ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    fic-krisyeol : TYPE A ผู้ชายของผม

    ลำดับตอนที่ #8 : CH08

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 745
      14
      18 เม.ย. 60










     CH08

    ++++++++

     

     

                   

                    ร้อน…..

                    ร้อนโว้ย!!

     

                    “นี่เรารออะไรอยู่” ความร้อนส่งผลให้ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปด ถามอะไรไม่เข้าท่าออกไป จนเด็กที่ชื่อโออะไรนั่นหันมามองด้วยสายตางงๆ พวกเขาเดินเรียบออกมาจากลานจอดรถของโรงพยาบาล ข้ามถนนมายังฝั่งตรงข้ามเพื่อที่จะรอรถสองแถว ที่จะผ่านตลาดอันเป็นจุดหมายของพวกเขามานานกว่าสิบห้านาทีแล้ว แต่ไม่ยักจะเจอรถที่ว่านั่นสักคัน   

                    “ก็รอรถไงเจ๊!

                   

                    เพี๊ยะ!

                    “หยุดเรียกฉันแบบนั้นเลยนะเราไม่ได้สนิทกัน ฉันไม่ได้เป็นญาติฝั่งไหนของนายด้วย” มือเล็กๆขาวซีดกว่าคนรอบข้างฟาดลงบนไหล่ ของเด็กหนุ่มที่เตี้ยกว่าไปไม่มากด้วยความโมโห แถมชายหนุ่มยังเอ่ยปากป่าวประกาศว่าพวกเขาสองคนไม่ใช่ญาติกัน ไม่ได้สนิทกันมากมายจนสามารถเรียกแบบนั้นได้

     

                    “เจ๊….เออพี่ ไม่ๆ……คุณเป็นน้องชายของเฮียคนนั้นไม่ใช่เหรอ เฮียคนนั้นเขาเป็นแฟนพี่ชายผมอ่ะ ถือว่าเราสนิทกันอันดับหนึ่งเลยนะ” เด็กหนุ่มอธิบายยืดยาว ปากก็ผุดพรายรอยยิ้มขบขันออกมา เมื่อเห็นว่าเจ๊แกกำลังอารมณ์เสีย ทั้งๆที่เราเพิ่งเคยเจอกัน อีกฝ่ายก็ชอบทำหน้าเคร่งขรึมดุดันตลอด แต่เด็กหนุ่มกลับไม่รู้สึกจะเกรงกลัวใดๆ แถมยังคึกคะนองสนองนี้ดปากตัวเองด้วยการเรียกสรรพนามที่คนทั่วไปไม่ใช่กับคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก

                   

                    “อะไร เป็นบ้ารึเปล่า” หันมาอ้าปากเตรียมจะด่าด้วยความไม่เข้าใจในภาษานั้น  

                    “โอะ รถมาแล้วครับ” ไม่ต้องรอให้โดนด่า เด็กหนุ่มก็รีบกระโดดขึ้นไปนั่งบนเบาะแถวตอนคันใหญ่ที่เข้ามาจอดเทียบกับริมฟุตปาธตามผู้โดยสารคนอื่นๆที่ยืนรอกันเป็นทิวแถว เด็กชายโอหันไปมองคนที่ยังเอาแต่ยืนอึ้งๆ มองสภาพรถที่ไม่มีระบบความปลอดภัยใดๆ นอกจากซี่กรงพ่นไทเทเนียม เขากวักมือเรียกเจ๊แกให้รีบขึ้นรถเพราะถ้าไม่รีบล่ะก็….

     

                    “อ้าๆ รอด้วยๆๆ!!!

     

                   

                    การนั่งเบียดกันกับคนแปลกหน้าช่วงสายๆที่อุณหภูมิสูงถึงสามสิบหกองศาแบบนี้ ไม่จรรโลงใจเอาเสียเมื่อเทียบกับสายตาที่มองมายังเขา ลู่หานถอดเสื้อสูทตัวนอกของจากุชชี่ออกพร้อมกับจับเสื้อเชิ้ตเบอร์เบอร์รี่ที่ไม่ควรจะทำออกมาหนาเกินกว่าเหตุกระพือไปมาเพื่อระบายความร้อนและเหงื่อที่ชุ่มโชก ทั้งๆที่ตัวเองเกลียดอากาศร้อนและฝุ่นควันเพราะมันจะทำให้เสื้อผ้าแบรนด์จรดทั้งตัวเกือบสองหมื่นเหรียญต้องเปื้อน แต่เขาก็ไม่สามารถจะบ่นอะไรได้ ก็เขาเป็นคนกระโดดขึ้นรถตามเจ้าเด็กบ้านี่มาเองนี่นา….

