คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [Untitled] Chapter 3
Chapter 3
วันต่อมาซองยอลตื่นแต่เช้า เขางัวเงียลุกขึ้นหรี่ตาดูนาฬิกาบนข้างฝาและพบว่าตัวเองตื่นเร็วกว่าปกติ ที่จริงเขายังง่วงอยู่ แต่ครั้นจะนอนต่อก็กลัวจะไม่ยอมตื่นจึงตัดใจลุกจากเตียงไปอาบน้ำล้างหน้าแล้วกลับมาแต่งตัว
มยองซูหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟา ซองยอลเห็นแล้วอยากปรี่เข้าไปต่อยหน้านัก เขาตื่นเช้าเพราะนอนไม่ค่อยหลับ แต่อีกฝ่ายกลับวิ่งเล่นในความฝันไม่ยอมตื่น
หน้าไม่อาย ซองยอลต่อว่ามยองซูในใจพลางจัดชายเสื้อเข้ากางเกงพลาง
เขานอนคิดทั้งคืนว่าควรเอาเรื่องเมื่อคืนไปเล่าให้อูฮยอนฟังหรือเปล่า แม้จะเคยสัญญากับเพื่อนว่าถ้ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นแล้วจะบอก แต่ซองยอลไม่แน่ใจว่าการถูกมยองซูขโมยจูบถือเป็น อะไรไม่ดี ไหม เขาไม่ได้คิดว่ามัน ดี แค่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดต้องวิ่งแจ้นไปฟ้องเพื่อน ยิ่งเป็นเพื่อนขี้เป็นห่วงอย่างนัมอูฮยอนด้วยแล้วยิ่งต้องคิดหนัก เขากลัวว่าถ้าอูฮยอนรู้แล้วจะวิ่งเต้นมาฉีกอกมยองซูเพื่อเขา เขาไม่อยากให้เพื่อนสนิทกลายเป็นฆาตกรใจโหด
ซองยอลคิดโน่นคิดนี่ระหว่างแต่งตัวจนไม่มีสมาธิผูกเนคไท ไม่รู้เขาผูกอีท่าไหนปมที่ควรเลื่อนเข้าออกได้จึงกลายเป็นเงื่อนตายไปเฉยๆ เสียเวลาต้องแก้ออกแล้วผูกใหม่ ซองยอลโทษมยองซูที่ทำให้เขาลืมวิธีผูกเนคไทกะทันหัน ขณะกำลังก้มหน้าก้มตาหาช่องสอดปลายเชือกที่ถูกต้องก็มีมือหนึ่งยื่นมาตีมือเขาดังเพี้ยะแล้วแก้เนคไทออกอีกครั้งหนึ่ง
ซองยอลตกใจและรีบกระเถิบตัวหนีโจรขโมยจูบ ทว่ามยองซูรั้งเนคไทในมือแล้วส่งเสียงเตือนเขาทั้งยังง่วงๆ
“เดี๋ยวก็รัดคอซะหรอก”
ฝ่ายนั้นยืนผูกเนคไทให้เขาจนเสร็จแล้วตบเบาๆ ลงบนปมหูกระต่าย “เอ้า เสร็จแล้ว”
“ถ้าผูกไม่เป็นก็อย่าอวดเก่งตั้งแต่แรกสิ!” ซองยอลเอ็ดมยองซูเสร็จก็ดึงหางเนคไทออกผูกใหม่ไม่รู้หนที่เท่าไร เขาเดินหนีไปยืนอีกฟากเตียงเพราะไม่อยากอยู่ใกล้อีกฝ่าย ปากก็เอ่ยถามว่ามยองซูโผล่มาได้อย่างไร
“ฉันก็ตื่นมาส่งที่รักไปทำงานไง”
ซองยอลมองอีกฝ่ายตาขวาง ปากเม้มเข้าหากันโดยอัตโนมัติ
“พูดเล่น ฉันตื่นมาเข้าห้องน้ำแล้วเห็นไฟห้องนายเปิดเลยเดินมาดู”
“ดูเสร็จแล้วก็กลับไปนอนซะสิ”
มยองซูเลิกคิ้วใส่เขา “วันนี้ดุจัง ยังโกรธฉันเรื่องเมื่อคืนอยู่อีกเหรอ”
เขาไม่ตอบเพราะเชื่อว่าอีกฝ่ายรู้อยู่แล้วว่าเขาโมโห
“ไม่เห็นเป็นไรเลย แค่หยอกๆ เล็มๆ นิดหน่อยเอง” มยองซูยักไหล่ใส่เขาก่อนถือวิสาสะล้มตัวลงนอนบนเตียง “ฉันคงไม่ได้บังเอิญเป็นจูบแรกของนายหรอกนะ”
ซองยอลตวัดสายตาจ้องมยองซูตาเขียว
“อุ้ย สงสัยจะเดาถูก”
“นายรู้อยู่แล้วถึงได้จงใจแกล้งฉันใช่มั้ยล่ะ!?” เขากระแทกเสียงถามพลางเอื้อมมือคว้ากระเป๋าจากขอบเตียงมาถือโดยจงใจให้มันเฉี่ยวถูกขมับอีกฝ่าย
“โอ๊ย!” มยองซูร้อง “ใครแกล้งใครกันแน่!?”
