คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : [JSUWIWS] Chapter 12
TALK
ที่จริงแล้วเอิบเขียน JSUWIWS จบไปนานแล้วและเคยเอาลงบอร์ดอินฟินิทไทยแลนด์ไปแล้วเช่นเดียวกับ MLTh และ Untitled แต่สาเหตุที่ทำให้ลงช้านั้นเป็นเพราะ...พ-เพราะ
เอิบติดละครค่ะ =[]=; #โดนต่อยรัวๆ
แกร๊ด ผิดไปแล้วค่ะ ติดทั้งบักคุณซาย ติดทั้งหมาป่าสิบสองตัว โซจุนนี่ตอนที่ 12 ก็เลยเพิ่งจะมาเอาป่านนี้
ตอนที่ 13 ก็คงจะมาช้าหน่อยค่ะ จะไม่อยู่บ้านสามสี่วัน เจอกันอีกทีปลายอาทิตย์หน้านะคะ ^o^;
Chapter 12
“ฉันขอโทษโซจุนนี่แล้วนะ”
จู่ๆ ฮาจินซึ่งอยู่คนละห้องก็เดินดุ่มๆ เข้ามาคว้าเก้าอี้โต๊ะข้างหน้านั่งลงพูดกับเขา กยองจงเงยหน้าจากสมุดการบ้านขึ้นมองอีกฝ่ายแว้บหนึ่ง “พี่โซจุน” เขาแก้ไขสรรพนามให้แล้วก้มลงลอกคำตอบจากต้นฉบับของเพื่อนต่อ
ฮาจินกลืนน้ำลายดังเอื๊อกแล้วพูดใหม่ “ฉันขอโทษพี่โซจุนแล้วนะ” ขอบอกว่าโคตรกระดากปาก เรียกโซจุนนี่คุ้นลิ้นกว่ากันจม
“เหรอ” กยองจงรับคำอย่างไม่ใส่ใจ ร่างเล็กกำลังจดจ่อกับการบ้านวิชาฟิสิกส์
“ขอโทษแล้วจริงๆ นะ ถ้าไม่เชื่อถามโซจุนนี่ก็ได้” ฮาจินตะปบสมุดลากทั้งสองเล่มออกมาวางกับตัก
“เฮ้ย เอาคืนมานะ เดี๋ยวต้องส่งแล้ว” มือคีย์บอร์ดโถมตัวตามไปคว้าการบ้านคืนแต่อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและชูมือขึ้นสุดแขนจนเขาเอื้อมไม่ถึง กยองจงหน้าบูด เขาเขวี้ยงปากกาลงกับโต๊ะแล้วพูดเซ็งๆ “ส่งของมินอาให้ด้วย” ร่างเล็กเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงหมุนตัวเดินออกจากห้องเรียนไปโดยไม่ต่อปากต่อคำกับฮาจินอีก
“กยองจง!” มือเบสตะโกนชื่ออีกฝ่ายไล่หลัง “ลอกต่อให้ที แล้วฝากส่งด้วยนะ” เขารีบยัดสมุดใส่มือเพื่อนคนอื่นแล้วลนลานตามกยองจงไป
“ทำไมดื้ออย่างนี้วะ!” เด็กหนุ่มวิ่งไปก็บ่นไป ข้างหน้าเขากยองจงเดินกระแทกเท้าตึงตังห่างออกไปไม่ไกล ฮาจินเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ในที่สุดเขาตามหลังร่างเล็กทันแล้วดึงตัวอีกฝ่ายไปคุยที่ชานพักบันไดที่ใกล้ที่สุด
“คุยกันก่อน”
“ยังไม่อยากคุย”
“ไม่อยากคุยก็ต้องคุย”
“ก็บอกแล้วไงว่ายังไม่อยากคุย!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ฟัง!” เมื่ออีกฝ่ายขึ้นเสียง ฮาจินก็เสียงดังตาม เขาตะโกนเสียงดังจนนักเรียนแถวนั้นชะโงกหน้ามามองอย่างสนอกสนใจ “ยุ่งอะไร?” ร่างสูงปรายหางตามองและถามพวกนั้นอย่างหาเรื่อง ขามุงพากันถอยหลังกรูดและเดินหลบฉากไป
มือเบสหันกลับมายังธุระตรงหน้า “ฉันขอโทษเป็นครั้งที่ล้าน” เด็กหนุ่มพูดพลางพนมมือ “ยกโทษให้ได้รึยัง”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธ”
“ไม่โกรธแล้วอย่างนี้เรียกอะไร”
“ผิดหวัง” กยองจงตอบ “ฉันบอกไปแล้วว่าฉันเสียใจแล้วก็ผิดหวัง”