     

                    “ไหวป่ะ อ่ะ ป้าเขาให้ยืมยาดม มันช่วยได้นะ”  

     เจ้าโอ ถามพลางยื่นยาดมที่ได้รับมาจากคุณป้าใจดีข้างตัว เพราะเห็นอากาศของคนตัวขาวดูไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก เพราะใบหน้าที่ซีดเซียวเหมือนจะเป็นลมแดด

    ลู่หานรับเจ้าแท่งพลาสติกสีขาวขุ่นมาดม กลิ่นมันคล้ายๆกับตอนที่เข้าสปานวดแผนโบราณยังไงยังงั้น และที่น่าแปลกก็คือมันทำให้เขาหายวิงเวียนศีรษะและรู้สึกสดชื่นขึ้นนิดนึง

                    “ขอบใจ ช่วยได้เยอะ”

     

                    แม้จะรู้สึกว่านี่มันคือนรก แต่พอหายจากอาการหน้ามืดเพราะอากาศที่ร้อนจัดเกินไป เขาก็กลับมามีชีวิตชีวามากขึ้น แถมยังรู้สึกสนุกไปกับการนั่งมอง คุณป้าและเด็กอายุไม่น่าจะเกินสี่ห้าขวบนั่งหยอกล้อกันอยู่ด้านในสุดของรถ ไม่ก็เด็กผู้หญิงที่นั่งเสียบหูฟังหลับคอพับคออ่อนจนน้ำลายแทบยืด

     

                    “คุณจะไปขำเขาไม่ได้นะ”

                    “อะไรใครขำ” เด็กหนุ่มที่เห็นท่าทางของเจ๊แกมานานแล้วรีบเอ่ยทักท้วงก่อนที่เจ๊เขาจะหัวเราะออกมาเสียงดังเพราะกลั้นไม่อยู่ แล้วเอ่ยต่อ “ก็เห็นอยู่ว่าคุณมอง พี่สาวคนนั้นนั่งหลับน้ำลายยืด แล้วยังจะไปขำเขาอีก มันเสียมารยาทนะครับ”

                    “บ้า ใครขำ ไม่มี” โกหกหน้าตาย ทั้งๆที่ยังกลั้นหัวเราะอยู่เนี้ยนะ เชื่อเลย

                    “แล้วนั่นจะทำอะไร ถ่ายรูปเขาเหรอ”

                    “ยุ่ง” แม้จะพยายามบ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยงสายตาอยากรู้อยากเห็นจากเด็กข้างๆ แต่มันก็ไม่พ้นอยู่ดี ลู่หานที่หยิบไอโฟนเจ็ดพลัสสีแดงแปร๋นออกมา ก่ะว่าจะถ่ายความตลกขำขันนั้นเก็บเอาไว้ ก็เลยต้องเปลี่ยนจุดโฟกัสไปเป็นวิวถนนด้านหลังที่มีแต่ฝุ่นตลบ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าแม้จะเป็นคนที่ไม่ชอบเที่ยว ไม่ชอบการท่องโลกกว้างแบบพี่ชาย แต่เขาก็มีงานอดิเรกคือ การถ่ายภาพลงแอพลิเคชั่นยอดนิยมอย่างอินสตราแกรม แต่ส่วนใหญ่ภาพที่เขาถ่ายมักจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ โดยค่อนไปทางนาฬิกาหายาก หรือของสะสมทันสมัยราคาเหยียบล้านมากกว่าจะเป็นวิวทุระกันดารฝุ่นตลบแบบนี้

                    แต่ก็นะ….ครั้งหนึ่งในชีวิตมันก็ไม่เลว  

     

                    โดยภาพล่าสุดก่อนที่เขาจะโพสรูปฝุ่นหลังท้ายรถนี่ คือรูปเจ้าดูคาติรุ่นลิมิเต็ดสีน้ำเงินคราม พร้อมแคปชั่นว่า รางวัลชีวิต ซึ่งเป็นรางวัลชีวิตแบบรายสัปดาห์

                    ก็รวยอยากซื้ออะไรก็ซื้อไม่ต้องมารอโอกาสของชีวิตให้ยุ่งยากหรอก

     

     

                    “คุณเล่นไอจีด้วยเหรอ ผมก็เล่นนะ” เสียงรบกวนจากทางด้านข้าง ทำให้ชายหนุ่มต้องกรอกสายตา ไม่ยุ่งสักเรื่องในชีวิตจะได้มั้ย

                    “โห ไอจีคุณมีแต่รูปของแพงๆ ซื้อเองหรือก้อปเขามาอ่ะ”

     

                    “เอ๊ะ!! คนอย่างฉันทำไมต้องก้อป” หันไปโวยวายเสียงดังอย่างอารมณ์เสีย นี่อากาศมันก็ร้อนมากพอแล้วนะ ยังจะให้เขาอารมณ์ร้อนไปอีกงั้นเหรอ

     

    “เปล่าก็แค่…..” ทำไมต้องโวยวายด้วยล่ะ

     

    รถสองแถวที่กำลังพาพวกเขาออกนอกตัวเมือง ค่อยๆหยุดจอดส่งผู้โดยสารคนแล้วคนเล่า จนเหลือเพียงผู้ชายสองคนที่ยังคงนั่งต่อไปจนเกือบสุดสาย

