ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Magic of Paradize : สรวงสวรรค์แห่งมนตรา

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 - เมื่อครั้งพบเจอ...

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ค. 54


                ครั้นมองไปทางใดก็มีเพียงแต่ความมืดเข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ ไม่มีแสงใดเล็ดลอดออกมาเมื่ออยู่ในที่แห่งนั้น ความมืดครั้งนี้ไม่น่าหวาดกลัวเหมือนที่ข้าเคยคิดเอาไว้เลยซักนิด...

                ข้าเป็นใคร ข้าอยู่ที่ไหน เสียงหัวใจร่ำร้อง หัวสมองร้องถาม แต่ร่างกาย...กลับไม่รู้สึกวิตกกังวล

                ก็มันไม่สำคัญแล้ว...เสียงหนึ่งดังเข้ามาในประสาท ทำให้เสียงหัวใจและสมองที่เคยร้องถามถึงสิ่งไม่สำคัญเหล่านั้นสงบลงไป

                ใช่ มันไม่สำคัญแล้ว เสียงนั้นดังขึ้นเบาๆ...

                ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลสดใสแวววาวลืมขึ้นอย่างช้าๆ เส้นผมสีทองยาวเป็นประกาย ใบหน้าเนียนอ่อนละมุน ร่างกายของเด็กสาววัยแรกรุ่นกระแทะเปลือกไข่สีนวลขาวใบโตออกมาสู่ความสว่างภายนอก ร่างกายของเธออยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ที่หัวไหล่ขวาด้านหลังมีสัญลักษณ์ปีกสีทองคำเล็กๆ รอบตัวเธอมีน้ำเมือกใสๆ เปล่งประกายราวกลับเพชรนิลจินดา

                ...เทพีองค์ใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นอีกหนึ่งคน...

                ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลมองไปรอบๆ ข้าง ในห้องนั้นมีเพียงความสว่าง และไข่สีขาวนวลใบโตหลายๆ ใบ ใครหลายคนกะเทาะเปลือกไข่ออกมาเช่นตัวเธอ ถึงแม้จะมีความสงสัยราวไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ว่าทุกอย่างกลับกลืนหายไปในบัดดล หัวสมองขาวโพลนไม่มีอะไรเหลือแม้แต่น้อย

                ไม่นานนักตัวเธอก็ถูกพาไปชำระร่างกายให้สะอาดหมดจด สวมเสื้อผ้าสีขาว กำไลข้อมือและข้อเท้าสีทองคำที่ขับให้ผิวของเธอเปล่งประกายสวยงามยิ่งขึ้น

                หญิงสาวยกมือข้างที่สวมกำไลขึ้นมามองคล้ายแปลกใจ ดวงตาสีฟ้านั้นมองรอยแผลเป็นบางๆ บนข้อมือ...แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้เธอต้องใส่ใจไปมากกว่านั้น

                พวกเขาทั้งหมดถูกแต่งตัวอย่างเรียบร้อย ด้วยชุดเสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์คล้ายคลึงกัน ทุกคนมีผมสีทอง เพียงแต่ความเงางามของเส้นผมนั้นแตกต่าง ดวงตาที่สะท้อนความว่างเปล่ามีทั้งสีน้ำตาล สีน้ำทะเล สีเขียว ดูงดงามไม่มีใครเกินใคร

                ส่วนตัวเธอนั้นมีดวงตาสีฟ้าสดใสที่ออกเป็นสีน้ำทะเล เส้นผมสีทองคำออกเหลืองเล็กน้อย ยาวเลยไหล่ไปไม่มากนัก ผิวของเธอขาวผุดผ่อง เข้ากับชุดกระโปรงสีขาวถึงตาตุ่มที่เธอใส่อยู่

                หลังจากที่พวกเขาแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ถูกเหล่าบุคคลที่ดูสง่างามและมีอำนาจ พาเดินออกนอกประตู