ซองยอลเม้มปากเข้าหากันอีกหน เขาไม่ตอบแต่เอื้อมมือไปคว้าเสื้อสูทจากขอบเตียงหวังจะฟาดหน้าสั่งสอนมยองซูอีกสักทีหนึ่ง ทว่านอกจากฝ่ายนั้นจะหลบพ้นแล้ว มยองซูยังฉวยเอาชายเสื้อไว้และออกแรงดึงจนเขาเซเข้าไปหา
“ใครเขาแกล้งนายกัน ฉันจูบเพราะอยากจูบหรอก”
เขามองหน้าอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง “ว่าไงนะ?”
มยองซูยันศอกขึ้นนั่งกอดอกจ้องตาเขา “ฉันบอกว่าฉันจูบนายเพราะอยากจูบ ก็นายน่ารักนี่”
ก้อนเนื้อในอกซองยอลเต้นแรงพอๆ กับวินาทีที่ถูกจูบ แม้หนนี้มยองซูจะไม่แตะต้องตัวเขา แต่แววตากับคำพูดนั้นกลับเขย่าหัวใจซองยอลให้สั่นไหวได้เร็วและแรงไม่แพ้กัน
“น-นาย ฉ-ฉัน” เขาพูดไม่เป็นคำ สุดท้ายจึงหันหลังเดินเร็วๆ ออกจากห้องนอน “ฉันไปทำงานก่อนละ”
ซองยอลไม่เคยถูกใครชมซึ่งหน้าอย่างนี้จึงรับมือไม่ถูก อารมณ์โกรธถูกแทนที่ด้วยความเขินและแทบจะกลายเป็นความสุข
“หา!?” อูฮยอนร้องเสียงดังลั่น “หมอนั่นจีบนายเหรอ!?”
ซองยอลยื่นมือหนึ่งไปปิดปากเพื่อนสนิท อีกมือหนึ่งยกขึ้นบังหน้าตัวเองให้พ้นจากสายตาอยากรู้อยากเห็นด้วยความอาย “เบาๆ สิ” เขาดุอูฮยอนก่อนถอนมือกลับมาบังหน้าตัวเองทั้งสองข้างพลางส่ายหน้าอย่างระอา
“ขอโทษ” เพื่อนสนิทพึมพำ “ก็มันตกใจนี่นา”
ซองยอลลดมือลงวางกับโต๊ะแล้วถอนหายใจใส่หน้าอีกฝ่าย “ช่างมันเถอะ” เขาเตรียมใจไว้บ้างแล้วว่าถ้าเล่าให้อูฮยอนฟัง เพื่อนจะต้องทำเสียงดังจนคนอื่นพลอยสนใจไปด้วย
ที่จริงเขาไม่อยากทำตัวเป็นเด็กขี้ฟ้อง แต่หลังจากมยองซูหยอดคำหวานใส่เขาวันนั้นแล้ว สองสามวันต่อมาฝ่ายนั้นก็ทำนิสัยอย่างนั้นไม่หยุดจนซองยอลแทบจะทนอยู่ด้วยไม่ไหว เขาเห็นอีกฝ่ายหัวเราะขันๆ ทุกครั้งที่ทำเขาเขินจนหน้าแดงได้สำเร็จ พอสั่งให้มยองซูหยุดเล่นแบบนี้สักที อีกฝ่ายก็จะส่งยิ้มหวานเยิ้มให้แล้วบอกว่าไม่ได้เล่นสักหน่อย นี่จริงจังต่างหาก
ดังนั้นเมื่ออูฮยอนโทรมาชวนดื่มก่อนหยุดปีใหม่ ซองยอลซึ่งกำลังกลุ้มใจจึงตัดสินใจเล่าให้เพื่อนฟังและหวังจะได้รับคำแนะนำดีๆ กลับไปใช้ต่อกรกับคนร่วมห้อง
“ฉันจะจัดการให้นายเอง” อูฮยอนว่าพลางถกแขนเสื้อขึ้นโชว์กล้าม
“อย่าใช้กำลังสิ ถึงนายจะเก่งก็เถอะ” เพื่อนสนิทของเขาได้ไอคิโดสายดำ วันก่อนโน้นจึงกล้าแยกเขี้ยวขู่มยองซูฟ่อๆ อย่างไม่เกรงกลัว
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ไล่เขาออกไปสิ”
“ถ้าไล่แล้วยอมไปก็ดีน่ะสิ”
“นายลองแล้วรึยังเหอะ”
“ไม่ต้องลองก็รู้ คิดว่าเขาเข้ามาอยู่กับฉันได้ยังไงล่ะ” คิมมยองซูเป็นจอมตื๊ออันดับหนึ่ง ต่อให้อูฮยอนช่วยจับฝ่ายนั้นโยนออกไป มยองซูก็ต้องหาทางทำให้เขาเปิดประตูรับกลับเข้าไปอีกจนได้อยู่ดี
“นายเป็นฝ่ายไม่อยากให้เขาไปเองรึเปล่า”
ซองยอลหลบสายตาเพื่อนไปรินโซจูดื่ม
“น่ะ” อูฮยอนชี้หน้าเขา “นายไม่ได้มาปรึกษาฉันว่าจะไล่คิมมยองซูออกจากห้องไปยังไง แต่สงสัยว่าตัวเองกำลังชอบเขาอยู่รึเปล่าละสิ”
“นัมอูฮยอน!”
