ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Treasure Magic ผจญภัยขุมทรัพย์แห่งเวทมนตร์

    ลำดับตอนที่ #19 : บทที่ 18 - ผู้บุกรุก (2021 NRW)

    • อัปเดตล่าสุด 14 เม.ย. 64


     

             ถึงข้าจะไม่ได้รับเชิญ แต่ก็ช่วยชีวิตผู้นำของเรือไว้ล่ะนะ เสียงของบุรุษดังขึ้นมาก่อน แสงจันทร์สาดส่องไปยังระเบียงเรือเหนือขึ้นไป เผยให้เห็นรอยยิ้มอย่างไม่น่าไว้วางใจบนใบหน้า สายตาจ้องมองผู้ที่เขากล่าวถึงอย่างไม่สื่อความหมายอะไรมากมาย

     

                อัลจ้องตอบ แต่ใบหน้าแตกต่างกับอีกคนหนึ่ง มันไร้ความรู้สึก ดวงตาจ้องไม่กระพริบ ประกาศความเป็นอริด้วยสายตา นึกว่าเจ้าหายหัวไปไหน ชายหนุ่มยิ้มนิดๆ แต่รอยยิ้มคราวนี้ไม่อ่อนโยนเหมือนครั้งที่ผ่านมา

     

                “อะไรกัน เอ็ดเวิร์ดว่า

     

                “ข้าเก่งขนาดเล็ดรอดสายตาลูกเรือทั้งหมดของเจ้ามาได้เลยเหรอ...ไม่มั้ง ชายหนุ่มแสร้งทำท่าไม่เชื่อ แต่คำพูดนั้นกลับแฝงความดูถูกเอาไว้ลึกๆ

     

                คริซ... อัลกล่าวเบาๆ เรียกคนที่ใกล้เข้ามา

     

                “...ทุกอย่างเจ้าต้องรับผิดชอบ

     

                ผู้รู้แห่งราฟาเอลว์ก้มหน้ารับความผิด ครับ

     

                เคร้ง!!!!! เสียงดาบกระทบกัน ดาบที่พุ่งเข้ามาถูกปัดออกไปจากสายตาของกัปตันหนุ่มด้วยฝีมือของรองสามตำแหน่งที่บัดนี้กำบังอยู่ด้านหน้าเขาไม่ยอมให้อาวุธใดๆ ผ่านตัวไปได้ อัลไม่สะทกสะท้านต่อเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างรู้ดีว่าตัวเองจะไม่เป็นอะไร

     

                เอ็ดเวิร์ดกระโดดลงมาจากระเบียง พร้อมกับการเหยียบหัวลูกเรือราฟาเอลว์ไปคนหนึ่งก่อนลงถึงพื้น และรับดาบที่พุ่งเข้ามาพร้อมกันรอบด้านอย่างคล่องแคล่ว

     

                ผู้บุกรุกผลักดาบออกไปเพื่อตั้งหลัก แววตาที่เด็ดเดี่ยวกับดาบสีน้ำเงินในมือ ประกาศออกมาว่า แม้ตัวคนเดียวก็ต้องรอดพ้นจากที่นี่พร้อมเอาชีวิตของผู้นำสูงสุดตรงหน้าไปให้ได้ เจ้ากำลังบาดเจ็บอัล ราฟาเอลว์ ถ้าไม่ฉวยโอกาสตอนนี้แล้วจะเป็นตอนไหน ชายหนุ่มพึมพำเบาๆ ก็รู้ว่ายากลำบาก แต่หากง่ายๆ มันก็ไม่สนุกน่ะสิ สายตามองไปยังลูกเรือราฟาเอลว์ที่มองดูเชิงกันอยู่หลายคน สัมผัสในสายตาแสดงความเป็นศัตรูเต็มร้อย...แต่ก็มีความกลัวแฝงอยู่ลึกๆ เพราะรู้ดีว่าไม่อาจจะเอาชนะเขาได้ รอยยิ้มเกิดขึ้นบนในหน้าชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อน ถ้าใครบุกเข้ามาเขาก็พร้อมที่จะกำจัดในพริบตา

     

                มีรึที่ลูกเรือราฟาเอลว์จะยอมแพ้ให้กับอุปสรรคที่คิดว่าทำไม่ได้ตรงหน้า หากไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง ดาบ มีด ขวาน อาวุธในมือทุกคนจับกระชับแน่นขึ้น หากเขาคิดจะทำร้ายผู้นำของเรือละก็ คงต้องผ่านพวกเขาไปให้หมดซะก่อน

     

                เคร้ง!!! เคร้งๆ! เสียงดาบกระทบกันอีกระรอก ผู้บุกรุกเริ่มบุกเข้ามาอย่างไม่สนใจใดๆ เพราะเป้าหมายคือคนตรงหน้า เขาต้องฝ่าวงล้อมนี้ออกไป

     

                สามรองตำแหน่งผู้นำ คลิฟท์ ไรอัล และฮอคซ์เป็นผู้ยืนอยู่หน้ากัปตัน บุรุษทั้งสามคือผู้คุ้มครองที่เยี่ยมยอดที่สุดแห่งราฟาเอลว์

     

                “อยากรู้นัก…” เอ็ดเวิร์ดฝ่าวงล้อมออกไปได้สำเร็จ เขาเห็นทั้งสามยืนอยู่ตรงหน้าอัลแล้ว

     

                “ว่าพวกเจ้า...

     

                เคร้ง!!!!! เสียงดาบของชายนักล่าหัวกระทบเข้ากับรองกัปตันตัวล่ำสัน

     

                จะทำได้ซักแค่ไหน!!!”

     

                ปัง! ลูกปืนจากรองกัปตันอีกคน ทำให้ชายหนุ่มผู้บุกรุกจำต้องหลบวิถีกระสุนไปอีกทาง และก็ต้องหลบอีกครั้งเมื่อไปขวางทางดาบของเทพซีซัตหนุ่มเข้า ชายหนุ่มหนีออกไปไกล ทำให้ทั้งสามต้องตามออกไปเช่นกัน... เสียงลูกปืนของคลิฟท์ดังขึ้นอยู่เป็นช่วงๆ พร้อมกับเสียงดาบที่กระทบกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดง่ายๆ

     

                อัลจ้องมองภาพเบื้องหน้าอย่างคาดเดาสถานการณ์ต่อไป ความคิดที่วุ่นวายไปหมด ชวนให้คนที่พักผ่อนไม่เพียงพอเช่นเขาปวดหัวขึ้นมาดื้อๆ

     

                กัปตัน ข้าแนะนำให้ท่านหลบไปก่อน เสียงคริซโตเฟอร์เข้ามาในหู

     

                อัลกำมือตัวเองแน่น ไม่ เขาปฏิเสธเสียงแข็ง

     

                อย่าดื้อหน่อยเลยน่า เสียงสูงแสดงความไม่พอใจ ขี้เกียจพูดด้วยคำไพเราะสุภาพ

     

                “เจ้าจะหลบไม่หลบ... ผู้รู้กล่าวอย่างเริ่มไม่พอใจ

     

                อัลหันมายิ้มดูเหมือนเขาจะพอใจในคำพูดที่ไม่เป็นพิธีตรีตรองมากกว่า แต่ดวงตาสีน้ำตาลดำนั้นกลับมีแววของความจริงจัง เจ้าคิดว่าพวกนั้นจะชนะเอ็ดเวิร์ดและดาบดาร์เกียทีมิสได้เหรอ

     

                ชายเผ่าอะลาศถอนหายใจ แล้ว...เจ้า เอ้ย ท่าน...ท่านคิดว่า หากท่านนั่งอยู่อย่างนี้ จะทำให้ท่านเอ็ดเวิร์ดแพ้พวกนั้นเหรอไง

     

                ชายผมสีแดงเพลิงไม่สนใจ หันกลับไปหาเหตุการณ์ต่อสู้ตรงหน้าต่อ ข้าจะอยู่ อัลพูดเบาๆ

     

                ดื้อ... แถมยังดื้อแบบไม่ธรรมดา คริซสรุปในใจ ดื้อแบบเอาแต่ใจ...

