คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : CH08
++++++++
ร้อน…..
ร้อนโว้ย!!
“นี่เรารออะไรอยู่”
ความร้อนส่งผลให้ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปด ถามอะไรไม่เข้าท่าออกไป
จนเด็กที่ชื่อโออะไรนั่นหันมามองด้วยสายตางงๆ
พวกเขาเดินเรียบออกมาจากลานจอดรถของโรงพยาบาล
ข้ามถนนมายังฝั่งตรงข้ามเพื่อที่จะรอรถสองแถว ที่จะผ่านตลาดอันเป็นจุดหมายของพวกเขามานานกว่าสิบห้านาทีแล้ว
แต่ไม่ยักจะเจอรถที่ว่านั่นสักคัน
“ก็รอรถไงเจ๊!”
เพี๊ยะ!
“หยุดเรียกฉันแบบนั้นเลยนะเราไม่ได้สนิทกัน
ฉันไม่ได้เป็นญาติฝั่งไหนของนายด้วย” มือเล็กๆขาวซีดกว่าคนรอบข้างฟาดลงบนไหล่
ของเด็กหนุ่มที่เตี้ยกว่าไปไม่มากด้วยความโมโห แถมชายหนุ่มยังเอ่ยปากป่าวประกาศว่าพวกเขาสองคนไม่ใช่ญาติกัน
ไม่ได้สนิทกันมากมายจนสามารถเรียกแบบนั้นได้
“เจ๊….เออพี่ ไม่ๆ……คุณเป็นน้องชายของเฮียคนนั้นไม่ใช่เหรอ
เฮียคนนั้นเขาเป็นแฟนพี่ชายผมอ่ะ ถือว่าเราสนิทกันอันดับหนึ่งเลยนะ” เด็กหนุ่มอธิบายยืดยาว
ปากก็ผุดพรายรอยยิ้มขบขันออกมา เมื่อเห็นว่าเจ๊แกกำลังอารมณ์เสีย
ทั้งๆที่เราเพิ่งเคยเจอกัน อีกฝ่ายก็ชอบทำหน้าเคร่งขรึมดุดันตลอด แต่เด็กหนุ่มกลับไม่รู้สึกจะเกรงกลัวใดๆ
แถมยังคึกคะนองสนองนี้ดปากตัวเองด้วยการเรียกสรรพนามที่คนทั่วไปไม่ใช่กับคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก
“อะไร เป็นบ้ารึเปล่า…”
หันมาอ้าปากเตรียมจะด่าด้วยความไม่เข้าใจในภาษานั้น
“โอะ รถมาแล้วครับ”
ไม่ต้องรอให้โดนด่า เด็กหนุ่มก็รีบกระโดดขึ้นไปนั่งบนเบาะแถวตอนคันใหญ่ที่เข้ามาจอดเทียบกับริมฟุตปาธตามผู้โดยสารคนอื่นๆที่ยืนรอกันเป็นทิวแถว
เด็กชายโอหันไปมองคนที่ยังเอาแต่ยืนอึ้งๆ มองสภาพรถที่ไม่มีระบบความปลอดภัยใดๆ
นอกจากซี่กรงพ่นไทเทเนียม เขากวักมือเรียกเจ๊แกให้รีบขึ้นรถเพราะถ้าไม่รีบล่ะก็….
“อ้าๆ รอด้วยๆๆ!!!”
การนั่งเบียดกันกับคนแปลกหน้าช่วงสายๆที่อุณหภูมิสูงถึงสามสิบหกองศาแบบนี้
ไม่จรรโลงใจเอาเสียเมื่อเทียบกับสายตาที่มองมายังเขา ลู่หานถอดเสื้อสูทตัวนอกของจากุชชี่ออกพร้อมกับจับเสื้อเชิ้ตเบอร์เบอร์รี่ที่ไม่ควรจะทำออกมาหนาเกินกว่าเหตุกระพือไปมาเพื่อระบายความร้อนและเหงื่อที่ชุ่มโชก
ทั้งๆที่ตัวเองเกลียดอากาศร้อนและฝุ่นควันเพราะมันจะทำให้เสื้อผ้าแบรนด์จรดทั้งตัวเกือบสองหมื่นเหรียญต้องเปื้อน
แต่เขาก็ไม่สามารถจะบ่นอะไรได้
ก็เขาเป็นคนกระโดดขึ้นรถตามเจ้าเด็กบ้านี่มาเองนี่นา….