ฮาจินถอนหายใจ เขาคุยกับกยองจงอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว บทสนทนาระหว่างพวกเขาเหมือนพายเรือในอ่าง ร่างสูงจนใจจะพูดต่อ เขาหลับตาลงยกมือนวดขมับแก้กลุ้ม เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของกยองจงก็รีบลืมตาขึ้นคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ก่อน
“จะไปไหน”
“กลับห้อง อีกเดี๋ยวจะโฮมรูมแล้ว”
“อย่าไปเลย” เด็กหนุ่มขอร้อง “กยองจง ฉันขอโทษ หายโกรธฉันเถอะ”
กยองแกะมือฮาจินออกไปยืนกอดอก เขามองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ เพื่อนสนิทตามขอโทษเขามาหลายวันแล้ว บอกว่าสำนึกผิดแล้ว ขอโทษ หายโกรธเถอะ ยกโทษให้เถอะ แล้วก็ก้มหน้าทำหางลู่หูตก กยองจงเชื่อฮาจิน เขารู้ว่าอีกฝ่ายสำนึกผิดจริงๆ แต่เขาเบื่อจะฟังคำขอโทษ เขาไม่ได้โกรธฮาจิน เขาพูดแล้วพูดอีกว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรและพร้อมจะให้โอกาสอีกฝ่ายพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งถ้าเพียงแต่ฝ่ายนั้นจะเอ่ยปากขอ
แต่ฮาจินก็ทึ่มเกินกว่าจะรู้ว่าเขาต้องการได้ยินคำว่าอะไร
และกยองจงก็รู้แก่ใจว่าเพื่อนของเขาโง่เพียงใด
“เนี่ยน่ะนะคาสโนว่า” เด็กหนุ่มบ่นพึมพำกับตัว
“ฮึ? อะไรนะ?”
มือคีย์บอร์ดกลอกตาอย่างระอา---แค่พูดว่าชอบฉันจริงๆ และจะตั้งใจพิสูจน์ให้เห็นแค่นี้พูดไม่ได้หรือไง?---เขาบ่นในใจแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“อะไรล่ะ!?” ฮาจินโวยวาย
กยองจงเกาหัวเซ็งๆ เขามองหน้าฮาจิน เห็นอีกฝ่ายทำปากยื่นเป็นเด็กๆ แล้วทั้งขำ ทั้งสมเพช เห็นแก่ที่อุตส่าห์บากหน้าไปขอโทษรุ่นพี่ต่างโรงเรียนโดยไม่ต้องขอร้องให้เขาไปเป็นเพื่อน กยองจงยอมใจอ่อนและบอกใบ้ออกไป “เลิกข-โท-แล้--สูจน์ตั-----ฉันต้องการแค่นั้น ทำได้มั้ยคิมฮาจิน”
“หา?” เจ้าของชื่องงเต้ก เขาฟังอีกฝ่ายพูดไม่ถนัดเพราะระหว่างนั้นเสียงกระดิ่งเข้าเรียนดังขึ้นพอดี
“ฉันพูดไปแล้วนะ” มือคีย์บอร์ดกอดอกฉับ
“เมื่อกี้เสียงออดดังออกลั่น นายไม่ได้ยินรึไง!?”
“แล้วไง?”
“ยังจะมา แล้วไง อีก!”
“ฉันจะกลับห้องแล้ว ขี้เกียจโดนด่าว่าสาย” ร่างเล็กเมินเสียงนกกาโวยวาย เขาก้าวลงบันไดทีละสองขั้นแล้ววิ่งตุบตับกลับไปยังห้องเรียน
ฮาจินได้แต่มองตามอึ้งๆ เมื่อได้สติเขาหันไปค้อนใส่ลำโพงบนมุมกำแพง “แม่งเอ๊ย!” เด็กหนุ่มสบถใส่มันเสียงดัง “ซอกยองจงพูดอะไรวะ ฟังไม่รู้เรื่องเลย!” เขาทึ้งหัวตัวเองและกระโดดหย็องแหย็งไปรอบชานพักบันไดอย่างขัดใจ
“ฉันขอโทษที่ปากไว
“ขอโทษที่พูดไม่คิด
“ที่จริงแล้วฉัน...ไม่ได้เกลียดนาย
“ฉันแบบ...เข้าใจใช่ปะ? ไม่ได้เกลียดอะ คำตรงข้ามกับเกลียดน่ะ
“แบบ...ฉันก็คิดกับนายเหมือนอย่างที่นายคิดกับฉันอะ เข้าใจใช่ปะ?