     

                    “ผมชอบรูปนี้ คุณถ่ายรูปสวยจัง” เพราะว่านั่งกันมานาน เรื่องฆ่าเวลาให้ตายสนิทจึงเริ่มต้น นั่นก็คือการแบ่งปันรูปถ่ายที่โพสลงบนไอจีของแต่ละคนพร้อมทั้งเล่าเรื่องราวความเป็นมาของรูปแต่ละรูป และลู่หานก็ดูจะพอใจมาก จนยืดอกรับอย่างภูมิใจเมื่อเด็กไม่ประสีประสา กำลังเอ่ยชมรูปภาพที่มีเสน่ห์ของเขา รูปที่ว่ามันคือรูปที่เขาถ่ายคู่กับกองถุงกระดาษแบรนด์เสื้อผ้าต่างๆที่สูงจนจะท่วมหัว รวมไปถึงกล่องใส่นาฬิกาอันเป็นความภาคภูมิใจของเขาอีกนับสิบกล่อง   

     

                    นานๆทีจะมีคนชมรูปภาพของเขาแบบออกท่าทางใหญ่โตและตื่นเต้นเหมือนไม่เคยเห็น เพราะส่วนใหญ่วันๆเขาก็ทำแต่งานไม่มีเพื่อนกินเพื่อนนอนมากมายเยอะแยะอย่างพี่ชาย เขาน่ะมากสุดก็แค่หนึ่งคนซึ่งก็คือเลขาส่วนตัวที่ทำงานอยู่ด้วยกันในตอนนี้  

    ทำให้เวลาเบื่ออยู่บ้านก็เลยต้องออกไปช้อป พอช้อปจนรู้สึกสบายใจ ก็รวบรวมของพวกนั้นมาถ่ายรูปลงบนไอจี ซึ่งเขาก็มีความสุขดีกับการทำแบบนี้ แม้ว่าจะมีคนเข้ามาขโมยรูปของเขาไปโอ้อวดในไอจีตัวเองหรือจะเข้ามาชมเปาะ หรือหนักข้อหน่อยก็ทักมาขอของ เหตุเพราะมีเยอะเกินไปจะใช้หมดยังไงไหว

    ซึ่งเขาก็ทำได้แค่ตอบกลับไปว่าเรื่องของเขา และบล็อกมันซะ ช่วงแรกๆก็รู้สึกหงุดหงิดอยากจะเลิกเล่น แต่พอนานเข้าๆ การถ่ายรูปลงในไอจีของเขามันก็เหมือนกับเป็นการเตือนความทรงจำตัวเองมากกว่า และลู่หานเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องมาสนใจกับคำชมหรือคำติของคนในโซเชี่ยวที่เข้ามาติดตามชีวิตเขาราวๆสองแสนนั่นอีกแล้ว

     

                    พวกเขาคุยจ้อกันไปเรื่อยๆ พูดนั่นนี่ เล่าเรื่องราวต่างๆจนรู้สึกว่าความร้อนในบรรยากาศมันหายไปเป็นปลิดทิ้ง เด็กหนุ่มที่ตั้งใจฟังเรื่องราวของผู้ชายที่อ้างตัวว่ารวยอู้ฟู่นักหนาไป จนเริ่มง่วง

     

     

                    ระยะทางจากโรงพยาบาลกลางเมืองไปยังตลาด ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีได้ ยิ่งตอนสายๆรถติดเพราะขบวนรถนำนักท่องเที่ยวขนาดสี่สิบหกที่นั่งบิ๊กเบิ้มด้วยแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะไปถึงเอาเมื่อไหร่ โอที่นั่งหลับเอาหัวพิงกับซี่กรงเหล็กชุบไทเทเนี่ยมเพลินๆ สะดุ้งโหยงเมื่อมีวัตถุขนาดพอดีมือหล่นปุมาบนแผ่นหลัง

     

                    เขาจึงเอี้ยวตัวกลับไปมองก็พบกับกลุ่มผมนุ่มนิ่มน่าสัมผัส มันหอมกรุ่นแบบที่แชมพูขวดบ้านเราทำไม่ได้ ความชื่นบนหลังส่งผ่านมาจากหน้าผากเกลี้ยงเกลาพร้อมลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอก็ทำให้ลดความน่าเป็นห่วงลงไปโข

     

                    ก็นึกว่าจะเป็นลมแดดจนสลบไปซะอีก…..

     

                    ปุ!!!

     

                    “เห้ยยยยยยยยยย เจ๊!!!