“ไหวป่ะ อ่ะ
ป้าเขาให้ยืมยาดม มันช่วยได้นะ”
เจ้าโอ
ถามพลางยื่นยาดมที่ได้รับมาจากคุณป้าใจดีข้างตัว
เพราะเห็นอากาศของคนตัวขาวดูไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก เพราะใบหน้าที่ซีดเซียวเหมือนจะเป็นลมแดด
ลู่หานรับเจ้าแท่งพลาสติกสีขาวขุ่นมาดม
กลิ่นมันคล้ายๆกับตอนที่เข้าสปานวดแผนโบราณยังไงยังงั้น
และที่น่าแปลกก็คือมันทำให้เขาหายวิงเวียนศีรษะและรู้สึกสดชื่นขึ้นนิดนึง
“ขอบใจ
ช่วยได้เยอะ”
แม้จะรู้สึกว่านี่มันคือนรก
แต่พอหายจากอาการหน้ามืดเพราะอากาศที่ร้อนจัดเกินไป เขาก็กลับมามีชีวิตชีวามากขึ้น
แถมยังรู้สึกสนุกไปกับการนั่งมอง คุณป้าและเด็กอายุไม่น่าจะเกินสี่ห้าขวบนั่งหยอกล้อกันอยู่ด้านในสุดของรถ
ไม่ก็เด็กผู้หญิงที่นั่งเสียบหูฟังหลับคอพับคออ่อนจนน้ำลายแทบยืด
“คุณจะไปขำเขาไม่ได้นะ”
“อะไรใครขำ”
เด็กหนุ่มที่เห็นท่าทางของเจ๊แกมานานแล้วรีบเอ่ยทักท้วงก่อนที่เจ๊เขาจะหัวเราะออกมาเสียงดังเพราะกลั้นไม่อยู่
แล้วเอ่ยต่อ “ก็เห็นอยู่ว่าคุณมอง พี่สาวคนนั้นนั่งหลับน้ำลายยืด
แล้วยังจะไปขำเขาอีก มันเสียมารยาทนะครับ”
“บ้า ใครขำ
ไม่มี” โกหกหน้าตาย ทั้งๆที่ยังกลั้นหัวเราะอยู่เนี้ยนะ เชื่อเลย
“แล้วนั่นจะทำอะไร
ถ่ายรูปเขาเหรอ”
“ยุ่ง”
แม้จะพยายามบ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยงสายตาอยากรู้อยากเห็นจากเด็กข้างๆ แต่มันก็ไม่พ้นอยู่ดี
ลู่หานที่หยิบไอโฟนเจ็ดพลัสสีแดงแปร๋นออกมา ก่ะว่าจะถ่ายความตลกขำขันนั้นเก็บเอาไว้
ก็เลยต้องเปลี่ยนจุดโฟกัสไปเป็นวิวถนนด้านหลังที่มีแต่ฝุ่นตลบ
ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าแม้จะเป็นคนที่ไม่ชอบเที่ยว ไม่ชอบการท่องโลกกว้างแบบพี่ชาย
แต่เขาก็มีงานอดิเรกคือ การถ่ายภาพลงแอพลิเคชั่นยอดนิยมอย่างอินสตราแกรม
แต่ส่วนใหญ่ภาพที่เขาถ่ายมักจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ โดยค่อนไปทางนาฬิกาหายาก
หรือของสะสมทันสมัยราคาเหยียบล้านมากกว่าจะเป็นวิวทุระกันดารฝุ่นตลบแบบนี้
แต่ก็นะ….ครั้งหนึ่งในชีวิตมันก็ไม่เลว
โดยภาพล่าสุดก่อนที่เขาจะโพสรูปฝุ่นหลังท้ายรถนี่
คือรูปเจ้าดูคาติรุ่นลิมิเต็ดสีน้ำเงินคราม พร้อมแคปชั่นว่า รางวัลชีวิต ซึ่งเป็นรางวัลชีวิตแบบรายสัปดาห์
ก็รวย…อยากซื้ออะไรก็ซื้อไม่ต้องมารอโอกาสของชีวิตให้ยุ่งยากหรอก
“คุณเล่นไอจีด้วยเหรอ
ผมก็เล่นนะ” เสียงรบกวนจากทางด้านข้าง ทำให้ชายหนุ่มต้องกรอกสายตา
ไม่ยุ่งสักเรื่องในชีวิตจะได้มั้ย
“โห
ไอจีคุณมีแต่รูปของแพงๆ ซื้อเองหรือก้อปเขามาอ่ะ”
“เอ๊ะ!!