“เพราะฉะนั้นอย่าหายตัวไปเลยนะ...นะ...ฉันยังอยากเรียนกีตาร์อยู่นะ
“นายยังสอนฉันไม่จบเพลงเลย เบี้ยวกันอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน ฉันทำการบ้านกับรับใช้พวกนายไปตั้งเท่าไหร่ นายจะปล่อยฉันเล่นได้แค่คอร์ดซีไม่ได้นะ ไม่อย่างนั้นฉันจะฟ้ององค์กรสิทธิมนุษยชน จริงนะเว้ย เอาดิ อย่าคิดว่าไม่กล้านะ...”
โซจุนจ้องดวงตาคู่ตรงหน้าเขม็ง เขาเงียบไปพักใหญ่ ได้แต่รอให้มีคำตอบ แต่ในห้องเล็กๆ นั้นนอกจากเสียงกัดฟัดกรอดๆ ของเขาแล้วไม่มีเสียงอะไรใดๆ เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกแล้วตะโกนเสียงดังใส่เงาในกระจกของตัวเอง
“โว้ย! ยุนโซจุน พูดบ้าอะไรวะ จะขอโทษ จะบอกชอบ หรือจะข่มขู่เลือกเอาซักอย่าง!”
เขาแหกปากด่าตัวเองจบแล้วหอบแฮ่กๆ
โซจุนมันบ้า ไม่กล้าไปสู้หน้าอีฮยอนซู ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ซ้อมกับตัวเองในห้องน้ำโดยไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้นำคำพูดเหล่านั้นไปพ่นใส่หน้าหล่อๆ ของไอ้โคลนนิ่งพี่มยองซู
อย่าว่าแต่พูดเลย แค่จะบากหน้าไปหาเขายังไม่กล้า
“ฮึ้ยยยยย!” เด็กหนุ่มขยี้หัวตัวเอง สระผมอย่างดุเดือดจนฟองสีขาวปลิวว่อนไปเกาะผนังกระเบื้องตรงนั้นตรงนี้
อีฮยอนซูเป็นใครวะ ทำไมเขาต้องสติแตกเพราะไอ้หมอนั่นด้วย!?
โซจุนอ้าปากจะบ่นอีกหนหนึ่งก็ทำฟองกระเด็นใส่ปากตัวเองเสียก่อน
ว้อย! ชีวิตบัดซบ! เด็กหนุ่มร้องลั่นในใจขณะบ้วนฟองขมทิ้งลงในอ่างล้างหน้า
“ฉันขอโทษ”
พอเห็นว่าฮยอนซูเป็นคนเดินมาเปิดประตูบ้านให้ ฮาจินก็รีบพูดความในใจออกไป อีกฝ่ายมองเขาเงียบๆ และกระแทกประตูปิดอย่างเย็นชา มือเบสคาดไว้แล้วว่าเพื่อนร่วมวงจะไม่รับคำขอโทษของเขาง่ายๆ เขายื่นมือไปจิ้มออดหน้าบ้านมือกีตาร์รัวๆ เสียงติ๊งต่องๆๆ ดังติดกันฟังน่ารำคาญ แม้แต่คนกดอย่างเขายังแทบจะประสาทกิน
“หนวกหูจังเลย!” ดาซมเปิดประตูมาทำหน้าบูดใส่ฮาจิน
“เจ้าหญิง!” ร่างสูงร้องอย่างยินดี เขาปรี่เข้าไปอุ้มสาวน้อยขึ้นมาหอมแก้มฟอดใหญ่ “ทำไมออกมาช้าจัง”
“ก็พี่ชายน่ะสิ” เด็กหญิงอมลมแก้มป่อง “ไม่ยอมให้หนูเปิดประตู บอกว่าถ้าเปิดจะไม่พาไปดูทุกคนซ้อมอีก แหม กลัวจะแย่แล้ว พูดอย่างกับปกติพาหนูไปทุกวันอย่างนั้นแหละ”
พี่ชายของดาซมยื่นมือมาเคาะหัวสั่งสอนน้องสาวแก่แดด เขาก้าวออกมามองฮาจินเป็นเชิงไล่ทว่าฮาจินทำเป็นไม่สนใจ มือเบสปล่อยตัวดาซมลงแล้วยืดตัวขึ้นมาพูดประโยคเดิมกับเพื่อนร่วมวงอีกที
“ฉันขอโทษ”
“โกรธกันเหรอคะ?” สาวน้อยมองพี่ชายสองคนซ้ายทีขวาที
“ดาซม กลับไปทำการบ้านในห้อง”