     

                ปัง! เสียงปืนของคลิฟท์ออกจากกระบอกอีกนัด เฉียดเข้าที่ไหล่ของเอ็ดเวิร์ดไปเล็กน้อย ผู้บุกรุกหันมาสบตาเจ้าของกระสุน แววตาสะท้อนสีของดาบออกมาเป็นสีน้ำเงิน ก่อนที่รองกัปตันผมบลอนด์จะรับดาบดาร์เกียทีมิสไว้ด้วยกระบอกปืน

     

                คลิฟท์!” เสียงร้องของคนที่ไม่อาจจะช่วยเหลืออะไรได้อย่างกัปตันราฟาเอลว์ประสานเป็นเสียงเดียวกับหลายคนที่วิ่งเข้าไปหาภาพตรงหน้า

     

                ดาบดาร์เกียทีมิส ดาบในตำนานที่ควบคุมด้วยพลังจิต กระบอกปืนธรรมดาคงไม่สามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน

     

                อัลพยายามบังคับตัวเอง บังคับมือที่สั่น บังคับหัวใจที่เต้นแรงให้นิ่งและสงบลง แต่ดูเหมือนจะยากลำบากเหลือเกิน เพราะว่าเขาช่วยอะไรไม่ได้เลยจึงเจ็บใจอยู่แบบนี้ หากขยับได้ซักนิดล่ะก็...

     

                มือบางเข้ามาแตะที่ไหล่ ทำให้มันสงบลงอย่างไม่น่าเชื่อ ชายหนุ่มหันไปมองร่างของสตรีที่เดินเข้ามาหาเขา นั่งลง อัล...เจ้าบาดเจ็บอยู่นะ เอเวียน่าพูดเบาๆ

     

                แต่ว่า... กัปตันหนุ่มจะเถียง

     

                นั่งลง หรือไม่ก็หลบไปซะ คนบาดเจ็บน่ะ ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกเป็นตัวถ่วงซะเปล่าคำพูดตรงๆ ทำให้คนตรงหน้าจำต้องทำตามอย่างเถียงไม่ออก

     

                อัลมองดวงตาที่ฉายแววประหลาดของเธอ แต่เพราะความมืดทำให้ไม่สามารถตีได้อย่างชัดเจน เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า ชายหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วง

     

                คริซโตเฟอร์ที่แอบมองหน้าเธอด้วยอีกคน รู้ดีว่าทำไมเธอถึงเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ไม่พูดอะไร ชายเผ่าอะลาศอยากเห็นท่าทีของสตรีตรงหน้ามากกว่า

     

                คริซ กัปตันราฟาเอลว์หันมา ทำให้เขาสะดุ้งนิดนึง

     

                ว่าไง

     

                คริซ...ข้าขอสั่งให้เจ้าสู้แล้วข้า...จะนั่งรออยู่ที่นี่... เขาพูดพลางเหลือบไปทางหญิงสาวข้างกาย

     

                รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าที่เหมือนสตรีของผู้รู้แห่งราฟาเอลว์ ได้เสมอ

     

     

     

                กระบอกปืนไม่อาจต้านทานความคมของดาบในตำนานได้นานอย่างที่คิด คลิฟท์จ้องมองบุรุษที่อยู่เหนือกว่า เขากำลังยิ้ม ชายหนุ่มจ้องมองแววตาสีน้ำเงินที่ไม่ได้เห็นมานาน...คนๆ นี้เอาจริง!

     

                “ข้าอาจจะกำจัดไม่ได้ทุกคนแต่ว่า…” ดวงตาเย็นชาที่เคยเห็นเมื่อในอดีต...

     

                เคร้งๆๆๆๆ!!!!!! กระบอกปืนถูกหักเป็นสองส่วน เอ็ดเวิร์ดเหวี่ยงตัวเข้าไปรับดาบที่พุ่งเข้ามาอีกอันหนึ่งของโอลิเวอร์ และผลักออกไปให้พ้นทาง มือของผู้บุกรุกคว้าเข้าที่คอของคนที่นอนอยู่อย่างไม่มีทางสู้ แล้วดึงขึ้นมาเหนือพื้นดิน

     

                ...หากค่อยๆ หักแขนขา แม้มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ประเสริฐก็อาจเดินได้ไม่ตรงทาง เขากำมือด้านนั้นแน่นบีบคอชายหนุ่มตรงหน้าอย่างหมายพรากชีวิต โดยไม่สนใจสีหน้าที่เจ็บปวดของเขาเลยแม้แต่น้อย

     

                “โอ๊ย!” เอ็ดเวิร์ดร้องเบาๆ เมื่อมีดปักเข้าที่มือข้างนั้นอย่างแม่นยำ จนต้องปล่อยร่างของรองกัปตันตรงหน้าทันที

     

                “นึกว่ารู้ตัวแล้วซะอีก เมื่อเขาหันไปเห็นเจ้าของมีดก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

     

                รู้ตัวว่าอะไรไม่ทราบ ดาบถูกชักออกมาจากใต้กระโปรงยาวที่เจ้าตัวเปิดขึ้นมาอย่างไม่อายสายตาประชาชี ท่าทางการจับดาบของเขาดูเหมือนจะไม่ประสีประสาในการต่อสู้ ดูคล้ายการร่ายรำมากกว่า คริซโตเฟอร์...บุรุษแห่งเผ่าอะลาศ ควงดาบในมืออย่างงดงาม

     

                เอ็ดเวิร์ดยิ้ม รู้ตัวว่าตัวเองแก่หงำเหงือกเกินกว่าที่จะสู้รบ

     

                ชายหนุ่มทำหน้าบอกบุญไม่รับกับคำพูดที่ได้ยิน ดูถูกอายุของสตรีเพศ เสียมารยาทนะ...ท่านศัตรู ดาบถูกตั้งอย่ในระดับดวงตาสีมรกต ก่อนจะพุ่งไปตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว

     

                เคร้ง! เสียงดาบปะทะกัน

     

                คลิฟท์สำลักเอาน้ำลายออกมาจากคออย่างเอาเป็นเอาตาย พึ่งรอดตายมาได้อย่างฉิวเฉียดทั้งๆ ที่คิดว่าจะไม่รอดซะแล้ว ชายหนุ่มถูกประคองขึ้นมาด้วยบุรุษสองคน ขอบใจ เขาเช็ดปากด้วยแขนเสื้อ

     

                ไม่เป็นไรนะ ไรอัลว่า

                อืม

                ที่เหลือคอยดูคริซโตเฟอร์สู้ดีกว่า โอลิเวอร์หันไปมองอีกทางหนึ่ง

     

                ความเร็วที่แทบมองไม่เห็น การปะทะดาบกันไปเรื่อยๆ เหมือนกับเป็นการลองเชิงอยู่ คริซโตเฟอร์บุกเข้าไป การต่อสู้ของอะลาศ…” น้ำเสียงของสตรีกล่าวอย่างไม่มีทีท่าของความเหน็ดเหนื่อย เอ็ดเวิร์ดผลักดาบที่พุ่งเข้ามาออก ผู้รู้ถอยออกไปตั้งหลัก และบุกเข้ามาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ชายนักล่าหัวรับดาบนั้น ดวงตาสีมรกตจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อน