     

     

     

     

     

                    โอเค….ขอโทษด้วยละกันที่คิดว่าเจ๊แกจะแค่พักสายตา เพราะการนั่งรถสองแถวโดนลมร้อนโกรกแบบนั้นมันหลีกเลี่ยงอาการง่วงไม่ได้เลยจริงๆ แบบว่าเป็นกันทุกคน แต่คงจะเป็นกันเฉพาะคนไทย คนต่างชาติที่ไม่เคยสัมผัสอาจมีชักตายได้เลย

     

                    เด็กหนุ่ม วิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบเงินค่าเหมารถสองแถว มาจ่ายลุงเจ้าของรถ ยังดีที่ลุงแกใจดีไม่ได้คิดจะขูดเลือดขูดเนื้อเด็กอายุสิบหกอย่างเขา พอจ่ายค่ารถเสร็จเขาก็พาคนที่กำลังสะลืมสะลือให้ลงมานั่งพักแอร์เย็นๆในบ้าน บ้านของเขามีลักษณะเหมือนกงสี อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ในวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ ส่วนมากจะออกไปเที่ยวเล่นกันมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวพี่เฉิน หรือว่าจะพี่ๆคนอื่นๆ บ้านทั้งบ้านจึงเหลือแค่อาม่ากับพี่เลี้ยงอีกสองสามคน บ้านขนาดเจ็ดชั้นที่ตั้งอยู่หลังตลาดจึงเงียบฉี่

     

                    “ไหวมั้ยคุณ” เขย่าไหล่บางนั้นเบาๆ แล้วยื่นแก้วน้ำเย็นที่ผสมผงยาหอมแก้ผิดลมให้ เจ๊แกรับไปก่อนจะใช้จมูกดมมันแทนที่จะใช้ปากดื่ม

     

                    “หยี อะไรน่ะไม่กินนะ” ร้องหยีเสียงดังก่อนจะยื่นมันออกไปให้ห่างไกลจมูกรั้นๆ จนเด็กหนุ่มที่นั่งยองๆอยู่ข้างริมโซฟาต้องหันไปขอน้ำเย็นแก้วใหม่จากพี่ปุ๊พี่เลี้ยงเขา พอได้น้ำแก้วโตเย็นฉ่ำเจ๊แกก็รีบกระดกลงคอเพื่อแก้อาการกระหายน้ำ จนไม่ได้สนใจหรือใส่ใจว่าท่าทางของตัวเองจะทุเรศแค่ไหน

     

                    เด็กหนุ่มนั่งขำในใจ ขณะมองหยดน้ำหยดลงไปใต้คาง หมดคราบของคนหยิ่งผยองเมื่อเช้า เหลือเพียงแค่ผู้ชายตัวเล็กผิวขาวจัด จัดกว่าเขาที่ขาวอยู่แล้วประมาณสิบเท่า หัวฟูๆ ดวงตาช้ำๆ

     

                    “นั่งพักก่อนนะ เดี๋ยวหาไรให้กิน”

     

                    พวกเรานั่งกินมื้อเที่ยงกันที่ห้องครัวใหญ่ เมนูประจำวันนี้คือผัดหัวไชโป๊วหวานใส่ไข่ กับเนื้อเค็มผัดหวาน ตอนแรกเจ๊แกก็มีสีหน้าเหมือนจะไม่พอใจกับมื้ออาหาร พร้อมทั้งเอ่ยปากปฏิเสธโดยอ้างว่าไม่หิว แต่สุดท้ายก็นั่งกินไปเงียบๆเมื่อท้องร้องโหยหวนประท้วงให้เจ้าของอาย

     

                    “เอาข้าวอีกป่ะ” ถามเมื่อเห็นว่าข้าวสวยร้อนๆในจานเจ๊แกพร่องไปจนเกือบหมด เจ๊แกไม่พูดอะไรแต่ดันจานข้าวลายดอกสีสันสดใสมาให้ พร้อมกับรวบช้อนส้อมมาถือเอาไว้ เด็กหนุ่มพยักหน้ารับแล้วเดินไปเปิดหม้อหุงข้าว ตักข้างสองทัพพีพูนๆแบบไม่กลัวว่าจะเปลืองแล้วเดินกลับมาที่โต๊ะ

     

                    นั่งมองอีกฝ่ายกินไปเงียบๆ เพราะตัวเองอิ่มไปตั้งแต่จานแรก ส่วนคนที่ยังกินไม่เสร็จก็ตักกลับใส่จานคลุกข้าวแบบว่าชำนาญเหมือนกินมาทั้งชีวิต จานหัวไชโป๊วหวานผัดไข่ถูกขนานนามว่าเป็นอาหารที่น่าตาทุเรศที่สุดแต่อร่อยถูกปากมาก จากคนที่กินข้าวแต่กับฝีมือเชฟมิชะลินส่วนตัวที่บ้าน ถึงตอนฟังจะแอบหมันไส้อยู่หน่อยๆ แต่ก็นะ คนรวย จะไปโทษเขาได้ไง เจ๊เขาพูดเรื่องจริง

     

                    “เดี๋ยวผมไปส่ง”