ดาซมหน้าบูด เด็กหญิงเบื่อพี่ชายโหมดช่างสั่งที่สุด อุตส่าห์รักขึ้นมาหน่อยเพราะพักหลังๆ พาเธอไปห้องซ้อมบ่อยขึ้นหน่อยแล้วเชียว
“เป็นเด็กดีนะเจ้าหญิง” ฮาจินกล่อมอีกแรง สาวน้อยทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจแต่ก็ยอมถอยไปแต่โดยดี
ฮยอนซูก้าวออกไปนอกบ้าน ปิดประตูและกอดอกเอนหลังพิงมันระหว่างรอฟังว่าฮาจินจะพูดอะไรอีก เขาเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่ออีกฝ่ายโค้งให้ “ขอโทษ” มือเบสบอก “ทั้งเรื่องจูบโซจุนนี่แล้วก็เรื่องที่ต่อยนาย ฉันไม่มีอะไรจะแก้ตัว ขอโทษจริงๆ และโคตรขอบใจที่ในที่สุดก็ยอมฟัง”
เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะดังหึ ยังคงไม่ปริปากพูดอะไรกับอีกฝ่าย
“อ่า” ฮาจินเกาแก้มเก้อๆ “ก็...อยากพูดแค่นี้แหละ กลับก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียน” ช่วงนี้อันกูจองฮวางดซ้อม จีฮยอกบอกฮาจินว่าถ้าเขาจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยและสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติได้เมื่อไรให้ไปรายงานแล้วค่อยเริ่มซ้อมกันใหม่ (“ภายในสัปดาห์นี้นะ” หัวหน้าวงสั่งเสียงเหี้ยม)
ฮยอนซูยังคงไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ มือเบสจึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ โบกมือให้น้อยๆ แล้วก้าวถอยหลังก่อนจะหมุนตัวกลับหลังหัน
พลั่ก
ทันใดนั้นเขาถูกอีกฝ่ายคว้าไหล่ให้หันไปรับหมัดด้วยท่าเดิมและบนตำแหน่งเดิมกับหนก่อน
“โอ๊ยยยยยยยยยย!” ฮาจินแหกปากลั่น ทั้งเจ็บทั้งตกใจ รอยช้ำเก่ายังไม่ทันหายไอ้จอมมารของเนิร์ดน้อยก็ซ้ำเติมกันอีกทีซะแล้ว
“เจ็บนะเว้ย!”
“ดี ฉันก็ตั้งใจจะทำให้เจ็บ” ฮยอนซูพูดเรียบๆ พลางนวดหลังมือตัวเอง เขาที่เป็นฝ่ายออกแรงชกก็เจ็บไม่น้อยเหมือนกัน
“แม่ง! เมื่อวานฉันเพิ่งถูกโซจุนนี่บีบคอกับดึงผมมา วันนี้ก็ถูกนายต่อยอีก!”
มือกีตาร์เลิกคิ้ว เขาอ้าปากจะถามถึงยุนโซจุนกับอีกฝ่ายแต่แล้วเปลี่ยนใจไม่พูดออกไป ฮาจินจับสังเกตได้ เขารู้ทันทีว่าเพื่อนร่วมวงกำลังคิดถึงใครบางคนที่เขาเพิ่งพูดถึง
“โซจุนนี่หงอยไปนะ” มือเบสบอก
“ช่าง” เจ้าชายน้ำแข็งว่า ในเมื่อฝ่ายนั้นบอกว่าเกลียดเขาๆ ก็จะไม่ยุ่งด้วย อยากปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองดีนักจะเหงาจนหงอยก็สมควรแล้ว เด็กหนุ่มเหลือบเห็นเพื่อนอ้าปากจะพูดก็ดักคออย่างรู้ทัน “ถ้าพูดถึงอีกคำฉันจะต่อยซ้ำอีก”
ฮาจินได้ยินแล้วเอามือตะปบแก้มและกุมมันไว้อย่างหวงแหน
ฮยอนซูแค่นยิ้ม เขาส่ายหน้าใส่มือเบสอย่างระอาก่อนเดินกลับไปเอื้อมมือกดรหัสปลดล็อกกุญแจบ้าน “กับกยองจงเป็นยังไง?” เขาถามระหว่างจิ้มปลายนิ้วชี้ไปบนตัวเลข