     

                “...ไม่ใช่การจับดาบ

     

                ดวงตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ฉึก! ของมีคมเฉือนเนื้อบางๆ เป็นผลทำให้เลือดไหลเล็กน้อย เพราะเจ้าตัวดันหลบออกไปในรัศมีมีดเพียงไม่กี่วินาที เอ็ดเวิร์ดถอนหายใจแรง สายตาจ้องมองคนตรงหน้าไม่วางตา

     

                ผู้รู้แห่งราฟาเอลว์ยืนนิ่ง ไม่มีการตั้งการ์ดเตรียมพร้อมใดๆ ปล่อยปลายดาบลงกับพื้น เหมือนดูถูกฝีมือคนตรงหน้าอย่างเขา

     

                เอ็ดเวิร์ดหรี่ตาลงมอง บุรุษที่เหมือนสตรี ตอนนี้ดูมีช่องโหว่เต็มไปหมดก็จริง แต่เขาไม่พร้อมที่จะบุกเข้าไปหากยังประเมินคนตรงหน้าไม่ดีพอ ...ผมยาวสีน้ำตาลแดง สวมชุดแขนและกระโปรงยาวถึงตาตุ่ม และดูเหมือนจะสวมรองเท้าบู๊ทหนังยาวเสียด้วย ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ คงซ่อนอาวุธอะไรต่างๆ มากมายไว้ในส่วนที่มองไม่เห็นซึ่งเต็มไปหมด และแน่นอนอาวุธของชาวเผ่าอะลาศ...มีด

     

                ซ่อนไว้เท่าไรล่ะ ชายหนุ่มหยั่งเชิง

     

                ซ่อน? คริซตีหน้าซื่อเหมือนหญิงสาวไม่รู้เรื่อง

     

                อะไรเหรอ เขายิ้ม

     

                ชายผมสีน้ำตาลอ่อนเหงื่อตก เล่ห์มากนักนะ เพราะอายุเหรอไง...ชายหนุ่มคิด ท่าทางเป็นคนที่เล่นด้วยยากแฮะ เขาก็ยังไม่เคยต่อสู้กับคนตรงหน้า ยังไงซะเอ็ดเวิร์ดคิดว่า ตัวเองคงเอาชนะได้ แต่คงต้องใช้เวลาหน่อย ซึ่งเขาไม่ต้องการที่จะเสียเวลาอีกต่อไป ก่อนอื่น...ก็ต้อง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลงอย่างแน่วแน่กว่าเดิม เจ้าปีนี้อายุเท่าไรแล้วล่ะ

     

                รอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่ชายเผ่าอะลาศจะบุกเข้ามาอีกครั้ง เอ็ดเวิร์ดเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว การถามอายุสตรีเนี่ย ข้าบอกว่ามันเสียมารยาทไม่ใช่เหรอ...ท่านเอ็ดเวิร์ด

     

                งั้นเหรอ เขาเลิกคิ้ว ก่อนวาดดาบขนานกับพื้นอย่างรุนแรง

     

                ผู้รู้แห่งราฟาเอลว์กระโดดหลบออกไปตั้งหลัก

     

                รอยยิ้มอย่างมีชัยเผยขึ้น ในที่สุดก็ออกมาซักที เสียงกล่าวขึ้นเบาๆ

     

                คริซโตเฟอร์สะดุดกับคำพูดที่ออกมาจากปากของชายหนุ่ม แล้วเขาก็นึกอะไรบางอย่างออก ผู้รู้รีบหันกลับไปในทันที

     

                เอ็ดเวิร์ดไม่สนใจเขาอีกต่อไปหันปลายดาบไปที่กัปตันราฟาเอลว์ และพุ่งตัวไปอย่างรุนแรงและรวดเร็ว

     

                อัลเบิกตากว้าง ชายหนุ่มพยายามช่วยตัวเอง เขาลุกขึ้นยืน แต่...

     

                ลาก่อน อัลฟอร์ด

     

                อึก!

     

                สายลมพัดเข้ามาในเรือ เส้นผมปลิวไปตามกระแสลมที่พัดเข้ามา เหงื่อไหลตามใบหน้าและร่างกาย ดวงตาจับจ้องภาพที่เกิดขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ เวลาต่างๆ เหมือนหยุดลงตรงนั้น ไม่มีใครกล้าขยับร่างกายของตัวเอง ไม่มีแม้แต่เสียงร้องบอก เป็นความเงียบที่เหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างจะจากไปในเสี้ยววินาที

     

                เคร้ง!

     

                ดาบลอยกระเด็นออกไป หมุนคว้างอีกหลายทีก่อนจะนิ่งสงบและกลายเป็นไอน้ำสลายไป ปลายคทาสีขาวซึ่งปัดดาบที่รุนแรงเมื่อครู่ออกไปปรากฏอยู่ตรงหน้า สตรีสาวกำคทาในมือแน่นจ้องมองไปที่ผู้บุกรุกเบื้องหน้าอย่างไม่ไว้วางใจ

     

                แต่ดวงตาของเขากลับไม่แสดงแววใดๆ ออกมา...มันว่างเปล่า ซึ่งเป็นแววตาเดียวกับผู้ที่อยู่ด้านหลังของเธอ

     

                เอ็ดเวิร์ดน่ะ ต้องการตัวเจ้าใช่มั๊ย คำพูดของคริซโตเฟอร์เมื่อครู่ที่ถามเธอออกมาอย่างไม่ใส่ใจต่อความรู้สึกของเธอเลยซักนิด

     

                ปลายคทาจ่อที่คอ หากปักลงไป หมอนี่ต้องตายอย่างไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีก แล้วคนอย่างผู้รู้แห่งราฟาเอลว์ก็จะไม่สงสัยในตัวเธอด้วย เอ็ดเวิร์ดคิดจะฆ่าอัล...ทำไมจะต้องสนใจคนอย่างเขา แต่ว่า...มือบางกลับสั่น ทั้งๆ ที่เป็นอาวุธที่เธอคุ้นเคยแท้ๆ แต่มือกลับสั่น!

     

                ชายหนุ่มทั้งสองสังเกตถึงอาการของเธอ ได้แต่มองอย่างรู้สึกต่างกัน คนหนึ่งไม่คิดจะขัดขืนเธอเลย แทงก็ได้นะ เสียงเอ็ดเวิร์ดกล่าวเบาๆ น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัดเจน

     

                ความเงียบเกิดขึ้น เอเวียน่ายังไม่ยอมที่จะลดคทาลงหรือยังไม่ยอมที่จะแทงคทาลงไป ความชุลมุนเริ่มลงตัวเมื่อทุกๆ คนในเรือเริ่มเข้ามานั่งประจำที่ของตัวเอง รวมถึงรองทั้งสี่ตำแหน่งด้วย ไรอัล คลิฟท์และฮอคซ์ประกบอยู่ที่ผู้ต้องหารอการตัดสินใจของหญิงสาว ส่วนคริซได้แต่มองภาพนั้นด้วยหางตาก่อนเดินเข้าไปประจำที่เดิม

     

                มือบางสั่นมากขึ้น หญิงสาวยังไม่ยอมที่จะทำอะไร เธอไม่มั่นใจในความต้องการของตัวเอง แล้วร่างบางก็สะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อมือหนาของบุรุษด้านหลังเข้ามาประคองมือของเธอเอาไว้

     

                พอเถอะ อัลพูดเบาๆ

     

