ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Treasure Magic ผจญภัยขุมทรัพย์แห่งเวทมนตร์

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 6 - ความทรงจำที่ไม่อาจลบเลือน

    • อัปเดตล่าสุด 8 พ.ค. 54


    ---ocean---



                ข้าไม่สามารถเชื่อใจใครได้อีกแล้ว เสียงของหัวใจใสๆ ที่ไม่เคยรับรู้เรื่องใดเลย...

     

                แสงแดดอ่อนๆ ของยามรุ่งอรุณ เสียงของฝูงชนแข่งกับเสียงรถม้าและยานพาหนะที่ผ่านไปมาอย่างเร่งรีบ ที่แห่งนั้นเป็นเพียงเกาะเล็กๆ ที่มีผู้คนจอแจไม่มากนัก แต่รอยยิ้มจากใบหน้าแสดงความจริงใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

                กุ๊ก กุบ เสียงรถม้าผ่านถนนสายใหญ่ของเกาะ เข้ากับเสียงจ้อกแจ้กของผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อของกันในยามเช้านี้ เสียงทักทายกันระหว่างร้านตรงกันข้ามและคนที่ผ่านไปมามีอยู่ให้ได้ยินเป็นพักๆ

                ในซอกซอยเล็กนั่นเอง สิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆ ได้มองผ่านซอยแคบๆออกมาภายนอก เด็กสาวตัวเล็กๆ วัยไม่เกินเก้าขวบเท่านั้น...

                ใบหน้าของสาวน้อยมอมแมมเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบดินและคราบน้ำตา เสื้อสีขาวขาดรุ่งริ่งมีรอยของน้ำเข้มข้นสีแดง ในดวงตาที่สวยใสสะท้อนภาพของเมืองตรงหน้า

                นั่นมันอะไรกันน่ะ คำถามบางอย่างเกิดขึ้นมาในหัว เธอเพิ่งตื่นมาจากตรอกเล็กๆ ซึ่งดูเหมือนเธอจะหลับไป...นานพอสมควร

                นี่มันอะไร...ดวงตาใสๆ เบิกโพล่งขึ้น ความคิดยังคงวนเวียนไปมาไม่มีที่สิ้นสุด ที่นี่ที่ไหน! ไม่มีอะไรอยู่ในหัวเธอเลยแม้แต่นิดเดียว

                นี่มันอะไรกัน! ที่นี่ที่ไหน! เกิดอะไรขึ้น ขะ...ข้าเป็นอะไรไป! ใครก็ได้...ช่วยด้วย หยดน้ำตาใสเริ่มรินไหลลงมาจากดวงตาคู่นั้นอย่างไร้สาเหตุ

                และข้าล่ะ...ข้าเป็นใครกัน

                เธอเหนื่อยอ่อน เด็กน้อยทิ้งตัวลง เธอไม่เข้าใจ เธอไม่รู้อะไรเลย นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงมีน้ำไหลออกมาจากดวงตาของเธอ ทำไมเธอไม่รู้อะไร เด็กหญิงตัวเล็กๆ นั้นนั่งกอดอกร้องไห้ซิกๆ ด้วยความหวาดกลัว

                ร่างน้อยๆ นั้นสูญเสียความทรงจำไปทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดที่เหลืออยู่นอกจากความว่างเปล่า ...ความว่างเปล่าที่น่าหวาดหวั่นเหลือเกิน ใครเป็นคนเอาความทรงจำของเธอไป คนๆ นั้นอาจจะต้องการอะไร เด็กสาวเกิดความกลัว เธอไม่ปลอดภัยแน่ๆ ทำไมถึงไม่มีใครอยู่ข้างๆ เธอ ทำไมไม่มีคนที่เธอมองเห็นเวลาตื่นขึ้นมา ทำไมเธอไม่นอนอยู่บนเตียงนอนที่นุ่มและอบอุ่น แทนที่จะเป็นที่ชื้นๆแฉะๆ นี่

                หิว เด็กน้อยพึมพำเธอรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เมื่อหิวก็คงต้องขอเขากินเด็กสาวตัดสินใจเลิกร้องไห้โยเย ซึ่งไม่ได้ช่วยให้อะไรให้ดีขึ้นได้เลย และลุกขึ้นยืน มือเล็กๆ สัมผัสเข้ากับแท่งอันหนึ่ง มันเป็นแท่งเล็กๆ ทรงกระบอกความกว้างประมาณเซนกว่าๆ ความยาวราวหนึ่งคืบ สีขาวของมันดูสะอาดตา

                เธอหยิบมันขึ้นมาดู เหมือนมีออร่าสีส้มขึ้นมารอบๆ สาวน้อยขยี้ตาอย่างเหลือเชื่อ และมันก็หายไป อัศจรรย์ดีแท้ เธอรู้สึกถูกชะตากับเจ้าแท่งกลมๆ นี่อย่างประหลาด มันให้ความรู้สึกอบอุ่น ทำให้เธอรู้สึกสบายใจ หญิงสาวใช้มือลูบเจ้าแท่งๆ นั้นและเธอก็เจอรอยปุ๋มลึกลงไป