                ทันทีที่แสงสว่างของภายนอกเข้ามา ดวงตาแต่ละดวงก็เบิกกว้าง สิ่งที่เรียกว่า จิตวิญญาณคล้ายมาเข้าแต่ละร่าง ดึงท่าทาง และอุปนิสัยของแต่ละคนออกมา ยังไงก็ตามทั้งหมดก็ไม่อาจขัดขืน ...เดินตามผู้คุมไปอย่างลังเล

                พวกเขาคือใคร...ที่นี่ที่ไหน...มาทำอะไร

                ...คงได้รู้อีกไม่นาน...

     

                ประตูบานใหญ่สูงหลายเมตรดูตระการตาอยู่ตรงหน้าหญิงสาว มันประดับไปด้วยทองคำและอัญมณีหลากหลายสี แล้วประตูนั้นก็เปิดออกช้าๆ พวกเขาทุกคนก้าวเข้าไปอย่างง่ายดายโดยไม่มีใครทำท่าขัดขืนเลยซักนิด

                พวกเขามีความรู้สึกว่าที่นี่คือ...บ้านใหม่ของพวกเขา

                เสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อเหล่าเทพและเทพีกำเนิดใหม่เดินเข้ามา เทพีสาวสังเกตรอบๆ ห้องเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เพดานสูงเป็นรูปเด็กตัวสีทองตัวเล็กๆ กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พื้นห้องนั้นกว้างมาก ทั้งสองข้างห้องไม่ได้ถูกกั้นไว้ด้วยกำแพง มันเป็นเพียงระเบียงสีเงินที่ตอนนี้เหล่าบุรุษและสตรีที่มีเส้นผมสีทองคำกำลังชุมนุมอยู่ที่นั่นมากมายเกลื่อนตา ยังไม่พอคนที่มีปีกสีทองคำราวกับวิหคก็บินขึ้นไปเพื่อให้ตัวเองได้มีส่วนร่วมกับพิธีกรรมครั้งนี้

                ส่วนภายในห้อง กำแพงผนังตรงข้ามกับที่พวกเธอเดินเข้ามานั้น เหล่าผู้ที่สง่างาม เส้นผมสีทองและสีเงินยาว บางคนมีรูปร่างแปลกๆ ตา แต่กลับดูน่าเกรงขาม นั่งอยู่สูงกว่าพวกเขาขึ้นไป แต่ผู้ที่อยู่ที่สูงที่สุดของที่แห่งนี้กลับมีแสงสว่างสีทองที่สว่างจนมองไม่เห็นตัวของท่านได้ แสงนั้นอบอุ่นราวกับอาทิตย์ยามเช้า รอยยิ้มที่พอมองเห็นได้บ้างทำให้รู้สึกว่า...พระองค์งดงามและประเสริฐสุด...พระองค์ก็คือ...พระบิดาแห่งสรรพสิ่งทั้งปวง

     

                ชุมนุมเล็กๆ ส่งเสียงกันไม่หยุด หัวข้อก็คงไม่พ้นเทพและเทพีที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนแห่งนี้

                เจ้าดันเข้าไปซิเทพบุตรผมทองคนหนึ่งกล่าว พร้อมกับดันเพื่อนที่อยู่ตรงหน้าเขาเข้าไปด้านใน

                เจ้าอย่าดันข้า ไม่งั้นเจ้าไม่รอดแน่ ฮิว ชายผู้ที่ถูกดันกล่าวอย่างอารมณ์เสีย ถึงกระนั้นด้วยฝูงกลุ่มคนที่มากมายจึงทำให้เขาไม่สามารถทำอย่างที่ใจต้องการได้ จะทำได้ก็เพียงแต่เดินต่อไปตามแรงผลักเท่านั้น