                    “ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากเป็นลมอีก” พอกินข้าวเสร็จ ลู่หานก็ออกมานั่งตากแอร์เย็นๆในห้อง พร้อมกับใช้เท้าเขี่ยเจ้าอลาสก้า มาลามิวท์ ที่หน้าไม่ได้แตกต่างจากเจ้าของมานัก ขอร้องเถอะ ตอนนี้เขาอิ่มมาก และไม่พร้อมออกไปเผชิญกับแดดร้อนดั่งนรกนั่นด้วย

     

                    “เดี๋ยวฉันโทรหาจงอินก่อน” ตอบไปเช่นนั้น แม้ว่าสายตาจะมองตามเจ้าอลาสก้า ตัวใหญ่ที่หนีไปนอนข้างเด็กหนุ่มแล้ว ลู่หานหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาต่อสายหาเลขาส่วนตัวของพี่ชาย เขารอสายอยู่ไม่ถึงสามวิได้มั้ง ปลายสายก็รับมันแล้วกรอกเสียงเรียบนิ่งลงมา

     

                    /ขอโทษที่ไม่ได้รับสายก่อนหน้านี้นะครับคุณหนู/

                    “กลับไปก่อนเถอะ ฉันจะไล่ออกให้หมด รวมทั้งนายก็ด้วยจงอิน”

                    /ผมเกรงว่าคุณหนูอาจจะต้องไปเอาเรื่องกับ คุณหนูคริสเองนะครับ/ ปลายสายเถียงกลับมา จนเขาต้องส่งเสียงร้องด้วยความโมโห ดวงหน้าสวยหงิกงอเหมือนกับว่า ถ้าไม่ได้เอาเลือดหัวใครออกสักคน วันนี้น่าจะนอนไม่หลับ

                    “อย่าบอกนะว่าที่ลอยแพฉันน่ะ เพราะคำสั่งไอ้พี่ชายเวรนั่น”

                    /ใช่ครับ ผมแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น/ ลู่หานกำหมัดแน่น รู้สึกว่าหัวมันร้อนจนแทบลุกไหม้

                    “ดี งั้นรีบมารับฉัน ฉันจะไปเอาเลือดหัวไอ้บ้านั่นออก!!!” ปลายสายเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบกลับมาใหม่

                    /ตอนนี้บอดี้การ์ดอยู่ที่หน้าบ้านคุณโอแล้วครับ/ ลู่หานตอบเสียงกระแทก แล้วกดวางสาย ให้ตายเถอะนี่คงไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกันมาใช่มั้ย ได้ข่าวว่ารู้จักกัน

     

                    “มองผมแบบนั้นทำไมครับ” เด็กหนุ่มที่ไม่ได้ประสีประสาอะไรกับอารมณ์โกรธของลู่หานถามขึ้น แต่เจ้าของสายตาที่พร้อมจะฆ่าคนได้นั้น กลับทำเพียงเบือนหนีไปอีกทาง เห็นว่าเลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำหรอกนะ

     

                    “ขอบใจสำหรับทุกอย่างแล้วกัน บาย”

                    “อ่ะ คุณจะกลับยังไงครับ”

                    “เรื่องของฉัน ==

     

     

                    ตอบไปแบบนั้นแล้วเริ่มพรวดพลาดออกจากบ้าน เดินไปตามทางเดินที่รอบข้างจัดเป็นส่วนหย่อม ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดชะเง้อคอมอง ก็เห็นเจ้าลีมูซีนสีดำสนิทจอดเทียบอยู่ตรงริมฟุตปาธ เข้าใจเอารถมารับนี่ ลู่หานไม่พูดอะไรแต่เปิดประตูเหล็กขึ้นสนิมนิดๆ ออกไป ใบหน้าสวยจดจ้องบอดี้การ์ดตรงหน้าอย่างเอาเรื่องขณะที่กำลังเปิดประตูตอนสุดท้ายให้เขา

     

                    “ตอนนี้พี่ชายฉันอยู่ไหน” เข้ามานั่งในรถก็เห็นผู้ช่วยผู้จัดการ ที่ติดสอยห้อยตามมาจากอเมริกากำลังนั่งหน้าซีดอยู่ หล่อนไม่ได้ตอบอะไรนอกจากรินแชมเปญเย็นเฉียบแล้วยื่นส่งให้เป็นเครื่องบั่นอารมณ์ร้อนของชายหนุ่ม ลู่หานรับมันมาจิบ แต่ก็ยังไม่วายถามกลับไปด้วยคำถามเดิม น้ำเสียงติดห้วนแบบเดิม

     

                    “เออ คุณคริสกำลังมีปัญหานิดหน่อยน่ะค่ะ แต่ฝากคำขอโทษมาให้”

                    “ฉันไม่ได้ต้องการ…..ช่างมันเถอะ มันก็ไม่ได้แย่อะไร ว่าแต่พี่ชายฉันเกิดเรื่องอะไรขึ้นล่ะ” คงไม่ใช่ปั่นจักรยานไปชนรถใครตายหรอกนะ

     

                    “คุณคริสกำลังเจรจาซื้อเกาะพงันอยู่ค่ะ”

                    “เกาะพงัน?

