คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 8 - ปัญหา กับความไม่เข้าใจ (2021 NRW)
ในวันรุ่งขึ้น
ดวงตะวันส่องกระทบระลอกคลื่น เรือสีน้ำตาลไม้และเรือสีขาวสะอาดตา ราฟาเอลว์และซีกัลไวท์
เรือทั้งสองแล่นควบคู่ไปกันอย่างช้าๆ แสกกลางผิวน้ำไปเรื่อยๆ
เหล่าลูกเรือของเรือสองลำนั้นต่างขะมักเขม้นทำงานกันแต่เช้าตรู่
พวกเขาช่วยกันซ่อมเรือที่เสียหายจากการปะทะกันเมื่อคืนวาน ไม่ว่าจะเป็นลำไหนๆ
ก็ขยันทำงานไม่แพ้กัน
ลึกเข้าไปในหัวเรือ
ห้องของกัปตันราฟาเอลว์ ผู้มีอำนาจสูงสุดบนเรือกลับนอนหลับอย่างสบายใจ แต่ว่า
ชายหนุ่มผมสีแดงเพลิงไม่ได้อยู่ในห้องนั้นเพียงลำพัง
ข้างกายของเขามีหญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้ม
ใบหน้าขอเธอไร้ความกังวลแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆ นัก ดูท่าทางไร้เดียงสา
และไม่มีพิษมีภัยอะไร
แต่ใครจะรู้ว่าเธอผู้นี้นี่แหละที่ล้มมือซ้ายของริชาร์ดแห่งท้องทะเล
กัปตันแห่งเรือสีขาวซีกัลไวท์ลงได้
ท่าทางของหญิงสาวนอนหลับสบายไม่แพ้ชายหนุ่มข้างกายเลยทีเดียว
ร่างบางเริ่มขยับเบาๆ
ดวงตาสีชาค่อยๆ ลืมขึ้นมา ดวงตา สะลึมสะลืมสีหน้ายังงัวเงีย เพราะความง่วง
ภาพแรกที่เห็นไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรนัก
“อืม”
เธอส่งเสียงคราง ขยับตัวนอนบิดตัวไปอีกด้านหนึ่ง...แต่แล้ว!
ดวงตาสีชาก็เบิกโพล่งขึ้น หญิงสาวขอทบทวนภาพเมื่อครู่ให้ดีๆ
ก่อนจะหันกลับไปดูอีกครั้ง
ภาพที่เธอเห็นเมื่อกี้นี้คือภาพของกัปตันราฟาเอลว์นั่นแหละ
แต่เป็นตอนที่เขาหลับอยู่ เมื่อครู่นั้นเธอไม่ได้สังเกต แต่ตอนนี้สิ
กัปตันผมสีแดงเพลิงนั้นไม่ได้หลับอยู่อย่างเช่นเดิม ดวงตาของเขามีแววแห่งความสุข
แต่มันกลับเป็นความสุขที่เอเวียน่ามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเธอจะต้องไม่พอใจเอาแน่
“ไง” เสียงทักทายแรกของเช้าวันใหม่เริ่มขึ้น...จนได้สินะ
อัลยิ้ม แน่ล่ะ เอเวียน่าไม่ได้รู้สึกดีที่เขายิ้มแบบนั้นเลยซักนิด
“เจ้าจะเอาแต่เช้าเลยเหรอ” หญิงสาวพึมพำ
อัลคงได้ยิน
แต่ทำเหมือนไม่ได้ยินมากกว่า เขาพูดต่อ “เมื่อคืนนี้สุดยอดเลยนะ เจ้าว่ามั๊ย เจ้ารุนแรงชะมัดเลย แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่...”
‘โครม!’ เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วเรือ
เล่นเอารอยซ์ ลูกเรือของราฟาเอลว์ที่ซ่อมหัวเรืออยู่ตกใจ
ปล่อยมือหล่นลงไปในน้ำแทบในทันที แล้วเหมือนผืนน้ำสั่นไปชั่วขณะนึง
ทุกคนหยุดการทำงานหันมองหาที่มาของเสียง แต่ใครจะกล้าวิ่งไปพิสูจน์ที่มาของเสียงกันล่ะ
กลับไปยังห้องๆ
เดิมเมื่อครู่นี้ ชายหนุ่มสีแดงเพลิงถูกซัดไปเต็มๆ ลงไปกองอยู่ข้างเตียง
ไม่ใช่ด้วยฝีมือของใครที่ไหนหรอก
หญิงสาวที่ท่าทางไร้เดียงสาที่อยู่บนเตียงนั่นแหละ
สภาพของอัล...กัปตันราฟาเอลว์ตอนนี้ดูไม่จืดเอาเสียเลย
หัวและคออยู่กับพื้น แต่ส่วนล่าง กลับขึ้นมาอยู่บนที่สูงกว่า ใบหน้ามีรอยแดงๆ
จากการถูกต่อยเมื่อครู่ อย่าให้ใครมาเห็นภาพนี้เชียวนะ
ราฟาเอลว์คงถูกดูหมิ่นเพราะกัปตันแพ้เลดี้เพียงแค่หมัดเดียวเป็นแน่
แต่อัลยังมีสติดีอยู่ พอที่จะเอาคืน หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงได้ เขาลุกขึ้นมา “เอเวียน่านี่เจ้าทำอะไรน่ะ”
ใบหน้าของหญิงสาวไม่ได้แสดงท่าทางสำนึกผิดเลยซักนิด
กลับมีท่าทางหยิ่งยะโสอีกต่างหาก
เธอเชิดหน้าไปด้านข้างอย่างไม่สนใจใบหน้าของชายหนุ่มที่เข้ามา “ก็ใครให้เจ้าพูดจากวนประสาทข้าแต่เช้า
ช่วยไม่ได้”
“นั่นมันไม่เกี่ยวนะ!” อัลว่า
“เกี่ยวซิ!” เอเวียน่าเถียงกลับทันควัน
“เจ้าพูดจาไม่ได้เรื่องนี่!”
“โทษข้างั้นเหรอ! คนที่ผิดจริงๆ
คื...”
“เจ้านั่นแหละผิด
นอกจากเจ้าแล้วยังมีใครอยู่ในห้องนี้อีกหรือไงที่จะกวนประสาทข้าน่ะ”
“เอเวียน่านี่เจ้า!”
อัลมองอย่างเหลืออด หญิงสาวเชิดหน้าหาอัลอย่างท้าทาย กัปตันหนุ่มมองหน้า
ดูท่าทางคราวนี้เขาคงจะเป็นผู้แพ้หากเขาไม่สามารถเถียงเธอกลับไปได้ล่ะก็
แต่เรื่องอะไรเขาจะยอมแพ้ง่ายๆ ล่ะ
ชายหนุ่มคว้าหมอนหนุนหัวโป๊ะเข้าใส่ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นอย่างหมั่นไส้เต็มทน
เพียงแค่นั้นแหละอัลก็ดูท่าทางอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
คนที่โมโหจนเส้นเลือดปูดคือหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียง
“อัลนี่เจ้า! มากไปแล้วนะ!” เอเวียน่ายืนขึ้น
เนื่องจากเธออยู่บนเตียงทำให้เธอดูสูงกว่าอัล ดูได้เปรียบมากกว่าอยู่แล้ว
เธอปาหมอน เป้าหมายอยู่ที่ชายผมสีแดงเพลิง
ใบแรกกัปตันหนุ่มหลบได้อย่างง่ายดาย
“ฮึ...เจ้ามีแค่...” ยังไม่ทันที่อัลจะพูดจบเลย เขาก็โดนหมอนอีกใบไปแทบในทันที
“เอ-เวีย-น่า” อัลเน้นคำพูดทีละคำอย่างเหลืออด
เขามองไปยังสตรีที่อยู่เหนือกว่าตนผู้ไม่มีความเป็นเลดี้เอาเสียเลย
และนั่นเองสงครามเล็กๆ
ภายในห้องก็เริ่มขึ้น
“เอเวียน่าแน่จริงเจ้าอย่าขึ้นไปบนนั้นสิ!”
เสียงอัลท้าทาย
“เจ้าบ้า! ข้าเป็นผู้หญิงนะจะทนแรงเจ้าได้ยังไง
หากอยู่ด้านล่างน่ะ!” หญิงสาวตอบ
อัลยิ้ม
ในมือกำลังขว้างหมอนอีกใบไป “อ๋อ! เจ้าแน่ใจเหรอว่าเป็น ‘ผู้หญิง’ น่ะ” อัลปาหมอนไป
“ข้าว่า...” เขาหลบหมอนใบที่ปามาหาเขาอย่างหวุดหวิด “เจ้าไม่เหมือน ‘ผู้หญิง’
เลยซักนิด”
“เจ้าจะรู้อะไร!” เอเวียน่าปาไปที่ชายหนุ่มอีกใบหนึ่ง
“เจ้าเป็นผู้หญิงงั้นสิ!”