                ความจริงตัวเขาไม่เคยมาที่แบบนี้เลย แล้วยิ่งเป็นวันที่จะมีเทพเกิดใหม่ขึ้นมาในรอบสิบปีนี้แล้ว ยิ่งทำให้กลุ่มคนจำนวนมากมารวมกัน ซึ่งนั่นคือความวุ่นวายที่เขาไม่ชอบ...แต่เพราะเจ้าเพื่อนตัวดี...เมอร์ฮิวรัส

                ในที่สุดพวกเขาก็เข้ามาถึงอย่างยากลำบากสุดๆ ครั้งแรกในชีวิตของชายหนุ่มที่เรียกว่ายอมตายได้เพื่อมาดูอะไรที่ไร้สาระในความคิดของเขา...เพราะเมอร์ฮิวรัส เทพหนุ่มให้สัตย์กับตัวเองแล้วว่า จบงานนี้ ต้องเตะมันซักทีสองทีสิน่า

                ตุ๊บ!’ เสียงเคาะหัวเบาๆ แต่แรงไม่เบาเช่นเสียง

                ไหนๆ ศอกของเมอร์ฮิวรัสเพื่อนรัก เท้าเข้าที่หัวสีทองของเขาอย่างไม่ปราณี

                เจ้าต้องตายแน่ๆ เทพหนุ่มพึมพำ

                เจ้าว่าอะไรรึเปล่า ผู้เป็นเพื่อนถาม สายตายังคงจ้องมองไปเบื้องหน้า เอ๊ะ! โอลิเวอร์ดูนั่นสิ

                ผู้ที่ถูกเรียกถอนหายใจ คราวนี้เจ้าเพื่อนตัวดีกดหัวเขาขึ้นไปเพื่อชมสิ่งเบื้องหน้าเชียวหรือ เพื่อนตายจริงๆ ให้ตายสิ โอลิเวอร์คิด

                โอ!” เทพหนุ่มร้อง แม่เจ้า งามจริงๆ

                เขาเหนื่อยใจกับความช่างพูดของเพื่อนบนหัว อีกแล้วๆ เจ้าพูดอย่างนี้ไม่ต่างกับตอนมาริต้า ฟาเรน หรือแอนโดนีเต้ เทพหนุ่มนับนิ้ว

                นั่นเพราะทุกคนดูเหมือนจะชอบเจ้าไปหมด ข้าล่ะเบื่อ

                ไม่เห็นมีใครพูดอย่างนั้นเลยนี่ โอลิเวอร์กล่าว

                ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้าคนเดียว เมอร์ฮิวรัสโยนความผิด

                ไม่ใช่ความผิดข้า

                เพราะเจ้านั่นแหละ!”

                เทพหนุ่มถอนหายใจอย่างหน่ายๆ ที่สามสาวนั้นไม่สนใจคนบนหัวเขาไม่ใช่เพราะเขาเลยซักนิด เพราะเพื่อนชายของเขาไม่เคยจริงจังกับใครเลยต่างหาก แล้วเขา...ก็ต้องรับเคราะห์ไปทุกทีสิน่า

                ไม่ทันไร เมอร์ฮิวรัสก็ดันหัวเทพหนุ่มเบื้องล่างลงไปอีก เจ้าตายแน่ โอลิเวอร์คิดอย่างโมโห

                เจ้าดูนั่น เจ้าเพื่อนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวชี้นิ้วไปที่เทพมาใหม่กลุ่มนั้น สวย น่ารัก โอ๋! พระเจ้า

                เดี๋ยวพระเจ้าลงมาจริงๆ แล้วเจ้าจะหนาว ชายหนุ่มกล่าวเสียงราบเรียบ แล้วไหนฟะ...สวย น่ารัก โอ๋...พระเจ้า ของเจ้าน่ะ โอลิเวอร์เลียนเสียงเพื่อน

                คนนั่นไง...ที่ผมตรงๆ ยาวๆ

                ถึงตอนนี้...เทพมาใหม่ทั้งหมดหยุดเดินแล้ว ท่านเทพผมสีเงินเงางามก้าวเท้าเข้ามาหน้าแท่นพิธี ทำให้เสียงต่างๆ เริ่มเงียบลง