เพื่อนสนิทหรี่ตามองเขาอย่างจับผิด “นายชอบคิมมยองซูเข้าแล้วละสิ พอถูกเขาชมว่าน่ารักเข้าหน่อยก็ใจอ่อนยวบเลยละสิ”
ซองยอลหน้าแดงถึงหู “ฉันเปล่านะ”
“อย่ามา” อูฮยอนพูดคำติดปากก่อนตีหน้าเครียด “ซองยอล หมอนั่นเป็นคนแปลกหน้านะ แถมยังทำงานอย่างว่าด้วย ไม่น่าไว้ใจหรอก”
ซองยอลเคาะนิ้วกับแก้วอย่างครุ่นคิด “เขาก็ไม่แปลกหน้าเท่าไหร่แล้วละ”
“เห็นมั้ยล่ะ นายแก้ตัวแทนคิมมยองซูอีกแล้ว”
“ไม่ใช่อย่างนั้น อูฮยอน แต่มยองซูอยู่กับฉันมาหลายเดือนแล้วนะ”
“เขาก็แปลกหน้าอยู่ดี นายรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้างนอกจากนิสัยกับเบอร์โทรศัพท์ ครอบครัวเขา บ้านเกิดเขา ชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา เขาอาจจะอยู่กับคนอื่นก่อนมาอยู่กับนายก็ได้”
ซองยอลเงียบไป
“คนอื่นๆ ดีๆ มีตั้งเยอะ อย่าไปหลงชอบคนอย่างคิมมยองซูเลย” เพื่อนสนิทรินเหล้าให้เขา “นายแค่เหงา แล้วเขาก็บังเอิญทำอาชีพรับจ้างคลายเหงา”
เขาฟังแล้วมุ่นคิ้วใส่อูฮยอน “ฉันไม่เคยจ่ายเงินให้เขานะ”
“ใครว่า” อีกฝ่ายเถียงกลับทันควัน “ค่าห้อง ค่ากิน ค่าน้ำ ค่าไฟ ใครเป็นคนออกล่ะ”
ซองยอลเจ็บแปลบในใจ “หมายความว่า...” เขาเว้นวรรคไปชั่วอึดใจ “ฉันก็เป็นลูกค้าคนหนึ่งของเขาเหรอ” เขากัดริมฝีปากพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนใจ “ฉันไม่ควรปล่อยใจให้ชอบเขาสินะ”
“อื้อ” อูฮยอนพยักหน้า “ถ้านายไม่ชอบที่คิมมยองซูหยอกนายเล่นไม่เว้นแต่ละวันก็บอกไปว่าไม่ชอบ ตีหน้าขรึมใส่หมอนั่นหน่อย พูดจริงจังดูซักที อีกเดี๋ยวพอเห็นนายไม่เล่นด้วยเขาก็เลิกไปเองแหละ
“เข้าใจนะซองยอล ถ้าชักสนิทใจเกินไปก็ถอยออกมาซักหน่อย อย่าลืมว่าคิมมยองซูไม่ใช่คนน่าไว้ใจนะ”
เขาพยักหน้ารับคำเพื่อนเบาๆ ก่อนยกมือขึ้นกำเสื้อบริเวณหน้าอกอย่างเจ็บปวด
ซองยอลรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง แม้ทุกอย่างจะเป็นเพียงความคิดของอูฮยอน แต่มันฟังสมเหตุสมผลจนเขาอดเชื่อไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริง
หรือมยองซูจะเห็นเขาเป็นเพียงลูกค้าเท่านั้น?
“เป็นอะไรรึเปล่า หน้าโทรมเชียว”
มยองซูเอ่ยทักซองยอลเช้าวันต่อมาเมื่อเขาลุกไปเปิดประตูห้องให้ เขาส่ายหน้าเบาๆ ก่อนเดินงัวเงียไปทางห้องน้ำเพื่อทำธุระและเตรียมตัวไปทำงาน ฝ่ายนั้นอาศัยจังหวะที่เขาหันหลังให้ก้าวเข้ามาฉกแก้มเขา เขาตาสว่าง ผงะถอยหลังไปชนกำแพงแล้วตีหน้าบึ้ง
“ทำอะไรน่ะ?”