คนอย่างฉันทำไมต้องก้อป” หันไปโวยวายเสียงดังอย่างอารมณ์เสีย
นี่อากาศมันก็ร้อนมากพอแล้วนะ ยังจะให้เขาอารมณ์ร้อนไปอีกงั้นเหรอ
“เปล่าก็แค่…..” ทำไมต้องโวยวายด้วยล่ะ
รถสองแถวที่กำลังพาพวกเขาออกนอกตัวเมือง
ค่อยๆหยุดจอดส่งผู้โดยสารคนแล้วคนเล่า
จนเหลือเพียงผู้ชายสองคนที่ยังคงนั่งต่อไปจนเกือบสุดสาย
“ผมชอบรูปนี้
คุณถ่ายรูปสวยจัง” เพราะว่านั่งกันมานาน เรื่องฆ่าเวลาให้ตายสนิทจึงเริ่มต้น นั่นก็คือการแบ่งปันรูปถ่ายที่โพสลงบนไอจีของแต่ละคนพร้อมทั้งเล่าเรื่องราวความเป็นมาของรูปแต่ละรูป
และลู่หานก็ดูจะพอใจมาก จนยืดอกรับอย่างภูมิใจเมื่อเด็กไม่ประสีประสา กำลังเอ่ยชมรูปภาพที่มีเสน่ห์ของเขา
รูปที่ว่ามันคือรูปที่เขาถ่ายคู่กับกองถุงกระดาษแบรนด์เสื้อผ้าต่างๆที่สูงจนจะท่วมหัว
รวมไปถึงกล่องใส่นาฬิกาอันเป็นความภาคภูมิใจของเขาอีกนับสิบกล่อง
นานๆทีจะมีคนชมรูปภาพของเขาแบบออกท่าทางใหญ่โตและตื่นเต้นเหมือนไม่เคยเห็น
เพราะส่วนใหญ่วันๆเขาก็ทำแต่งานไม่มีเพื่อนกินเพื่อนนอนมากมายเยอะแยะอย่างพี่ชาย
เขาน่ะมากสุดก็แค่หนึ่งคนซึ่งก็คือเลขาส่วนตัวที่ทำงานอยู่ด้วยกันในตอนนี้
ทำให้เวลาเบื่ออยู่บ้านก็เลยต้องออกไปช้อป
พอช้อปจนรู้สึกสบายใจ ก็รวบรวมของพวกนั้นมาถ่ายรูปลงบนไอจี
ซึ่งเขาก็มีความสุขดีกับการทำแบบนี้
แม้ว่าจะมีคนเข้ามาขโมยรูปของเขาไปโอ้อวดในไอจีตัวเองหรือจะเข้ามาชมเปาะ
หรือหนักข้อหน่อยก็ทักมาขอของ เหตุเพราะมีเยอะเกินไปจะใช้หมดยังไงไหว
ซึ่งเขาก็ทำได้แค่ตอบกลับไปว่าเรื่องของเขา
และบล็อกมันซะ ช่วงแรกๆก็รู้สึกหงุดหงิดอยากจะเลิกเล่น แต่พอนานเข้าๆ
การถ่ายรูปลงในไอจีของเขามันก็เหมือนกับเป็นการเตือนความทรงจำตัวเองมากกว่า
และลู่หานเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องมาสนใจกับคำชมหรือคำติของคนในโซเชี่ยวที่เข้ามาติดตามชีวิตเขาราวๆสองแสนนั่นอีกแล้ว
พวกเขาคุยจ้อกันไปเรื่อยๆ
พูดนั่นนี่ เล่าเรื่องราวต่างๆจนรู้สึกว่าความร้อนในบรรยากาศมันหายไปเป็นปลิดทิ้ง
เด็กหนุ่มที่ตั้งใจฟังเรื่องราวของผู้ชายที่อ้างตัวว่ารวยอู้ฟู่นักหนาไป
จนเริ่มง่วง
ระยะทางจากโรงพยาบาลกลางเมืองไปยังตลาด
ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีได้ ยิ่งตอนสายๆรถติดเพราะขบวนรถนำนักท่องเที่ยวขนาดสี่สิบหกที่นั่งบิ๊กเบิ้มด้วยแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะไปถึงเอาเมื่อไหร่ โอที่นั่งหลับเอาหัวพิงกับซี่กรงเหล็กชุบไทเทเนี่ยมเพลินๆ
สะดุ้งโหยงเมื่อมีวัตถุขนาดพอดีมือหล่นปุมาบนแผ่นหลัง
เขาจึงเอี้ยวตัวกลับไปมองก็พบกับกลุ่มผมนุ่มนิ่มน่าสัมผัส
มันหอมกรุ่นแบบที่แชมพูขวดบ้านเราทำไม่ได้
ความชื่นบนหลังส่งผ่านมาจากหน้าผากเกลี้ยงเกลาพร้อมลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอก็ทำให้ลดความน่าเป็นห่วงลงไปโข
ก็นึกว่าจะเป็นลมแดดจนสลบไปซะอีก…..
ปุ!!!
“เห้ยยยยยยยยยย
เจ๊!!!”