                ข้าพเจ้า...เฮอร์ออส เดอมากิล ขอเข้าสู่พิธีการถวายตัวเทพและเทพีองค์ใหม่ ขอทำความเคารพ...เทพเจ้าสูงสุด เสียงดังกังวานราวกับดนตรีบรรเลง และสิ้นสุดลงพร้อมดึงลมหายใจของทุกคนมาด้วย เทพเฮอร์ออสค้อมตัวลงอย่างสง่างาม

                ยิ่งใหญ่... ความยิ่งใหญ่ที่โอลิเวอร์ได้สัมผัสเป็นครั้งสอง เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรก ที่เทพหนุ่มได้อยู่ในฐานะผู้ชม เพราะเมื่อสิบปีก่อน...ตัวเขาในวัยเด็ก ได้เคยยืนอยู่ตรงนั้น กลางลานพิธีถวายตัว แม้จะนานแสนนาน...แต่ก็ยากที่จะลืมเลือน

                ครั้งนั้น...เขาถูกเลือก ให้อยู่ภายใต้การปกครองของเทพโพไซดอล...ชายหนุ่มกลายเป็นเทพซีซัตแห่งท้องทะเลนับจากเวลานั้น

                นั่น คนนั้นเสียงของเพื่อนตัวดีปลุกเขาออกจากภวังค์

                คนไหน โอลิเวอร์กระซิบถามเบาๆ อย่างไม่อยากขัดใจ

                นั่นไงคนที่ด้อมๆ มองๆ อะไรอยู่น่ะ

                มันพูดตลก ด้อมๆ มองๆ งั้นรึ? เขาแอบเถียงในใจ โอลิเวอร์จำต้องมองตามมือของเมอร์ฮิวรัส ในใจก็คิดว่าคนที่เพื่อนตัวดีสนใจครั้งนี้จะเป็นแบบไหนกัน

                สายตาของเขาสะดุดลงกับร่างหนึ่งที่กระสับกระส่าย

                ผมยาวตรง ผิวขาวอ่อนละมุน ไหล่บอบบางราวจะแตกหัก ดวงหน้าหวานช่างดึงดูดดวงตาให้จดจ้องอยู่ที่นางไม่ขยับ คำพูดต่างๆ คงถูกกลืนไปในลำคอที่แหบพร่าลงทุกขณะ หัวสมองนั้นคงสั่งการได้ลำบาก ไม่สิ...สมองของเขาอาจจะว่างเปล่าจนไม่อาจสั่งการสิ่งใดได้อีกต่อไป

                ใครกันนะ...

                ดวงตาของเทพหนุ่มจดจ้องแต่จิตวิญญาณกลับหายไปไหนไม่มีใครทราบได้ เธอ...คือใครกัน...

                น่ารักใช่มั๊ยล่ะ อย่าบอกใครเชียวนะ ข้าว่า คนนี้แหละเพื่อน!” เมอร์ฮิวรัสกล่าว เป็นอีกครั้งที่ทำให้โอลิเวอร์หลุดออกจากความคิดของตนเองเสียดื้อๆ

                เขาลอบยิ้ม คนนี้แหละ งั้นเหรอ ถ้างั้นคงต้องแข่งกันหน่อยแหละเพื่อน ซีซัตหนุ่มพึมพำ

                คนที่อยู่บนหัวคล้ายได้ยินอะไรบางอย่างเลยก้มถาม เจ้าว่าไงนะ

                เปล่า คนถูกถามตอบ

                เมอร์ฮิวรัสแปลกใจเล็กน้อยแต่ไม่คิดจะเอาความให้เสียเวลา

                โอลิเวอร์ยังคงมองไปที่ภาพตรงหน้า เทพีเกิดใหม่... รอยยิ้มของเทพหนุ่มระบายแฝงนัยลึกล้ำมากกว่าความสุขสันต์ มันเป็นความหมายใดไม่อาจทราบได้...