                และคทาสีขาวก็ลดต่ำลง หญิงสาวก้มหน้าอย่างไม่ยอมให้ใครเห็นความรู้สึกทางสีหน้า แล้วเดินออกไป

     

                กัปตันหนุ่มไม่ร้องห้าม เพียงแต่หันมามองลูกเรือทั้งหมดแล้วหันกลับไปมองคริซโตเฟอร์ที่ด้านหลัง ข้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แล้วอย่าลืมมาเล่าให้ข้าฟังด้วยนะ ชายหนุ่มกล่าว ก่อนจะนั่งลงที่ลังเดิม ความจริงเขาก็อยากตามเอเวียน่าไป หากไม่ติดเรื่องเจ้าผู้บุกรุกตรงหน้านี่ล่ะก็... อัลจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่คุ้นเคย

     

                ซึ่งเขาจ้องชายหนุ่มอยู่ก่อนแล้ว ท่าทางจะทำได้ทุกอย่างนะ...เจ้าน่ะ เอ็ดเวิร์ดว่า

     

                กัปตันราฟาเอลว์ยิ้มรับ ถูกต้อง รวมถึงฆ่าเจ้าด้วย

     

                ชายนักล่าหัวยืดตัวขึ้นอย่างท้าทาย ก่อนที่จะยิ้มออกมาเช่นกัน ก็ลองดูสิโอ๊ย!บุรุษร้องเสียงหลง ทรุดลงไปเมื่ออะไรบางอย่างมากระทบเข้าที่น่องขา

     

                โอลิเวอร์เหยียบขาชายผมสีน้ำตาลอ่อนแน่น หวังให้นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเจ้านายของเขา เจ้ามีสิทธิพูดอย่างนั้นด้วยหรือไง

     

                พอได้ทีเนี่ย... เอ็ดเวิร์ดหรี่ตามองไปที่เทพซีซัต

     

                “...เจ้าขี่แพะไล่เลยนะ...โอลิเวอร์ ชายหนุ่มกล่าวครันหันหน้ามาที่เทพหนุ่มช้าๆ ก่อนจะรับแรงเหยียบที่แน่นขึ้นอีกด้วยสีหน้าเจ็บปวดแต่เขาก็ไม่ยอมแม้แต่จะร้องออกมาซักนิดเดียว

     

                กัปตันหนุ่มถอนหายใจเบาๆ เท้าคางขึ้นมาอย่างหมดอารมณ์ อยากรีบตัดสินใจเรื่องคนตรงหน้าไปให้พ้นๆ จะเอาไงล่ะ อัลถาม

     

                ชายผมสีน้ำตาลอ่อนเงยหน้า คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย ปากเผยยิ้มอย่างเหลือเชื่อ ก่อนพูดขึ้นบ้าง ไหนว่าจะฆ่าข้าไม่ใช่เหรอไง

     

                คิดว่าข้าจะทำได้เหรอไง อัลย้อน

     

                “ข้าไม่ทำหรอกน่า

     

                ก็ทำซะสิ เอ็ดเวิร์ดหวังลุกขึ้นโวย หากไม่ติดเท้าที่ซีซัตหนุ่มเหยียบอยู่ล่ะก็

     

                “หากเห็นว่าเคยเป็นเพื่อนกันล่ะก็...ข้าจะฆ่าเจ้าชายหนุ่มก้มหน้า คำพูดสุดท้ายเบาเหมือนไม่อยากให้คนตรงหน้าได้ยิน

     

                แต่เขาก็รับรู้ทุกคำพูดที่สหายเก่าพูดนั่นแหละ ทำไมเจ้าต้องดึงดันให้ข้าฆ่าเจ้า และทำไมเจ้าจะต้องฆ่าข้าด้วย…” อัลกล่าวหน่ายๆ เหมือนเรื่องความเป็นตายเป็นเรื่องที่เขาเจอจนรู้สึกเบื่อกับมัน

     

                “เอ็ด... เขาเรียกสหาย

     

                ชายหนุ่มเงยหน้าอย่างไม่พอใจในชื่อที่เอ่ยเรียกเขา ข้าชื่อเอ็ดเวิร์ด ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนขู่เข็ญอย่างไม่ดูสถานะตัวเอง

     

                อัลหัวเราะเบาๆ เจ้ากับข้าไม่เบื่อบ้างเหรอไงกับชะตากรรมที่ผู้อื่นยัดเยียดมาให้ ชะตากรรม... ที่กล่าวว่าเราต้องฆ่ากัน ชะตาที่ทำให้ข้าและเจ้าเสียผู้เป็นที่รัก...เสียงที่เอ่ยถึงผู้คนที่รักเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ กัปตันราฟาเอลว์นึกถึงหน้าของบิดามารดาขึ้นมาทันที เขาเงียบไปพักนึง

     

                เอ็ดเวิร์ดก็คิดเช่นกัน ก็..เขาเป็นคนที่พลัดพรากบิดามารดาของคนตรงหน้าไปเองแท้ๆ มันเป็นเรื่องที่ควรจะเกิดขึ้น...

     

                ...ในอนาคต อัลต่อให้

     

                ชายผมสีน้ำตาลอ่อนเงยหน้าขึ้นมา

     

                เอ็ด...ยอมรับเถอะ อัลยิ้ม รอยยิ้มนั้นดูจริงใจและอบอุ่น

     

                “เราอาฆาตกันมามากแล้ว ข้าท้อกับสิ่งที่เกิดขึ้น...เจ้า...ไม่คิดอย่างนั้นหรือ

     

                ความคิดแบบนั้นมีแต่ทำให้เราเป็นผู้แพ้

     

                ชายผมสีแดงเพลิงหัวเราะ เจ้าลืมไปรึเปล่า ที่นี่ราฟาเอลว์นะ ไม่ใช่เคียร์วาหรือเรฟซาเรีย เราไม่จำเป็นต้องหาผู้แพ้หรือผู้ชนะ... ชายหนุ่มหรี่ตามอง ก่อนเอ่ยต่อไป

     

                “...เจ้าจะอยู่ที่นี่มั๊ย เอ็ดเวิร์ด คำถามสุดท้ายกัปตันหนุ่มสบตาคนตรงหน้าตรงๆ

     

                นายท่าน!” เสียงของเทพหนุ่มขัดขึ้นมา แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

     

                ชายนักล่าหัวอึ้งๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้ม อีกแล้ว...เป็นแบบนี้อีกแล้ว เหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต ในตอนนั้น...ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่เขาตอบตกลงไป คนตรงหน้าเป็นคนที่น่าทึ่งเหลือเกิน เป็นคนที่นึกไม่ถึงจริงๆ บุรุษที่จะนำมาซึ่งทุกอย่าง...ในอนาคต คนที่ควบคุมทุกสิ่งได้ด้วยเพียงคำพูดที่เปล่งออกจากปาก คนซึ่งแตกต่างกับเขาโดยสิ้นเชิง แววตาเจ็บปวดภายใต้เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่หล่นลงมาปิดหน้าตาเอาไว้ ไม่ได้หรอกนะ อัลฟอร์ด...ท้ายสุด ข้าก็คงทำร้ายเจ้าอยู่ดี

     

                พวกเราไม่ใช่มิตร...

     

                ...คงต้องเป็นศัตรูตลอดกาล...