หมอนใบล่าสุดที่เอเวียน่าปาไปโป๊ะเข้าหน้าอัลเต็มๆ
“หย๋า” หญิงสาวพึมพำ
ใบหน้าหลังจากที่หมอนหล่นลงไป แสดงอาการโมโหไม่น้อยเลยทีเดียว “เอเวียน่า...เจ้า...ข้าหมดความอดทนแล้วนะ” คราวนี้แหละที่อัลทิ้งหมอนและวิ่งขึ้นเตียงทันที
เอเวียน่าจะให้ทำไงได้นอกจากหนีเท่านั้น
เธอหนีไปรอบๆ ห้อง “จะบ้าเหรอ!
ไปไกลๆ เลยอย่าเข้ามานะ!” เอเวียน่าปาหมอนไปวิ่งหนีไป
“ก๊อกๆ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ทั้งสองคนหยุดกึกและหันไปยังที่มาของเสียง
ชายผมสีน้ำตาลแดงยาวยืนพิงประตูอยู่ทำท่าทางเคาะประตูเบาๆ
“มัวแต่สวีทกันแต่เช้าเลยนะ ท่านเลดี้ ท่านกัปตัน”
น้ำเสียงหน่อมแน้มฟังดูกวนประสาทเป็นที่สุด
“ข้าได้ยินเสียงโครมซะดังเลยเข้ามาดู
ถ้าข้ารู้ว่ากำลังสวีทกันอยู่อย่างนี้ข้าไม่มาให้ตัวเองกลายเป็น ก้างขวาง...”
‘ตุ๊บ’ ไม่ทันที่คริซโตเฟอร์พูดจบ
หมอนทั้งสองใบจากท่านกัปตันและท่านเลดี้ก็โป๊ะเข้าที่หน้าสวยๆ นั้นเต็มๆ
“มากไปแล้วๆ!”
คริซโตเฟอร์บ่นกับหญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้ม
ซึ่งตอนนี้เขาและเอเวียน่านั่งอยู่ในห้องครัวเพื่อรอทานอาหารเช้า
“บังอาจมาทำกับใบหน้าแสนรักแสนหวงของข้าได้ไง โธ่!...หน้าสวยๆ
ของข้า” เจ้าหล่อนจับใบหน้า
และมองหน้าของตัวเองในกระจกอย่างไม่พอใจ
ถึงกระนั้น
ผู้ที่ถูกพูดกระทบก็ไม่ได้มีท่าทีสนใจบุรุษขี้โวยวายที่อยู่ตรงข้ามเธอนัก
สายตาของเธอจดจ้องอยู่กับหนังสือพิมพ์โอเชี่ยนนิวส์
“เอเวียน่า”
คริซพูดเรียกร้องความสนใจ
“เจ้าฟังข้าอยู่รึเปล่า”
หญิงสาวจิบน้ำชาอุ่นๆ ในแก้วเล็กน้อย “ข้าไม่ได้ทำให้ใบหน้าเจ้าน่าเกลียดเท่าไหร่นี่”
เอเวียน่ากล่าวสายตายังคงสนใจกับข่าวช่วงเช้าอยู่
คริซโตเฟอร์ทำท่าไม่พอใจ
“เจ้าจะเลิกสนใจหนังสือขาวดำนั่นสักสองสามวิได้มั๊ย” เขากล่าว
หญิงสาวนิ่งเป็นคำตอบ
ผู้รู้แห่งราฟาเอลว์ถอนหายใจ
“เฮ้อ! หน้าตาอันบอบบางของข้า” เขาเอาผ้ามาแตะหน้าตัวเองเบาๆ
เอเวียน่าเบื่อเต็มทน
นี่เธอต้องมานั่งฟังหมอนี่บ่นอยู่กี่นาทีแล้วเนี่ย “ใบหน้าอันบอบบาง...” เธอพึมพำ ให้ตายสิ
“เจ้าอย่าเรื่องมากไปหน่อยเลยน่ะ คริซ เจ้านั่งโทษข้ามาเท่าไรแล้ว
ข้าไม่ได้ผิดคนเดียวซะหน่อย พอเถอะๆ”
เอเวียน่าจับโอเชี่ยนนิวส์ขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้าอย่ามาโทษกัปตันของข้านะ!” คริซกล่าว
กัปตันของข้า
เฮอะ เอเวียน่าคิด “แต่กัปตันของเจ้านั่นแหละ
มีส่วนผิดด้วย” หญิงสาวกล่าวอย่างหมั่นไส้เสียจริงๆ
“ข้าบอกว่าอย่ามาว่าเขาไง”
เอเวียน่าเลิกคิ้ว
“กัปตันเจ้าน่ะเหรอ
เขาเป็นใครถึงว่าไม่ได้”
“โธ่! เอเวียน่า
เจ้าเป็นผู้หญิงแน่รึเปล่าเนี่ย”
หญิงสาวผมสั้นละสายตาจากโอเชี่ยนนิวส์อีกครั้ง
มองตาขวางมาทางบุรุษผมสีน้ำตาลแดงอย่างเย็นชา “เจ้าจะหาเรื่องข้าเหรอ” เอเวียน่าขู่
และก้มลงไปสนใจกับข่าวในช่วงเช้าอีกครั้ง
คริซโตเฟอร์เสียววาบ
เขาไม่มีอารมณ์มารองรับรังสีนั้นนานๆ แน่
ชายหนุ่มเลยตัดสินใจเลิกพูดเรื่องหน้าตาของเขาซะที
“ก็ได้ๆ” คริซกล่าว
“ข้ายอมแพ้ เลิกพูดเรื่องนี้กันซะทีคงจะดีกว่า
เอ่อ...ว่าแต่เจ้ารู้มั๊ย...”
ถึงจะเลิกพูดเรื่องนั้นเขาก็หาเรื่องอื่นมาพูดอยู่ดี
ช่างเป็นผู้ชายที่ช่างพูดเสียจริงๆ เอเวียน่าคิด
“ที่เกาะที่เรากำลังจะไปถึงน่ะ ที่นั่นนะ เป็นเกาะแห่งแร่ธาตุด้วยล่ะ
น่าสนใจดีเจ้าว่ามั๊ย” เขาถามความเห็น
หญิงสาวนิ่ง
เนื้อเรื่องคราวนี้เป็นเรื่องที่เอเวียน่าสนใจ เรื่องที่คริซกำลังจะพูด “เกาะแห่งแร่ธาตุ”
เธอพึมพำ สายตาละจากหนังสือพิมพ์นั่นทันที
“ใช่ ทำไมเหรอ”
คริซยิ้ม
“หมายความว่าไงกัน” เราไม่ได้แวะไปที่หมู่เกาะเอร์ซิลเลยเหรอ
เอเวียน่าคิด
“หมายความว่าเราจะแวะพักเกาะหน้าน่ะสิ ที่นั่นนะ มีของสวยๆ เต็มไปหมดเลย
ข้าอยากไปเห็นซักครั้งเหมือนกัน หมู่บ้านที่ทำเครื่องประดับน่ะ” คริซโตเฟอร์ตาวาว
“อาหารเสร็จแล้ว”
เสียงของอดัมลูกน้องของบ๊อบเรียกร้องความสนใจจากทุกๆ คนในห้อง
ชายผมยาวผู้รู้แห่งราฟาเอลว์ก็เช่นกัน
“อดัม! เจ้าช่วยหยิบอาหารเผื่อข้าด้วย
ข้าหิวจนแสบท้องไปหมดแล้ว” เขาสั่งลูกเรือ
เอเวียน่าพับหนังสือพิมพ์เก็บ “ใครเป็นคนวางแผนเรื่องพวกนี้กัน” ความจริงเธอคงพอเดาได้บ้างล่ะนะ จะมีใครกันล่ะที่จะสั่งให้เรือหยุดได้
“อัลน่ะสิ เจ้าจะสนใจทำไม” คริซรับอาหารจากอดัมที่เข้ามานั่งด้วย
“โอ๊ะ! ขอบคุณๆ...ว้าว!