     

                    ไปปั่นจักรยานอีท่าไหนถึงได้คิดจะซื้อเกาะพงัน นั่นคือคำถามที่ผุดพรายอยู่ในใจของ ลู่หาน ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดไม่รอช้าที่จะถามถึงมูลค่าทรัพย์สินและกำไรจากการซื้อเกาะพงัน ตัวเลขกลมๆนั้นทำเขาเหงื่อตกไม่ใช่น้อย แต่ยังดีที่เศรษฐกิจบนเกาะนั้นเข้าท่า ประมาณสองถึงห้าปีก็คงจะคืนกำไรได้

                    “อืม พี่ชายฉันคงคิดไม่ผิดหรอก ว่าแต่จะซื้อไปทำไมกัน ที่แค่นั้นแต่ตั้งแพง” บ่นกับตัวเองพร้อมกับส่ายหัว แต่สายตาเจ้ากรรมดันไปจับสังเกตใบหน้าซีดๆของผู้ช่วยได้ เลยสัมผัสถึงความผิดปกติ

                    “หน้าตาดูไม่สู้ดีเลยนะ มีปัญหากับการซื้อเกาะนี่รึไง”

                    “เออคือ….

                    “ฉันถามก็ตอบ” พอเริ่มฉายชัดถึงความไม่ชอบมาพากล ลู่หานก็ใช้ความดุดันเข้าข่ม จนผู้ช่วยสาวต้องรีบเปิดปากบอก

                    “คุณคริสต้อง ต้องการซื้อทั้งเกาะให้คุณหมูหย็องค่ะ แล้วนั่นคือเงินมัดจำยี่สิบเปอร์เซ็นเท่านั้น ตอนนี้รู้สึกว่าจะวุ่นวายกันไปหมดเลยค่ะ ทำยังไงกันดีค่ะคุณลู่หาน”

                    “ห้ะ!!!

     

     

     

     

     

     

                   

     

                    เสียงโซ่จักรยานดังครืดคราดผ่านเข้าสู่โสตประสาทจนรู้สึกหลอนไปหมด ไหนจะเสียงผิวปากอย่างอารมณ์ของคนที่นั่งซ้อนท้าย

                    “หยุดผิวปากได้มั้ยครับ” สั่งด้วยน้ำเสียงจริงจังสุด แม้ว่ามันจะไม่ได้ผล แถมยังถูกกวนอารมณ์กลับมาด้วยการผิวปากที่ดังขึ้นอีกเท่าตัว

                    “ถ้าไม่หยุด ผมจะไม่คุยด้วยแล้วนะ”

     

                    “ผมหิวข้าว เที่ยงนี้ทานอะไรดีครับ ทานอาหารอิตาเลี่ยนหรือจะเป็นเนื้ออบจากเชฟเยอรมันดี” จักรยานสีชมพูแปร๋นที่กำลังปั่นแข่งกับรถมอเตอร์ไซต์ในซอยหยุดชะงัก สายตาดุดันจากเด็กน้อยหันมามอง จนเจ้าของความคิดมื้อเที่ยงต้องหุบปากฉับ แล้วเสมองไปทางอื่น รู้เลยว่าจะโดนอะไร  

                    “เห้อ เราคงต้องไม่พูดกันไปอีกสักพักแล้วนะครับ”

                    “ทำไมล่ะครับ!!!

                    “คุณมันพูดไม่รู้เรื่อง พูดไปเรื่อยเปื่อย”

                    “นี่อย่าบอกว่าคุณโกรธผมเรื่องที่ ผมไปทะเลาะกับสองสามีภรรยานั่น…..” คริส อู๋ ขมวดคิ้วเมื่อพูดไพร่ไปถึงคู่สามีภรรยาที่สามีของเธอเป็นชาวต่างชาติ แถมยังเป็นนักธุรกิจใหญ่ ความจริงพวกเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันสักนิดและมันจะไม่ถูกหยิบมาเป็นบทสนทนาตรงนี้ด้วย หากไม่ใช่ว่าคนพวกนั้นทำให้เขาโกรธจนควันออกหู

                    “ใช่ครับ”

                    “แต่คนพวกนั้นว่าคุณ เขาว่าคุณก็เหมือนกับว่าเขาว่าผมด้วย ผมยอมไม่ได้” คำพูดฉุนกึก ดูจะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟจริงๆ ทำให้หย็องต้องถอนหายใจ รีบพูดเตือนสติพอคนรวย 