     

                มันเป็นเรื่องของอนาคต...จริงอยู่...แต่อนาคตที่ว่าอาจกำลังมาถึง

     

                แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ...ที่ทำอย่างนี้ เอ็ดเวิร์ดกล่าวเสียงค่อย เขาพูดอย่างรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

     

                แต่กัปตันราฟาเอลว์กลับยิ้มออกมา ดูท่าทางเขาไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอนาคต หรือแม้แต่คำพูดที่แฝงความนัยเอาไว้ลึกๆ ของชายตรงหน้านั่น วันนั้น...ก็คงแล้วแต่ชะตากรรม อัลกล่าวเบาๆ

     

                ใบหน้าของชายนักล่าหัวมีท่าทียอมแพ้แต่โดยดี โอลิเวอร์... เสียงเรียกคนที่อยู่ด้านหลังเขาเบาๆ

     

                ทำให้ผู้ถูกเรียกต้องสะดุ้งเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจะโดนเอ่ยชื่อออกมา

     

                ...เจ้าจะเอาเท้าหนักๆ ของเจ้าออกจากขาข้าได้รึยัง น้ำเสียงเย็นๆ อย่างข่มขู่ พร้อมกับใบหน้าของชายหนุ่มที่หันมาอย่างช้าๆ ทำให้คนที่เป็นเจ้าของ เท้าหนักๆต้องยกเท้าของตัวเองออกทันทีถึงแม้จะไม่ค่อยพอใจในการตัดสินตรงหน้าเท่าไร

     

                ชายหนุ่มยืนขึ้น เขาครางเบาๆ เมื่อพยายามขยับขาให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

     

                เจ้ามีจุดประสงค์ในการเดินทางรึเปล่าอัลถาม เท้าคางอย่างไม่ใส่ใจ

     

                มีแน่นอน เอ็ดเวิร์ดตอบ ท่าทางอารมณ์ดี

     

                ...อยากรู้เหรอ ดวงตาจ้องมองคนตรงหน้า ตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววลึกลับ รอยยิ้มบางๆ ปรากฏที่มุมปาก

     

                กัปตันราฟาเอลว์มองอย่างรู้สึกไม่ชอบใจ ข้าตัดสินผิดรึเปล่า เขาบ่นพึมพำ

     

                ผู้บุกรุกหัวเราะเบาๆ ใช่ ดูเหมือนจะคิดได้สายเกินไป...แล้ว... ชายหนุ่มกลับมาสบตาผู้นำแห่งราฟาเอลว์อีกครั้ง

     

                ...อยากรู้รึเปล่าล่ะ

     

                อัลสบตากลับครู่นึง แล้วหลบตาหนี กัปตันหนุ่มถอนหายใจ ข้าคิดว่าข้ารู้นะ

     

                เอ็ดเวิร์ดหัวเราะนิดๆ แต่คนตรงหน้าดูเหมือนไม่ขำด้วย แล้วชายนักล่าหัวก็เดินออกไปจากที่ที่ตัดสินเขา ท่ามกลางสายตาทุกดวงมองตามอย่างเหลือเชื่อ อย่างไรก็แล้วแต่ ตอนนี้...เขาก็อยากจะเป็นอิสระเหมือนกัน และการที่เดินทางไปกับราฟาเอลว์คงไม่ได้เลวร้ายเท่าไร...แม้เป็นเวลาไม่นาน แต่ก็คงสนุกสมใจ

     

                กัปตันหนุ่มถอนหายใจ เขาคิดว่ารู้... ถ้าเดาไม่ผิด และก็คงไม่ผิดน่ะแหละ ก็รอยยิ้มของหมอนั่น...จะมีเรื่องอะไร นอกจาก...

     

                สตรีสาวคนเดียวของเรือ...

     

                ...เอเวียน่า...

     

     

     

                สายลมพัดเย็นๆ พัดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ใต้ท้องเรือ ไล่ไปตามใบหน้าและเส้นผมเธอเบาๆ ความสดชื่นพร้อมกับกลิ่นทะเลที่ไม่ได้สัมผัสมานานนับตั้งแต่ตอนขึ้นเกาะแห่งแร่ธาตุนั่น กลิ่นเกลือสมุทรที่ไม่เคยคิดจะชอบ เพราะตัวเธอเป็นคนเกลียดน้ำเป็นชีวิตจิตใจ ตอนนี้เธอกลับรู้สึกดีอย่างประหลาด จนต้องขอบคุณมัน

     

                ความต้องการของชายนักล่าหัว...เอ็ดเวิร์ด เอเวียน่าถอนหายใจ เธอคงทำให้ใครหลายๆ คนลำบากเข้าแล้วล่ะมั้ง โดยเฉพาะสหายเก่าของเขา...กัปตันราฟาเอลว์ เหตุการณ์วันนี้พิสูจน์ได้ดีเลยทีเดียว

     

                เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ของเรือใกล้เข้ามา หญิงสาวไม่หันไปดูก็พอรู้ว่าเป็นใคร สวัสดีเธอกล่าวทักทายเหมือนพึ่งเจอหน้ากัน ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ หญิงสาวพึ่งเอาคทาจ่อคอเขาเอาไว้

     

                ชายนักล่าหัวเบิกตากว้างอย่างนึกไม่ถึงว่าจะพบเจอเธอที่นี่ แล้วเขาก็มองไปทางอื่นท่าทางครุ่นคิด ก่อนจะหันกลับมามองเธอด้วยรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ ว่าไง เขาทักตอบ

     

                ...กัปตัน หญิงสาวเรียกยศของคนที่กล่าวถึง

     

                “ตัดสินว่าไงบ้างล่ะ

     

                เอ็ดเวิร์ดเลิกคิ้ว ให้ข้าอยู่ที่นี่ได้…” ชายหนุ่มตอบเบาๆ

     

                งั้นเหรอ เอเวียน่ากล่าว เธอไม่แปลกใจเท่าไรหรอกที่คนอย่างอัล ราฟาเอลว์จะไม่ใส่ใจเรื่องที่คนตรงหน้าจ่อดาบใส่ตัวเอง ในเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ ชายหนุ่มคงคิดอย่างนั้น อีกอย่าง...คงคิดว่าเอ็ดเวิร์ดเป็นสหาย เอเวียน่าหันไปสบตาคนข้างกาย

     

                แล้วหมอนี่...จะคิดว่าอัลเป็นสหายบ้างรึเปล่า เธอคิด

     

                มีอะไรรึเปล่า ดวงตาคนข้างกายฉายแววอย่างขี้เล่น เขายิ้มบางๆ

     

                ปะ...เปล่า เอเวียน่าหลบสายตา หัวใจเต้นอย่างผิดปกติ หญิงสาวเท้าคางเพื่อปิดซ่อนใบหน้าของเธอเอาไว้

     

                เมื่อครู่... เอ็ดเวิร์ดละสายตาจากเธอ เขาเว้นช่วงพูดนิดนึง เหมือนไม่อยากนึกถึง

     

                “...ทำไมถึงจ่อคทามาทางข้าล่ะ...สาวน้อย

     

                ผู้ถูกเรียกว่าสาวน้อยขมวดคิ้วกับคำนั้น ใครเป็นสาวน้อย เธอกล่าวอย่างไม่พอใจ

     

                เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ให้กับคนพูด

     

                หญิงสาวรอให้เขาหัวเราะจนพอใจ แล้วปล่อยให้ความเงียบเข้ามาซักพักก่อนครุ่นคิดกับคำถามของเขา

     

                สายลมพัดเข้ามาอีกระลอก พัดเส้นผมสีน้ำตาลดำให้ปลิวไสว มือบางสางผมที่ปรกหน้าเบาๆ หากเจ้าคิดจะฆ่าอัล... เอเวียน่ากล่าว แล้วหันมาสบตากับคนข้างกายพอดี แววตาของเขาก็ดูตกใจกับสิ่งที่เธอพูดเช่นกัน

     

                “...รองทั้งสี่ตำแหน่งไม่ปล่อยเจ้าแน่ หญิงสาวพูดโดยไม่รวมเธอเข้าไปด้วย เธอหันหลังหวังเดินออกไปให้พ้นๆ

     

                เอ็ดเวิร์ดยิ้มบางๆ กับคำพูดนั้น แล้วเจ้าล่ะ...