วันนี้ท่าทางน่ากินแฮะ” คริซลงมือทานอาหารทันที
หมอนั่น
คิดอะไรอยู่
เอเวียน่าขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างใช้ความคิด
“เจ้าไม่เอาด้วยเหรอ เอเวียน่า
ไม่หิวเหรอไง” อดัมถาม
“อย่างเจ้าแค่นี้จะอิ่มรึเปล่ากัน”
อลันเข้ามาแตะไหล่ผู้เป็นพี่ชาย และนั่งลงข้างๆ เขาพร้อมกับอาหารจานพูน
เอเวียน่ามองอาหาร
หิวสิ แต่ว่า... “คริซ
ตอนนี้อัลอยู่ไหนล่ะ ไม่มาทานอาหารหรือไง” หญิงสาวถาม
เธอจำได้ว่าเธอเคยปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปครั้งนึงแล้วเพราะความหิวนั่นแหละ
ตอนนั้นเธอเห็นคลิฟท์ถือแผนที่อยู่
“กัปตันไม่ค่อยมาทานอาหารหรอก” อดัมตอบแทน
“ข้าไม่เคยเห็นเค้าลงทานอาหารเลยซักครั้งเดียว จะมีก็ตอนแวะเกาะพักน่ะแหละ”
คริซเคี้ยวผักสีเขียวเข้าปาก
“ก็แน่ล่ะ
อาหารของพวกเจ้ากินได้ซะที่ไหนกัน” เขาพูด
และตักอาหารเข้าปากอีก
“โหๆ ท่านคริซ และที่ท่านกินอยู่นั่น
ไม่ใช่อาหารของข้ารึไงกัน” อลันพูดขึ้น
“แหมท่านคริซ
หรือท่านอยากลองทำอาหารเองดูบ้างครับ” อดัมกล่าวเสริม
คริซไม่ตอบอะไร
“กัปตันคงอยู่ที่ห้องทำงานน่ะ”
เขาหันมาพูดกับเอเวียน่า
“ห้องทำงานอยู่ที่ไหนกัน”
“บ๊อบ! อาหารของเจ้าเยี่ยมจริงๆ
ยอดๆ!” คริซร้องเรียก
“แน่อยู่แล้วท่านคริซ ระดับข้าน่ะ”
เขาตะโกนกลับมาจากในครัว
“คริซห้องทำงานอยู่ที่ไหนกัน” เอเวียน่าย้ำคำถามอีกครั้ง
แต่ดูท่าทางเขาเหมือนไม่ได้ยิน
“เยี่ยมๆ! เจ้าไปหาตำรามาจากไหน”
“ระดับข้าเนี่ยไม่ต้องหาตำราเหรอท่าน ฮ่าๆ” บ๊อบหัวเราะ
“อย่ามาหลอกข้าเลยบ๊อบ เจ้าบอกม...”
“คริซโตเฟอร์!”
“จ้าาาาาา!” คริซหันหลับมาทันทีอย่างหวาดๆ
หลังจากที่เอเวียน่ารู้ว่าห้องทำงานของอัลอยู่ที่ไหนเธอก็รีบตรงไปที่นั่นทันที
เธออยากรู้ว่าทำไมเขาถึงแวะพักเกาะหน้าล่ะ ไม่ตรงไปยังจุดมุ่งหมายเลยเหรอ
แล้วทำไมไม่บอกเธอก่อน คิดแล้วน่าโมโหจริงๆ
ห้องทำงานของอัล
ปกติก็คือห้องที่เธอนอนพักผ่อนอยู่ทุกคืนนั่นแหละ
แต่เพราะว่าตอนนี้มันเหมือนเป็นห้องของเธอไปแล้ว
เขาก็เลยใช้ห้องที่อยู่ลึกสุดของทางเดินแทน หรือที่ลูกเรือเรียกกันว่าห้องวางแผน
หรือห้องประชุม เป็นห้องทำงานของเขาแทน
ความจริงคริซบอกมาอีกว่าห้องนี้นอกจาก
ตำแหน่งห้าตำแหน่งสูงสุดบนเรือแล้วล่ะก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปได้ง่ายๆ
จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากกัปตันคนเดียวเท่านั้น ซึ่งตอนนี้คนที่เข้าไปได้ก็มี อัล
คลิฟท์ ไรอัล คริซโตฟอร์ และฮอคซ์
แม้แต่สี่คนหลังหากเข้ามาเพียงลำพังก็อาจมีความผิดได้เหมือนกัน
และเธอล่ะเป็นใครกัน
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา
แล้วเรื่องอะไรเธอจะสนเรื่องแบบนี้ ตอนนี้เธอต้องการพบอัล
และพูดกับเขาให้รู้เรื่อง เธอเดินดุ่ยๆ จนมาถึงห้อง และ ‘ปัง!’ เสียงเปิดประตูดังสนั่น
“อัล!” เธอตะโกนเรียกชื่อกัปตันหนุ่มผมแดงเพลิง
แต่ว่า...ในห้องวางแผนกลับมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ในห้องนั้น
บรรยากาศภายในห้อง
มีแสงของดวงอาทิตย์ผ่านเข้ามาทางหน้าต่างกลมๆ ข้างผนังห้อง
พอมองลอดออกไปกลับเป็นภาพของใต้ทะเล ที่มีปลาแหวกว่าย ระลอกคลื่นใต้น้ำ
รวมถึงแสงตะวันที่ผ่านพื้นน้ำเข้ามาด้วย เป็นภาพที่สุดจะบรรยายถึงความงดงาม
ขนาดเอเวียน่าที่กลัวน้ำเป็นชีวิตก็อดไม่ได้ที่จะหยุดดูภาพจากหน้าต่างใบนั้น
ส่วนภายในห้อง...
โต๊ะใหญ่อยู่กลางห้อง บนโต๊ะมีแผนที่ขนาดที่สามารถวางบนโต๊ะนั่นได้พอดี
หมึกสีดำขีดเส้นทางเดินเรือจากเกาะหนึ่งไปเกาะหนึ่งเรื่อยๆ
ปากกาขนนกทับตรงมุมแผนที่ เธอพอเดาได้ว่าเส้นทางที่เขียนคงเป็นการเดินเรือของราฟาเอลว์
ออกเดินทางจากเกาะแรกมาถึงเกาะสุดท้ายที่น่าจะเป็นเกาะที่เธอพึ่งออกมา
แค่สามสี่เกาะเท่านั้นเอง เอเวียน่าคิดไม่ผิดจริงๆ อัลเป็นโจรสลัดได้ไม่นานนักหรอก
ตรงมุมห้องมีโต๊ะอีกตัวหนึ่ง
ซึ่งคงเป็นโต๊ะทำงานของอัล มันสะดุดตาหญิงสาวมาก เพราะเต็มไปด้วยกระดาษ
โต๊ะที่รกจนไม่มีที่วางอะไรได้อีกแล้ว ข้างๆ ห้องชิดกับผนังมีตู้หนังสือ
หนังสือหลายเล่มที่ดูไม่เก่ามากอยู่เต็มตู้
ที่นี่น่าจะเป็นห้องที่ดูดีห้องหนึ่งของราฟาเอลว์เลยทีเดียว
บางทีหากอัลไม่อยู่ในห้องนี้เธอควรออกไปซะที ไปหาว่าเขาอยู่ไหนจะดีกว่า
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะออกไป
ลมก็พัดเข้ามาในห้องจากประตูที่เปิดเอาไว้
เล่นทำเอากระดาษบนโต๊ะปลิวกระจายไปทั่วห้อง เอาซิ เอาจนได้ ต้องเหนื่อยอีกแล้ว
เอเวียน่าคิดอย่างโมโหเจ้าลมนั่นซะจริงๆ
เธอค่อยๆ
เก็บกระดาษทีละแผ่น เฮ้อ! ให้ตายสิ อัลไปอยู่ไหนกันนะ
นี่ถ้าเธอออกไปหาตั้งแต่แรกคงไม่เหนื่อยแบบนี้ แย่จริงๆ หญิงสาวบ่นในใจ และจนในที่สุด
เธอก็ทำเสร็จจนได้ เอเวียน่าวางมันลงที่โต๊ะเหมือนเดิม
สายตามองไปยังพื้นทั่วๆ
ห้องเพื่อสำรวจอีกครั้งว่ายังมีเจ้ากระดาษเหลืออยู่มั๊ย และเธอก็มองไปเห็นกระดาษแผ่นนึงข้างตู้หนังสือ
หญิงสาวเดินเข้าไปเก็บ แผ่นนั้นเป็นภาพเกาะใหญ่ๆ เกาะหนึ่ง
เอเวียน่ารู้สึกสะดุดตา
เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาแล้ว เอ...เกาะเหรอ อืม... หญิงสาวใช้ความคิด ตอนนั้น
... อ๋อใช่ คลิฟท์!!
