คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 0 -จุดเริ่มต้น-
ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วยคับ ที่ไม่ได้อัพเลย ยิ่งมาคราวนี้ รีไร้ท์ใหม่หมด เพราะแบบว่า เขียนแบบเก่าแล้วรู้สึกไม่ค่อยถนัดเท่าที่ควร เลยขอเขียนใหม่นะคับ แต่เนื้อเรื่องยังเหมือนเดิม แต่รายละเอียดต่างๆจะเปลี่ยนแปลงไปเล็กๆน้อยๆ อาจจะมีตัวละครเพิ่มขึ้นมาหรือหาไป ก็ได้คับ
ขอบคุณหลายๆคนที่ติดตามมาตั้งแต่ Myblind Girlfriend นะคับ เรื่องนี้รับรองว่า จบไม่เศร้าแน่ๆ
Chapter 0 จุดเริ่มต้น-
24 ตุลาคม 2545
"ไหน บอกว่ามันไม่รอดแล้วไง แล้วทำไมมันถึงยังมีชีวิตอยู่ ห๊ะ" ชายชุดสูทสีดำ ตวาดใส่ลูกน้อง ที่ทำท่าเหมือนกับ ทำเรื่องผิดร้ายแรงมา
"แต่ไม่ว่าใครๆ ก็เห็นมัน โดน จียอง ยิงเข้าที่หน้าอกแล้วนะครับ เจ้านาย"ลูกน้องพยายามแก้ตัว ด้วยเสียงสั่น
"ไอ้บัดสบเอ๊ย ยังไง พวกแกก็ต้องจัดการเรื่องนี้ให้จบให้ได้ ไม่หยั่งงั้น พวกแกจะกลายเป็นฝ่ายที่จบแน่ๆ เข้าใจมั้ย" เจ้านาย ที่ลูกน้องเรียก ลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด ก่อนที่จะโทรไปรายงานเบื้องบน อย่างเสียงอ่อย
"ขอโทษ ครับ ครับ ผมจะจัดการให้เรียบร้อย ขอบคุณครับ" ชายคนนั้น ค่อยๆก้าว ขึ้นรถรีมูสีน สีดำก่อนที่จะหยุดสบถ แล้วค่อยขึ้นรถไป ทันทีที่ขา เขาก้าวเข้าไปในรถ เสียงปืน ไรเฟิล ก็ดังขึ้น ร่างของชายชุดสูท ล้มลง ในทันที เลือดสีแดง ไหลอาบออกมาจากขมับ ชายคนนั้น สิ้นลมหายใจในทันที
บนด่านฟ้า ไกลจากสถานที่นั้น มีชายหญิงคู่หนึ่ง พร้อมกับปืนไรเฟิล .22 ในมือ พวกเขายิ้มออกมา แล้วสบตาให้กัน ก่อนที่จะ จูบกันอย่างดูดดื่ม ฝ่ายชายเป็นคนพูดขึ้นมาก่อนว่า
"แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยนะ จียอง"
"ค่ะ จองอู"
ขณะเดียวกัน
โซล เกาหลีใต้
"อีเจ คดีนั้นไปถึงไหนแล้ววะ" นายตำรวจคนนึงถามถึงคดีที่เพื่อนตัวเองทำอยู่
"ก็เหมือนเดิมนะ ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย"อีเจ ถอนหายใจออกมา
"เอ้อ ได้ข่าวว่า นายโดนเรียกไปเป็นตำรวจนานาชาติหรือวะ หา ชิน" ทีนี้เพื่อนเลยถามถึงข่าวที่ตัวเองได้มา อย่างไม่แน่ใจ
"ก็เออดิ โคตรเซงเลย อยู่ๆก็เรียกไปเป็นตำรวจอินเตอร์บ้าบออะไรก็ไม่รู้ ทำไมต้องเป็นฉันด้วยวะ"
"อ่าว ก็แกผลงานดี แถมอายุยังน้อยอีกด้วย เอ้อ จะว่าไป ฉันอายุมากกว่าแกนี่ว่า แกหัดเคารพฉันมั้งสิวะ" อีเจแกล้งแหย่ ชินเล่นทั้งๆที่รู้ว่าเขายศใหญ่กว่าตัวเองมาก
"ครับ ไอ้คุณอีเจ" ทั้ง 2 หัวเราะกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