                ตัวอักษรสีทองสว่างขึ้น ~aVIAna~ เอเวียน่า เด็กสาวรู้สึกชื้นใจขึ้นมาเป็นกอง เธอรู้ชื่อของเธอแล้ว แม้มันเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่เธอก็รู้ว่ามันเป็นความสุขมาก เพราะเมื่อครูนี้เธอไม่รู้อะไรเลย แต่ตอนนี้แค่ชื่อ...แค่ชื่อเท่านั้น ก็ทำให้สาวน้อยรู้จักเอิบอิ่มใจ เธอนอนกอดเจ้าแท่งนั้นราวกับของมีค่า แต่แน่ล่ะ... มันเป็นของมีค่าสิ่งเดียงในตัวเธอตอนนี้

     

                เคร้ง!’ เสียงหม้อใบเก่าลอยออกมากระทบกับพื้นดินหน้าร้านขายขนมปัง เอเวียน่าวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่ขาเล็กๆ ของสาวน้อยจะทำได้ พร้อมกับขนมปังก้อนมหึมาในปาก และอีกสามก้อนในมือทั้งสองข้าง

                ขโมย! เจ้าเด็กบ้า! กลับมานะ! อย่าให้จับได้ล่ะเสียงป้าเจ้าของร้านดังไล่ตามหลังมา ไอ้เด็กเวร!” เธอตะโกนสุดกำลัง

                แต่เด็กสาวหายลับไปแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมการขอเขากินของเอเวียน่าถึงกลับกลายเป็นการขโมยเขากินไปได้ก็ไม่รู้ ใครเป็นขโมยกันย่ะ ช่วยไม่ได้ขอดีๆไม่ให้นี่น่า ก็ต้องเจอแบบนี้แหละ แม่จอมงก แบรรรร่ สาวน้อยแลบลิ้นปลิ้นตาท้าทายแม้เจ้าของร้านที่ว่าจะไม่เห็นก็ตาม

                เธอคุกเข่านั่งลง ขนมปังสี่ก้อนถูกวางลงบนพื้น เด็กน้อยหยิบขึ้นมาทานอย่างเอร็ดอร่อย ง้ำ กัดคำแรกด้วยความสุข หลังจากที่ไม่ได้กินอะไรมาสองวันเต็มๆ

                แต่ไม่ทันที่จะได้กัดคำที่สองความทุกข์ก็เข้ามาแทนที่ทันที ตัวของเด็กสาวลอยขึ้นมาเหนือพื้น เธอเงยหน้ามอง ชายหนุ่มผมสีอำพัน (เหลืองอมน้ำตาล) ผ้าโพรกหัวสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้ามีรอยยิ้มแท้ๆ แต่กลับทำให้สาวน้อยรู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างประหลาด

                เจอแล้วเจ้าเด็กน้อย รอยยิ้มกว้างขึ้น แต่คิ้วกลับขมวดเข้าหากันด้วยความโกรธเคือง

                เอเวียน่าเหงื่อตก ขนมปังร่วงหลุดลงจากปาก สิ่งที่เธอคิด เธอถูกจับทั้งๆ ที่เพิ่งกินขนมปังไปแค่คำเดียวเอง ไม่น้าาาาาาาา!” เด็กสาวร้อง

                แต่ชายหนุ่มผมอำพันก็ลากตัวเธอออกมาจากที่ซอกเล็กๆ นั่นและตรงไปร้านขนมปังที่เธอเพิ่งเข้าไปเมื่อครู่นี้ และที่สำคัญกว่านั้นเธอเพิ่งขโมยขนมปังเค้ามา เด็กน้อยดิ้นอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ก็ไม่หลุด ไม่นะ! เอเวียน่าร้องในใจ

     

                หลังจากที่เอเวียน่าโดนต่อว่าเป็นชุดจากคุณป้าคนขายขนมปัง และชายที่จับเธอมา เด็กน้อยก็สำนึกว่าการเป็นขโมยไม่ใช่ความคิดที่ดีและเหมาะสมกับเธอเลย เอเวียน่าได้รับขนมปังจากคุณป้าเจ้าของร้าน (ซึ่งเด็กสาวรับมาด้วยความรู้สึกงงๆ ด้วยซ้ำ) และที่อยู่ใหม่แทนที่จะเป็นซอกชื้นๆ แฉะๆ นั่นคือบ้านของชายผมสีอำพัน...วิลฟริด

                วิลฟริดอาศัยอยู่ที่บ้านท้ายหมู่บ้าน กับเจ้าสุนัขสีเทา เอเวียน่ากลายเป็นสมาชิกใหม่อย่างเป็นทางการเมื่อเจ้าหมาน้อยเข้ามาเลียหน้าเธออย่างเป็นมิตร