                    “แต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์ไปพูดเกทับเขาว่าจะซื้อเกาะพะงันนะครับ คุณรู้มั้ยว่าเกาะนั่นมันไม่ใช่เล็กๆแบบเกาะกลางถนนเนื้อที่ไม่กี่ตารางวา แต่มันเป็นเกาะที่คนอาศัยเป็นหมื่นๆ คุณไปพูดแบบนั้นเขาก็ยิ่งจะดูถูกคุณเข้าไปใหญ่” หย็องพูดออกไปตามความจริง เกาะพะงันเป็นพื้นที่ของคนไทย คนไทยเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ถือครองที่ดิน แถมฝรั่งคนนั้นเขาก็ซื้อด้วยชื่อของภรรยา เป็นแค่ที่ไม่กี่ไร่บนเกาะเพื่อเอาไว้ทำรีสอร์ท ไม่ได้บ้าจี้จะไปซื้อทั้งเกาะแบบพ่อฝรั่ง พอพูดออกไปแบบนั้นมันก็กลับกลายเป็นว่าพวกเขาเป็นตัวตลก

     

                    นับวันยิ่งรู้สึกว่าคนๆนี้น่าปวดหัวเข้าไปเรื่อยๆ….

     

                    “แค่เศษเงินน่ะ ไม่ต้องห่วงนะครับ ห่วงเรื่องปากท้องของผมก่อนดีกว่านะ เพราะว่าท้องหิวไม่พอมันจะพาลไปหิวอย่างอื่น”

                “คุณนี่มันพูดไม่รู้เรื่องจริงๆอ่ะ” หย็องส่ายหัว ปลงตกกับไอ้พ่อฝรั่งหัวรุนแรงนี่เหลือเกิน ถ้าหากว่าย้อนกลับไปได้ เขาควรจะลากพ่อฝรั่งมันออกมาจากตลาดให้เร็วที่สุด ไม่ให้ไปสร้างปัญหา พร้อมกับไปเพิ่งเรื่องนินทาให้พวกแม่ค้าปากตลาดพวกนั้น

     

     

     

     

                ย้อนความกลับไปเมื่อชั่วโมงก่อน….

     

     

                    เสียงซุบซิบนินทาจากแม่ค้าในแผงลอยบนตลาด ไม่ได้น่าฟังเสียเลยยามที่เขาเข็นรถใส่เข่งผักไปส่ง วันนี้เขาออกมาทำงานตั้งแต่เช้า หลังจากที่กลับบ้านไปหาป้าหอมที่ตอนนี้กำลังง่วนอยู่กับการทำขนมส่งขายให้โรงแรม จนไม่มีเวลาแม้แต่จะให้คำปรึกษาแก่เขา

                    เรื่องที่พ่อฝรั่งพูดเมื่อคืนมันวนเวียนอยู่ในหัว จนเขารู้สึกฟุ้งซ่านและนอนไม่หลับ เขาเลยออกมาทำงานแม้ว่าจะออกปากไม่รับเต็มวันก็ตาม เผื่อว่าเขาจะเลิกคิดมันไปได้บ้าง

     

                    “นี่ไง หย็อง หลานป้าหอมที่ว่ามีฝรั่งรวยๆมาตามตื้อ ไงหย็องสบายดีนะ” คำทักทายที่ไม่ได้จริงจังจากวงเหล้าที่ตั้งกันอยู่กลางตลาดใกล้กับเขียงหมู รอยยิ้มร้ายๆจากคนที่นั่งอยู่ประมาณสามสี่คน นั้นบ่งบอกได้ดีว่ากำลังเหยียดกันซึ่งๆหน้า

                    “ได้ข่าวว่ารวยมากนิ รวยขนาดที่ป้าแกพูดโม้ไม่หยุดปากเลย”

                    “เปล่านิจ้ะน้า ไม่มีอะไรหรอก” หย็องตอบพร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ นึกคาดโทษคนเป็นป้าที่ชอบพูดอะไรไม่เข้าเรื่อง จนเข้าตัวเขาอยู่เรื่อย

                    “ฮ่าๆ ฉันก็ว่าอย่างนั้น ถ้ารวยจริง ป้าหอมแกคงไม่อยู่บ้านหลังเดิมหรอก คงรวยพอแค่มีเงินมาจ่ายค่าแชร์ที่ป้าแกติดน้าไว้”

                    “น้าพูดดีๆก็ได้นี่จ้ะ ไม่เห็นต้องเหยียดกันขนาดนั้น เขารวยแถมหน้าตายังหล่อกว่าผัวฝรั่งป้าด้วย!!” เด็กหนุ่มตอกกลับไป พร้อมกับใบหน้าขมวดจม แก้วเบียร์ที่วางอยู่ตรงหน้าถูกยกขึ้นแล้ววางกระแทกกับพื้น ใบหน้าของผู้หญิงอายุค่อนสี่สิบที่เพิ่งจะจับฝรั่งมาเป็นผัวได้ครั้งแรก ถึงท่าทางผัวเจ๊แกจะแก่กว่ามากท่าทางดูภูมิฐาน แต่พุงโย้อ้วนพลุ้ยแบบนั้นบอกเลยว่าสู้พ่อฝรั่งไม่ได้สักนิด!!