โอเค….ขอโทษด้วยละกันที่คิดว่าเจ๊แกจะแค่พักสายตา
เพราะการนั่งรถสองแถวโดนลมร้อนโกรกแบบนั้นมันหลีกเลี่ยงอาการง่วงไม่ได้เลยจริงๆ
แบบว่าเป็นกันทุกคน แต่คงจะเป็นกันเฉพาะคนไทย
คนต่างชาติที่ไม่เคยสัมผัสอาจมีชักตายได้เลย…
เด็กหนุ่ม
วิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบเงินค่าเหมารถสองแถว มาจ่ายลุงเจ้าของรถ
ยังดีที่ลุงแกใจดีไม่ได้คิดจะขูดเลือดขูดเนื้อเด็กอายุสิบหกอย่างเขา
พอจ่ายค่ารถเสร็จเขาก็พาคนที่กำลังสะลืมสะลือให้ลงมานั่งพักแอร์เย็นๆในบ้าน
บ้านของเขามีลักษณะเหมือนกงสี อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่
แต่ในวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ ส่วนมากจะออกไปเที่ยวเล่นกันมากกว่า
ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวพี่เฉิน หรือว่าจะพี่ๆคนอื่นๆ
บ้านทั้งบ้านจึงเหลือแค่อาม่ากับพี่เลี้ยงอีกสองสามคน
บ้านขนาดเจ็ดชั้นที่ตั้งอยู่หลังตลาดจึงเงียบฉี่
“ไหวมั้ยคุณ”
เขย่าไหล่บางนั้นเบาๆ แล้วยื่นแก้วน้ำเย็นที่ผสมผงยาหอมแก้ผิดลมให้
เจ๊แกรับไปก่อนจะใช้จมูกดมมันแทนที่จะใช้ปากดื่ม
“หยี อะไรน่ะไม่กินนะ”
ร้องหยีเสียงดังก่อนจะยื่นมันออกไปให้ห่างไกลจมูกรั้นๆ
จนเด็กหนุ่มที่นั่งยองๆอยู่ข้างริมโซฟาต้องหันไปขอน้ำเย็นแก้วใหม่จากพี่ปุ๊พี่เลี้ยงเขา
พอได้น้ำแก้วโตเย็นฉ่ำเจ๊แกก็รีบกระดกลงคอเพื่อแก้อาการกระหายน้ำ จนไม่ได้สนใจหรือใส่ใจว่าท่าทางของตัวเองจะทุเรศแค่ไหน
เด็กหนุ่มนั่งขำในใจ
ขณะมองหยดน้ำหยดลงไปใต้คาง หมดคราบของคนหยิ่งผยองเมื่อเช้า
เหลือเพียงแค่ผู้ชายตัวเล็กผิวขาวจัด จัดกว่าเขาที่ขาวอยู่แล้วประมาณสิบเท่า
หัวฟูๆ ดวงตาช้ำๆ
“นั่งพักก่อนนะ
เดี๋ยวหาไรให้กิน”
พวกเรานั่งกินมื้อเที่ยงกันที่ห้องครัวใหญ่
เมนูประจำวันนี้คือผัดหัวไชโป๊วหวานใส่ไข่ กับเนื้อเค็มผัดหวาน
ตอนแรกเจ๊แกก็มีสีหน้าเหมือนจะไม่พอใจกับมื้ออาหาร
พร้อมทั้งเอ่ยปากปฏิเสธโดยอ้างว่าไม่หิว
แต่สุดท้ายก็นั่งกินไปเงียบๆเมื่อท้องร้องโหยหวนประท้วงให้เจ้าของอาย
“เอาข้าวอีกป่ะ”
ถามเมื่อเห็นว่าข้าวสวยร้อนๆในจานเจ๊แกพร่องไปจนเกือบหมด
เจ๊แกไม่พูดอะไรแต่ดันจานข้าวลายดอกสีสันสดใสมาให้ พร้อมกับรวบช้อนส้อมมาถือเอาไว้
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับแล้วเดินไปเปิดหม้อหุงข้าว ตักข้างสองทัพพีพูนๆแบบไม่กลัวว่าจะเปลืองแล้วเดินกลับมาที่โต๊ะ
นั่งมองอีกฝ่ายกินไปเงียบๆ
เพราะตัวเองอิ่มไปตั้งแต่จานแรก
ส่วนคนที่ยังกินไม่เสร็จก็ตักกลับใส่จานคลุกข้าวแบบว่าชำนาญเหมือนกินมาทั้งชีวิต
จานหัวไชโป๊วหวานผัดไข่ถูกขนานนามว่าเป็นอาหารที่น่าตาทุเรศที่สุดแต่อร่อยถูกปากมาก
จากคนที่กินข้าวแต่กับฝีมือเชฟมิชะลินส่วนตัวที่บ้าน
ถึงตอนฟังจะแอบหมันไส้อยู่หน่อยๆ แต่ก็นะ คนรวย จะไปโทษเขาได้ไง
เจ๊เขาพูดเรื่องจริง
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ไม่ล่ะ