                ฮะๆ เกรย์คงชอบเจ้า ชายหนุ่มหัวเราะ

                เกรย์ ชื่อของเจ้าสุนัขตัวสีเทา คงตั้งชื่อตามสีขนของมันสินะ แล้วเจ้าสุนัขตัวนั้นก็กลายเป็นเพื่อนของเธอไปโดยปริยาย

     

                วิลฟริดน่าจะเป็นพ่อค้า หรือชาวประมง หรือนายพราน เอาเป็นว่าเขาเป็นได้ทุกอย่าง เอเวียน่ากลายเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ติดตามเขาไปทุกๆ ที่ ชายอายุสิบแปดกับเด็กอายุเก้าขวบ ไม่ๆ บางทีเธออาจจะอายุสิบขวบแล้วมั้งตอนนี้ ไม่เป็นไรๆ เอเวียน่ายิ้ม

                เจ้าหนู เจ้ายิ้มเล็กยิ้มน้อยอะไร วิลฟริดถามขณะรอเอเวียน่าทำอาหารเย็น เธออยากลองทำดู เพราะจะได้ช่วยเหลือเขาบ้างซักอย่างหนึ่ง และเธอก็ทำได้ดีเสียด้วยสิ

                ข้าไม่ใช่เจ้าหนูนะ!” เธอตะโกนออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งชายหนุ่มนั่งอยู่ข้างนอกบ้านริมหน้าต่างที่เอเวียน่าทำอาหารอยู่นั่นแหละ

                วิลฟริดไม่สนใจคำพูดนั้น เขาไม่อยากสนใจมากกว่า นี่เจ้าหนู สายตาของชายหนุ่มมองขึ้นไปยังดวงดาว ที่อยู่บนท้องฟ้าสีน้ำเงินสวยงามราวกับอัญมณี เจ้ารู้มั๊ยว่า หากแม้เจ้าจะอยู่ที่ไหน อยู่ห่างจากข้าไกลซักแค่ไหนก็เถอะ แผ่นฟ้าดวงดาวที่เจ้ามองขึ้นไป หรือแผ่นดินที่เจ้ายืนอยู่น่ะก็ยังเป็นแผ่นดินเดียวกับข้าเสมอ จำไว้ด้วยล่ะ...เจ้าหนู

                เด็กสาวที่กำลังเคลิ้มและเพลินกับเรื่องที่ชายหนุ่มเล่า ต้องสะดุดลงเมื่อเขาเรียกเธอว่า เจ้าหนูอีกครั้ง ข้าไม่ชอบให้เขาเรียกอย่างนั้นเลย ให้ตายสิ! มันดูเหมือนข้าเป็นเด็กเล็กๆ! เอเวียน่าคิด อย่าเรียกข้าว่าเจ้าหนู!” เด็กสาวกล่าว

                เพราะฉะนั้นหากเกิดอะไรขึ้นล่ะก็ ขอให้เจ้ายังจำไว้ว่าเจ้ายังมีข้าอยู่ อีกครั้งหนึ่งที่วิลฟริดไม่สนใจคำโต้แย้งของเธอ

                หมายความว่าเจ้าจะอยู่กับข้าทุกที่เหรอ เอเวียน่ากล่าว แล้ว?...หากข้าอยู่ในมหาสมุทรล่ะ ไม่ใช่พื้นดิน เจ้าจะอยู่กับข้ารึเปล่า เด็กน้อยชะโงกหน้าถามด้วยความสงสัย

                วิลฟริดไม่ตอบอะไร เพียงแต่อมยิ้มในความไร้เดียงสาของเธอ

                งั้นข้าจะไม่อยู่ในมหาสมุทร เอเวียน่ากล่าว อาการเงียบของชายหนุ่มเธอเลยสรุปคำตอบว่าใช่แทบจะในทันที

                ชายหนุ่มผมอำพันลุกขึ้นยืน อาหารเจ้าเสร็จรึยัง ข้าหิวแทบไส้ขาดอยู่แล้วเนี่ย

                เสร็จแล้วๆ เด็กหญิงตอบ เอเวียน่ายกหม้อ แล้วก็ต้องปล่อยทันทีเพราะเผลอจับด้วยมือเปล่า ว้าย!” เธอร้อง เด็กสาวตกจากเก้าอี้ที่ต่อตัวขึ้นไป โชคดีที่หม้อน้ำซุบตกไปอีกทางหนึ่ง

                อันตรายๆ เสียงของบุรุษกล่าว วิลฟริดนั่นเอง เขามาจากไหนก็ไม่ทราบ แต่ตอนนี้เอเวียน่าอยู่บนตัวเขา เด็กน้อยหน้าขึ้นสี หัวใจเต้นระรัว แล้ว...จะทำไงกับอาหารดีล่ะชายหนุ่มพูดขึ้น

                เอเวียน่ามองหม้อ น้ำซุบที่เธออุตส่าห์ทำ น่าร้องไห้จริงๆ แล้วก็ดูเหมือนเด็กสาวจะนึกอะไรออก เธอก็หันกลับมามองวิลฟริดด้วยสีหน้าวิตกทันที เจ้าเข้ามาทางไหน ทางหน้าต่างงั้นเหรอ ทำอะไรบ้าๆ เนี่ย!” เธอตวาด