     

                สำหรับผู้ที่ถูกจ้องมอง เธอตื่นเต้น ประหม่าไปหมด ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังรู้สึกคล้ายสมองไม่สั่งการใดๆ อยู่เลย แต่ตอนนี้ ความกังวลทั้งหมดกลับมาสุมเข้าที่หัว ความกลัวก็บวกเข้ามาอีก รอบข้างดูเงียบและสงบจนเรียกได้ว่าทุกคนกำลังจดจ่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอีกไม่ช้า แต่ว่ามันคืออะไรล่ะ!

                ...มันต้องเกี่ยวกับเธอแน่นอน!

                หญิงสาวมองรอบๆ อย่างพยายามหาที่พึ่ง ทั้งที่ไม่รูจะพึ่งใครได้ในตอนนี้...ห้องโถงนั้นกว้างมาก ระเบียงก็อยู่ไกลเกินกว่าที่จะสามารถวิ่งไปถึงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจได้

                ...อะไรกัน นี่เธอกำลังคิดหนี!…

                คิดได้ก็จำต้องกุมหน้าของตนเองเอาไว้ ...เธอจะหนีไปไหนล่ะ ในเมื่อเธอไม่รู้อะไรซักอย่างเดียว

                ถึงคราวนี้... ความกลัวกำลังขยายขึ้นใหญ่ขึ้นครอบคลุมความรู้สึกต่างๆ ทั้งหมด มือสองข้างปล่อยลงข้างลำตัวคล้ายถอดใจ สมองของเธอไม่มีอะไรเหลือแม้แต่อย่างเดียว...ทุกอย่างที่ทำคือสัญชาตญาณที่บวกกับความหวาดระแวงที่เกิดขึ้น

                ดวงตาสีฟ้ามองไปรอบข้างอีกครั้ง ครั้งนี้เทพีสาวสังเกตได้ถึงดวงตาหลายดวงที่จ้องมองมาที่เธออย่างมีความหมาย ทุกคนที่อยู่ที่นั่น มองเธอราวกับ...

                ความหนาวสะท้านขึ้นมา เจ้าตัวลูบลำแขนเบาๆ เธอไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับเธอ เพียงแต่รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย

                ดวงตาสีฟ้าสะท้อนภาพรอบด้านอย่างเชื่องช้า คล้ายค้นหาอะไรที่ไม่อาจรู้...เพียงแต่สัญชาตญาณบอกให้มอง

                และเธอจะพบ

                พลันก็เหมือนความรู้สึกบอกให้หยุดอยู่ตรงนั้น...ที่ๆ สายตาดวงหนึ่งกำลังจ้องมองมา...

                เหมือนเวลาหยุดเดินชั่วขณะ รอบข้างดำสนิท แสงสว่างเพียงสองแห่งคือเขาและเธอ ดวงตาสองดวงสบกันไม่อาจสื่ออะไรมากไปกว่าความแปลกใจ ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจละออกไปได้เลยแม้แต่น้อย

                โอลิเวอร์สะดุ้งเล็กน้อยยามดวงตาสีฟ้าสดใสนั่นจดจ้องมา ก็ใครจะคาดถึงว่าตัวเธอจะมองมา ทั้งๆ ที่ตัวเขาเป็นเพียงส่วนประกอบเล็กๆ ในฝูงชนมหาศาล เป็นเพียงคนหนึ่งในหลายร้อยคนที่ไม่อาจละความสนใจจากร่างบางนั้นเช่นเดียวกัน

                แต่ไม่นานเทพหนุ่มก็เผยรอยยิ้มบางๆ

                เทพีสาวสะบัดหน้าหนี ดวงหน้านวลแดงฉานขึ้นมาในทันที หัวใจเต้นระรัวคล้ายเสียงกลอนมาสุมในอก ดูเหมือนความหวาดกลัวเมื่อครู่จะหายไปในบัดดล รอยยิ้มนั่นมีความอ่อนโยนที่ชวนรู้จัก