“ดีขึ้นหน่อยนึง”
“ดี” มือกีตาร์หมุนลูกบิดดึงประตูเปิด “ฉันแกะโน้ตเพลงที่คุยกันวันก่อนโน้นเสร็จแล้ว” เด็กหนุ่มบอกกับเพื่อนร่วมวงแล้วก้าวเข้าบ้านงับประตูปิดโดยไม่บอกลา
ฮาจินยิ้มกว้างใส่ประตูบ้านตระกูลอี เขาคว้าโทรศัพท์มาต่อสายหาจีฮยอก
“จีฮยอก!” ร่างสูงร้องอย่างดีใจเมื่ออีกฝ่ายรับสาย “พรุ่งนี้กลับมาซ้อมกันได้แล้ว!” เขารู้ว่ายังคืนดีกับกยองจงไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เจ้าจิ๋วเป็นผู้ใหญ่พอจะแยกเรื่องดนตรีกับเรื่องส่วนตัวออก (ไม่ได้หมายความว่าฮยอนซูจะแยกไม่ออกนะ เปล่านะ ไม่เล้ย)
ฮาจินเล่าเหตุการณ์หน้าบ้านมือกีตาร์ให้หัวหน้าวงฟังอย่างลิงโลด หลังจากนั้นเขาคุยเรื่อยเปื่อยต่ออีกนิดหน่อยจึงค่อยวางสายแล้วโทรศัพท์หาผู้จัดการวงเป็นคนถัดไป
“โซจุนนี่ พรุ่งนี้หลังเลิกเรียนพวกฉันมีซ้อมด้วยละ”
“โซจุนนี่”
คุณนายยุนเรียกชื่อลูกชายคนเล็กอย่างอ่อนใจ หล่อนมองโซจุนเดี๋ยวก้มเดี๋ยวเงย ใส่รองเท้าถอดรองเท้าแล้วเวียนหัว ลูกชายกลับจากโรงเรียนมาเปลี่ยนชุดเตรียมออกจากบ้านแต่ก็เอาแต่ลุกๆ นั่งๆ อยู่หน้าบ้านไม่ไปถึงไหน ถามว่าจะไปไหนก็บอกว่าไม่ได้ไป พอชวนให้เข้ามานั่งคุยกันดีๆ บนบ้านก็บอกว่าอาจจะออกไปทำธุระสักประเดี๋ยวหนึ่ง
“ตกลงยังไง จะอยู่บ้านหรือไปข้างนอก แม่จะได้ไปทำข้าวเย็น” คุณแม่คนสวยเท้าสะเอวสองข้างถามน้ำเสียงติดรำคาญ
“แม่”
“อะไรยะ”
“หนึ่งหรือสอง”
“สอง”
“ปัดโธ่เอ๊ยยยยย!” โซจุนโวยวายขึ้นมาทันควัน
“เรื่องอะไรกันเนี่ย!?” คนเป็นแม่ร้องถามอย่างไม่เข้าใจ “อยู่ดีๆ ก็ถามขึ้นมา อธิบายอะไรหน่อยก็ไม่มีแล้วยังจะมาขึ้นเสียงใส่แม่อีก”
ลูกชายก้มหน้าใส่รองเท้าพลางก็ตอบแม่พลาง “ผมเลือกไม่ถูกก็เลยให้แม่เลือกให้ หนึ่งคืออยู่บ้าน สองคือออกไปข้างนอกแล้วแม่ก็ดันเลือกสอง!”
“อ้าว! แล้วมันความผิดแม่มั้ยล่ะเนี่ย!?”
“คร้าบ ไม่ผิดคร้าบ” โซจุนฉวยกระเป๋าขึ้นสะพายบ่า “ทำกับข้าวเผื่อผมนะ ดึกเท่าไหร่ผมก็จะกลับมากิน กับข้าวแม่อร่อยที่สุด”
คุณนายยุนมองส่งลูกชายด้วยรอยยิ้ม “ลูกใครนะ น่ารักจริง” หล่อนพูดอย่างภูมิใจแล้วลุกไปเตรียมอาหารเย็นในครัว
“เฮ้ย! ไอ้บ้าฮาจิน ตกใจหมด!”
ฮาจินทำหน้าหงิกใส่กยองจงที่เปิดประตูห้องมาปั๊บก็ให้พรเขาปุ๊บ “เสียงดังเป็นโซจุนนี่ไปได้” เขาบ่นอุบพลางคว้ากระเป๋าเป้ของอีกฝ่ายมาสะพายไหล่ข้างที่ว่างจากกระเป๋าเบส
“ทำไร” เพื่อนตัวเล็กพยายามดึงกระเป๋าคืน
“ถือให้”
“ฉันถือเองได้”
“ก็จะถือให้”
กยองจงกอดอกฉับ “อย่าบอกนะว่าที่มานี่จะมารับไปห้องซ้อม”
“งั้นฉันบอกเลย ที่มานี่ฉันจะมารับนายไปห้องซ้อม”
“ทำทำไม?”