                วิลฟริดเหงื่อตก เด็กตรงหน้าเขาเป็นเพียงเด็กวัยเก้าหรือสิบขวบเท่านั้น แต่กลับตำหนิเขาฉอดๆ ไม่ต่างกับแม่เลยซักนิด เอาเถอะน่า เขาลุกอุ้มตัวเด็กสาวขี้บ่นขึ้นมาด้วย ข้าว่าเราออกไปหาอะไรกินข้างนอกดีกว่า ปล่อยหม้อไว้ให้หนูกินก็ได้ ไปๆๆ

                เอเวียน่าถูกอุ้มขึ้นบนหลังของชายหนุ่ม ไม่ทันที่เธอจะว่าอะไรได้อีกวิลฟริดก็พาเธอออกมาจากบ้านแล้ว วิลฟริด เจ้าทำยังงี้ได้ไง อาหารข้าไม่ได้ทำไว้ให้หนูกินนะ เอเวียน่าบ่นขึ้นเมื่อนึกออก และเธอก็บ่นมาตลอดทาง แต่ชายวัยสิบแปดปีไม่สนใจเสียงเล็กๆ นั่นเลย

     

                วันเวลาผ่านไป เอเวียน่ามีความสุขกับการใช้ชีวิตในบ้านไม้ท้ายหมู่บ้านนั้นเป็นอย่างมาก วิลฟริดสอนทุกๆ อย่างที่เขารู้ให้แก่สาวน้อย ไม่ว่าจะเป็นการเดินป่า การปลูกผัก การค้าขาย การทำอาหาร รวมถึงการต่อสู้โดยใช้ดาบ

                เด็กสาวไว้ใจชายหนุ่มนั้นมากกว่าใคร เวลาที่ทั้งเธอทุกข์และสุข เขาจะอยู่กับเธอเสมอๆ เอเวียน่ารู้สึกว่าเขาเป็นทั้งพี่ชาย ผู้ปกครอง และเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ เธอรักเขา แบบผู้หญิงคนหนึ่งมิใช่แค่น้องสาว

                แต่ความสุขเพียงแค่สามเดือนนั้นทำให้เอเวียน่าลืมไปว่า ตัวเธอในตอนแรกยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร เธอไม่สนใจที่จะใฝ่หาอดีตนั้น เธอไม่สนใจว่าก่อนที่เธอจะตื่นขึ้นมาเธอเป็นอย่างไร เธอสนใจแค่เรื่องตรงหน้า เด็กน้อยมีความสุข ความสุขที่เธอไม่อยากจะสูญเสียไป เธอเชื่อมั่นว่าความสุขนี้จะอยู่ตลอดไป ตราบใดที่เธอยังรักเขา ตราบใดที่เธอยังรักวิลฟริด

                แต่แล้ววันๆ นั้นก็มาถึงจนได้ วันที่บอกกับเด็กสาวว่าชีวิตไม่ใช่มีเพียงแค่ความสุขเสมอไป มันต้องคู่กับความทุกข์แสนสาหัส ความทุกข์ที่เปลี่ยนชีวิตเธอตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา...

     

                วันนั้นเป็นเช่นทุกๆ วัน ท้องฟ้าแจ่มใสไม่มีภาพของลางร้าย เสียงเห่าของเกรย์ดังขึ้นมาขณะที่เอเวียน่าอ่านหนังสืออยู่ วิลฟริดสะดุ้งตัวขึ้น เกิดอะไรขึ้น เขาพึมพำ สัญชาตญาณของชายหนุ่มบอกว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ และที่สำคัญมันไม่ใช่เรื่องดีเสียด้วย

                วิลฟริดลุกขึ้นหยิบดาบเหนือเตาผิงที่ปกติจะวางเอาไว้เฉยๆ (ยกเว้นตอนที่เขาฝึกดาบให้กับเอเวียน่า)

                จะไปไหนเหรอ วิลฟริด เสียงใสๆ ของเด็กสาวตัวเล็กๆ วัยเพียงเก้าถึงสิบปี ผมสีน้ำตาลเข้มยาวสลวย ถูกคาดผมไว้ด้วยผ้าสีฟ้า ที่เข้ากับชุดที่เธอใส่อยู่ ใบหน้าน่ารักน่าชังไม่มีความกังวลใดๆ

                หากเธอได้ยินเรื่องนี้ล่ะก็ วิลฟริดคิด โจรสลัดแน่ๆ เป็นพวกมัน เขากังวลถึงจิตใจอันใสซื่อของเด็กน้อยตรงหน้า

                เอเวียน่า

     

                เป็นครั้งแรกที่วิลฟริดไม่ได้เรียกเธอว่าเจ้าหนู นั่นทำให้เธอหัวใจพองโตขึ้น ชายหนุ่มนั่งยองๆ มือสองข้างจับไหล่ของเธอ