“เติมพลังเช้าวันใหม่”
ซองยอลยกหลังมือขึ้นถูแก้มแรงๆ เพื่อลบสัมผัสแผ่วเบานั้นออก “นายหยุดเล่นอย่างนี้ได้แล้ว”
“เล่นที่ไหน-“
“ไม่ว่านายจะเล่นหรือจริงจังก็ตาม” เขาขัดจังหวะก่อนอีกฝ่ายจะพูดจบ “เลิกซะ ฉันไม่ชอบ”
มยองซูย่นคิ้ว ยกมือขึ้นกอดอกฉับ “เป็นอะไร ทำไมคราวนี้ขึงขังจัง”
“ฉัน.ไม่.ชอบ” ซองยอลย้ำคำเดิมอีกครั้ง
“อ้อ” อีกฝ่ายทำท่ารู้ทัน “นายไปเจออูฮยอนมาอีกละสิ คราวนี้โดนฝังหัวมาว่าอะไรอีกล่ะ?”
เขาเหวี่ยงสายตามองมยองซูอย่างไม่พอใจ “อย่าพูดถึงเพื่อนฉันอย่างนั้นนะ”
“เขาสั่งให้นายระวังฉันอีกแล้วรึไง ฉันไปทำอะไรให้นายสงสัยอีกล่ะ”
“ทุกอย่างนั่นแหละ!” ซองยอลขึ้นเสียง หัวเขาปวดตุบๆ เพราะฤทธิ์โซจูเมื่อคืนจึงยิ่งหงุดหงิด “เลิกพูดจาน่าคลื่นไส้ซักที เลิกเล่นถึงเนื้อถึงตัวกับฉันได้แล้วด้วย ฉันบอกนายตั้งหลายครั้งแล้วนายก็ไม่เคยฟัง นายทำอย่างนี้ทำไม เพราะฉันเป็นลูกค้าคนหนึ่งของนายเหรอ เพราะฉันจ่ายค่าตัวให้นายเป็นที่พักกับข้าวเย็นเหรอ!?”
“พูดอะไรน่ะ?” มยองซูแค่นหัวเราะ “ฉันเห็นนายเริ่มไว้ใจกันแล้วก็เลยเล่นด้วย ทุกคนก็มีวิธีแสดงความสนิทสนมต่างกัน ฉันก็มีวิธีของฉัน ฉันเห็นนายเป็นเพื่อนก็หยอกเล่น เราอยู่ด้วยกันจะให้ไม่คุยเล่นด้วยรึไง เป็นบ้าตายกันพอดี”
“อย่ามาล้อเล่นนะ” เขาว่า “นายก็รู้อยู่แก่ใจว่าฉันชอบผู้ชายยังจะมาเล่นบ้าๆ อย่างนั้นกับฉันอีก ฉันไม่รู้ว่านายคิดจะทำอะไร”
“ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไร!”
“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกเล่นอย่างนั้นได้แล้ว ฉันไม่ชอบ!” ซองยอลสั่งเสียงเฉียบขาดแล้วเดินกระแทกเท้าตึงๆ เข้าห้องน้ำทว่ามยองซูยังไม่ยอมหยุด
“นายชอบละสิ ใช่มั้ยล่ะ ทำเป็นพูดเสียงดังว่าไม่ชอบ แต่จริงๆ แล้วชอบใช่มั้ยล่ะ” อีกฝ่ายว่าพลางยกมือขึ้นดันบานประตูไว้ไม่ให้เขาปิด
“ปล่อยมือเดี๋ยวนี้”
“ไม่ปล่อย” มยองซูปฏิเสธทันควัน “ชอบฉันแล้วละสิถึงต้องรีบกันฉันให้ออกห่าง ทำไมล่ะ อูฮยอนของนายคงไม่อยากได้ฉันเป็นเพื่อนเขยสิท่า”
ซองยอลเบิกตากว้างอย่างตกใจ อีกฝ่ายเลิกคิ้วใส่เขาอย่างเป็นต่อ
“ฉันเดาถูกละสิ นายโกรธที่ฉันทำเป็นล้อเล่นเพราะตัวเองคิดจริงจังใช่มั้ยล่ะ”
“คิมมยองซู!”
“อีซองยอล!” อีกฝ่ายโต้กลับ
“ถ้านายไม่หยุดก็ออกจากห้องนี้ไปได้เลย!”
“ทำไม ทนไม่ได้ที่ถูกฉันรู้ทันรึไง?”
“ออกไปเดี๋ยวนี้!”
“ไม่มีทาง นายไม่ได้อยากให้ฉันไปจริงๆ ซักหน่อย”
“ก็ได้ ถ้านายไม่ไปฉันจะไปเอง” ซองยอลผลักไหล่อีกฝ่ายให้พ้นทางแล้วเดินตัวเปล่าออกจากห้องไป เขาเปิดประตูบันไดหนีไฟแล้ววิ่งลงไปโดยไม่คิดอะไรนอกจากอยากไปให้พ้นๆ หน้าคิมมยองซู
“นี่! จะไปไหนน่ะ!?” อีกฝ่ายวิ่งมาตามเขา
ซองยอลไม่ตอบแต่เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เขาวิ่งลงจากห้องซึ่งอยู่ชั้น 6 จนถึงชั้น 1 เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบคุณอีซึ่งยืนเฝ้าล้อบบี้อยู่โค้งให้และมองเขาอย่างประหลาดใจ เขาเดินตัดล้อบบี้โล่งๆ ออกไปเผชิญอุณหภูมิติดลบภายนอก แสงแดดเช้าสะท้อนกับกองหิมะจนเขาตาพร่าไปชั่วขณะ จังหวะนั้นเองมยองซูซึ่งไล่ตามเขามาทันก็คว้าแขนเขาไว้แล้วลากตัวกลับเข้าไปในคอนโด
“จะบ้ารึไง! เดี๋ยวก็แข็งตายหรอก!”