                บ้าชะมัด...เธออดคิดในใจไม่ได้ เพิ่งเห็นหน้ากันแท้ๆ

                เมื่อเริ่มควบคุมตัวเองได้แล้ว เจ้าหล่อนก็ค่อยหันกลับไปยังที่เดิม และต้องหันกลับมาอย่างรวดเร็ว

                บ้าๆๆ เจ้าบ้า ไปมองเค้าทำไมนะ เธออดโทษตัวเองไม่ได้เมื่อกลับไปสบดวงตาสีน้ำเงินเข้มนั่นอีกครั้ง เส้นผมของเขาเป็นสีทองสั้น แววตาของเขานิ่งและอบอุ่น โอย! เจ้าบ้าคิดอะไรเนี่ย เทพีสาวยังพึมพำไม่เลิก

                โอลิเวอร์แอบหัวเราะเบาๆ กับท่าทีที่เขาได้เห็น น่ารักจริงๆเฮ้ย!”

                เพื่อนตัวดีคนเดิม กดหัวเขาลงมาอีกครั้ง เจ้าเห็นมั๊ยๆ หล่อนมองข้าด้วย ว้าว...ข้าอยากรู้จริงๆ ว่านางจะได้นามอะไร เมอร์ฮิวรัสพยายามโย้ตัวเองไปข้างหน้า

                ข้าจะดันไปให้มั๊ย หากเจ้าอยากเข้าไปหานางนัก โอลิเวอร์กล่าวเคืองๆ เขาพยายามบังคับเสียงตนเองให้เบา เพื่อไม่ให้ไปรบกวนความศักดิ์สิทธิเบื้องหน้า

                พอได้ยินคำนั้นเจ้าเทพหนุ่มที่คิดจะมองเห็นให้ชัดอีกนิด ต้องรีบดึงตัวกลับมา ไม่วายลำบากโอลิเวอร์เช่นเคย ไม่เป็นไรเพื่อนยาก

                แต่ข้าเป็น พูดจบมือหนาของเทพซีซัตหนุ่มก็คว้าเอาหัวที่ชะเง้อมองอย่างสนใจตลอดเวลานั่นลงมาอย่างรวดเร็ว เจ้าคนที่ไม่ตั้งตัวก็ลงไปกองกับพื้นอย่างง่ายดาย

                ไอ้ เพื่อนเวร เมอร์ฮิวรัสสบถ

                โทษข้าไม่ได้เฟ้ย โอลิเวอร์กล่าวท่าทีอารมณ์ดี เทพหนุ่มแสร้งหันไปทางพิธีการ โอะ นั่น แม่นางของเจ้ากำลังจะ...

                ไหนๆๆๆ ไม่ทันที่จะกล่าวจบประโยค คนที่ต่อว่าเขาเมื่อครู่ก็ลุกขึ้นอย่างลืมความเจ็บป่วยไปหมดสิ้น สายตาสอดส่องหาสิ่งที่จะต่อจากคำว่า จะนั่นแต่กลับไม่พบเจอสิ่งใด ไหนล่ะ โอลิเวอร์ นางไม่เห็นผิดแปลกตรงไหน นางกำลังจะทำอะไรเหรอ เสียงซุบซิบถามตามมา

                เทพหนุ่มผู้ถูกถามยิ้มพลางยักไหล่ เป็นตอนนั้นเองที่เมอร์ฮิวรัสรู้ตัวว่าถูกหลอกเข้าเสียแล้ว ที่โอลิเวอร์พูดออกมานั้นเพียงแค่ทำให้เขาลืมความโมโหที่เจ้าตัวสร้างขึ้นนั่นเอง ท่าทางลอยหน้าลอยตาของเพื่อนผมทองกวนสรีระใต้เข่าลงไปเสียจริงๆ