                เอเวียน่าหน้าเงี้ยวหัวไปด้านซ้ายเล็กน้อย สายตาเหมือนกับถามว่า มีอะไรงั้นเหรอ

                สัญญากับข้า อย่าออกจากบ้านไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม อย่าออกจากบ้านเด็ดขาด วิลฟริดกล่าวไม่มีแววล้อเล่นเหมือนอย่างเคย

                สีหน้าของสาวน้อยเกิดความสงสัย ทำไมล่ะ

                สัญญากับข้า วิลฟริดบีบไหล่ของเธอแน่นขึ้น สายตาสื่อความหมายแปลกๆ

                เอเวียน่ายังคงงงๆ อยู่แต่เมื่อเขาทำหน้าแบบนั้นก็ ก็ได้ค่ะ ข้าจะไม่ไปไหน ข้าสัญญา ไม่ว่าจะหิวแค่ไหนก็ตาม หรือว่าเกรย์จะอยากออกไปวิ่งเล่น เด็กน้อยหันไปมองสุนัขสีเทาที่สะดุ้งตัวขึ้นมา หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ ข้าจะอยู่บ้านไม่ไปไหนทั้งนั้นเอเวียน่ายิ้ม

                วิลฟริดยิ้มตอบ รอยยิ้มนั่นอ่อนโยน เขาดึงเธอเข้ามากอดเบาๆ และผละออกไปอย่างรวดเร็ว

                แล้ว!... เอเวียน่าเรียกไว้ เขาหันมาตามเสียง รีบกลับนะค่ะ

                ชายหนุ่มได้เพียงแต่ยิ้มอีกครั้ง ประตูปิดลง

                เอเวียน่ารู้สึกหน้าร้อนผ่าว เอิบอิ่มหัวใจ ไม่คิดเลยว่าเธอจะรักเขามากขนาดนี้ เธอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เกรย์ มันเยี่ยมไปเลย แฮะๆเด็กสาวกอดเจ้าสุนัขสีเทาแน่น แต่ไม่คิดเลยว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้เห็นใบหน้า รอยยิ้ม และปากที่กล่าวเรียกเธอว่า เอเวียน่า

     

                เป็นเวลากว่าสามสิบนาที ที่เอเวียน่านั่งรอคอยการกลับมาของชายหนุ่ม ในมือถือแท่งไม้สีขาวที่สลักชื่อสีทองของเธอเอาไว้ บางสิ่งบางอย่างทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจเมื่อสัมผัส... เอเวียน่ายังคงพกติดตัวอยู่เสมอๆ เธออยากรู้จริงๆ ว่ามันคืออะไร

                แต่ว่าตอนนี้ แฮะๆ เด็กน้อยหัวเราะออกมาด้วยความสุขใจ ความรู้สึกที่วิลฟริดกอดเธอยังไม่จางหายไป เธอมีความสุขจัง

                เกรย์หมาป่าสีเทาที่นอนนิ่งอยู่เป็นเพื่อนเธอ รู้สถานการณ์ดีกว่าเด็กสาวมากมายนัก กรี๊ด เสียงร้องดังมาได้ยินเบาๆ แต่นั่นก็ทำให้เกรย์ชะโงกคอขึ้นมา

                กรี๊ดดด!” เสียงดังใกล้เข้ามา คราวนี้ เอเวียน่ารู้สึกถึงเสียงที่แสดงถึงอะไรซักอย่าง ที่มันไม่ใช่ความสุข...ความหวาดกลัว เกิดอะไรขึ้น เด็กสาวคิด ความกังวลเริ่มเกาะกุมจิตใจ

                เจ้าสุนัขสีเทาลุกขึ้นยืน เอเวียน่าตามมาติดๆ เมื่อกี้เสียงอะไรน่ะเกรย์ เธอถาม ไม่หวังว่าจะได้รับคำตอบนั้นเลย แต่แล้วเธอก็รู้โดยที่เจ้าสุนัขไม่ได้บอกกล่าว

                ปัง!’

                วิลฟริด! เอเวียน่ารู้สึกดีใจขึ้นมาทันที เขากลับมาแล้ว เธอวิ่งเข้าไปหาประตูที่เปิดออก แต่ทว่า...

                โฮ่งๆ เสียงของเกรยทำให้เอเวียน่าชะงัก แสงสว่างเข้ามาทำให้เธอเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ชัดเจนครู่หนึ่ง หากแต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น ...นั่นไม่ใช่วิลฟริด

                ชายคนนั้นสูงเกือบราวสองเมตร รูปร่างล่ำสันสัดทัด ผิวคล้ำอย่างคนเดินเรือ ใบหน้ากลมหัวโล้นเกลี้ยง มีผ้าโพกหัวเอาไว้ หน้าตาดุดันน่าหวาดกลัว บนใบหน้าด้านขวามีรอยแผลเป็นรูปกากบาท ด้านซ้ายมีแผลยาวสดๆ เลือดสีแดงฉาดยังคงไหลออกมาเรื่อยๆ ที่หูมีห่วงสีทองสองห่วงซึ่งไม่เข้ากับการแต่งตัวของเขาเลยซักนิด ด้านข้างและหลังถูกประกบไปด้วยชายหน้าตาไม่ไว้วางใจทั้งหลายมากมาย