     

                เอเวียน่าหยุดกึก หน้าเนียนใสหันมา เธอคิดอยู่ครู่นึงก่อนเอ่ย ...ข้าก็เช่นกันเธอหันหลังเดินต่อไป

     

                ชายหนุ่มเข้าไปคว้ามือของคนตรงหน้าเอาไว้ ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะโวยวายอะไร มือบางก็ถูกดึงขึ้นไปสัมผัสริมฝีปากของเขาเบาๆ ดวงตาสีชาเบิกกว้าง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของบุรุษไม่จางไป ข้าจะรอดู...

     

                คำพูดที่ท้าทายเรียกสติคนตรงหน้าไม่ให้วอกแวกไปไหน ดวงตาคมกล้าหรี่ลงอย่างไม่ยอมแพ้ หญิงสาวสะบัดมือออก “…คอยดูละกันเธอว่าก่อนจะหันหลังกลับไปและเดินออกโดยไม่หันมามองคนที่เธอทิ้งไว้ด้านหลังอีกเลย

     

                เอ็ดเวิร์ดยิ้มกว้าง ไม่เปลี่ยนเลยซักนิด... เขาพึมพำ แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ดูเหมือนว่าเขาจะต้องรีบเสียแล้ว

     

                ...ต้องพาเอเวียน่าออกไปให้ได้ แม้เธอจะยอมหรือไม่ก็ตาม...

     

     

     

                ท้องฟ้ายามรุ่งอรุณใหม่ได้เริ่มต้นด้วยบรรยากาศสดใส พร้อมกับการลุกขึ้นของสิ่งมีชีวิตเพื่อเผชิญกับวันอีกวันหนึ่ง ดวงอาทิตย์ทอแสงอ่อนๆ อันอบอุ่นแหวกหมอกที่เกิดจากน้ำในมหาสมุทร แล้วเข้าไปกระทบกับน้ำจนเกิดประกายงดงาม แสงของสุริยันยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น ยังฉายไปรอบๆ บริเวณ เพิ่มความงดงามให้กับอีกหลายสิ่งหลายอย่างบนโลกมนุษย์ไปพร้อมๆ กับทะเล รวมถึง...

     

                วิหคคู่หนึ่งที่กำลังโบยบิน สองตัวที่ไม่มีความเหมาะสมกัน นกตัวใหญ่ที่สะบัดปีกอย่างแข็งแกร่ง กับเจ้าตัวเล็กที่พยายามบินให้ทันอีกตัวข้างกาย แต่หากผู้ใดได้เห็นคงอดไม่ได้ที่จะมองตาม เพราะขนสีทองสว่างเงางามของทั้งสองเมื่อกระทบกับแสงตะวันในยามนี้ ราวกับว่าพวกมันเป็นสิ่งที่พระเจ้าสูงสุดประทานมาให้

     

                เทพซีซัตทั้งสององค์ คนหนึ่งมีใบหน้าค่อนข้างไม่พอใจ ตั้งใจขยับปีกอย่างไม่คิดจะรอหรือสนใจอีกคนข้างกาย ส่วนอีกคนหนึ่งกำลังพยายามสะบัดปีกเล็กๆ อย่างมีความพยายาม ดวงตาฉายแววแห่งความสุขเมื่อมองธรรมชาติรอบๆ กาย ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ มีแววไม่พอใจยิ่งกว่าอีกคนเสียอีก

     

                ย้อนกลับไปเมื่อคืน

     

                หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดผ่านไปแล้ว เอ็ดเวิร์ดก็กลายเป็นสมาชิกอีกคนของราฟาเอลว์อย่างเป็นทางการ กัปตันหนุ่มผู้นำสูงสุดของเรือได้เอาตัวอีกสองคนซึ่งเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญในการทำให้เรือราฟาเอลว์อยู่ในสภาพยับเยินเช่นที่เห็น

     

                คาเบรีย ดอร์นย่า และ ซีคท์ อิทบูล

     

                ข้าว่าส่งตัวไปให้ทางการน่าจะดี ค่าหัวเจ้าเด็กนี่เยอะไม่ใช่เล่นนี่น่า ไรอัลกล่าวขึ้นเมื่ออัลให้ลูกเรือแสดงความคิดเห็น หนึ่งหมื่นห้าพันกาลัฟท์บวกกับเจ็ดพันกาลัฟท์...นับว่าน่าสนใจสำหรับโจรสลัดเลยทีเดียว รองกัปตันตัวล่ำสันคิด เขายิ้มอย่างมีความสุขที่ได้เจอคนที่มีความสามารถแม้อายุยังน้อย ความจริงเลี้ยงไว้น่าจะดีเหมือนกันนะ...

     

                ใช่ๆ ข้าเห็นด้วย ราฟาเอลว์ยิ่งไร้เงินอยู่ เสียงรอยซ์ดังขึ้นมา

     

                เฮ้ย! แต่นั่นเด็กนะเฟ้ย เสียงแย้งขึ้น

     

                “เรือเราคงไม่อดอยากขนาดเอาเด็กไปแลกเงินหรอกมั้ง อดัม หนึ่งในพ่อครัวกล่าว

     

                เป็นเด็กแล้วไงเหรอ ดิวโอพูดแทรกการโต้เถียงขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจปนอยากรู้

     

                ชายนั่งข้างๆ ลูบหัวเด็กชายฝาแฝด โอ๋ๆ...เด็ก ก็คือ เด็ก ไงล่ะ ชาร์ลีหัวเราะก่อนจะเอามือดันหน้าผากเจ้าตัวดีที่จะเข้ามาชกเขา

     

                แต่ว่าเด็กนั่นยิงเรือเรานะ เกือบไม่รอดเสียงหนึ่งกล่าวขึ้น ไม่ปล่อยให้เด็กฝาแฝดพาไขว้เขว

     

                นายหูแตกหรือไงฟะทีต...ก็ท่านคริซบอกเมื่อครู่ไงว่าคนที่ยิงเรือเราน่ะ คือนายทหารคามิสนะเฟ้ย

     

                เปล่าโว๊ย ได้ยิน ทีตเถียงกลับ

     

                เฮ้ย! แต่เรือเราพังนะโว๊ยไบรอัน ถ้าไม่เอาค่าหัวแล้วจะเอาเงินที่ไหนซ่อมเรือฟะ ชายอีกคนกล่าวเห็นด้วยกับธีอะดอร์

     

                “โอ๊ย! จะเถียงหาอะไรฟะข้าว่านะกัปตัน... เจ้าคนขี้เบื่อกล่าวขึ้น หันหน้าไปหาผู้เป็นผู้นำที่ตั้งใจดูพวกเขา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบาดแผลหรืออะไรกันแน่ที่ทำให้เขาไม่ยอมกล่าวอะไรเลย

     

                อัลเพียงแต่เลิกคิ้ว เป็นเชิงให้คนตรงหน้าพูด

     