นี่เป็นแผนที่ที่คลิฟท์เคยถือเอาไว้ แต่คลิฟท์บอกว่าเป็นแผนที่เดินเรือนี่น่า
เธอก็ไม่ได้สนใจอะไรซะด้วย
แล้วตอนนั้นรองกัปตันยังมีท่าทีตกใจและซ่อนให้พ้นสายตาเธออีก น่าสงสัย
เอเวียน่าคิด เธอมองไปยังชื่อของเกาะที่อยู่ด้านล่างของกระดาษ ~Ravesaria~
เรฟซาเรีย
ถ้าจำไม่ผิดเป็นประเทศใหญ่ทีเดียว
มันไม่ใช่เกาะแต่เป็นภาพประเทศต่างหาก
เอ...หรือว่านั่นเป็นราฟเซีย
เอ...หรือว่าโซเรีย ข้าจำผิดกับประเทศไหนรึเปล่า ประเทศที่ใหญ่ ประชากรเป็นสุข
และราชินีได้ชื่อว่าเป็นผู้งดงามแห่งปฐพี อืม...หญิงสาวพยายามคิด
เธอค้นเรื่องราวของประเทศที่อยู่ในสมองออกมา ระหว่างที่เดินเอาแผนที่ไปเก็บที่โต๊ะ
สายตาจดจ้องอยู่ที่เกาะนั้นอย่างสงสัย
“ใครน่ะ” เสียงที่ทำให้เธอสะดุ้ง
เอเวียน่ารีบเก็บกระดาษแผ่นนั้นเข้าไปในกองกระดาษบนโต๊ะ
“เอเวียน่า” เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน
“...เจ้ามาทำอะไรที่นี้” เสียงของกัปตันหนุ่มท่าทางไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย
“คือ...เอ่อ ข้ามาหาเจ้า...น่ะ”
เอเวียน่ากล่าวตะกุกตะกัก
“ข้ามี...เรื่องอยากถามเจ้าหน่อย” เธอหลบตาเขา หญิงสาวลืมความรู้สึกตอนมาถึงห้องนี้ใหม่ๆ ไปหมดสิ้น
เหตุการณ์เนี่ย สถานการณ์เนี่ย ยังไงๆ เธอก็ผิดชัดๆ เลย
“ถาม...” อัลเลิกคิ้ว “...แล้วทำไมจะต้องเข้ามาที่นี่ด้วย”
“คือคริซ...เอ่อ...บอกว่าเจ้าอยู่ที่นี่น่ะ”
หญิงสาวตอบ
อัลพยักหน้า “อืม...เอาล่ะอย่าเข้ามาที่นี่อีก...แล้ว...”
อัลสบตาเธอ เอเวียน่ามีท่าทีสะดุ้งนิดหน่อยจากสายตาของเขา
“นี่เป็นคำสั่งนะสาวน้อย
อย่าคิดว่าจะไม่ทำตาม ข้าขอเตือนไว้ก่อน หากเจ้ากำลังคิดว่า
เจ้าจะไม่ปฏิบัติตามคำพูด อ๋อ ไม่ใช่สิ คำสั่งของข้าแล้วล่ะก็...” อัลกล่าวเสียงเย็นชา
“เราจะได้เห็นดีกันแน่”
คราวนี้แหละที่นิสัยไม่ยอมใครของเอเวียน่าทำให้เธอนิ่งจนได้
คิดว่าเจ้าจะทำอะไรข้าได้งั้นเหรอ ข้าจะคอยดู หญิงสาวคิดอย่างโมโห
“แล้วเจ้ามีเรื่องอะไร” อัลถาม
เขาหันไปหาตู้หนังสือเพื่อค้นหาหนังสือบางอย่าง
สายตาของเอเวียน่าสงบนิ่ง “ข้าจะถามเรื่องเอร์ซิล คริซบอกว่าเจ้าจะแวะพักเกาะข้างหน้า
หมายความว่าไงกัน”
อัลเงียบไปชั่วครู่ “...ข้าและราฟาเอลว์รวมถึงซีกัลไวท์จะแวะพักที่เกาะวิวเมดท์
เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็เหนื่อยจากการต่อสู้กันทั้งนั้น
แล้วก็ที่นั่นมีบางสิ่งที่ข้าต้องการทำให้สำเร็จ”
“อะไรกันที่เจ้าต้องการ...อะไรของเจ้าเนี่ย!”
เอเวียน่าพูดอย่างเหลืออด
“เจ้าจะเอายังไง” อัลหันมาหาเธอ
เอเวียน่ามองเขา “ไปเอร์ซิล ไม่แวะเกาะไหนอีก นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ”
อัลถอนหายใจ “คงจะไม่ได้เอเวียน่า ข้ามีความต้องการของข้า
เช่นเดียวกับที่เจ้ามีความต้องการของเจ้า”
หญิงสาวพยายามใช้ความคิดและเหตุผล “เอาอย่างงี้ เราเจอกันคนละครึ่งทาง
เจ้าแวะเกาะวิวเมดท์ทำสิ่งที่เจ้าอยากทำให้เรียบร้อย
และหลังจากนั้นก็ไปส่งข้าที่เอร์ซิล โดยไม่แวะพักเกาะไหนอีก”
อัลเหนื่อยใจ “คงจะไม่ได้หรอก”
“หมายความว่าไง!” เอเวียน่าเริ่มขึ้นเสียง
“เจ้าใจเย็นๆ และฟังข้า” อัลพูดเป็นเชิงให้เธอสงบก่อน
“เอเวียน่า เอร์ซิลน่ะ
ข้าเคยบอกไปแล้วว่าไม่มีใครกล้าพอจะไปเสี่ยงที่นั่นหรอก รวมถึงข้าด้วย”
เอเวียน่าฟังเหตุผลของเขา มันงี่เง่าจริงๆ
“ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วนี่
ว่านั่นเจ้า ไม่ใช่ข้า!”
“และจะให้ข้าทำไง!” อัลเริ่มโมโหขึ้นมาบ้าง
“ทำไงก็ได้ที่ไม่ใช่แบบนี้! เจ้าเป็นกัปตันนะ!”
“แล้ว! ในเมื่อข้าเป็นกัปตันเจ้าควรเชื่อข้า!” อัลกล่าว
เอเวียน่าโมโหกับความงี่เง่าของเขาจริงๆ
“ขอโทษ! ข้าไม่ใช่ลูกเรือเจ้า”
เอเวียน่าพูดย้ำทีละคำอย่างเก็บอารมณ์
“ในเมื่อเจ้าพาข้าไปยังที่หมายไม่ได้
ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าเอาข้าขึ้นเรือมาทำไมกัน”
อัลถอนหายใจ ควบคุมอารมณ์ตนเอง “เพราะข้าสนใจเจ้าไง เลยหาเรื่องเอาเจ้าขึ้นมา ไม่น่าถาม” อัลหันไปสนใจตู้หนังสือต่อ
เอเวียน่าขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างโมโห
เธอไม่อยากคุยกับชายที่สนใจแต่หนังสือ หญิงสาวก้าวฉับๆ ออกจากห้อง ปิดประตูดัง ‘ปัง!’ หวังว่าหากมันพังลงมาได้ก็คงจะดี
เรื่องนี้มันน่าโมโหที่สุด!
เอเวียน่าออกมายังดาดฟ้าเรือ มองรอบๆ
เรือ ลูกเรือราฟาเอลว์ต่างขะมักเขม้นบ้างก็ซ่อมเรือ บ้างก็ทำความสะอาดเรือ
ความจริงลูกเรือก็ดีนะ แต่มันเสียที่เจ้ากัปตันเฮงซวยนั่นน่ะสิ
หญิงสาวเดินไปยังเสากระโดงเรือ “บิลเลียม! โอเอล!” เธอออกเสียงเรียกต้นหนสองคน
ชายต้นหนทั้งสองโผล่หน้าออกมาจากด้านบน
“เอเวียน่า เจ้ามีอะไรกับข้า” โอเอลหนึ่งในนั้นตะโกนถามกลับมา
“ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้าหน่อย” เอเวียน่าตอบ
“เจ้าลงมาได้มั๊ย”
“เจ้าขึ้นมาซิ ข้าต้องทำงานนะ” โอเอลตอบ
และโยนเชือกลงมาให้
ให้ขึ้นไปเหรอ
หากข้าขึ้นไปได้คงไม่ตะโกนอยู่อย่างนี้หรอก หญิงสาวคิด
“ข้าปีนเป็นซะที่ไหนล่ะ” เพราะความรู้สึกโมโหมันมากกว่า เธอจึงไม่รู้สึกอายกับสิ่งที่เธอทำไม่ได้
และโอเอลก็ปีนลงมา ‘ตุ๊บ’ เสียงเท้ากระทบพื้นไม้เบาๆ “อะไรของเจ้า หากเจ้าปีนเชือกไม่เป็นและเจ้าขึ้นเรือมาได้ไงกัน” เขาถาม
จะให้ข้าตอบว่าไงล่ะ
เธอคิด นี่เจ้าแกล้งทำไม่รู้รึเปล่า เอเวียน่านึกถึงตอนวันแรกที่ขึ้นเรือ
จะใครซะอีกล่ะ กัปตันงี่เง่าเป็นคนอุ้มเธอขึ้นมา
“เอาเถอะน่าเรื่องนั้น
เจ้าไม่ต้องใส่ใจหรอก” หญิงสาวปัดเรื่องทิ้งทันที
เธอต้องการรู้เรื่องอื่นมากกว่า
“ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า”
“ว่ามา” โอเอลตอบ
“เกาะที่จะแวะพักต่อไปน่ะ” เอเวียน่าถาม
“เกาะวิวเมดท์
เจ้ามีอะไรงั้นเหรอ” โอเอลถาม
“ข้าอยากรู้ว่าทำไมอัลต้องแวะเกาะนั้นด้วย
ที่นั่นมีอะไรอยู่เหรอไง” เอเวียน่าถาม
“อืม...เรื่องนั้นข้าไม่รู้หรอก” โอเอลตอบแทบทันที
“ข้าว่าเจ้าน่าจะลองถามกัปตัน หรือไม่ก็รองกัปตันดูก็ได้” เขาเสนอ
เอเวียน่าคิด
หากเจ้าพวกนั้นยอมบอก ข้าคงไม่มาถามเจ้าหรอก
เพราะเธอคิดว่าเขาไม่มีทางบอกน่ะสิ ยิ่งอัลด้วยแล้ว เฮ้อ!