     

                    “น้อยๆหน่อยไอ้หย็อง ข้าเห็นเอ็งวิ่งแจ้นเข็นผักตั้งแต่เด็ก อย่ามาลามปาม ผัวข้าถึงไม่หล่อแบบคนหนุ่มๆ แต่เขารวยโว้ย!! รวยกว่าผัวมึงแน่ๆ ไอ้หย็อง”

                    “รู้ได้ไง!” ผักเผิก ไม่ส่งมันล่ะ ขอด่าอิป้านี่ก่อนแล้วกัน!!

                    “โอ้ยยยย ไอ้พวกคนหนุ่มๆมันจะเอาเงินไหนมาให้แก นอกจากจะหลอกฟันแก นี่ผัวฉันค่า เขาเพิ่งไปซื้อที่บนเกาะพะงันเตรียมทำรีสอร์ท ตั้งร้อยกว่าล้าน” หย็องกรอกตา รู้ล่ะว่าไอ้ที่ลากเขามาทะเลาะด้วยนี่ หวังจะป่าวประกาศว่าผัวตัวเองรวยพอซื้อที่เป็นร้อยล้านได้สินะ เด็กหนุ่มที่ไม่คิดอยากจะต่อปากต่อคำกับคนขี้อวดก็จับรถเข็นขึ้นเตรียมตัวจะหนีไปดื้อๆ

                    “จะไปไหน น้าจะสอนอะไรให้นะจ้ะ ในฐานะที่น้าแก่กว่า ไอ้พวกฝรั่งหนุ่มๆน่ะเลิกได้ก็เลิกไปเถอะ เพราะมันมีแต่ตัวกับไอ้นั่นล่ะ ไม่งั้นแกคงไม่กลับมาส่งผักแบบนี้หรอก หรือว่านี่หลงไอ้นั่นจนโงหัวไม่ขึ้น” เสียงหัวเราะครืนจากกลุ่มคนเมาผสมโรงกับคนรอบข้างทำเอา เด็กหนุ่มสมองแล่นดังเปรี๊ยะ โกรธจนระงับอารมณ์ไม่อยู่เผลอหันไปพูดกับผัวเจ๊แกที่นั่งจับแก้วเบียร์หน้ากรึ่มได้ที่

     

                    “เมียคุณน่ะมันแย่ ระวังไว้เถอะเลี้ยงกาฝากไว้แบบนี้ระวังจะหมดตัว!!” เจ๊แกยืนงง ว่าเขาพูดอะไร นั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มเหยียดมุมปาก ริจะมีผัวฝรั่งแต่ฟังไม่ทันนี่มันยังไง

                    “คุณไม่มีสิทธิ์มาว่าภรรยาผม คุณเด็กมากแถมยังเป็นเกย์” หย็องอ้าปากค้าง ฟังไอ้ตาเฒ่านั่นด่า แถมมันยังหันไปพูดกับเมียมันแบบที่พอจับใจความได้ เท่านั้นล่ะเมียมันหันมาจ้องจะตบเขาให้ได้เลย

     

                    จะเอาใช่มั้ย!! ตบมาตบกลับไม่โกง….

     

                    “นี่แก ไอ้หย็อง!!

                    “ป้าเริ่มก่อน ผมไม่ผิด!

                    “อิพวกผิดเพศนี่มันนิสัยต่ำแบบนี้ทุกคนเลยรึ ขนาดผู้ใหญ่มันยังเถียงได้เป็นฉากๆ”

                    “ถึงผมเด็ก ถึงผมจะเป็นแบบนี้ แต่ผมก็ไม่เคยเหยียดใคร แบบป้า ขอร้องเถอะถ้าอยากป่าวประกาศให้ชาวบ้านรู้ว่าผัวรวยก็จ้างรถติดลำโพงนู้น ไม่ต้องมาชวนผมทะเลาะ เข้าใจป่ะ!!” ร่างอวบแบบคนอายุใกล้วัยทอง ข้ามแผงลอยลงมายืนประจันหน้าเขาอย่างทุลักทุเล ด้วยขนาดความสูงที่แตกต่างกันแบบคืบต่อคืบ ทำให้เจ๊แกต้องหันไปส่งสัญญาณให้ผัวร่างท้วม อายุไม่น่าจะต่ำกว่าหกสิบที่น่าจะมีโรคประจำตัวพ่วงด้วยออกมายืนประจันหน้ากับเขาแทน

                    ขอร้องเถอะถึงเขาไม่ชอบหาเรื่องใครแต่ก็ไม่เคยให้ใครมาหาเรื่องกันได้ง่ายๆ

     

                    “มีเรื่องอะไรกันรึเปล่า”

                   

                        


























    =====================================

    เป็นลมแดดเฉยๆค่ะ 555555551+ 1

    ไชโป้วอร่อยมั้ยคะ? 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×