ฉันไม่อยากเป็นลมอีก” พอกินข้าวเสร็จ ลู่หานก็ออกมานั่งตากแอร์เย็นๆในห้อง พร้อมกับใช้เท้าเขี่ยเจ้าอลาสก้า
มาลามิวท์ ที่หน้าไม่ได้แตกต่างจากเจ้าของมานัก ขอร้องเถอะ ตอนนี้เขาอิ่มมาก
และไม่พร้อมออกไปเผชิญกับแดดร้อนดั่งนรกนั่นด้วย
“เดี๋ยวฉันโทรหาจงอินก่อน”
ตอบไปเช่นนั้น แม้ว่าสายตาจะมองตามเจ้าอลาสก้า
ตัวใหญ่ที่หนีไปนอนข้างเด็กหนุ่มแล้ว
ลู่หานหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาต่อสายหาเลขาส่วนตัวของพี่ชาย
เขารอสายอยู่ไม่ถึงสามวิได้มั้ง ปลายสายก็รับมันแล้วกรอกเสียงเรียบนิ่งลงมา
/ขอโทษที่ไม่ได้รับสายก่อนหน้านี้นะครับคุณหนู/
“กลับไปก่อนเถอะ
ฉันจะไล่ออกให้หมด รวมทั้งนายก็ด้วยจงอิน”
/ผมเกรงว่าคุณหนูอาจจะต้องไปเอาเรื่องกับ
คุณหนูคริสเองนะครับ/ ปลายสายเถียงกลับมา จนเขาต้องส่งเสียงร้องด้วยความโมโห
ดวงหน้าสวยหงิกงอเหมือนกับว่า ถ้าไม่ได้เอาเลือดหัวใครออกสักคน
วันนี้น่าจะนอนไม่หลับ
“อย่าบอกนะว่าที่ลอยแพฉันน่ะ
เพราะคำสั่งไอ้พี่ชายเวรนั่น”
/ใช่ครับ
ผมแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น/ ลู่หานกำหมัดแน่น รู้สึกว่าหัวมันร้อนจนแทบลุกไหม้
“ดี
งั้นรีบมารับฉัน ฉันจะไปเอาเลือดหัวไอ้บ้านั่นออก!!!”
ปลายสายเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบกลับมาใหม่
/ตอนนี้บอดี้การ์ดอยู่ที่หน้าบ้านคุณโอแล้วครับ/
ลู่หานตอบเสียงกระแทก
แล้วกดวางสาย ให้ตายเถอะนี่คงไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกันมาใช่มั้ย ได้ข่าวว่ารู้จักกัน
“มองผมแบบนั้นทำไมครับ”
เด็กหนุ่มที่ไม่ได้ประสีประสาอะไรกับอารมณ์โกรธของลู่หานถามขึ้น
แต่เจ้าของสายตาที่พร้อมจะฆ่าคนได้นั้น กลับทำเพียงเบือนหนีไปอีกทาง
เห็นว่าเลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำหรอกนะ
“ขอบใจสำหรับทุกอย่างแล้วกัน
บาย”
“อ่ะ
คุณจะกลับยังไงครับ”
“เรื่องของฉัน ==”
ตอบไปแบบนั้นแล้วเริ่มพรวดพลาดออกจากบ้าน
เดินไปตามทางเดินที่รอบข้างจัดเป็นส่วนหย่อม ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดชะเง้อคอมอง
ก็เห็นเจ้าลีมูซีนสีดำสนิทจอดเทียบอยู่ตรงริมฟุตปาธ เข้าใจเอารถมารับนี่
ลู่หานไม่พูดอะไรแต่เปิดประตูเหล็กขึ้นสนิมนิดๆ ออกไป ใบหน้าสวยจดจ้องบอดี้การ์ดตรงหน้าอย่างเอาเรื่องขณะที่กำลังเปิดประตูตอนสุดท้ายให้เขา
“ตอนนี้พี่ชายฉันอยู่ไหน”
เข้ามานั่งในรถก็เห็นผู้ช่วยผู้จัดการ
ที่ติดสอยห้อยตามมาจากอเมริกากำลังนั่งหน้าซีดอยู่
หล่อนไม่ได้ตอบอะไรนอกจากรินแชมเปญเย็นเฉียบแล้วยื่นส่งให้เป็นเครื่องบั่นอารมณ์ร้อนของชายหนุ่ม
ลู่หานรับมันมาจิบ แต่ก็ยังไม่วายถามกลับไปด้วยคำถามเดิม น้ำเสียงติดห้วนแบบเดิม
“เออ
คุณคริสกำลังมีปัญหานิดหน่อยน่ะค่ะ แต่ฝากคำขอโทษมาให้”
“ฉันไม่ได้ต้องการ…..ช่างมันเถอะ
มันก็ไม่ได้แย่อะไร ว่าแต่พี่ชายฉันเกิดเรื่องอะไรขึ้นล่ะ”
คงไม่ใช่ปั่นจักรยานไปชนรถใครตายหรอกนะ
“คุณคริสกำลังเจรจาซื้อเกาะพงันอยู่ค่ะ”
“เกาะพงัน?”