“เอาเถอะ ไว้ข้าจะลองถามดู ขอบใจเจ้ามาก”
เอเวียน่ากล่าวอย่างเสียอารมณ์
“ไม่เป็นไร...ข้าไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าเลยนี่” โอเอลบอก เขาทำท่าคิดอะไรบางอย่าง
“อ๋อ! อีกสามวันเราจะถึงที่นั่นนะ
พอช่วยเจ้าได้บ้างมั๊ย”
เอเวียน่ายิ้ม
“ขอบใจ” สามวันเหรอ เอเวียน่าคิด
“เล็กน้อย” โอเอลตอบ แล้วก็หันขึ้นไปทำงานต่อ ส่วนเอเวียน่า
เธอก็เดินไปห้องอาหารเพื่อจัดการกับอาหารเช้า
อาหารเย็นในค่ำวันนั้นดูพิถีพิถันเป็นพิเศษ
บ๊อบหัวหน้าครอบครัวใส่ใจรายละเอียดต่างๆ เยอะแยะทีเดียว
แถมอาหารก็มีมากกว่าที่ควรจะมี ทำไมน่ะเหรอ
ก็เพราะกัปตันที่ไม่เคยได้มาร่วมทานอาหารกับลูกเรือ เกิดอยากลงมาทานขึ้นมาน่ะสิ
เล่นเอาเหล่าพ่อครัวตื่นเต้นกันเป็นแถบๆ
เมื่ออัลลงมาถึงห้องอาหาร
ทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไป ในห้องก็เงียบกริบอยู่ครู่นึง
สายตาของทุกคนมองมาที่ผู้ที่หาได้ยากจริงๆ ในโรงอาหารแห่งนี้
“ไงท่านกัปตัน
นึกไงวันนี้ถึงลงมาได้ล่ะท่าน”
เสียงแซวของรอยซ์ดังขึ้นมาก่อนเพื่อน
อัลยิ้ม
“แหม ข้าได้ข่าวมาว่า บ๊อบทำอาหารเก่งขึ้น เลยมาดูซะหน่อย เป็นไรไป นานๆ
ที่ข้าจะว่างมาทานอาหารกับพวกเจ้า ไม่ดีเหรอไง” อัลกล่าว
แล้วเสียงพูดคุยก็ตามมา แต่สายตาของอัลกับมองหาหญิงสาวที่เธอบอกกับเขาว่า
เธอเป็นคนสอนบ๊อบทำอาหาร แต่กลับไม่เห็นเธอเลย
เอเวียน่าพอรู้บ้างแล้วล่ะว่าอัลจะมาทานอาหารร่วมกับลูกเรือในค่ำนี้
นั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่เธอไม่ลงไปทานอาหาร แล้วก็...หนังสือเล่มที่เธออ่านอยู่
ที่ทำให้เธอสนใจจนไม่อาจเสียเวลากับการทานอาหาร หนังสือเล่มนี้เบลเป็นคนหามาให้เธอ
เมื่อตอนเช้าหลังจากที่เอเวียน่าแยกกับโอเอล
เธอก็มาที่ห้องอาหาร และก็พบเบล วันนี้เจ้านกน้อยมาด้วยชุดธรรมดาๆ
ผมสีทองถักเปียไว้ด้านหลัง
“อรุณสวัสดิ์นายท่าน” มันทักทาย
“แผลท่านเป็นไงบ้างล่ะ”
เอเวียน่ายิ้ม
เธอไม่คิดว่าจะมีใครสนใจกับแผลเธอมานักหรอก ถ้ามันไม่เจ็บนิดๆ
และมีผ้าพันแผลอยู่รอบตัวเธอล่ะก็เธอคงลืมมันไปนานแล้วเหมือนกัน “ข้าไม่เป็นไรหรอกน่า
ขอบใจ” เอเวียน่าตอบ
“เจ้าเป็นไงบ้าง”
“สบายดีท่าน
หมู่นี้ได้นอนคนเดียวตลอดเพราะว่าหมอนั่นมักเข้าประชุมตอนดึกๆ
ข้าเลยสบายมากเลยตอนนี้”
โจซีฟีเน่พูดพลางนั่งลงที่ตรงข้ามเอเวียน่า
เอเวียน่าเหมือนนึกเรื่องที่คุยกับโอเอลเมื่อกี้ออก
“อืม...และเจ้าพอรู้มั๊ยว่าเขาประชุมเรื่องอะไรกัน”
“เอ...คงเกี่ยวกับเกาะที่จะแวะต่อไปล่ะมั้ง
เกาะอะไรน้า” นกน้อยลากเสียงยาวอย่างใช้ความคิด
“วิวเมดท์” เอเวียน่าต่อให้
“ใช่ๆ
นั่นแหละนายท่าน” เบลกล่าว
เอเวียน่าใช้ความคิด
เบลไม่รู้อะไรเลย และคนอื่นจะรู้มั๊ยเนี่ย แต่เอ...ถ้าข้าจำไม่ผิด
และก็เหมือนเธอนึกอะไรออก เอเวียน่ายื่นหน้าเข้ามาหานกสาว
“เบล
เจ้าจำได้มั๊ยว่า อะไรที่โจรสลัดต้องการจะหา ตอนที่เราเจอกับราฟาเอลว์ครั้งแรกน่ะ” เธอพยายามใช้เสียงให้เบาที่สุด
เบลยื่นหน้าเข้ามาตามเจ้านายของมัน
“ข้าคิดว่าอัญมณี...หรือพลอย
เอ...” เบลพยายามขุดความทรงจำ
“ใช่” เอเวียน่าว่า
มันน่าจะเป็นอะไรซักอย่างที่เกี่ยวกับพลอยหรืออัญมณี อะไรน้า หญิงสาวพยายามคิด
เธอยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ นกน้อยอีก
“เบล เจ้าช่วยไปหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งนั้นมาให้ข้าหน่อยได้มั๊ย
เป็นหนังสือหรืออะไรก็ได้น่ะ พอได้รึเปล่า” เอเวียน่าพูดเบาๆ
เบลเลิกคิ้วน้อยๆ
“ก็ได้นายท่าน
แต่ว่า...จะไปหาที่ไหนล่ะ”
เอเวียน่าทำท่าคิดอยู่ครู่นึงก่อนตอบว่า
“...ห้องวางแผน”
และเวลาไม่นานนักหรอกที่โจซีฟีเน่กลับมาพร้อมหนังสือเล่มหนึ่งในมือ
นกน้อยไม่เคยทำให้เธอผิดหวังจริงๆ เอเวียน่ากล่าวขอบใจมันและเธอก็ใส่ใจกับหนังสือเล่มนั้นอยู่เกือบสองชั่วโมงแล้ว
หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า
‘สมบัติจากท้องทะเล’ ภายในเล่มก็มีเรื่องหลายเรื่องราวทั้งเป็นเรื่องเล่า
และเรื่องจริงที่เคยออกในหนังสือพิมพ์ สมบัติชนิดต่างๆ
ที่เธอคิดว่านั้นคงเป็นสิ่งที่ทำให้มีโจรสลัดเต็มบ้านเมืองทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น
เขี้ยวมังกรทะเล เกล็ดของเจ้าปลาแห่งมหาสมุทรกิลกอล น้ำตาเงือก มุกหอยบีเชล (B-shell) และของมีค่าที่เป็นพวกแก้ว แหวน เงิน และทองคำ
เอเวียน่าอ่านไปเรื่อยๆ
พอมาถึงกลางๆ เล่ม เธอก็เจอสิ่งที่อัลต้องการจะหา พอเจอเธอก็นึกออกทันที
คริสตัลดวงดาว หนังสือกล่าวไว้ว่า ‘คริสตัลแห่งดวงดาว – คริสตัลสีขาวมีพลังแตกต่างกันตามแต่ล่ะอัน ผู้ใช้พลังนั้นคือเผ่าตำนานเจ็ดเผ่า
และความสามารถของผู้นั้นต้องดึงพลังที่ซ่อนอยู่ในคริสตัลออกมาได้อย่างเต็มที่
จึงเป็นผู้ที่ใช้พลังอำนาจของคริสตัลได้อย่างแท้จริง’
เอเวียน่าค่อยๆ อ่านอย่างสนใจ
‘ตำนานคริสตัลแห่งดวงดาวโดยย่อ -
กล่าวเอาไว้ว่า
สิ่งของชิ้นนี้เป็นสิ่งที่กำเนิดมาเพื่อให้คนแย่งชิงเพื่อความแตกแยก
เทพเจ้าอีรอสแห่งสงครามได้ส่งสิ่งนี้มาเพื่อมอบให้แก่มนุษย์ที่เป็นผู้ชนะแก่สงคราม
คริสตัลจะนำทางไปสู่สมบัติอันยิ่งใหญ่และมหาศาลเกินประเมินค่า
แต่ถึงสงครามจะมีผู้ชนะ แต่ก็ไม่มีผู้ใดยอมแพ้
กษัตริย์หลายต่อหลายพระองค์