                อะๆๆๆ!” โอลิเวอร์ยกมือสองข้างเป็นเชิงห้ามปรามเจ้าคนที่หมายทำร้ายร่างกายเขา พลางเสหน้าไปทางพิธีการด้านหลัง ข้าบอกว่าจะเริ่มพิธีมอบนามและถวายตัวแล้ว เจ้าลองดูสิ

                เป็นอย่างที่เทพหนุ่มพูดคงถึงคราวที่พวกเขาจะเงียบสงบให้เข้ากับพิธีการที่กำลังจะเกิดขึ้นซะที

                เฮอร์ออส เดอมากิล...เทพผู้นำในพิธีกรรมปิดกระดาษม้วนยาวทันทีที่กล่าวเกริ่นถึงสถานที่เบื้องบนแห่งนี้ การใช้ชีวิต การถูกเลือกขึ้นมาในที่นี่ ท่านบอกว่า เทพและเทพีเกิดใหม่ทุกคนมีความบริสุทธิ์คล้ายกับทารกตัวน้อยๆ ที่เกิดจากครรภ์มารดาในโลกมนุษย์หรือที่เรียกกันว่าโลกเบื้องกลาง ทั้งหมดตายทั้งๆ ที่ยังมีความดี ความงดงาม ความอบอุ่นและความรัก ตายในฐานะสูงสุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งพึงจะมีสิทธิ กล่าวว่าทั้งหมดได้ถูกคัดเลือกให้กลายเป็นเทพที่มีผมสีทองและดวงตาสีธรรมชาติ

                ท่านยังกล่าวต่อว่าธาตุทั้งสี่ได้หล่อหลอมร่างทั้งหลายให้เกิดมาอีกครั้งในฐานะที่ศักดิ์สิทธิยิ่งกว่าเดิม...ในฐานะของเทพและเทพี

                ดิน คือ ผิวหนังที่ห่อหุ้ม

                น้ำ คือ สายเลือดที่ไหลริน

                ลม คือ สัญญาณของชีวิต

                ไฟ คือ จิตวิญญาณแห่งการเป็นผู้บริสุทธิ์ ต่อจากนี้ไป...

                มันเป็นสิ่งที่เขาเคยได้ฟังมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่ออดีต แต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงและท่าทางของเทพเฮอร์ออสยังคงสะกดตรึงใจผู้ที่อยู่ที่นั่นไว้ จนไม่อาจจะละสายตาของตนเองออกจากร่างที่มีผมสีเงินเงางาม...ร่างที่ยังคงบริสุทธิ์ไม่เสื่อมคลาย

                กระดาษอีกม้วนหนึ่งถูกเปิดออก ความยาวของมันลงมาเกือบถึงพื้น โอลิเวอร์และเมอร์ฮิวรัสรู้ดีว่านั่น...ก็คือเรื่องราวในโลกมนุษย์รวมถึงชื่อของเทพที่อยู่กลางลานพิธีทั้งหมด

                หัวใจของผู้ร่วมพิธีเต้นระทึก เมื่อเท้าของเทพีสาวคนหนึ่งก้าวออกมาตรงหน้าอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่นั่นคือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น

                เทพหนุ่มรู้ว่าแต่ละคนต้องก้าวออกมาเพื่อรับนามและถวายอยู่ใต้อาณัติของเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งที่นั่งอยู่เบื้องหน้า การก้าวเท้าจะเรียงลำดับตามรายชื่อที่อยู่ในมือของท่านเทพเฮอร์ออส โดยไม่มีใครรู้ว่าตนเองจะก้าวออกมาเมื่อไร