ไปปั่นจักรยานอีท่าไหนถึงได้คิดจะซื้อเกาะพงัน
นั่นคือคำถามที่ผุดพรายอยู่ในใจของ ลู่หาน
ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดไม่รอช้าที่จะถามถึงมูลค่าทรัพย์สินและกำไรจากการซื้อเกาะพงัน
ตัวเลขกลมๆนั้นทำเขาเหงื่อตกไม่ใช่น้อย แต่ยังดีที่เศรษฐกิจบนเกาะนั้นเข้าท่า
ประมาณสองถึงห้าปีก็คงจะคืนกำไรได้
“อืม
พี่ชายฉันคงคิดไม่ผิดหรอก ว่าแต่จะซื้อไปทำไมกัน ที่แค่นั้นแต่ตั้งแพง”
บ่นกับตัวเองพร้อมกับส่ายหัว
แต่สายตาเจ้ากรรมดันไปจับสังเกตใบหน้าซีดๆของผู้ช่วยได้ เลยสัมผัสถึงความผิดปกติ
“หน้าตาดูไม่สู้ดีเลยนะ
มีปัญหากับการซื้อเกาะนี่รึไง”
“เออคือ….”
“ฉันถามก็ตอบ”
พอเริ่มฉายชัดถึงความไม่ชอบมาพากล ลู่หานก็ใช้ความดุดันเข้าข่ม
จนผู้ช่วยสาวต้องรีบเปิดปากบอก
“คุณคริสต้อง
ต้องการซื้อทั้งเกาะให้คุณหมูหย็องค่ะ แล้วนั่นคือเงินมัดจำยี่สิบเปอร์เซ็นเท่านั้น
ตอนนี้รู้สึกว่าจะวุ่นวายกันไปหมดเลยค่ะ ทำยังไงกันดีค่ะคุณลู่หาน”
“ห้ะ!!!”
เสียงโซ่จักรยานดังครืดคราดผ่านเข้าสู่โสตประสาทจนรู้สึกหลอนไปหมด
ไหนจะเสียงผิวปากอย่างอารมณ์ของคนที่นั่งซ้อนท้าย
“หยุดผิวปากได้มั้ยครับ”
สั่งด้วยน้ำเสียงจริงจังสุด แม้ว่ามันจะไม่ได้ผล
แถมยังถูกกวนอารมณ์กลับมาด้วยการผิวปากที่ดังขึ้นอีกเท่าตัว
“ถ้าไม่หยุด
ผมจะไม่คุยด้วยแล้วนะ”
“ผมหิวข้าว
เที่ยงนี้ทานอะไรดีครับ ทานอาหารอิตาเลี่ยนหรือจะเป็นเนื้ออบจากเชฟเยอรมันดี”
จักรยานสีชมพูแปร๋นที่กำลังปั่นแข่งกับรถมอเตอร์ไซต์ในซอยหยุดชะงัก
สายตาดุดันจากเด็กน้อยหันมามอง จนเจ้าของความคิดมื้อเที่ยงต้องหุบปากฉับ
แล้วเสมองไปทางอื่น รู้เลยว่าจะโดนอะไร
“เห้อ
เราคงต้องไม่พูดกันไปอีกสักพักแล้วนะครับ”
“ทำไมล่ะครับ!!!”
“คุณมันพูดไม่รู้เรื่อง
พูดไปเรื่อยเปื่อย”
“นี่อย่าบอกว่าคุณโกรธผมเรื่องที่
ผมไปทะเลาะกับสองสามีภรรยานั่น…..” คริส อู๋ ขมวดคิ้วเมื่อพูดไพร่ไปถึงคู่สามีภรรยาที่สามีของเธอเป็นชาวต่างชาติ
แถมยังเป็นนักธุรกิจใหญ่
ความจริงพวกเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันสักนิดและมันจะไม่ถูกหยิบมาเป็นบทสนทนาตรงนี้ด้วย
หากไม่ใช่ว่าคนพวกนั้นทำให้เขาโกรธจนควันออกหู
“ใช่ครับ”
“แต่คนพวกนั้นว่าคุณ
เขาว่าคุณก็เหมือนกับว่าเขาว่าผมด้วย ผมยอมไม่ได้” คำพูดฉุนกึก
ดูจะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟจริงๆ ทำให้หย็องต้องถอนหายใจ รีบพูดเตือนสติพอคนรวย
“แต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์ไปพูดเกทับเขาว่าจะซื้อเกาะพะงันนะครับ
คุณรู้มั้ยว่าเกาะนั่นมันไม่ใช่เล็กๆแบบเกาะกลางถนนเนื้อที่ไม่กี่ตารางวา
แต่มันเป็นเกาะที่คนอาศัยเป็นหมื่นๆ
คุณไปพูดแบบนั้นเขาก็ยิ่งจะดูถูกคุณเข้าไปใหญ่” หย็องพูดออกไปตามความจริง
เกาะพะงันเป็นพื้นที่ของคนไทย คนไทยเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ถือครองที่ดิน แถมฝรั่งคนนั้นเขาก็ซื้อด้วยชื่อของภรรยา
เป็นแค่ที่ไม่กี่ไร่บนเกาะเพื่อเอาไว้ทำรีสอร์ท
ไม่ได้บ้าจี้จะไปซื้อทั้งเกาะแบบพ่อฝรั่ง
พอพูดออกไปแบบนั้นมันก็กลับกลายเป็นว่าพวกเขาเป็นตัวตลก
นับวันยิ่งรู้สึกว่าคนๆนี้น่าปวดหัวเข้าไปเรื่อยๆ….