ต่างพยายามแย่งชิงคริสตัลนี้อาจจะเป็นเพื่อเกียรติยศ เพื่อศักดิ์ศรี เพื่ออำนาจ
หรือเพื่อตัวเอง แต่มันไม่ได้เพื่อบ้านเมืองหรือประชาชนเป็นแน่ เพราะสงครามการแย่งชิงนั้นมีแต่จะสูญเสียเท่านั้น
กษัตริย์แห่งเออร์ลิน (เผ่าแห่งลม)
ได้เป็นผู้รวบรวมคริสตัลได้สำเร็จเป็นองค์แรก คริสตัลเจ็ดอัน และชนเผ่าเจ็ดเผ่า
แต่ความโลภและความไม่ยอมแพ้ทำให้ชนเผ่าอื่นๆ
ไม่ยอมที่จะให้เผ่าเออร์ลินมีอำนาจเกินตัวเอง การแย่งชิงจึงเกิดขึ้นเรื่อยๆ
ไม่มีใครยอมใคร ไม่มีใครอ่อนให้ใคร ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
สงครามที่น่าหวาดกลัวเกิดขึ้นเป็นเวลานาน
จนพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งเทพเจ้าทั้งมวลทำให้คริสตัลแยกออกไปทั่วทุกทิศทาง
และสงครามก็สงบลงในที่สุด’
“ยอดจริงๆ” เอเวียน่าพึมพำ
สิ่งที่เหล่าโจรสลัดต้องการ.สิ่งที่โอคาลอทตามหา
หญิงสาวคิดอย่างตื่นเต้น
“ความจริงคนที่เหมาะสมกับการค้นหาสิ่งนี้คงเป็นโอคาลอทจริงๆ...โธ่เอ้ย
เอเวินท์นะเอเวินท์ ไม่น่ารีบฆ่าเขาเลย” เอเวียน่ากล่าวอย่างเสียดายนิดๆ
อัลกำลังตามหาสิ่งที่ยิ่งใหญ่
เขาคงหวังหาสมบัติที่กล่าวเอาไว้ เธอคิด และมองไปยังตัวหนังสือที่บรรยายเอาไว้
และเธอก็เหลือบไปเห็น ‘รูปคริสตัลแห่งดวงดาว
อยู่หน้าถัดไป’ เอเวียน่าเปิดมันอย่างตื่นเต้น
หญิงสาวกระพริบตากับภาพที่เธอเห็นตรงหน้า
นี่มันอะไร เอเวียน่าคิด
‘เพราะข้าสนใจเจ้าไง
เลยหาเรื่องเอาเจ้าขึ้นมา’ เสียงของอัลดังขึ้นมาในหัว
ภาพที่หญิงสาวเห็นตรงหน้าคือภาพสิ่งที่เธอคุ้นตามาก
คริสตัลสีขาวห้อยอยู่ด้านล่างของอัญมณีรูปดวงดาว มันถูกทำเป็นเครื่องประดับต่างๆ
ทั้งสร้อย แหวน กำไล รวมถึงต่างหู นั่นแหละที่เอเวียน่าสนใจ
มันเหมือนกับต่างหูรูปดวงดาวของเธอไม่มีผิด! ต่างหูที่มีพลังเปลี่ยนเสียงเธอเป็นบุรุษ!!
“นี่มันอะไร” เอเวียน่าพึมพำอย่างไม่น่าเชื่อ
‘เพราะข้าสนใจเจ้าไง’
เสียงของอัลดังขึ้นมาอีกครั้งอย่างท้าทาย
เอเวียน่าหรี่ตาลงอีกครั้ง “เจ้าโกหก” เธอพึมพำ ไหนว่าสนใจข้าไง
เธอคิดอย่างโมโห เอเวียน่าคว้าหนังสือนั้นพร้อมกับเสื้อคลุมของเธอทันที
หญิงสาวปิดประตูห้องอย่างอารมณ์เสีย เธอเดินฉับๆ ออกไป ภายในเรือเงียบมาก
ทุกคนคงรวมตัวอยู่ที่ห้องอาหาร
เอเวียน่าคิด นั่นแหละ เป้าหมายของเธอ
คืนนี้การสังสรรค์ของราฟาเอลว์อยู่ที่ห้องอาหารใต้ท้องเรือ
แทนที่จะเป็นดาดฟ้าเรือเหมือนอย่างเคย กัปตันหนุ่มแห่งราฟาเอลว์
นั่งอยู่ที่นี่ด้วยทำให้บรรยากาศการกินอาหารของพวกเขาแตกต่างไปจากเดิม
“ว่าแต่เจ้าเด็กสาวหายไปไหนซะล่ะ” ไรอัลถาม
“เทพซีซัตของเธอก็อยู่ที่นี่แล้วด้วย” ชายล่ำสันชี้ไปทางที่ทิงกาเบลยืนอยู่กับสองฝาแฝด
“นั่นสิ ข้าเห็นด้วย” คลิฟท์กล่าว
“หล่อนไปอยู่ไหนซะล่ะ
อัล” เขาหันไปถามเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ
แต่ไม่ได้รับคำตอบอะไรจากเขาเลย
อัลนั่งเหม่อ ในมือมีแก้วเบียร์อยู่แต่เขายังดื่มไปไม่ถึงครึ่งแก้ว
คริซโตเฟอร์สังเกตท่าทางของกัปตันหนุ่ม
เขาพอรู้บ้างล่ะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่หน้าแปลกคือ อัลไม่ได้ทำท่าหาเรื่องเขาเลย
อาจเพราะเอเวียน่าไม่บอกรึเปล่าว่าเขาเป็นคนบอกเธอเองเรื่องห้องวางแผน
แต่เห็นนั่งเหม่อแบบเนี่ย ดูท่าจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ล่ะสิ คงเกิดเรื่องขึ้นแน่ๆ
ล่ะ เพราะเอเวียน่าเคยยอมใครซะที่ไหน และเจ้าหมอนี่ยิ่งแล้วใหญ่ “เฮ้อ!” คริซถอนหายใจเบาๆ
ในลำคอ
“เจ้าเป็นไรรึเปล่า เพื่อน” คลิฟท์ถามกัปตันหนุ่ม
‘ปัง!’
แต่ยังไม่ทันที่อัลจะได้ตอบคำถาม
เสียงเปิดประตูแบบต้องการให้มันพังลงมาให้ได้ก็ดังขึ้น
เรียกร้องความสนใจจากคนที่อยู่ในห้องนั้นแทบจะในทันที
เอเวียน่าเดินฉับๆ
เข้ามาอย่างไม่สนใจใครทั้งนั้น คนหลายคนต้องคอยหลบความร้อนรนของเธอ
แม้แต่เสียงทักทายก็หยุดการกระทำของเธอไม่ได้
เธอเดินเข้าไปหาเป้าหมาย...กัปตันราฟาเอลว์
อัลก็เป็นอีกคนหนึ่ง
ซึ่งเขาละจากอารมณ์เหม่อมาสนใจการมาของหญิงสาวที่ไม่ปกติ
ทันทีที่เอเวียน่ามาถึง
ไม่ทันที่อัลจะทันพูดอะไร หญิงสาวก็คว้าคอเสื้อชายหนุ่มขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์
ส่วนคนที่อยู่แถวนั้นก็พากันแตกตื่นกระจัดกระจายกันไปหมด
“...นี่อะไร” อัลพูด
คงไม่มีใครอยากเล่นบ้าๆ กับเธอตอนอารมณ์แบบนี้หรอกนะ
สายตาของเขาเหมือนสื่อออกมาอย่างนั้น
“ต้องให้บอกด้วยเหรอ” เอเวียน่ากล่าวเสียงเย็นชา เธอหยิบหนังสือ ‘สมบัติจากท้องทะเล’ ออกมา
“แล้ว...นี่อะไร” เธอใช้คำถามที่เขาถามมา
กัปตันหนุ่มขมวดคิ้ว
แน่นอนว่าเขาอารมณ์ไม่ดี “…เจ้าไปเอามาจากไหน”
“มันสำคัญด้วยเหรอ...แล้วก็อัล...เจ้าตอบไม่ตรงคำถาม”
ดวงตาสีชามองมาที่ชายหนุ่มอย่างเยือกเย็น
ภายในห้องมีเหลือเพียงแต่ความเงียบ
ไม่มีการโยนเหรียญพนันกันเหมือนอย่างเคย ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีเสียงซุบซิบ
ทุกคนนิ่งและอึ้ง สายตาสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้
ชายหนุ่มนิ่งไปครู่นึง
“ข้าพึ่งบอกเจ้า...ว่าอย่าเข้าไปในห้องนั้นอีก” เขาพูดช้าๆ อย่างเก็บอารมณ์
มือยังอยู่ที่คอเสื้อเขา
เอเวียน่าอยากบอกเหมือนกันว่าคนที่เข้าไปในห้องนั้นไม่ใช่เธอแต่...