"สวัสดีครับ คังชินพูดคับ หาว่ายังไงนะครับ ได้ครับๆ ครับผมๆ จะรีบไปเดี๋ยวนี้เลยครับ" ชายหนุ่ม เก็บของอย่างรีบร้อน จนเพื่อนอดจะถามขึ้นมาไม่ได้
"เกิดอะไรขึ้นวะ ชิน"
"ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ฉันต้องไปรับงานนะ ท่าทางจะเป็นงานระดับนานาชาติวะ เหมือนจะตามจับแก๊งมาเฟีย แก๊งนึงนะ" ชินพูดออกมาแบบไม่ยี่ระกับเรื่องที่ตัวเองได้รับมอบหมาย
"ท่าทางแกไม่ทุกร้อนเลยนะเว้ย ถ้าเป็นงานระดับนานาชาติ แสดงว่าแกก็ต้องบินไปประเทศอื่นสิวะ" ชินค่อยๆหันไปมองหน้าอีเจ พลางทำหน้าตื่นๆ เหมือนเขาเพิ่งรู้ตัว แล้วพูดออกมาว่า
"เออ วะ"
ขณะเดียวกัน
กรุงเทพฯ ประเทศไทย
"หนูบอกแม่แล้วนี่ค่ะ ว่าหนูจะไม่เรียนต่อ มหาลัยนะ" สาวน้อย ตะโกนเสียงดังลั่นบ้าน หลังจากที่รู้ว่าแม่ตัวเอง เพิ่งไปสมัคร สอบเอ็นท์ทรานซ์ มาให้
"แกว่าไงนะ" สาวสวย ที่ดูท่าทางจะไม่เหมือนแม่ทั่วๆไป บอกเสียงเครียด
"หนู เคยบอกแม่แล้วนี่ค่ะ ว่าหนูจะไม่เรียนต่อนะ" สาวน้อยทำเสียงอิดออด
"แล้วแกจะทำอะไรละ หา ส้ม"
"หนูจะเป็นนักเขียนนิยายไงค่ะ หนู บอกแม่ไปแล้วนิ"
"นี่แกเอาจริงเหรอ" แม่ถามอย่างสงสัย
"ค่ะ หนูเอาจริง"แม่อ้าปากข้างกับคำพูดของส้ม
"ไม่ได้ ฉันไม่ให้แกทำหรอก เรียนไปเขียนไปก็ได้นี่ แกอยากเป็นอย่างฉันเหรอ"
"แล้วหนูเป็นอย่างแม่ไม่ได้เหรอ แม่ออกจะมีชื่อเสียง ปัทมา กิ่งแก้วพานิชย์ นักเขียนชื่อดัง แล้วแม่ก็ไม่ได้เรียนมหาลัยเหมือนกันนี่ค่ะ" ปัทมา กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
"หนู เอาแม่เป็นตัวอย่างอยู่นะค่ะ หนูอยากเป็นอย่างแม่ แม่ผู้สู้ชีวิต ตั้งแต่เด็ก จนกลายเป็นนักเขียนชื่อดังได้ หนูรู้ค่ะว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หนูจะพยายามทำให้มันดีที่สุดค่ะ"
"ลูกรักการเขียนหรือ" แม่ของส้ม ทำเสียงอ่อย
"ค่ะ หนูชอบการเขียนมาตั้งแต่เด็กแล้ว แม่ไม่รู้หรือ"
"แม่ไม่ได้ถามว่า หนูชอบการเขียน หนูรักการเขียนหรือเปล่า ลูกสามารถจะทิ้งทุกอย่าง เพื่อนิยายของลูกได้มั้ย" สาวน้อยนิ่งเงียบไป ทำให้คนเป็นแม่รู้ว่า เธอไม่ได้รักการเขียน อย่างแม่ของเขา เธอแค่อยากทำให้ได้เหมือนอย่างแม่เท่านั้น
"ลูกรัก ในปัจจุบันนี้ ถ้าไม่จนปริญญามาสักใบนึง แล้วละก็ การจะให้เป็นที่ยอมรับกันในสังคมนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยนะ" สายตาของแม่ บ่งบอกถึงความเป็นห่วงเป็นใย สาวน้อยก็ยังไม่ยอมแพ้
"แต่แม่ค่ะ หนู ... หนูอยากเขียนนิยาย โดยไม่ต้องมาห่วงถึงเรื่องคะแนน หรือเรื่องเกรดของตัวเองนะค่ะ หนูไม่อยากมาอ่านหนังสือเพียงเพื่อเอาไปสอบนะค่ะ"
"แต่ว่า ..."