“ไถ่โทษไง”
มือคีย์บอร์ดถอนหายใจ เขาเบื่อจะพูดเพราะพูดจนปากเปียกปากแฉะแล้วว่าไม่ได้โกรธๆ กยองจงปล่อยเลยตามเลย เขาล็อกประตูห้องแล้วเดินลงบันไดนำอีกฝ่ายไปก่อน
“นี่ ซอกยองจง” ฮาจินสาวเท้าตามเพื่อนสนิทไป เขารู้ว่าร่างเล็กจะพูดอะไร จึงเป็นฝ่ายพูดให้ “จะบอกว่าไม่ได้โกรธใช่ปะล่ะ”
กยองจงไม่ตอบ
“ฉันขอโทษจีฮยอกกับโดอิลไปตั้งแต่วันที่ก่อเรื่องแล้ว ขอโทษโซจุนนี่แล้ว ขอโทษฮยอนซูแล้ว ทุกคนยกโทษให้ฉันหมดยกเว้นนาย ถามจริงตอบตรงนะ ฉันต้องทำยังไง?”
“ฉันบอกไปแล้ว นายไม่ตั้งใจฟังเอง”
“กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!!!” จู่ๆ ฮาจินแหกปากลั่นทำเอาร่างเล็กสะดุ้ง
“บ้าเปล่า!?” มือคีย์บอร์ดเอ็ด
“กระดิ่งเวรนั่นมันดังตั้งขนาดนี้ฉันจะได้ยินที่นายพูดมั้ยล่ะ บอกๆ มาเถอะว่าพูดอะไรอย่ามัวเล่นตัว ถามตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะป่านนี้ยังไม่ยอมใจอ่อนตอบให้อีก”
กยองจงเงยหน้าค้อนอีกฝ่ายขวับ “ฉันไม่เอาคำขอโทษ ฉันจะเอาคำอื่น!” เขากระแทกเสียงตอบโกรธๆ คิดในใจว่าถ้าพูดถึงขนาดนี้ยังไม่เข้าใจก็ช่างหัวกลวงๆ ของคิมฮาจินแม่งแล้ว ทันใดนั้นร่างสูงซึ่งเงยหน้ามองฟ้าอย่างครุ่นคิดก็ก้มลงมาพูดกับเขา
“หรือข้าน้อยต้องกล่าวว่าขอพระราชทานอภัยโทษ?”
กยองจงจะบ้าตาย เขาเชื่อว่าการ์ตูนตาหวานที่พวกผู้หญิงชอบอ่านเขียนจากเรื่องจริงก็หนนี้ ที่ว่าพวกคาสโนว่าจะทำตัวไม่ถูก (กรณีของฮาจินคือโง่อย่างหาที่สุดไม่ได้ด้วย) ต่อหน้าคนที่ชอบนั้นจริงยิ่งกว่าจริง
“ช่างแม่งเถอะ” ร่างเล็กสบถอย่างหัวเสีย เขาเดินเร็วๆ ไปยังป้ายรถเมล์ รอรถ และขึ้นรถไปโหนราว ระหว่างนั้นฮาจินสุ่มพูดคำโน้นคำนี้ไปเรื่อยไม่หยุดปาก
“ดีกันนะ ฉันผิดเองแหละ อย่าโกรธกันเลย เกี่ยวก้อยกันเถอะ ปุอิ๊งปุอิ๊ง เตง...เค้าอุตส่าห์ง้อเตงแล้วน้า ต่อยฉันก็ได้อะ ต่อยจนกว่าจะพอใจได้เลย แต่ขอคนละที่กับฮยอนซูนะ เฮ้ย ไม่พอใจไรไม่บอกกันตรงๆ แมนๆ วะ กยองจงอะ ฉันเดาไม่ถูกละนะ นายอยากฟังคำว่าอะไรวะ ไม่ใช่คำขอโทษแล้วมันคำอะไร แสดงความยินดีเหรอ เย้ ดีใจด้วย นายโกรธฉันได้ค่อนสัปดาห์แล้ว!”
กยองจงโหนรถเมล์และมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ พยายามยืนให้ห่างฮาจินที่สุดเพื่อใครๆ จะได้เข้าใจว่าพวกเขาไม่รู้จักกันทว่าร่างสูงกลับคอยขยับเท้าตามเขาไม่ห่าง เด็กหนุ่มได้แต่ภาวนาให้ถึงที่หมายเร็วๆ
ฮาจินห่อไหล่ เขาเหนื่อยจะเดาใจกยองจงเหลือเกินแล้ว ที่ผ่านมาร่างสูงไม่เคยต้องง้ออีกฝ่ายนานกว่าหนึ่งวันเลย ร่างเล็กอาจจะใจแข็งกับคนอื่นแต่ไม่ใช่กับเขา กยองจงของเขาใจดีกับเขามาโดยตลอด
“เฮ้อ” เขาถอนหายใจพลางบ่นพึมพำ “ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ท้อจะแย่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะชอบฉันคงถอดใจไปนานแล้ว”
ตอนนั้นเองเขาสังเกตเห็นกยองจงกลั้นหายใจ
ฮาจินตาโต เขารีบทวนคำพูดเมื่อครู่ในใจทันที ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว---ไม่ใช่ ท้อจะแย่แล้ว---นี่ก็ไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่เพราะชอบฉันคงถอดใจไปนานแล้ว...