”แล้ว...มันสำคัญด้วยเหรอ” เธอกลับย้ำคำพูดเดิม
ฉับพลันมือของหญิงสาวก็ถูกดึงออกจากคอของกัปตันหนุ่มอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
แผ่นหลังของหญิงสาวกระทบกับไม้จนระบม เมื่อเอเวียน่ารู้สึกตัวอีกที
เธอก็ถูกมือสองข้างของอัลตรึงไว้ที่โต๊ะอาหาร
“ข้าบอกแล้วว่าเราจะได้เห็นดีกัน” เขาตอบ
ใบหน้านิ่งเฉยไม่มีความรู้สึกใดๆ สิ่งที่แสดงความรู้สึกคือ
มือของเขาที่บีบข้อมือของเธอแน่น
เอเวียน่าทำหน้านิ่งเฉย
ทั้งๆ ที่ตัวเองรู้สึกหวาดๆ อยู่ไม่น้อย หญิงสาวได้ยินเสียงของนกน้อยเบาๆ
แต่มันก็ถูกปิดปากเอาไว้จนได้ยินแต่เสียงอู้อี้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจสิ่งนั้น
เอเวียน่าเลิกคิ้วอย่างกวนประสาท “แล้ว...เจ้าจะทำอะไรข้าได้” เธอพูด
“อยากให้ข้าพิสูจน์มั๊ยล่ะว่าทำอะไรได้บ้าง” รอยยิ้มของเขาตอนนี้ไม่ได้ทำให้เอเวียน่ารู้สึกดีขึ้นเลย
หญิงสาวยอมรับว่า
ไม่ว่าจะพยายามอย่างไงเธอก็ไม่มีทางดิ้นหลุดแน่ แรงของผู้ชายคนนี้เยอะจริงๆ “...อย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้...” เอเวียน่ากล่าว เธอคิดได้ภายหลังว่าไม่ควรไปท้าเขาเลย
กัปตันขมวดคิ้วเข้าหากัน
แต่หน้ายังมีรอยยิ้มที่รู้สึกไม่ดีอยู่ในสายตาเอเวียน่าอยู่
เขาเลื่อนหน้าลงจากตำแหน่งเดิมช้าๆ
เอเวียน่ารู้สึกหวาดๆ
นี่เขาจะทำอะไร ใบหน้าใกล้เข้ามา เส้นผมปรกหน้าผาก ดวงตาสีน้ำตาลดำ
ชวนหลงใหล อย่าเข้ามา! หญิงสาวคิดในใจ เธอหลับตาลงมิด
ด้วยความกลัว และ...
เธอก็เป็นอิสระ
อัลปล่อยเธอแล้ว เขาจะเดินออกไปจากห้องอาหารหญิงสาวดันตัวเองขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว
มองไปที่ผู้ที่ทำเธอเจ็บใจ
“ข้าคิดว่า เจ้าคงไม่อยากเท่าไร” เขากล่าว กำรอยยิ้มแห่งชัยชนะเอาไว้
เอเวียน่าหน้าร้อนผ่าว
เธอแพ้ แพ้อย่างหมดรูปเลย น่าอายอีกต่างหาก อัลจำไว้เถอะ ครั้งหน้าข้าจะต้องเค้นคอเจ้าออกมาให้ได้
หญิงสาวคิดอย่างโมโห
ฮอคซ์ปล่อยเบล
เอเวียน่าพึ่งรู้ว่าคนที่ปิดปากเจ้านกน้อยคือฮอคซ์นั่นเอง เบลเข้ามาหาเธอก่อนใคร “นายท่าน ท่านไม่เป็นไรนะ” โจซีฟีเน่ถาม
“ข้าไม่เป็นไร”
เอเวียน่าตอบ พร้อมกับรอยยิ้มแห้งๆ บนใบหน้า
แล้วลูกเรือราฟาเอลว์ก็กรูกันเข้ามาหาเธอ
ดูอาการของเธออย่างเป็นห่วงเช่นกัน “เอเวียน่าเจ้า ไม่เป็นไรนะ ลุกไหวรึเปล่า”
โอเอลหนึ่งในต้นหนของเรือกล่าว
“คิดไม่ดีเลยเจ้าเนี่ย” รอยซ์กล่าว เขาส่งผ้าชุบน้ำให้
“เผื่อเจ้าจะตาสว่างขึ้นมา”
เอเวียน่ารับมา
กล่าวคำขอบใจเบาๆ
“ตั้งแต่เข้าราฟาเอลว์มาเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย
ที่มีคนหาเรื่องกับกัปตัน” หนึ่งในนั้นกล่าว
“แถมยังเป็นผู้หญิงอีก...” ประโยคนี้พูดเบาๆ
แต่เอเวียน่าได้ยินชัดเจน
หญิงสาวนิ่ง
อาจเพราะข้าเป็นผู้หญิงล่ะมั้ง เอเวียน่าคิด และหญิงสาวก็ลุกจากที่ตรงนั้น
เดินออกจากห้องไป โจซีฟีเน่เดินถือเสื้อคลุมที่หลุดอยู่บนโต๊ะตามเธอมา
“เดี๋ยวนายท่าน”
เบลเรียก
เพราะข้าเป็นผู้หญิงเหรอ
ใช่...ข้าเป็นผู้หญิงแล้วไงล่ะ...
เอเวียน่าบ่นอยู่ในใจอย่างโมโห
“นายท่าน รอข้าก่อน”
เบลเรียกอีกครั้ง
“อย่าตามมา!” เธอพูด
เอเวียน่าต้องการคิดเงียบๆ คนเดียว เลยไม่ต้องการให้ใครมารบกวนแม้กระทั่งนกน้อย
ทางด้านกัปตันราฟาเอลว์
และคนสนิท ทั้งห้าคนอยู่ในห้องวางแผน อัลทิ้งตัวลงที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน
“เรื่องนี้มันเป็นไงมาไงกัน” คลิฟท์เป็นคนเริ่มการสนทนาขึ้น “ข้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย” เขามองมาที่คนอื่นๆ อย่างหาพวก
“ข้าด้วย” ไรอัลกล่าว
“นี่เรื่องอะไร” เขามองไปหาสองคนที่เหลือ
“ไม่ใช่ข้า”
โอลิเวอร์กล่าว
“ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่านี้เกิดอะไรขึ้น”
ซีซัตหนุ่มเหล่ตาไปที่เจ้านายของมัน แล้วสายตาทุกสายตาก็มองไปที่คริซโตเฟอร์
“เจ้าใช่มั๊ย”
ไรอัลถาม น้ำเสียงจับผิด
คริซเหล่ตา
“อาราย ท่านไรอ้าล
ไม่เชื่อใจข้าเหรอ” คริซกลายเป็น ‘คริซโตเฟอร์ปัญญาอ่อน’ กระโดดโลดเต้นเข้ามาหาผู้เคราะห์ร้าย ทำท่าทียั่วๆ ชายหนุ่มล่ำสัน
“เจ้าไปเลียนแบบสาวบริการที่ไหนมา” ไรอัลกล่าวอย่างกลัวๆ
คริซดึงคอเสื้อลงให้เห็นไหล่
กระดกไหล่ขึ้นเล็กน้อย ยกขอบกระโปรงชุดยาวขึ้นจนเห็นขาอ่อน และทำท่าส่งจูบ ‘จุ๊บ!’ ขยิบตานิดนึง
“แหวะ! พอๆ” ไรอัลกล่าว แต่เหมือนยิ่งยุ คริซโตเฟอร์เข้ามาเกาะแข้งขาอย่างน่าหมั่นไส้
คลิฟท์ดูเหตุการณ์อยู่
เขารู้ตัวเจ้าเรื่องแล้ว “เจ้าใช่มั๊ยคริซ” เขากล่าว
“เจ้าไปทำอีท่าไหน เจ้าหล่อนถึงโมโหแบบนี้”
ใบหน้าจริงจังของผู้รู้แห่งท้องทะเลหันมาแป๊บนึงเมื่อถูกจับได้
ก่อนที่จะ “แหม...คลิฟท์นี่ก็…”
เขาส่งจูบมาทางผู้เคราะห์ร้ายเบอร์สอง
คลิฟท์หลบจูบนั้นอย่างรังเกียจ
“เล่ามาซิ” เขาไม่ถูกชักจูงไปเรื่องปัญญาอ่อนง่ายๆ
คริซโตเฟอร์ถอนหายใจ
ดวงตาสีเขียวมรกตดูจริงจังอีกครั้ง “ก็ได้ค่ะ ก็ได้” เขาพูด แม้คำพูดจะฟังดูขัดๆ ไปบ้าง
แต่ก็ไม่มีใครแทรก
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกน่า ข้าแค่เป็นคนบอกว่าห้องวางแผนเนี่ย
อยู่ตรงนี้แค่นั้นเอง” เขาบอก
“แค่นั้นเอง”
ฮอคซ์ย้ำคำพูดของชายหนุ่มผมน้ำตาลแดง สร้างความไม่พอใจให้เขา
“แน่ใจเหรอ...”