                ส่งไปให้ทางการนั่นแหละ หนึ่งคือเราจะได้เงินใช้ และมาซ่อมเรือ ดีไม่ดีอาจเหลือมาซื้อลูกปืนใหญ่ไว้โต้ยิงกับเขาบ้าง สองคือ หากไม่ปล่อยทั้งสองตัวนี้ไปพ้นๆ สักวัน ข้าว่าต้องลุกขึ้นมาอาละวาดแน่ๆ และสาม ข้าไม่เห็นว่าหมอนี่จะมีค่ามากพอที่จะเก็บไว้ตรงไหนเลยนะ ก็แค่เด็กสองคนธรรมดา หากท่านไม่ส่งไปทางการ ข้าว่าควรส่งกลับไปวิวเมดท์นั่นแหละ แต่ข้อหนึ่งและข้อสองคงมีผลกับเราสักวัน...ข้าว่า

     

                เฮ้ย! เบน คนข้างๆ เรียกไว้

     

                “แล้วไหงเราต้องส่งพวกมันกลับไปวิวเมดท์ด้วยฟะ

     

                ข้าให้กัปตันตัดสินใจโว๊ย เบนจามินกล่าวอย่างรำคาญ ก่อนจะไปมองผู้ต้องหาสองคนข้างหน้า คาเบรียสีหน้านิ่ง ส่วนอีกคนกัดฟันขู่ ที่เขาสนใจคือเด็กชายที่นิ่งมากกว่า ท่าทางมั่นใจในตัวเอง และคงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมเกินผู้ใหญ่บางคนเสียอีก แต่หากเป็นอีกคน... ผู้ดูแลโรงฝึกมอง ซีคท์...เด็กคนนี้คงเป็นคนที่น่าเอ็นดูไม่แพ้สองฝาแฝดแห่งราฟาเอลว์เป็นแน่แท้

     

                กัปตันราฟาเอลว์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ข้าจะตัดสินใจล่ะนะ เบนจามิน... คำกล่าวที่เรียกให้ทุกคนหันมาสนใจผู้เป็นผู้นำด้วยความตั้งใจ

     

                ...หนึ่ง ข้าเห็นด้วยกับอดัม ข้าไม่งกเงินขนาดนั้น เพราะข้าเชื่อว่า พวกเจ้าสามารถทำให้เรือกลับมาเป็นปกติได้โดยไม่ต้องพึ่งเงินตราซักกิลเซลเดียว... สอง หากคาเบรียและซีคท์ลุกขึ้นมาอาละวาดอย่างที่เจ้าว่า...พวกเจ้าก็คอยดูแลหน่อยล่ะกัน...แต่ข้าคิดว่า คงไม่เป็นเช่นนั้น อัลกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ ถึงตรงนี้ลูกเรือทั้งหลายก็เริ่มเดาคำตัดสินของกัปตันหนุ่มออก

     

                “สาม...ข้าคิดว่าสองคนนี้มีค่ามากพอ และเป็นคนที่ข้าต้องการด้วย ฉะนั้นจึงมีค่าที่ควรจะเก็บไว้...และเราก็จะไม่ส่งไปให้วิวเมดท์ กองทหารเรือ ตำรวจทะเลหรอก ไม่งั้นสองคนนี้ ไม่รอดแน่ๆ...เจ้าออร์ดีนยังอยู่ อย่าลืมข้อนี้ซะ

     

                ความเงียบเหมือนกลืนกินลูกเรือราฟาเอลว์อยู่ครู่นึง ก่อนที่รอยซ์จะเป็นผู้ทำลายมันซะ กัปตัน ท่านหมายความว่า...

     

                อัลพยักหน้า ใบหน้าที่ดูซีดเซียวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดยิ้มบางๆ อย่างมีความพยายาม ...คาเบรียและซีคท์ จะเป็นลูกเรือของเราตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป…” ชายหนุ่มกล่าว เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นมาแทนเสียงโห่ร้องดีใจที่ได้ยินเป็นปกติประจำในยามเช่นนี้

     

                ทำไมท่านถึงบอกว่า ทั้งสองเป็นคนที่ท่านต้องการลูกเรือทั้งหมดไม่เข้าใจการตัดสินใจของกัปตันของพวกเขา แม้ไม่อาจขัดได้ พวกเขาจึงเพียงต้องการทราบเหตุผลที่ดีพอที่อาจจะทำให้เขายอมรับสองคนนี้ ความจริงพวกเขาไม่ใช่คนใจแคบเรื่องรับสมาชิกใหม่ เพราะแม้แต่สตรีอย่างเอเวียน่า และสหายที่คิดจะทำร้ายพวกเขาอย่างเอ็ดเวิร์ด ลูกเรือทั้งหลายยังไม่ใส่ใจเพราะถือว่าเป็นการตัดสินใจของกัปตัน ซึ่งเขาไม่รู้จะเอาอะไรมาคัดค้าน หากแต่ทั้งสองคนตรงหน้าเป็นใครที่ไหนก็ไม่อาจทราบ ไม่เคยเป็นสหายของกัปตันราฟาเอลว์ แถมยังเคยสร้างความลำบากให้กับพวกเขามาก่อนจึงยากที่จะยอมรับ

     

                อัลยิ้มบางๆ อย่างเข้าใจในความคิดของลูกเรือ คาเบรียและซีคท์เป็นเด็กชายที่ไม่ธรรมดา... ชายหนุ่มเกริ่น

     

                และข้าเสียดายในฝีมือของพวกเขา

     

                แต่กัปตัน...

     

                ข้าขี้เกียจหาคนมีฝีมือและเป็นที่ต้องการอย่างเผ่าจิลเซเวีย กัปตันราฟาเอลว์สรุปยาวอย่างไม่ใส่ใจ เมื่อเห็นว่ามีคนจะขัด

     

                ดวงตาทุกดวงเบิกกว้าง และรอยยิ้มก็ตามมาด้วยความปลื้มปิติเมื่อฟังคำพูดของชายตรงหน้าจนจบประโยค

     

                เจ้ารู้ได้ไง!” ซีคท์โวยวาย พยายามดันตัวเองขึ้นมาอย่างไม่เป็นผล

     

                ส่วนคาเบรียสามารถบังคับตนเองให้เป็นปกติ คิ้วสองข้างพันกันอย่างบ่งบอกถึงความไม่พอใจเช่นกัน เจ้ารู้...ได้ยังไง

     

                อัลยิ้ม ไม่ตอบอะไร เพราะเขารู้สึกล้าเต็มทน สายตามองไปด้านหน้าอย่างรู้สึกยินดีเช่นกัน ลูกเรือทั้งหลายที่เริ่มลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นไปมา งานฉลองคืนนี้คงไม่จบง่ายๆ แน่นอน น่าเสียดายที่เขาร่วมงานด้วยไม่ได้

     

                จิลเซเวีย เผ่าน้ำ หนึ่งในเจ็ดเผ่าตำนานผู้ใช้คริสตัลแห่งดวงดาว...ในที่สุดก็พบ

     

                ข้าว่า...ท่านควรจะพักผ่อน ผู้รู้แห่งราฟาเอลว์เข้ามาข้างกาย

     

                อัลพยักหน้า ส่งแขนให้คลิฟท์เข้าช่วยพยุง เหนื่อยเป็นบ้า เขาบ่นพึมพำให้ได้ยินเพียงแค่สองคน

     

                “จำไว้ว่าวันหลังอย่าฝืน และอย่าเอาตัวไปรับฟันของสัตว์ป่าอีก รองกัปตันผมบลอนด์สั่งสอนด้วยน้ำเสียงไม่จริงจัง

     

                อย่างกับข้าอยากนัก กัปตันหนุ่มบ่นพึมพำ

     

                คลิฟท์หัวเราะเบาๆ อยากไม่อยากข้าไม่...

