค้อนแล้วเทเนื้อในจานให้เขาหมด
เขาขมวดคิ้วมองเพื่อนฉับ
“นัมอูฮยอน” ซองยอลเรียก “เล่าให้ฟังนายก็โกรธ พอไม่เล่านายก็โกรธ ตกลงจะเอายังไงกันแน่”
อูฮยอนยังทำเป็นไม่สนใจเขา
“นี่” ซองยอลยื่นเท้าใต้โต๊ะไปสะกิดอีกฝ่าย แต่เพื่อนสนิทก็ชักขาหนี “อูฮยอนนา”
เจ้าของชื่อเหลือบตามองเมื่อได้ยินเขาเรียกเสียงอ่อย ฝ่ายนั้นแค่นหัวเราะดังหึก่อนคืบซี่โครงในจานเขากลับไปกินแล้วพูดงอนๆ “ประเด็นมันอยู่ที่” เพื่อนสนิทกลืนหมูลงคอจึงค่อยพูดต่อ “นายไม่ฟังที่ฉันเตือนต่างหาก”
ซองยอลก้มหน้าก้มตากลับเนื้อหมูบนเตาเงียบๆ
“เฮ้อ” อูฮยอนถอนหายใจใส่เขา “นายชอบเขาจริงๆ เหรอ ไม่ได้แค่หลงชั่ววูบหรอกนะ”
เขาเงยหน้าตอบเพื่อนหน่ายๆ “นายชอบพูดให้ฉันระแวงเขาอยู่เรื่อย”
อูฮยอนหรี่ตามองเขาอย่างจับผิด “เดี๋ยวนี้นายหาว่าฉันเป็นตัวยุ่งแล้วเหรอ”
“ฉันยังไม่ได้พูดอย่างนั้นซักคำ”
“มันก็หมายความประมาณนั้นนั่นแหละ”
“อูฮยอน มยองซูก็โอเคนะ ฉันมีความสุขดี”
“นายคบกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ใกล้ๆ วันสิ้นปี”
“ตั้ง 3 อาทิตย์แล้วนี่! นายปิดบังฉันตั้งเกือบเดือนอีกแล้ว!” เพื่อนสนิทโวยวายกระทืบเท้าดังตุบตับ “พูดให้เว่อร์ก็ต้องพูดว่านายคบกับเขาตั้งแต่ปีที่แล้วแต่ไม่ยอมบอกฉัน”
“ก็มันพูดยากนี่นา”
“ยากยังไง เมื่อกี้นายยังพูดหน้าตาเฉยว่า ‘ฉันคบกับมยองซูแล้ว’”
ซองยอลหน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “อย่าล้อสิ” เขายกโซจูขึ้นกระดก “ก็เพราะนายเคยเตือนฉันให้ระวังเขาไง ฉันถึงไม่กล้าบอก”
“อ้อ แปลว่ารู้ตัวว่าทำผิด”
เขาทำหน้าบึ้งใส่เพื่อน “ฉันโตแล้วนะ”
“ก็ได้ๆ” อูฮยอนโบกมือติดรำคาญ “นายตัดสินใจไปแล้ว ฉันไม่ยุ่งก็ได้ แต่ถ้ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นต้องรีบบอกฉันนะ ห้ามอมพะนำสามอาทิตย์อีก เข้าใจรึเปล่า?”
ซองยอลย่างหมูอย่างครุ่นคิด เพื่อนสนิทเห็นจึงถามอย่างรู้ใจว่า “มีอะไรไม่ดีรึเปล่า?”
เขาถอนหายใจ พูดให้อูฮยอนฟังว่า “มยองซูยังออกไปรับลูกค้าอยู่เลย”
เท่านั้นเองอีกฝ่ายก็ลุกมาค้นกระเป๋าเขา ฉวยเอาโทรศัพท์มือถือไปกดโทรออก “คิมมยองซู นายเป็นแฟนประสาอะไรทิ้งให้ซองยอลเหงาแทบเฉาส่วนตัวเองรี่ไปหาคนอื่น!?”
“เฮ้ย!” ซองยอลตะปบโทรศัพท์กลับไปมาพูดกรอกปากว่า “ขอโทษ ไม่มีอะไรหรอก” แล้วตัดสาย
“เอามานะ!” อูฮยอนยื่นมือมาหมายจะแย่งมันกลับไปอีกหน
“นี่โทรศัพท์ฉันนะ”
“ก็ฉันไม่มีเบอร์หมอนั่นนี่นา ถ้ามีนะจะเอ็ดให้” เพื่อนของเขาหักกระดูกนิ้วดังกร๊อบ “ใช้ไม่ได้! ทำไมล่ะ เพราะนายไม่เร้าใจเหรอ ช่วยไม่ได้ ก็นายไม่เคยมีแฟนมาก่อนนี่นา!”