“นี่ เจ้าเหยี่ยวน้อย กล้าหาเรื่องกับข้าเหรอ”
เขาพูดน้ำเสียงเป็นต่อ
โอลิเวอร์โมโห
“ใครเป็นเจ้าเหยี่ยวน้อยกัน!”
และการทะเลาะก็เกิดขึ้นอีกจนได้
แต่ครั้งนี้รองกัปตันผมบลอนด์ไม่สนใจ
เขาสนใจผู้ที่กำลังทำหน้านิ่งๆ อยู่หลังโต๊ะทำงานมากกว่า “แล้วอัล...ทำไมเจ้าถึงโมโหนัก”
“นั่นสิ”
รองกัปตันอีกคนเห็นด้วย
“ท่าทางโกรธแบบนั้น...แสดงว่าเจ้าหล่อน
รู้อะไรเข้าล่ะสิ” คลิฟท์กล่าวอย่างรู้นิสัยเพื่อนสนิท
“ความลับที่เจ้าปิดหล่อนไว้ใช่มั๊ย” ไรอัลต่อให้
กัปตันหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่นาน
เกิดรู้สึกหมั่นไส้ในความรู้ดีของเพื่อนสองคนนี้เสียจริงๆ เพราะคบกันมานานกว่าใครๆ
หรอกนะ “ก็มีส่วนถูกบ้าง”
เขาเอามือทั้งสองข้างไขว้ไว้หลังศีรษะ
“ถูกทั้งหมดเลยมากกว่า” ฮอคซ์กล่าว ทั้งๆ ที่มือสองข้างยังกันตัว ‘คริซโตเฟอร์ปัญญาอ่อน’ อยู่
อัลถูกจี้ใจดำ
เจ้าพวกนี้จะรู้ดีเกินไปหน่อยแล้ว เขาคิด “พวกเจ้านี่น้า” กัปตันหนุ่มยิ้ม
เขาลุกขึ้น จะเดินออกจากห้อง
“เจ้าจะไปไหน”
คลิฟท์ถาม
“ไปซีกัลไวท์หน่อย ข้าหิวชะมัด” เขากล่าวอย่างอารมณ์ดี
“จะไปด้วยกันมั๊ย” อัลหยิบเสื้อคลุมข้างประตู
“ไปสิ”
เสียงไรอัลตอบมาก่อนเพื่อน
ในห้องนอนของกัปตันเรือ
เอเวียน่าเดินไปเดินมาอยู่นานสองนาน และเธอก็นั่งลงบนเตียง เธอลูบข้อมือเบาๆ
สัมผัสจากเหตุการณ์เมื่อครู่ยังเหลืออยู่ คนอะไรน่าโมโหจริงๆ เอเวียน่าคิด
เธอเงียบไปซักพัก และก็ทิ้งตังลงนอน
“เฮ้อ!” เสียงถอนหายใจอย่างหมดอารมณ์ เพราะเป็นผู้ชายสินะ
ถึงได้มีแรงเยอะขนาดนั้น แล้วก็...
‘แถมยังเป็นผู้หญิง...’ เสียงของลูกเรือราฟาเอลว์ดังขึ้น
“ใช่...ข้าเป็นผู้หญิง” เอเวียน่าพึมพำ แล้วทำไมต้องเกิดมาเป็นผู้หญิงด้วยนะ เธอคิด ทั้งๆ
ที่หากเป็นผู้ชายคงทำอะไรสะดวกกว่านี้เยอะ เฮ้อ!
‘เพราะข้าสนใจเจ้าไง เลยหาเรื่องเอาเจ้าขึ้นมา’ เสียงของอัลดังขึ้นมาในหัว
มันชักดังบ่อยเกินไปแล้ว
น่าโมโหจริงๆ หญิงสาวคิด
เอเวียน่าถอดต่างหูออกมา
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่โจรสลัดตามหาอยู่
เอ... เอเวียน่าเขย่ามันเบาๆ
เจ้านี่ทำอะไรได้บ้างน้า
‘...คริสตัลสีขาวมีพลังแตกต่างกันตามแต่ล่ะอัน ----
และความสามารถของผู้นั้นต้องดึงพลังที่ซ่อนอยู่ในคริสตัล...’ ในหนังสือบอกไว้
พลังเหรอ
“มันคงเป็นพลังที่เปลี่ยนเสียงของข้าเป็นบุรุษสินะ”
เอเวียน่าพึมพำกับตัวเองเบาๆ แล้วตัวเธอก็พล่อยหลับไป
เวลาค่อยๆ
ผ่านไป กลางคืนค่อยๆ มืดลง ราฟาเอลว์และซีกัลไวท์มีเพียงแสงไฟบางดวงที่จุดเอาไว้
ร่างหลายร่างจมดิ่งสู่นิทรา ไม่รู้เป็นเพราะอะไร
คืนนี้ลูกเรือราฟาเอลว์ถึงยอมแพ้ให้กับความง่วงไปตามๆ กัน
กัปตันของราฟาเอลว์และคนสนิทอีกสี่คนที่เหลือก็อยู่บนเรือข้างๆ
พวกเขากำลังทานอาหารค่ำและพูดคุยกับกัปตันซีกัลไวท์อย่างเพลิดเพลิน
แต่แล้วสิ่งที่ค่อยๆ
คืบคลานเข้ามากับกระแสคลื่น เรือลำหนึ่งค่อยๆ แล่นเข้ามาอย่างช้าๆ แล้วในที่สุด...
‘ปัง!’ เสียงปืนใหญ่ดังขึ้น และ...
‘ตูม!’ วิถีกระสุนปืนใหญ่พุ่งเข้าชนหน้าเรือราฟาเอลว์
คราวนี้ทุกร่างบนเรือลุกขึ้นด้วยความตกใจ
“เสียงอะไรน่ะ”
กัปตันราฟาเอลว์กล่าวขึ้นอย่างวิตกกังวล เขามองหน้าเพื่อนคนอื่นๆ
และรีบลุกขึ้นไปยังที่มาของเสียง ตามมาด้วยเพื่อนที่เหลือ
ภาพที่เขาเห็นเรือราฟาเอลว์เริ่มไหม้
ไฟลุกขึ้นแล้ว ลูกเรือแตกตื่นกันทั่วทั้งเรือ
ริชาร์ดมีคำสั่งให้ซีกัลไวท์ถอยออกมาก่อนที่เรือจะโดนไฟลามไปอีกลำ
และจึงเข้ามาสมทบกับอัล
“นี่เกิดอะไรขึ้น”
อัลพึมพำ ยังคงอึ้งกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“ข้าคิดว่าคงเป็นเรือที่กำลังใกล้เข้ามา
ข้าไม่รู้ว่าเรืออะไรเหมือนกัน” ริชาร์ดกล่าว
แล้วเขาก็หันไปตะโกนกับต้นหน แล้วหันกลับมาที่อัลอีก
“เอางี้ อัล...เจ้าบอกให้ลูกเรือของเจ้ามาที่เรือข้าก่อนละกัน
แล้วค่อยคิดว่าจะทำไงต่อไป”
มันไม่ตลกเลยนะ
อัลคิดอย่างโมโห เพื่อนๆ มองมาทางเขาอย่างเป็นห่วง
กัปตันหนุ่มเดินมาทางขอบเรือ แต่ถูกฮอคซ์ห้ามเอาไว้
“ข้าไปเอง นายท่าน ท่านอยู่เฉยๆ ดีกว่า” แล้วโอลิเวอร์ก็กลายร่างเป็นเหยี่ยวสีทองคำ
บินข้ามไปยังเรือที่กำลังลุกไหม้ เรือสีน้ำตาลไม้...ราฟาเอลว์
ความคิดเห็น