“เอ่อ มีอะไรรึเปล่าครับ” คุณอีถามพวกเขาหวาดๆ
“ไม่มีครับ” มยองซูตอบห้วนๆ แล้วพาตัวเขาขึ้นลิฟต์กลับไปบนห้อง
“ปล่อย!” ซองยอลพยายามสะบัดแขนให้หลุดจากมืออีกฝ่าย ทว่ามยองซูกลับไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย
“อยู่เฉยๆ เถอะ ไม่อายเขาบ้างรึไง ใส่ชุดนอนออกไปเดินข้างนอกอย่างนั้น”
เขากัดมือมยองซูจนจมเขี้ยว
“โอ๊ย!” ฝ่ายนั้นปล่อยแขนเขาทันควัน “อะไรของนาย โกรธอะไรหนักหนา ฉันไปทำอะไรให้!?”
ซองยอลไม่ตอบ เขาตัดสินใจไม่พูดอะไร เพราะถึงอย่างไรมยองซูก็จะเถียงเขาจนชนะอยู่ดี ยิ่งกว่านั้น เขายังไม่รู้จะพูดอะไร เพราะอีกฝ่ายเดาเรื่องได้เก่งอย่างร้ายกาจ ที่เขาอารมณ์ขึ้นจนต้องเดินหนีฝ่ายนั้นออกมาก็เพราะถูกรู้ทันจนไม่กล้าสู้หน้าอย่างที่มยองซูบอก
พวกเขาไม่พูดอะไรกันจนถึงหน้าห้อง จนกระทั่งเดินเข้าห้องไปและกลับออกมาอีกครั้งในชุดทำงาน ซองยอลก็ยังไม่พูดอะไรกับมยองซูสักคำ
ค่ำวันนั้นมยองซูเปลี่ยนคำทักทายจาก ‘กลับมาแล้วเหรอ?’ เป็น ‘กลับมาซักที มาเคลียร์เรื่องเมื่อเช้าต่อให้จบเลย’ แล้วก็พาตัวเขาไปนั่งบนโซฟาด้วยกันโดยไม่สนอาการต่อต้านของเขา
ซองยอลดูนาฬิกาข้อมือแล้วขมวดคิ้ว เขาถามอีกฝ่ายเสียงมะนาวไม่มีน้ำว่าทำไมป่านนี้จึงยังไม่ไปทำงานอีกพลางคิดในใจว่ารู้อย่างนี้ไม่น่าอยู่ทำโอทีให้เสียเปล่า
“อย่ามาเนียนเปลี่ยนเรื่อง” มยองซูว่า “เมื่อเช้าเป็นอะไร?”
เขาไม่ตอบ
“ถ้าไม่ตอบฉันจะเดาเรื่องเองไปเรื่อยๆ ดีมั้ย?”
ซองยอลเบือนหน้าหนีไปมองนอกระเบียงห้องก่อนจะตอบโดยไม่สบตาอีกฝ่าย “ฉันอารมณ์ไม่ดีเพราะเมาค้าง ขอโทษก็แล้วกัน” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นเดินเอาของไปเก็บในห้องนอน มยองซูตามเขามา ฝ่ายนั้นยืนพิงกรอบประตูมองเขาถอดเสื้อสูท คลายเนคไท และปลดกระดุมคอ
“นายคิดว่าฉันทำกับนายเหมือนพวกลูกค้าเหรอ เพื่อนนายเป่าหูนายอย่างนั้นเหรอ?”
เขาขมวดคิ้วและนิ่งไป มือที่กำลังปลดกระดุมแขนหยุดลงกลางคัน “นายหยุดพูดถึงเพื่อนฉันเหมือนเขายุให้เราทะเลาะกันซักทีเถอะ”
“หรือไม่จริง? นายไปเจอเพื่อนนายทีไรกลับมาได้มีเรื่องกันทุกที”
“เขาเตือนเพราะเป็นห่วงฉัน”
“เป็นห่วงน่ะได้ แต่ใส่ร้ายฉันน่ะไม่ได้”
“ทำไม อูฮยอนพูดไม่ถูกรึไง?”
“ก็ไม่ถูกน่ะสิ นายเป็นลูกค้าฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันไปรับเงินจากนายตอนไหน”
“ก็ค่าเช่าห้อง ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายต่างๆ พวกนี้ไง”
“ฉันก็บอกนายตั้งแต่แรกแล้วไงว่ามาขออาศัย ที่นายออกเงินทั้งหมดนั้นให้ฉันก็ขอบใจ ฉันถึงได้พานายไปเลี้ยงตอบแทนเมื่อวันอีฟไง”
ซองยอลมองอีกฝ่ายอย่างเคลือบแคลงใจ เขายืนหันหลังพิงโต๊ะทำงานแล้วถามต่อ “เรื่องจูบล่ะ?”