ซองยอลคีบเนื้อใส่ปากอูฮยอนให้หยุดพูด
“ทำไมนายคิดแต่เรื่องพรรค์นั้นทุกที ฉันไม่ได้กลุ้มใจเรื่องนั้นซักหน่อย!”
คืนนั้นเมื่อซองยอลกลับถึงห้อง เขาพบมยองซูนอนเอกเขนกบนโซฟาทั้งเนื้อทั้งตัวพันผ้าขนหนูไว้ผืนเดียว
“กลับมาแล้วเหรอ?” อีกฝ่ายรอให้เขาเดินหน้าแดงผ่านไปก่อนจึงค่อยทัก
“กลับมาแล้ว” เขาตอบสั้นๆ แล้วหลบไปซ่อนตัวในห้องนอน ยังไม่ทันปิดประตูลงกลอนมยองซูก็ลุกขึ้นเดินมาหา
“ไปเจอคุณเพื่อนมาอีกแล้วเหรอ?”
ซองยอลเห็นว่าอีกฝ่ายคงไม่ต้องการคำตอบจึงไม่ตอบ เขาเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อยืดกางเกงวอร์มของอีกฝ่ายส่งให้ “ใส่เถอะ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”
“ในนี้ไม่หนาวซักหน่อย” ห้องของเขามีฮีทเตอร์จึงอุ่นสบายราวกับอากาศในช่วงฤดูใบไม้ผลิ มยองซูโยนเสื้อผ้าที่เขาเพิ่งส่งให้ลงบนเตียงแล้วเกี่ยวปลายนิ้วชี้กับขอบผ้าขนหนูที่เอว “อีกอย่าง ใส่แล้วก็ต้องถอดอีก เสียเวลา ลัดขั้นตอนเลยดีกว่า”
เขาฟังคำอีกฝ่ายแล้วรีบคว้าหมอนบนเตียงขึ้นกอดป้องกันตัวเอง
“เรื่องเมื่อหัวค่ำใช่มั้ย? ฉันบอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร”
“เหรอ แต่ที่ฉันได้ยินมันมีนะ” มยองซูก้าวเท้าเข้ามาหาเขา
“อูฮยอนแค่เข้าใจผิดเฉยๆ”
“นายไปพูดอะไรให้เขาเข้าใจผิดล่ะ”
ซองยอลตีสีหน้าขรึม “ฉันพูดเรื่องที่นายออกไปรับลูกค้า”
“แล้วอูฮยอนก็เลยคิดว่าฉันไม่ส่งการบ้านนายเลยโทรมาโวยวายใส่ฉันน่ะเหรอ?”
เขาหน้าแดงจัดเมื่อได้ยินมยองซูพูดเรื่องบนเตียงอย่างไม่กระดากปาก
“ใช่” ซองยอลกระแทกเสียงตอบ “เพราะฉะนั้นนายใส่เสื้อผ้าได้แล้ว”
มยองซูส่ายหน้า ฝ่ายนั้นระบายยิ้มพลางถาม “แปลว่าฉันทำกับนายได้แล้วสินะ”
“หา?”
“เพื่อนนายเดือดร้อนที่ฉันไม่กุ๊กกิ๊กกับนาย แปลว่าเขาอนุญาตให้ฉันแตะต้องนายได้แล้วใช่มั้ยล่ะ?”
เขาส่ายหน้าปฏิเสธพรืด
มยองซูดึงหมอนออกจากแขนเขาไปโยนลงกับพื้นแล้วเชยคางเขาขึ้นเล็มจูบก่อนเป่าลมหายใจเบาๆ ใส่ใบหูของเขาจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“อ๊ะ” ซองยอลอุทาน
“คุณครู” ฝ่ายนั้นกระซิบ “ผมมาส่งการบ้าน”
เขาดันไหล่อีกฝ่ายออก “ไม่-”
“ไม่พูดแล้ว” มยองซูปิดปากเขาด้วยจุมพิต
“อื้อ” เขาทุบแผ่นหลังฝ่ายนั้นประท้วง “อย่านะ “
“ซองยอล...”