                น่ากลัว ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวของเอเวียน่า วิลฟริด...ช่วย...ด้วย ปากได้แต่พึมพำแต่ไม่มีเสียง ตัวสั่นสะท้าน เธอไม่กล้าแม้กระทั่งวิ่งไปหลบหลังของเจ้าสุนัขสีเทาที่ยังเห่าเสียงดังไม่หยุด

                เจ้าหนุ่มผมอำพันนั้นฝีมือหน้ากลัวทีเดียว ชายคนที่อยู่ด้านหน้าสุดกล่าว แล้วใช้มือที่ใหญ่นั้นลูบบาดแผลที่ใบหน้าด้านซ้าย าดเลือดออกอย่างไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ นี่เป็นบ้านของมันหรือ

                ใช่ครับ คนที่อยู่ด้านซ้ายตอบ

                สายตาของเขาเริ่มสำรวจ สุนัขสีเทาและเลยไปถึง...เอเวียน่า เด็กสาววัยไม่ถึงสิบขวบที่ยืนตัวสั่นอยู่ เด็กสาวอยู่ในชุดสีฟ้า และผ้าคาดผมสีเดียวกัน เธอดูท่าทางไร้เดียงสาและน่ารักเกินบรรยาย

                บ้านนี้เป็นบ้านของเจ้าหมอนั่นแน่เหรอ เขาหันมาถามอีกครั้ง

                แน่นอนครับท่าน คนที่อยู่ด้านซ้ายตอบอีกครั้งนึงเช่นเดิม

                ชายผู้นั้นหันมามองเอเวียน่า สายตาที่ชำเลืองมาทางเธอท่าทางไม่น่าไว้ใจ เจ้าหนู โตขึ้นเจ้าต้องสง่างาม สนใจจะเป็นของๆ ข้ามั๊ยล่ะ...หน้าตาอย่างเจ้าใครๆ ต้องหลงใหลเป็นแน่ หากเจ้าอยู่กับข้าเจ้าจะสบายไปตลอดชาตินี้เลยข้ารับรอง...อีกซักสิบห้าปี ไม่สิสิบปีก็ได้เจ้าค่อยตอบแทนข้า เสียงเย็นชากล่าวอย่างโหดเหี้ยม

                โฮ่งๆ เกรย์ยังคงเห่าไม่เลิก

                ช่วยเอาอะไรยัดปากเจ้าหมาบ้านั่นหน่อย!” เขากล่าวอย่างมีอารมณ์

                เอ๋ง!” จบคำ ลูกน้องที่อยู่ด้านขวามือก็ปักด้ามดาบลงที่ตัวของเจ้าสุนัขสีเทา เกรย์ร้องดังลั่น เลือดสีแดงฉาดค่อยไหลออกมาท่วมตัวมัน

                เอเวียน่าได้แต่เพียงยืนนิ่งกับภาพที่เห็นตรงหน้า เธอขยับไม่ได้ ร้องไม่ออก เกรย์! เจ้าสุนัขสีเทาเป็นอะไรไป มันร้องด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส ตัวของมันอ่อนปวกเปียก และนิ่งไป นิ่งเหมือนหุ่นหรือตุ๊กตา มันเป็นอะไร เธอไม่เข้าใจ...

                สมองของเด็กสาวไม่สามารถบอกเรื่องนี้ได้ แต่ว่าเธอกลับรู้สึกว่าเกรย์จะไม่กลับมาอีกตลอดกาล

                เป็นไรไปเจ้าหนูน้อย เจ้าไม่มีที่ไปแล้วล่ะ คนที่ดูแลเจ้าก็ไม่อยู่แล้ว จะเอาไงล่ะ ชายคนนั้นถามหน้านิ่งไม่สนใจเองที่เกิดขึ้นตรงหน้า

                วิลฟริด... ไม่อยู่...เขาไป...ไหน เอเวียน่าถามเสียงสั่น ความรู้สึกนี้คืออะไรกัน เธอสั่นยิ่งกว่าตอนที่เธอตื่นขึ้นมาและจำอะไรไม่ได้ กายนิ่งยิ่งกว่าตอนที่ขโมยอาหารที่ร้านขนมปังและถูกจับได้ เธอหวาดกลัว

                ตายไงล่ะ หมอนั่นตายแล้ว หนูน้อย เขากล่าวเสียงเย็นชา

                ตาย... เอเวียน่าพึมพำ ความตายคืออะไร เด็กสาวไม่รู้จัก วิลฟริดไม่เคยสอนเธอเรื่องนี้เลยซักครั้ง ความตายคืออะไรกัน เอเวียน่ามั่นใจอย่างยิ่งว่าเธอไม่รู้จัก แต่ว่า...จิตใต้สำนึกของเธอกลับเอ่อล้นด้วยความรู้สึกบางอย่าง มันคืออะไรกันแน่ วิลฟริดตายงั้นเหรอ

                วิลฟริดเจ้าอยู่ไหนกัน วิลฟริด! เสียงในใจร่ำร้อง เธอไม่เข้าใจความหมายของคำๆ นั้น ตายงั้นเหรอ มันคืออะไรกันใครช่วยบอกที วิลฟริดเจ้าอยู่ไหน!