“ถ้าไม่ใช่เพราะชอบฉันคงถอดใจไปนานแล้ว” เด็กหนุ่มพูดและรอดูปฏิกิริยาอีกฝ่าย
“พูดบ้าอะไร นี่มันบนรถเมล์นะ” ร่างเล็กหันมาแยกเขี้ยวใส่เขาแทบจะทันที
มือเบสยิ้มกว้าง
รู้แล้ว! เขาโห่ร้องในใจอย่างยินดี และยื่นหน้าไปกระซิบข้างใบหูเล็กของอีกฝ่าย “ฉันผิดไปแล้วที่ไปจูบโซจุนนี่ทั้งๆ ที่ไม่ได้ชอบเขา”
กยองจงตัวสั่น เขารู้สึกจั๊กจี้จึงเอียงคอหนีแต่ร่างสูงไม่วายยื่นปากตามมา
“ฉันชอบนาย ชอบจริงๆ ที่ผ่านมาฉันงี่เง่าเองที่จ้องแต่จะทำให้นายหึง หลังจากนี้ฉันจะทำตัวใหม่”
ร่างเล็กผลักฮาจินออกและจิ้มนิ้วลงบนรอยช้ำที่โหนกแก้มของอีกฝ่ายเต็มแรง
“โอ๊ยยยยยยยยยย!” มือเบสร้องลั่น สลัดเอ๊ย ช่วงนี้ทุกคนจะทำร้ายร่างกายเขาบ่อยเกินไปแล้วนะ!
“ไม่ต้องพูดแล้ว!” กยองจงสั่ง “ฉันรับรู้แล้ว! หลังจากนี้ก็ทำให้ได้อย่างที่พูดก็แล้วกัน!”
ประโยคนั้นฟังเหมือนคำอนุญาตให้ฮาจินทำทุกอย่างได้ตามใจ เด็กหนุ่มจึงจุดยิ้มมุมปากอย่างได้ใจแล้วลงมือ ‘ทำอย่างที่พูด’ ทันที เขาแกะมือกยองจงจากที่โหนแล้วโอบอีกฝ่ายให้หันหน้ามายืนแนบกับอกของตัวเอง
“เฮ้ย!” มือคีย์บอร์ดร้องเสียงหลง
“จุ๊” ฮาจินจุ๊ปาก “อย่าเสียงดังสิ นี่มันบนรถเมล์นะ” เขาถือโอกาสย้อนอีกฝ่าย
กยองจงจ้องเพื่อนสนิทตาเขียว ออกคำสั่งด้วยดวงตาว่าให้ปล่อย “โหนรถเมล์เมื่อยออก ยืนอย่างนี้เถอะ” ฝ่ายนั้นบอกและยิ้มให้อย่างใจดี เขาเห็นแล้วนิ่งไป กำลังจะพยักหน้ายอมให้ก็พอดีฮาจินพูดขึ้นมาอีกประโยคเสียก่อน
“เกิดมาเตี้ยนี่ลำบากเนอะ”
กยองจงควันออกหู เขาใช้หัวเสยคางอีกฝ่ายเต็มแรงจนหน้าหงาย ใจหนึ่งโมโหที่เพื่อนสนิทบังอาจหยิบเรื่องความสูงมาล้อ แต่อีกใจก็ดีใจที่ได้ล้อกันเล่นเหมือนเดิม
ร่างเล็กชอบฮาจินที่เป็นอย่างนี้ ดีกับเขาแต่ก็ไม่ดีจนน้ำเน่า รู้สึกดีที่แม้ต่างฝ่ายจะต่างรู้ความในใจของกันและกันแล้วแต่ก็ยังปฏิบัติตัวต่อกันเหมือนวันที่ผ่านๆ มา กยองจงไม่ต้องการความโรแมนติก ของขวัญ หรือคำหวาน (แค่นึกภาพฮาจินยิ้มเจ้าชู้ใส่เขาก็ขนลุกแล้ว) แค่ดีต่อกันอย่างสม่ำเสมอก็พอ
“เนิร์ดน้อยนี่นา”
โซจุนสะดุ้งสุดตัว เขาเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องซ้อมของอันกูจองฮวา กำลังตัดสินใจว่าควรจะเข้าไปหรือไม่เข้าไป แล้วจู่ๆ หัวหน้าวงกับมือกลองก็โผล่มาเรียกเขาจากข้างหลัง หัวใจโซจุนแทบจะร่วงจากอกซ้ายลงมากองกับตาตุ่ม “โอ๊ย! หัวใจฉันจะวาย!”