“มยองซู” เขาครางชื่ออีกฝ่าย “อย่า...“
มยองซูไม่ฟังเขา มือทั้งสองของฝ่ายนั้นคลำทั่วแผ่นหลังของเขาก่อนเลื่อนลงต่ำ ซองยอลรั้งมือนั้นไว้อย่างยากลำบากจากนั้นจึงบิดตัวออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่ายไปคว้าผ้าห่มขึ้นคลุมตัว
“ฉันบอกว่าอย่าไง”
“ใครๆ ก็บอกว่าอย่าทั้งที่ในใจไม่อยากให้หยุดกันทั้งนั้น”
“อย่าเอาฉันไปเหมารวมกับใครๆ ของนาย” เขาพูดโกรธๆ “ฉันไม่ใช่ลูกค้านาย”
มยองซูเกาหัวแกรกๆ อย่างยุ่งยากใจ ฝ่ายนั้นทิ้งตัวลงนั่งไขว่ห้างกับเตียงแล้วถอนหายใจ “นายมีปัญหาอะไรกับอาชีพของฉันเหรอ?”
“ถ้าเป็นนายๆ จะยอมให้ฉันไปกอดกับคนอื่นเหรอ?”
มยองซูมองหน้าเขา “ถึงฉันจะกอดกับใครก็ไม่ได้แปลว่าฉันมีใจให้เขานี่”
“เลิกเถอะ” เขาขอร้อง “ทำงานอย่างอื่นเถอะ”
“เฮ้อ” ฝ่ายนั้นถอนหายใจ “เราชอบกันได้ แต่ไม่ควรก้าวก่ายเรื่องการงานของอีกฝ่ายนะ”
ซองยอลมองมยองซูอย่างไม่เข้าใจ
“มันก็แค่งาน”
“งานอย่างอื่นก็มีนี่”
“ฉันทำอย่างอื่นไม่เป็นหรอก ฉันดีแต่เรื่องอย่างนี้เท่านั้นแหละ”
“นายยังไม่ลองเลย”
“ฉันเคยลองแล้ว เป็นพนักงานเสิร์ฟในผับแต่สุดท้ายโดนไล่ออกเพราะเป็นสาเหตุให้ลูกค้าทะเลาะกัน” มยองซูขยายความเมื่อเห็นเขาไม่เข้าใจ “เขาตบกันแย่งฉัน เสน่ห์แรงนี่แย่นะ”
ซองยอลขมวดคิ้ว “ฉันพอจะรู้ ถึงได้อยากให้นายทำงานอย่างอื่น”
“ทำอย่างอื่นก็ไม่พ้นถูกหนุ่มๆ สาวๆ เหล่อยู่ดีนั่นแหละ ถ้าไม่อยากให้ฉันไปไหนทำไมไม่ซื้อฉันไว้ซะเองเลยล่ะ”
“ว่าไงนะ?” เขาถามอย่างไม่อยากเชื่อ “ฉันไม่มีวันจ่ายเงินซื้อนายหรอก!”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็รั้งฉันไว้ไม่ได้” อีกฝ่ายยักไหล่
“คิมมยองซู นี่นายชอบฉันจริงๆ รึเปล่า?”
“ก็นายไม่ให้ฉันเกาะกินไม่ใช่เหรอ?” มยองซูงัดประโยคเดิมมาพูดกับเขาอีก “ฉันชอบนายจริงๆ แต่ก็ต้องมีเงินไว้กินไว้ใช้ในส่วนที่นายไม่ได้ออกให้”
ซองยอลส่ายหน้า “ฉันยอมรับไม่ได้”
“เราไม่พูดเรื่องนี้กันดีกว่า พูดทีไรได้ทะเลาะกันทุกที”
“นายจะไม่เลิกจริงๆ เหรอ?”
“ฉันเลิกไม่ได้หรอก” มยองซูลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจก่อนเดินเข้ามากระซิบกับเขา “ฉันน่ะ เป็นผู้ชายมักมาก ถ้าไม่ทำงานอย่างนี้แล้วคงรู้สึกเหมือนท้องไม่อิ่ม” ฝ่ายนั้นหัวเราะเบาๆ กับคำเปรียบเทียบของตัวเองแล้วเดินสวนเขาออกจากห้องนอนไป
ซองยอลยื้อแขนอีกฝ่ายไว้
“หมายความว่า ถ้าฉันทำให้นายอิ่มนายจะไม่ต้องออกไปหาลูกค้าใช่มั้ย?”
มยองซูเลิกคิ้วใส่เขา
“ถ้าอย่างนั้น...“ เขาค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาอีกฝ่าย “ถ้าอย่างนั้นก็กินให้อิ่มสิ”
ความคิดเห็น