     

                อัล!” เสียงเรียกที่ทำให้ทุกอย่างหยุดกึก ดวงตาทุกดวงหันมาสนใจร่างบางที่ร้องเรียกชายหนุ่ม

     

                กัปตันราฟาเอลว์หันไปเผชิญหน้า มีอะไรรึ เบล อัลถามนกสาวที่ตอนนี้หน้ามีสีแดงจางๆ ที่เห็นได้ไม่ถนัดเพราะความมืด

     

                คือข้า...เอ่อ

     

                ว่าไง ชายหนุ่มยืนตัวตรง

     

                ข้า...เอ่อ...คือ...อยาก หญิงสาวยังพูดตะกุกตะกักจนคนรอบๆ เริ่มรำคาญแทนคนฟัง

     

                “อยาก...อยากทำหน้าที่อะไรบ้าง!” ทิงกาเบลตะโกนสุดเสียง

     

                ทำให้กัปตันราฟาเอลว์สะดุ้งเล็กน้อย นั่นสินะ เขาเห็นด้วยพลางหันมามองคนข้างกาย ชายหนุ่มจับคางอย่างใช้ความคิด ก่อนที่ดวงตาจะเหลือบมองไปทางด้านหลัง เห็นเจ้าเหยี่ยวตัวดีของเขากำลังเดินหันหลังออกไปพร้อมมือที่กุมขมับเอาไว้ อัลยิ้มแล้วพูดต่อ

     

                “เจ้าเป็นสายล่ะกันเบล ชายหนุ่มกล่าวพอที่จะทำให้คนทั้งเรือได้ยิน แน่นอนรวมถึง คนสำคัญที่คิดจะหนีหน้าที่นั่นด้วย

     

                “เมื่อวันก่อนเจ้าออกไปสืบเรื่องมานี่น่า งั้นเป็นสายอีกคนล่ะกัน เขาพูดย้ำ แล้วเหล่ตาไปมองด้านหลัง โอลิเวอร์ตอนนี้หยุดเดิน เอาหัวพิงประตูห้องที่เก็บของที่เปิดเอาไว้ เขาโขกหัวตัวเองไปมาเบาๆ ปากคงบ่นพึมพำไม่หยุด

     

                ฝากด้วยนะ ฮอคซ์

     

                คำพูดนั้น ทำให้เทพซีซัตหนุ่มจำต้องหันกลับมาแล้วพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ครับ

     

                งั้นข้าไปพักผ่อนก่อนล่ะอัลยิ้ม แล้วเดินออกไป

     

                ตำแหน่งที่ไม่คาดว่าจะได้รับจากกัปตันหนุ่มอย่างเด็ดขาด อีกทั้งตำแหน่งนั้นยังมีคนอย่างโอลิเวอร์ ฮอคซ์เป็นพี่เลี้ยง ทำให้คนอย่างเทพีซีซัต ต้องนิ่งอยู่ครู่นึงอย่างนึกไม่ถึง แล้วจึงหันไปหาผู้เป็นพี่เลี้ยงด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

     

     

     

                เพราะนั่นไงล่ะ ที่ทำให้เทพหนุ่มในร่างเหยี่ยวสีทองรู้สึกปวดหัวขึ้นมาตะหงิดๆ และดูเหมือนปีกของเขาจะบังคับได้ยากกว่าทุกวัน ในเช้านี้เขาก็ต้องออกมาสำรวจเส้นทางการเดินเรือก่อน ซึ่งเป็นหน้าที่ที่หากใครไม่บอกเขาก็ต้องทำทุกครั้งที่มีการออกเรือสู่มหาสมุทร ซึ่งแน่นอนในครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งไหนๆ เนื่องจากมีเทพีสาวขอติดตามมาด้วย

     

                เขาน่าจะออกมาก่อน ...หากไม่เพราะเป็นห่วงคนเป็นกัปตันเรือก็คงออกมาตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะเริ่มออกเรือด้วยซ้ำ เพราะความคิดที่กลัวว่าเจ้านายจะเป็นอะไรนี่แท้ๆ ทำให้อุปสรรคชิ้นใหญ่โตเข้ามาขัดขวางการทำงานของเขา...และก็คงขัดขวางไปทุกครั้ง ใครจะรู้ล่ะว่าชายหนุ่มต้องบังคับตัวเองขนาดไหน และเขาก็แทบไม่มีสมาธิเลยเวลาที่เธออยู่ใกล้ๆ และไม่น่าเชื่อว่ากัปตันราฟาเอลว์ เจ้านายของเขา จะเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุกเสียด้วย ฮอคซ์ถอนหายใจ อีกทั้งความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานข้างกายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากคืนที่ชายหนุ่มจับได้ว่าเธอจะลอบเข้าไปเพื่อช่วยเจ้านายของเธอ

     

                นกสาวทิงกาเบลไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเจ้าเหยี่ยวเช่นกัน ที่เธอสนใจคงจะเป็นทะเลกับท้องฟ้า ทั้งสองอย่างที่เป็นโทนสีเดียวกันแต่ความสดใสและความรู้สึกเวลามองต่างกัน สิ่งสองสิ่งที่คู่กันประดับโลกสีสวยให้งดงาม ดูเหมือนจะสร้างความสุขและความทุกข์ให้กับทุกชีวิตบนโลกได้เสมอ

     

                แน่ใจหรือว่าเธอสนใจมันจริงๆ

     

                จริงอยู่ที่ว่าทิงกาเบลไม่ค่อยได้มีโอกาสมาบินเช่นอย่างนี้ เพราะเธอมีหน้าที่ติดตามเจ้านายของเธอ อีกทั้งนกสาวกับเอเวียน่ายังเดินทางด้วยกันมาตลอดไม่เคยห่างกันเลยซักครั้ง แต่นับตั้งแต่ขึ้นเรือราฟาเอลว์มันก็เริ่มเปลี่ยนไป เอเวียน่าไม่ได้อยู่กับเธอแค่สองคน เบลจึงไม่จำเป็นต้องตัวติดกับเจ้านายของเธอ หญิงสาวน่าจะดีใจที่เธอได้เป็นอิสระบ้างนานๆ ครั้ง แม้จะเป็นฝ่ายเธอเองก็เถอะที่ติดตามเจ้านายไปทั่ว แต่ว่า...มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะ...เจ้านกสีทองตัวดีข้างกาย ที่บังอาจทำให้หัวใจของเธอหวั่นไหวนี่สิ

     

                เอ่อ... เบลเริ่มพูดขึ้นเพราะรู้สึกว่าความเงียบมีอิทธิพลต่อตัวเธอ

     

                “เราจะไปไหนกัน

     

                โอลิเวอร์ทอดมองผืนทะเลเบื้องล่าง พวกเขาบินมานานแล้ว หากไม่เจออะไรก็คงเป็นเวลาสมควรที่จะกลับเรือซักที อีกหน่อยล่ะกัน

     

                อืม นกสาวรับคำ

     

                เหยี่ยวหนุ่มลอบถอนหายใจในลำคอ โจซีฟีเน่ดูว่าง่ายกว่าที่คิดเอาไว้ แต่เรื่องแบบนั้นมันไม่แน่เสมอไป เขาไม่รู้ว่าตัวเธอจะพยศขึ้นมาอีกเมื่อไร เทพหนุ่มขยับปีกที่แข็งแกร่งให้ร่างของเขาเหนือเมฆขึ้นไป ...คงต้องทำใจว่าต่อไปงานของเขาคงวุ่นวายขึ้นอีกมาก

     

     

    */*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×