"หนูคิดว่าหนูมีพรสวรรค์ค่ะแม่ หนูคิดว่าหนูทำได้ค่ะ" สายตาเปร่งประกายของลูกสาว ทำให้แม่รู้สึกอ่อนใจ ปัทมา ถอนหายใจออกมา เมื่อรู้ว่า ลูกตัวเองคิดว่า ตัวเองมีพรสวรรค์เหมือนอย่างเธอ
"ลูกเอ๋ย พรสวรรค์คืออะไร"
"คือ สิ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด แต่ละคนจะมีพรสวรรค์ไม่เหมือนกัน พรสวรรค์คือสิ่งที่เรา ทำได้โดยไม่ต้องฝึกฝน ใช่ไหมค่ะ" ปัทมายิ้มออกมาเล็กน้อย
"ถ้าอย่างนั้น หนูกินข้าวได้ หนูหายใจได้ หนูเดินได้ มันก็คือพรสวรรค์หรือจ๊ะ ไม่ใช่หรอก พรสวรรค์ของเรา คือ สิ่งที่เรามีอยู่แล้ว และฝึกฝนให้มันดีกว่าคนอื่น นักกีฬาที่บอกว่ามีพรสวรรค์ รู้มั้ยว่าเขาต้องฝึกมาหนักขนาดไหน ฝึกมามากขนาดไหน พวกเขาใช้เวลานานขนาดไหนถึงได้เป็นนักกีฬาอย่างนั้น"
"แต่แม่ก็..." สาวน้อยพยายามเถียง เพราะตัวเองไม่คิดว่าแม่ของเธอจะฝึกเขียนมา
"ใช่แม่ไม่ได้ฝึกมาอย่างพวกเขา ลูกคิดว่าแม่เขียนนิยายมาตั้งแต่อายุเท่าไรละ"
"15ไม่ใช่หรือค่ะ นิยายเรื่องแรกของแม่ ขายตอนแม่อายุ เท่านั้นนี่ค่ะ"
"ไม่ใช่หรอก แม่เขียนมาตั้งแต่ 9 ขวบแล้ว" ส้มตกตะลึง
"แม่เขียนนิยายมาตั้งแต่ 9 ขวบ และแม่ก็หาข้อมูลมาเขียนอยู่ตลอดเวลา จนแม่ไม่ได้มีชีวิตวัยรุ่นอย่างคนอื่นเขา แล้วลูกละ เพิ่งจะมาคิดเขียนนิยายตอนนี้ ลูกจะเทียบแม่ติดหรือ" สาวน้อยอ้ำอึ้งไป เธอไม่รู้มาก่อนว่า แม่เธอ ใช้เวลาถึง 6 ปี ถึงจะขายนิยายได้ แถมตอนนั้น แม่ของเธอยังอายุน้อยกว่าเธออีกต่างหากด้วย
"ถ้าลูกอยากจะเขียนนิยายละก็ ใช้เวลาในมหาลัย เป็นการฝึกสิ แม่ไม่คิดอยากให้ลูกได้เกรดดีๆหรอกนะ แม่แค่อยากให้ลูกใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นที่แม่ขาดไปก็เท่านั้น เข้าใจไหมจ๊ะ ลูกน้อยของแม่" ถึงแม้จะมีบางส่วนในใจของส้มยังอยากจะขัดแย้งอยู่ก็ตาม แต่เธอไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่แม่ของเธอพูดมาได้
"ถ้าอย่างนั้น ถ้าหนูสอบได้หนูก็จะเรียนมหาลัยละกันนะค่ะ แต่ถ้าหนูสอบไม่ได้.."
"ปีต่อไปก็ต้องพยายามใหม่จ๊ะ" สาวน้อย กะจะเถียงแม่ต่อ แต่เมื่อเห็นหน้าตาเอาจริงเอาจังของแม่เธอแล้ว ก็คิดว่า แม่คงไม่ยอมให้เธอเขียนนิยายโดยไม่ต้องเรียนมหาลัยแน่ๆ
"ลูกลองหาประสบการณ์ เพื่อเขียนนิยายสิจ๊ะ" สาวน้อยทำตาละห้อย ก่อนที่จะเดินจากแม่และเข้าห้องของเธอไป อย่างยอมแพ้ ในขณะที่แม่ของเธอ ต้องรีบไปรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาจากชั้นล่าง
"สวัสดีค่ะ" เธอกรอกเสียงใสลงไปในโทรศัพท์ก่อนที่จะตกใจเมื่อ เธอได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้นมา
"ผมว่าตอนนี้ก็ถึง เวลาที่เรานัดหมายไว้แล้วนะครับ" ฝ่ายนั้น พูดภาษาไทยด้วยสำเนียงแปลกๆ
"เอา คือว่า เธอยังเรียนไม่จบเลยนะค่ะ ฉันว่าให้เธอเรียนมหาลัยให้จบก่อนได้ไหมค่ะ"ปัทมา ขอร้องฝ่ายนั้น
"ผมว่าแล้วคุณต้องพูดอย่างนี้ ไม่เป็นไรคับ ทางเราก็อยากจะเร่งรีบอะไรมากนัก แต่อยากลืมสัญญาของเราก็แล้วกันนะครับ"
"ค่ะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ค่ะ สวัสดีค่ะ" ปัทมา ถอนหายใจออกมาอย่างแรง เธอแค่อยากจะยืดพันธะสัญญานั้นออกไปเท่านั้น ความจริง เธอก็อยากให้ลูกของเธอทำในสิ่งที่ตัวเองชอบเท่านั้น
ความคิดเห็น