“จูบทำไมล่ะ?”
“นายบอกว่าจูบฉันเพราะอยากจูบ ชมฉันว่าน่ารัก นั่นไม่ใช่วิธีที่นายใช้กับลูกค้าเหรอ?”
“เพื่อนนายไม่ใช่ลูกค้าฉันยังชมว่าน่ารักเลย! ฉันต้องชมแต่ลูกค้ารึไง ฉันไม่มีสิทธิ์ชมคนที่เขาน่ารักว่าน่ารักเหรอ!?”
ซองยอลฟังแล้วเขินขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังชมว่าเขาน่ารักอีกครั้ง เขากระแอมเก้อๆ ก่อนโบกมือไล่ให้อีกฝ่ายออกไป เขาจะเปลี่ยนเสื้อผ้า
“นายชอบฉันใช่รึเปล่า?” จู่ๆ มยองซูทะลุถามเขากลางปล้อง
ซองยอลกลอกตาหนี
“ใช่รึเปล่า?” ฝ่ายนั้นถามย้ำ
“เปล่า” เขาตอบเสียงแผ่ว
มยองซูขมวดคิ้วใส่เขาอยู่พักใหญ่ เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไรก็ถอนหายใจแล้วยกมือยอมแพ้ “ก็ได้ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ” ฝ่ายนั้นโบกมือ “แต่ฉันชอบนายนะ ที่บอกว่าแกล้งนายเล่นโดยไม่คิดอะไรน่ะโกหก แม้แต่เด็กประถมก็ดูออกว่าฉันจีบนาย”
ซองยอลอ้าปากค้างน้อยๆ อย่างไม่อยากเชื่อ “แต่ฉันเป็นผู้ชายนะ”
อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร
“นาย...แต่ลูกค้าของนายเป็นผู้หญิง”
“ใครบอกนาย?”
“โทรศัพท์” เขาตอบ “ลูกค้าที่โทรหานายเป็นผู้หญิง มีคนหนึ่งชื่อฮเยจิน คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน ฟังยังไงก็ไม่ใช่ชื่อผู้ชาย”
มยองซูเหยียดยิ้มให้เขาแล้วตบมือให้ “ช่างสังเกตดี” อีกฝ่ายชม “จะบอกอะไรให้เป็นรางวัล
“ลูกค้าของฉันมีสองประเภท ลูกค้าประเภทแรกต้องการฉันไปเป็นเพื่อนคุย ส่วนประเภทที่สอง...” ฝ่ายนั้นทอดเสียงทิ้งไว้ก่อนสืบเท้าเข้ามาหาเขาเพื่อกระซิบต่อคำข้างใบหู “ต้องการฉันไปเป็นเพื่อนนอน”
เขานิ่งอึ้งเมื่อได้ฟังคำจากปากอีกฝ่าย
“ที่นายได้ยินฉันคุยด้วยมีหลายคนอยากได้ฉันไปเป็นเพื่อนนอนแต่ฉันไม่ไป” มยองซูพูดต่อ “เพราะฉันรับเป็นเพื่อนนอนให้เฉพาะลูกค้าผู้ชาย”
ซองยอลยืนตัวแข็งทื่อเมื่อรู้สึกตัวว่าจมูกของอีกฝ่ายฝังลงข้างลำคอ เขากลั้นหายใจเมื่อสองมือของมยองซูย้ายมาอยู่บนไหล่และเอวของเขา
“อ๊ะ” เขาครางเบาๆ เมื่อถูกขบติ่งหู มยองซูหัวเราะใส่ใบหูของเขาก่อนเลื่อนใบหน้าเข้าประทับจูบเขา ส่วนมือทั้งสองค่อยๆ เลื่อนลงต่ำ
ซองยอลเบือนหน้าหนีริมฝีปากหยักนั้นพลางยกมือขึ้นดันไหล่อีกฝ่ายให้ออกไป “ย-หยุดนะ” ทว่ามยองซูกลับปิดปากเขาด้วยจูบอีกครั้งหนึ่ง
“อื้อ” เขาร้องในลำคอ “อย่า”
“ทำไมล่ะ?” อีกฝ่ายกระซิบถาม “ไม่ชอบเหรอ?”