                ร่างของเด็กสาวตัวเล็กๆ อ่อนแรงลง แท่งสีขาวที่เธอกำเอาไว้ตกลงสู่พื้น รู้สึกเจ็บลึกๆ นี่ข้า...เป็นอะไร

                เสียใจเหรอไง สาวน้อย ชายคนนั้นกล่าวท่าทางเหยาะเย้ย หมอนั่นเป็นอะไรกับเจ้าล่ะ

                พี่ เพื่อน คน...คนรัก เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ดวงตาสีชาเริ่มมีน้ำใสๆ ไหลรินออกมา ทำไมเธอถึงรู้สึกเสียใจทั้งๆ ที่เธอยังไม่เข้าใจ...

                ชายผู้นั้นหัวเราะอย่างมีอำนาจ น่าหวาดกลัว พูดอย่างภูมิใจถึงสิ่งที่ตัวเองได้ทำในที่นี่ ในเวลาอันน้อยนิด หมู่บ้านที่มีผู้คนเกือบสองร้อยก็กลายเป็นของข้า ที่ดินผืนนี้เป็นของข้า ฮ่า ฮ่า

                น่ารำคาญ เสียงของหมอนั่นสร้างความรู้สึกรังเกียจขึ้นมาในจิตใจเด็กน้อย ดวงตาสีชาที่เปี่ยมไปด้วยน้ำตา เข้มขึ้น...เข้มขึ้น จนกลายเป็นสีส้มเข้มที่ดูไร้แววมันไม่เหมือนเช่นเคย แท่งสีขาวถูกยกขึ้นมาถึงมือเล็กๆ มันถูกเปลี่ยนเป็นของมีคมปลิดชีพคนตรงหน้าเป็นสิบภายในพริบตา

                เมื่อเอเวียน่าสามารถทำให้พวกเขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยน้ำสีแดงฉาดท่วมตัว

                เด็กน้อยวิ่งออกจากบ้านตามหาบุคคลนั้น...วิลฟริด

                แต่ไม่ว่าจะวิ่งเท่าไร ค้นหายังไงก็ไม่พบ เด็กน้อยสงสัยกับภาพที่เห็นตรงหน้า ผู้คนในหมู่บ้านนอนกันเกลื่อนพื้นดิน จมน้ำสีแดงฉาน ไม่มีใครขยับหรือลุกขึ้นยืน ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงจอแจเหมือนอย่างเคย

                เอเวียน่าพบคุณป้าขายขนมปัง เธอพยุงตัวที่ดูอ่อนแรงของเขาขึ้น วิลฟริดล่ะค่ะป้า คำถามแรกเธอถามอย่างไม่ลังเล

                เขาไปไหนค่ะ

                วิล..ฟริด คำแรกพูดด้วยความยากลำบาก เขา...ถูกโยนลง..ทะเล ไปแล้ว ถึงจะอ่อนแรงแค่ไหนเธอก็พยายามตอบคำถามของเด็กน้อย

                เอเวียน่าเริ่มวิตก มอบไปรอบข้าง คุณป้า เป็นไรไปค่ะ ไม่สบายเหรอ ทุกคนเป็นอะไรกันหมดค่ะ นี่...นี่มันอะไรกัน เสียงของเด็กสาวเริ่มหวาดกลัว

                พวกเขาตาย...แล้วล่ะจ๊ะ เธอตอบด้วยรอยยิ้ม ป้าก็...กำลังเป็นเหมือนกัน...อีกไม่นาน

                กลัว ความรู้สึกนี้เกาะกุมจิตใจของเด็กสาวอีกครั้ง เธอสั่น ตาย ความตายคืออะไร...กันค่ะ น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากดวงตาคู่นั้น เธอเจ็บ

                คำตอบมีเพียงรอยยิ้มอันอ่อนโยน และอบอุ่น และหน้าของป้าร้านขายขนมปังก็ซีดลง ไร้ลมหายใจ ....ไร้จิตวิญญาณ

                คุณป้าๆ ตอนนี้เอเวียน่าไม่สนใจน้ำตาที่ไหลพรากออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ความตายคือแบบนี้เองเหรอ ไม่หายใจ ไม่ขยับ ไม่รับรู้ ไม่พูดคุย ไม่มี...ชีวิต

                ไม่นะวิลฟริด หากเจ้าตายและข้าจะอยู่กับใคร วิลฟริด! วิลฟริด!” เอเวียน่าร้องเรียกหมายจะได้รับเสียงขานกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม แต่ว่าไม่มีชายหนุ่มที่เธอรัก เขาที่เธอรักอีกแล้ว

                น้ำตาเอ่อล้นท่วมท้น เอเวียน่าสาวน้อยวัยเพียงสิบปี ถูกทิ้งให้อยู่เพียงคนเดียว ไม่มีใครทั้งนั้นตอนนี้...