“แค่เศษเงินน่ะ ไม่ต้องห่วงนะครับ ห่วงเรื่องปากท้องของผมก่อนดีกว่านะ
เพราะว่าท้องหิวไม่พอมันจะพาลไปหิวอย่างอื่น”
“คุณนี่มันพูดไม่รู้เรื่องจริงๆอ่ะ”
หย็องส่ายหัว ปลงตกกับไอ้พ่อฝรั่งหัวรุนแรงนี่เหลือเกิน ถ้าหากว่าย้อนกลับไปได้
เขาควรจะลากพ่อฝรั่งมันออกมาจากตลาดให้เร็วที่สุด ไม่ให้ไปสร้างปัญหา
พร้อมกับไปเพิ่งเรื่องนินทาให้พวกแม่ค้าปากตลาดพวกนั้น
ย้อนความกลับไปเมื่อชั่วโมงก่อน….
เสียงซุบซิบนินทาจากแม่ค้าในแผงลอยบนตลาด
ไม่ได้น่าฟังเสียเลยยามที่เขาเข็นรถใส่เข่งผักไปส่ง
วันนี้เขาออกมาทำงานตั้งแต่เช้า หลังจากที่กลับบ้านไปหาป้าหอมที่ตอนนี้กำลังง่วนอยู่กับการทำขนมส่งขายให้โรงแรม
จนไม่มีเวลาแม้แต่จะให้คำปรึกษาแก่เขา
เรื่องที่พ่อฝรั่งพูดเมื่อคืนมันวนเวียนอยู่ในหัว
จนเขารู้สึกฟุ้งซ่านและนอนไม่หลับ
เขาเลยออกมาทำงานแม้ว่าจะออกปากไม่รับเต็มวันก็ตาม
เผื่อว่าเขาจะเลิกคิดมันไปได้บ้าง…
“นี่ไง หย็อง
หลานป้าหอมที่ว่ามีฝรั่งรวยๆมาตามตื้อ ไงหย็องสบายดีนะ”
คำทักทายที่ไม่ได้จริงจังจากวงเหล้าที่ตั้งกันอยู่กลางตลาดใกล้กับเขียงหมู
รอยยิ้มร้ายๆจากคนที่นั่งอยู่ประมาณสามสี่คน
นั้นบ่งบอกได้ดีว่ากำลังเหยียดกันซึ่งๆหน้า
“ได้ข่าวว่ารวยมากนิ
รวยขนาดที่ป้าแกพูดโม้ไม่หยุดปากเลย”
“เปล่านิจ้ะน้า
ไม่มีอะไรหรอก” หย็องตอบพร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ
นึกคาดโทษคนเป็นป้าที่ชอบพูดอะไรไม่เข้าเรื่อง จนเข้าตัวเขาอยู่เรื่อย
“ฮ่าๆ
ฉันก็ว่าอย่างนั้น ถ้ารวยจริง ป้าหอมแกคงไม่อยู่บ้านหลังเดิมหรอก
คงรวยพอแค่มีเงินมาจ่ายค่าแชร์ที่ป้าแกติดน้าไว้”
“น้าพูดดีๆก็ได้นี่จ้ะ
ไม่เห็นต้องเหยียดกันขนาดนั้น เขารวยแถมหน้าตายังหล่อกว่าผัวฝรั่งป้าด้วย!!”
เด็กหนุ่มตอกกลับไป พร้อมกับใบหน้าขมวดจม
แก้วเบียร์ที่วางอยู่ตรงหน้าถูกยกขึ้นแล้ววางกระแทกกับพื้น ใบหน้าของผู้หญิงอายุค่อนสี่สิบที่เพิ่งจะจับฝรั่งมาเป็นผัวได้ครั้งแรก
ถึงท่าทางผัวเจ๊แกจะแก่กว่ามากท่าทางดูภูมิฐาน แต่พุงโย้อ้วนพลุ้ยแบบนั้นบอกเลยว่าสู้พ่อฝรั่งไม่ได้สักนิด!!