“ม-ไม่” เขาตอบเสียงแผ่ว ใบหน้าและลำตัวร้อนไปหมด “มัน...ผิดปกติ”
“อะไรผิดปกติ?” มยองซูถามขณะปลดกระดุมเสื้อของเขา
“ทำแบบนี้...เป็นแบบนี้...“ ซองยอลปัดมืออีกฝ่ายออกและพยายามถดตัวหนี
“ใครบอกว่ามันผิดปกติ?” มยองซูจับไหล่เขาไว้ก่อนจะทันหนีไปข้างนอกแล้วดึงตัวกลับไปกอดหลวมๆ
เขาได้แต่ก้มหน้านึกถึงพ่อแต่ไม่ให้คำตอบอีกฝ่าย มือก็พยายามปลดแขนมยองซูออกจากตัว ฝ่ายนั้นจึงยิ่งกอดเขาแน่นขึ้น
“ไม่เห็นมันจะผิดปกติตรงไหน” มยองซูฝังจมูกลงสูดกลิ่นกายของเขาแล้วปล่อยตัวเขาออกจากวงแขน “ก็แค่ชอบผู้ชายด้วยกัน ไม่เห็นจะผิดปกติตรงไหนเลย คนออกเยอะแยะเขาก็ชอบกัน”
ซองยอลเงยหน้ามองอีกฝ่ายนิ่ง “ไม่จริง” เขาขมวดคิ้วเถียงเสียงเครือ “มันไม่ปกติ” แม้แต่อูฮยอนกับพี่ซองกยูยังไม่คบกันอย่างเปิดเผยเลย อย่างนี้จะนับว่าเป็นเรื่องปกติได้อย่างไร
“ใครเป็นคนกำหนดล่ะว่าอย่างไหนคือปกติ และอย่างไหนคือไม่ปกติ” มยองซูกอดอกถามเขา
“ก็...โลกนี้ สังคมนี้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ออกจากโลกกับสังคมนั้นมาอยู่ในโลกกับสังคมของฉันนี่” อีกฝ่ายคว้าตัวเขาไปกอดอีก “โลกของฉันเป็นโลกเดียวกับอูฮยอนของนาย กับแฟนของอูฮยอนของนาย กับคนอื่นๆ ในโลกนี้อีกเป็นแสนเป็นล้านคนที่รักเพศเดียวกัน
“โลกที่ใครจะรักใครก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ โลกที่จริงๆ ก็มีมาตั้งแต่สมัยโบราณโน่นแล้วแต่คนบางคนเกิดจะยอมรับไม่ได้กันขึ้นมา แต่แล้วไงล่ะ อย่างกับฉันจะแคร์ อูฮยอนของนายก็ไม่แคร์ หรือแม้จะแคร์เขาก็แคร์ความรู้สึกของตัวเองมากกว่า ไม่อย่างนั้นเขาจะคบกับพี่อะไรนะ? ซองกยูเหรอ? นั่นแหละ โลกกับสังคมจะว่ายังไงก็ช่าง สิ่งสำคัญคือใจของนาย จะปกติหรือไม่ปกติก็อยู่ที่ใจนาย คิดว่าเป็นอย่างนี้แล้วไม่ปกติแล้วสบายใจมั้ยล่ะ? ถ้าสบายใจก็เรื่องของนาย แต่ถ้าไม่สบายใจจะมัวคิดอยู่ทำไม” มยองซูร่ายยาวแล้วผละออกมาสูดลมหายใจโกยอากาศเข้าปอด
ซองยอลได้แต่กะพริบตาใส่ใบหน้าหล่อเหลาปริบๆ
“เหรอ?” เขาพึมพำเบาๆ “การชอบผู้ชายด้วยกันเองมันไม่ได้...ไม่ได้เป็นรสนิยมไม่ปกติเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ” มยองซูตอบพลางยักไหล่สบายๆ “โลกจะแตกอยู่แล้ว จะชอบผู้ชายด้วยกันก็ชอบไปเถอะ อย่างน้อยก็จะได้ตายอย่างสบายใจ ไม่ใช่มัวแต่หลอกตัวเอง ตายแล้วจะมีห่วง ไม่ได้ไปผุดไปเกิดกันพอดี”
ซองยอลฟังคำพูดไร้สาระแล้วค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงบนเตียง เขาได้แต่หัวเราะพลางส่ายหน้าระอา ไม่พูดไม่จาอยู่พักใหญ่
“ขอบคุณนะ”
ในที่สุดเขาบอกกับอีกฝ่ายเบาๆ
“ขอบคุณทำไม?” มยองซูมองเขางงๆ
“ขอบคุณก็แล้วกัน”
“งั้นเปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นต่อจากเมื่อกี้ได้มั้ย?”
เขายกมือขึ้นตะปบเสื้อตัวเองและเม้มปากเข้าหากันทันควัน
“แปลว่าไม่ได้สินะ” มยองซูร้องอย่างเสียดาย “ทั้งที่เมื่อกี้นายเองก็เคลิ้มไปด้วยแท้ๆ”
ซองยอลมองค้อนอีกฝ่ายแล้วไล่กลายๆ ด้วยการตวัดสายตามองประตู
“ตกลงนายชอบฉันรึเปล่า?”