                วิลฟริดเจ้าอยู่ไหน หากเจ้าไม่อยู่ที่นี่ และเด็กสาวก็นึกถึงคำพูดของเขาเมื่อวันนั้น...

                ...หากแม้เจ้าจะอยู่ที่ไหน อยู่ห่างจากข้าไกลซักแค่ไหนก็เถอะ แผ่นฟ้าดวงดาวที่เจ้ามองขึ้นไป หรือแผ่นดินที่เจ้ายืนอยู่น่ะก็ยังเป็นแผ่นดินเดียวกับข้าเสมอ...

                หากเจ้าไม่อยู่ใต้แผ่นฟ้าดวงดาวหรือแผ่นดินที่ข้าอยู่ล่ะ ตัวเจ้าอยู่ที่ไหน! วิลฟริด!

                บอกข้าที!” เอเวียน่าร้อง สมองของเธอเริ่มปั่นป่วน ร่างกายเหนื่อยล้าไม่มีแรงเหลือเลย หัวใจ...ช่างเจ็บปวดเหลือเกิน วิลฟริด...ช่วยข้าด้วย...หากไม่มีท่านข้าจะสามารถไว้ใจใครได้อีก

                ความตายคือสิ่งเดียวที่เอเวียน่าไม่ได้รับคำสั่งสอนจากใคร เธอรู้จักมันด้วยตัวเธอเอง

                ข้าไม่สามารถเชื่อใจใครได้อีกแล้ว ความคิดเช่นนั้นยังคงอยู่ถึงปัจจุบันนี้...อยู่จนถึงเวลานี้

     

                หญิงสาวในร่างของบุรุษ ฟันชายผมสีส้มตรงหน้าเต็มแรง เลือดไหลอาบชายหนุ่มผู้นั้น ไอเซินลงไปกองแน่นิ่งกับพื้น ไม่ขยับเขยื้อน ด้วยดาบของเขาเอง

                ดวงตาสีส้มเข้มแผ่รังสีอำมหิตอย่างน่าหวาดกลัว เธอหันมองมาทางเป้าหมายอีกคนหนึ่ง ลูอิซมือขวาของริชาร์ดแห่งท้องทะเล บัดนี้ใบหน้าและลำตัวของเขามีเหงื่อชุ่ม สายตาของชายหนุ่มมองไปที่คู่หูมือซ้ายที่นอนแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนแล้ว และหันมามองผู้ถือดาบของเพื่อนคู่หูเขา

                หมอนี่สู้โดยมือเปล่า แย่งดาบมาจากไอเซิน และสังหารเขา ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เขาคิด

                เจ้าเป็นใครกันแน่!” ชายหนุ่มตะโกนถามแข่งกับเสียงชุลมุนในเรือ ความรู้สึกหวาดกลัวท่วมท้น มือเขาสั่นหัวใจเต้นระรัว

                เอเวียน่าฟันฉับ ลูอิซตัดสินใจกระโดดหลบแทนที่จะเป็นการรับดาบที่รุนแรงนั่น ข้าคือนักล่าหัวโจรสลัด!” เธอตอบเต็มเสียงไม่คิดจะปิดบังอีกต่อไป และบัดนั้นเอง...กำลังและพลังกายไม่มีเหลือเลยแม้เพียงน้อยนิด ดวงตากลับกลายเป็นสีชาอ่อน เธอหิวมาก เธออ่อนล้า เหนื่อยแสนสาหัส ปวดที่หัวเหมือนมีอะไรมาบีบ ร่างกายล้มลง ความอ่อนแรงเข้ามาจนไม่อาจฝืนร่างกายต่อไปได้อีกแล้ว

                ภาพสุดท้ายที่เห็น ชายหนุ่มผมสีดำ ลูอิซเงื้อดาบที่อยู่ในมือของเขา เงื้อขึ้นฟันเธอที่ไร้เรี่ยวแรง และดวงตาก็มืดสนิทลงไป ความคิดลอยเข้ามาในหัว

                วิลฟริดข้าเกลียดโจรสลัด โจรสลัดที่พลัดพรากเจ้าไปจากข้า ข้าจะกำจัดมันเอง ท่านไม่ต้องห่วง ข้ารักท่าน...รักท่าน มากมาย มากยิ่งกว่า...สิ่งอื่นใด

                ร่างบางล้มลง แน่นิ่ง อ่อนล้าทั้งกายใจ

                ความรู้สึกของหญิงสาว ไม่มีสิ่งใดที่อาจเยียวยาได้เลยในบัดนี้...

     

     

    */*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*



    To be Continue
    OPEN AGAIN 08/05/2011


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×