“น้อยๆหน่อยไอ้หย็อง
ข้าเห็นเอ็งวิ่งแจ้นเข็นผักตั้งแต่เด็ก อย่ามาลามปาม ผัวข้าถึงไม่หล่อแบบคนหนุ่มๆ
แต่เขารวยโว้ย!! รวยกว่าผัวมึงแน่ๆ ไอ้หย็อง”
“รู้ได้ไง!” ผักเผิก
ไม่ส่งมันล่ะ ขอด่าอิป้านี่ก่อนแล้วกัน!!
“โอ้ยยยย
ไอ้พวกคนหนุ่มๆมันจะเอาเงินไหนมาให้แก นอกจากจะหลอกฟันแก นี่ผัวฉันค่า
เขาเพิ่งไปซื้อที่บนเกาะพะงันเตรียมทำรีสอร์ท ตั้งร้อยกว่าล้าน” หย็องกรอกตา
รู้ล่ะว่าไอ้ที่ลากเขามาทะเลาะด้วยนี่
หวังจะป่าวประกาศว่าผัวตัวเองรวยพอซื้อที่เป็นร้อยล้านได้สินะ
เด็กหนุ่มที่ไม่คิดอยากจะต่อปากต่อคำกับคนขี้อวดก็จับรถเข็นขึ้นเตรียมตัวจะหนีไปดื้อๆ
“จะไปไหน
น้าจะสอนอะไรให้นะจ้ะ ในฐานะที่น้าแก่กว่า
ไอ้พวกฝรั่งหนุ่มๆน่ะเลิกได้ก็เลิกไปเถอะ เพราะมันมีแต่ตัวกับไอ้นั่นล่ะ
ไม่งั้นแกคงไม่กลับมาส่งผักแบบนี้หรอก หรือว่านี่หลงไอ้นั่นจนโงหัวไม่ขึ้น”
เสียงหัวเราะครืนจากกลุ่มคนเมาผสมโรงกับคนรอบข้างทำเอา
เด็กหนุ่มสมองแล่นดังเปรี๊ยะ โกรธจนระงับอารมณ์ไม่อยู่เผลอหันไปพูดกับผัวเจ๊แกที่นั่งจับแก้วเบียร์หน้ากรึ่มได้ที่
“เมียคุณน่ะมันแย่
ระวังไว้เถอะเลี้ยงกาฝากไว้แบบนี้ระวังจะหมดตัว!!” เจ๊แกยืนงง
ว่าเขาพูดอะไร นั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มเหยียดมุมปาก ริจะมีผัวฝรั่งแต่ฟังไม่ทันนี่มันยังไง
“คุณไม่มีสิทธิ์มาว่าภรรยาผม
คุณเด็กมากแถมยังเป็นเกย์” หย็องอ้าปากค้าง ฟังไอ้ตาเฒ่านั่นด่า
แถมมันยังหันไปพูดกับเมียมันแบบที่พอจับใจความได้
เท่านั้นล่ะเมียมันหันมาจ้องจะตบเขาให้ได้เลย
จะเอาใช่มั้ย!!
ตบมาตบกลับไม่โกง….
“นี่แก
ไอ้หย็อง!!”
“ป้าเริ่มก่อน
ผมไม่ผิด!”
“อิพวกผิดเพศนี่มันนิสัยต่ำแบบนี้ทุกคนเลยรึ
ขนาดผู้ใหญ่มันยังเถียงได้เป็นฉากๆ”
“ถึงผมเด็ก
ถึงผมจะเป็นแบบนี้ แต่ผมก็ไม่เคยเหยียดใคร แบบป้า
ขอร้องเถอะถ้าอยากป่าวประกาศให้ชาวบ้านรู้ว่าผัวรวยก็จ้างรถติดลำโพงนู้น
ไม่ต้องมาชวนผมทะเลาะ เข้าใจป่ะ!!” ร่างอวบแบบคนอายุใกล้วัยทอง ข้ามแผงลอยลงมายืนประจันหน้าเขาอย่างทุลักทุเล
ด้วยขนาดความสูงที่แตกต่างกันแบบคืบต่อคืบ
ทำให้เจ๊แกต้องหันไปส่งสัญญาณให้ผัวร่างท้วม
อายุไม่น่าจะต่ำกว่าหกสิบที่น่าจะมีโรคประจำตัวพ่วงด้วยออกมายืนประจันหน้ากับเขาแทน
ขอร้องเถอะถึงเขาไม่ชอบหาเรื่องใคร…แต่ก็ไม่เคยให้ใครมาหาเรื่องกันได้ง่ายๆ
“มีเรื่องอะไรกันรึเปล่า”
=====================================
เป็นลมแดดเฉยๆค่ะ 555555551+ 1
ไชโป้วอร่อยมั้ยคะ?
ความคิดเห็น