เขาไม่ตอบ นอกจากนั้นยังลุกขึ้นดันหลังมยองซูจนพ้นประตู
“ไล่กันเหลือเกิน” ฝ่ายนั้นบ่นขรม “ก็ได้ๆ ไปทำงานแล้วก็ได้ แต่พรุ่งนี้เช้าช่วยเปิดประตูต้อนรับฉันด้วยรอยยิ้มทีเถอะนะ”
ซองยอลชะงักไปเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดว่าจะไปทำงาน เขาเผลอรั้งชายเสื้อมยองซูเอาไว้เมื่อฝ่ายนั้นตั้งท่าจะเดินไปเปลี่ยนชุด มยองซูมองเขาอย่างประหลาดใจแล้วถามว่ามีอะไรหรือเปล่าเขาจึงยอมปล่อยมือแล้วบอกว่าไม่มีอะไร อีกฝ่ายหันหลังให้เขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมเครื่องประดับ และฉีดน้ำหอม เมื่อมยองซูหยิบโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงเดินตรงไปสวมรองเท้า เปิดประตูห้องแล้วหันกลับมาบอกเขาว่าไปก่อนนะ เขาซึ่งยืนมองอีกฝ่ายอยู่ตั้งแต่ต้นก็เอ่ยเบาๆ ออกไปว่า
“คืนนี้ไม่ไปทำงานได้มั้ย?”
มยองซูยืนมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มให้ ฝ่ายนั้นปิดประตู เดินกลับมากระซิบกับเขา
“ตกลงนายชอบฉันแล้วจริงๆ ใช่มั้ยล่ะ?”
ซองยอลมองมยองซูเดินกลับไปทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วค่อยๆ ยกมือขึ้นกำเสื้อบริเวณหน้าอก เขาเคยคิดว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ตอนนี้เขาคิดว่าอะไรจะเกิดที่ว่านั้นกำลังค่อยๆ เกิดขึ้นแล้วในใจเขา ถึงแม้เขาจะแค่เหงาแล้วมยองซูก็บังเอิญทำอาชีพรับจ้างคลายเหงาอย่างที่อูฮยอนบอกก็ช่าง มยองซูฉุดเขาขึ้นจากหลุมคำสาปของพ่อ แม้จะยังก้าวขึ้นมายืนได้ไม่เต็มตัว แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่เขาจะเปิดใจให้อีกฝ่าย
ซองยอลเดินตามมยองซูไปในห้องนั่งเล่น เขาหย่อนตัวลงนั่งกอดเข่าข้างๆ อีกฝ่ายบนโซฟาตัวยาวแล้วพูดพึมพำคล้ายบ่นกับตัวเอง
“ถ้าฉันชอบนายล่ะ?”
“หา?” มยองซูละสายตาจากโทรทัศน์มามองหน้าเขาซึ่งก้มหน้ามองเท้าตัวเองอยู่
“ถ้าฉัน...ยอมรับว่าชอบนายล่ะ?”
“อย่ามาทอดสะพานกันอย่างนี้นะ จะหาว่าไม่เตือน”
“นายจะทำอะไรฉันล่ะ?”
อีกฝ่ายจ้องตาเขาราวกับกำลังประเมินสถานการณ์ “นี่นายยั่วฉันอยู่รึเปล่า?” มยองซูถาม “ไหนเมื่อกี้ไม่ให้ทำต่อไง”
ซองยอลไม่ตอบแต่เงยหน้าขึ้นสบตาฝ่ายนั้นเงียบๆ
“นี่ อีซองยอล” มยองซูว่าพลางโน้มตัวลงหาเขา “ใครสั่งใครสอนให้ทำตัวอย่างนี้ฮึ?”
ซองยอลหลับตาเอียงใบหน้ารับจุมพิตจากอีกฝ่าย ปล่อยให้มยองซูลิ้มรสเขาจนพอใจแล้วเอนหลังพิงพนักสูดลมหายใจเข้าอย่างอ่อนแรง อีกฝ่ายเอื้อมมือมาทัดผมให้เขาก่อนจูบแรงๆ ข้างขมับ
“ต่อรึเปล่า?” มยองซูถาม
“ไม่ไหวแล้ว”
“ไม่ไหวอย่างไหน?”
เขาเตะสีข้างอีกฝ่ายเมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เหนื่อยแล้ว”
“งั้นพอก่อน”
ซองยอลพยักหน้าแต่ไม่วายสงสัย “ทำไมถึงยอมง่ายๆ ล่ะ?”
“เพราะฉันไม่อยากถูกเพื่อนนายหักคอ แค่นี้ก็ไม่ชอบหน้าฉันจะแย่อยู่แล้ว” มยองซูตอบด้วยสีหน้าจริงจังจนเขาอดขำไม่ได้ “อ้าว จะไปไหน?” ฝ่ายนั้นถามเมื่อเห็นเขาลุกเดินเข้าไปในห้องนอน
ซองยอลไม่ตอบ เขาเข้าไปหยิบของแล้วกลับออกมายื่นมันให้มยองซู อีกฝ่ายมองมันอย่างประหลาดใจและรับบัตรประชาชนของตัวเองกลับไปก่อนจะถามยิ้มๆ
“คืนให้อย่างนี้แปลว่าอะไรเหรอ?”
“อย่าทำไขสือไปหน่อยเลย” เขาตอบ “ต่อไปนี้ช่วยทำตัวให้สมกับที่ฉันยอมไว้ใจด้วยล่ะ”
ความคิดเห็น