“ขวัญอ่อนเหลือเกิน” จีฮยอกเดินเข้าไปตบไหล่ปลอบขวัญอีกฝ่าย “ดีใจจังที่เจอ นึกว่าจะไม่กลับมาจริงๆ ซะแล้ว” ร่างสูงดึงแก้มยุ้ยสองข้างของรุ่นพี่อย่างหมั่นเขี้ยว
“เว้ย! ปล่อยนะ! ฉันโตกว่านายนะ!” โซจุนปัดมืออีกฝ่ายออก “ทำไมนายมาอยู่นี่ ฮาจินบอกฉันว่าพวกนายมีซ้อมหลังเลิกเรียน ฉันอุตส่าห์มาช้าหน่อย ดันกลายเป็นว่านายมาช้ากว่าฉันอีก เป็นหัวหน้าวงประสาอะไร แล้วนี่คนอื่นอยู่ข้างล่างกันรึยัง”
“หูย บ่นเป็นป้าไปได้” นักร้องนำยกนิ้วก้อยแหย่หูพลางหยิบลูกกุญแจมาไขเปิดประตู
“ยังไม่มีใครมาหรอก คนอื่นๆ กลับไปบ้านก่อน มีแต่พวกฉันที่ตรงมาจากโรงเรียนเลย” โดอิลเป็นฝ่ายตอบ
“ร-เหรอ” เด็กหนุ่มคิดในใจว่าหรือเขาจะกลับบ้านเลยดี ไหนๆ คนที่มีธุระด้วยก็ยังไม่มา
“เอ้า ลงมาสิ” มือกลองตะโกนจากบันไดขึ้นมาชวนเขา “โชคดีจังที่นายมา กำลังกลุ้มใจเรื่องการบ้านอยู่เลย”
โซจุนหน้าหงิก “ฉันมีประโยชน์แค่เรื่องนี้เรอะ!?”
“ไม่ใช่ซักหน่อย” ฮาจินซึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ปฏิเสธ
“เฮ้ย!” เนิร์ดน้อยกระโดดเหยง
กยองจงพุ่งเข้าไปกอดรุ่นพี่ต่างโรงเรียน “โซจุนนี่ คิดถึงจังเลย”
สีหน้าโซจุนอ่อนลง เขากอดตอบกยองจงและพูดอ้อมแอ้มว่าฉันก็คิดถึงพวกนายเหมือนกัน มือคีย์บอร์ดรัดเขาแรงๆ จนกระดูกเขาลั่นดังกร๊อบหนหนึ่งและผละออกไปส่งยิ้มกว้างให้ “ไปซ้อมกันๆ” แล้วโซจุนก็ถูกฮาจินกับกยองจงจูงสองมือลงบันไดห้องซ้อมใต้ดินไป
โซจุนนั่งเขย่าขาบนเก้าอี้ขณะคนอื่นๆ ติดตั้งเครื่องดนตรี ตามองคนโน้นคนนี้สลับกับบันได ใจเต้นโครมครามระหว่างรอให้อีฮยอนซูปรากฏตัว
ฉันขอโทษที่ปากไว
ขอโทษที่พูดไม่คิด
ที่จริงแล้วฉัน...ไม่ได้เกลียดนาย
เด็กหนุ่มทวนบทพูดในใจ เครียดขึ้นเรื่อยๆ จนชักนั่งไม่ติด “โซจุนนี่ใจเย็น” กยองจงตะโกนปลอบใจจากหลังคีย์บอร์ดแต่เขาไม่สนใจ โซจุนลุกขึ้นเดินไปนั่งยองๆ กอดเข่ากุมหัวที่มุมห้อง ท้องไส้ปั่นป่วนจนแทบอ้วกออกมา
“โอ๊ย! ไม่ไหวแล้ว!” เขาตะโกนใส่กำแพงสีตุ่น ลุกขึ้นยืนเพราะเปลี่ยนใจจะถอยกลับบ้าน
โซจุนกลับหลังหันไปพบอีฮยอนซู
อีฮยอนซูซึ่งกำลังส่งกระดาษโน้ตให้เพื่อนร่วมวงคนอื่นๆ โดยไม่สนใจเขาเลย
อีฮยอนซูซึ่งทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน
ความคิดเห็น