                พอถึงรายชื่อของตน คนๆ นั้นจะก้าวออกมาเอง โดยที่ไม่ต้องมีใครกล่าวเรียก หากเป็นเพียงผู้ชมพิธีการ จะไม่อาจรู้ได้เลยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แต่สำหรับเขาที่เคยร่วมพิธีการนี้ คงต้องบอกว่า มันคือความอัศจรรย์ ที่ผลักดันสัญชาตญาณของเขาให้ก้าวเท้าออกมาเอง

                ฮาเบลร่า...คือนามใหม่ของเจ้า ร่างบางที่ดูตื่นๆ เมื่อครู่นั้นดูสงบขึ้นทันทีหลังจากได้ยินในสิ่งที่ท่านเทพเฮอร์ออสพูด เจ้าตัวโค้งตัวเบาๆ อย่างขอบคุณ ท่านเทพผู้นำเพียงพยักหน้าน้อยๆ พร้อมรอยยิ้มบาง นับแต่นี้ขอให้เจ้าอยู่ใต้ความดูแลแห่งดีมิเตอร์ ชื่อเทพีแห่งธัญญาหารถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากนั้น ก่อนที่แสงสว่างสีขาวจะเข้ามาโอบอุ้มร่างบางนามฮาเบลร่าพร้อมกับกลิ่นของข้าวสาลีที่หอมกรุ่นฟุ้งกระจาย...

                เมื่อทุกอย่างจางลงบุรุษผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาตรงหน้า...ผมสีทองคำสว่างไสวยิ่งกว่าตะวัน...เขาชื่อไซรัส เทพซีซัตแห่งโครนุส มิติของเวลาหมุนวนใกล้กับตัวเทพหนุ่ม ก่อนเทพผู้ควบคุมเวลาจะต้อนรับเขาสู่อาณัติ

                ต่อมาเป็นบุรุษอีกคนหนึ่งถูกถวายนามว่าอเล็ค ในความควบคุมของโพไซดอล ซึ่งเมอร์ฮิวรัสร้องเสียงโวยวายถึงน้องใหม่จนแทบปิดปากเอาไว้ไม่ทัน...

                เด็กสาววัยไม่เกินสิบสองขวบคนต่อมาชื่อมีอา ในเทพีเนโมซินีแห่งความทรงจำ

                เด็กสาวที่วัยใกล้เคียงกันเดินตามมา ชื่อโซร่า แห่งเฮสเทีย...ไฟสีทองคำโหมสว่างก่อนที่ร่างเล็กจะเดินเข้าไปหาเทพีสาวที่มีลำตัวสีแดงดุจเพลิงของโลกกลาง

                และก้าวเท้าที่ทำให้หัวใจเขาเต้นระรัวมากที่สุด

                ร่างบางก้าวออกมาทั้งๆ ที่ดวงตาเหม่อลอย...วินาทีหนึ่งที่โอลิเวอร์สังเกตเห็นฝีเท้านั้นพยายามฝืน...เทพเฮอร์ออสเหมือนสะดุดไปเล็กน้อย แต่ลำแสงสีทองที่อยู่เหนือขึ้นไปของพระบิดากับสว่างเจิดจ้าและอบอุ่นยิ่งขึ้น

                หรือเขาคิดไปเอง...

                ร่างบางหยุดลงตรงหน้า ค่อยๆ โค้งอย่างสง่างามที่สุด ก่อนเงยขึ้น แววตาสีฟ้าน้ำทะเลอ่อนหวานแต่มั่นใจจนทำให้เทพที่มองอยู่ยิ้มบาง

                สวัสดีที่รัก เฮอร์ออสกล่าวด้วยน้ำเสียงเอ็นดูไม่ต่างจากคนอื่นๆ ที่ผ่านมา ชีวิตของเจ้าสวยงามเหลือเกิน... เขามองในกระดาษแผ่นยาวราวกับรู้เรื่องอดีตที่ผ่านมาทั้งหมดในแผ่นบางๆ นั้น ก่อนเอ่ยคำต่อมา จงเชื่อมั่นในรักของเจ้า...โจซีฟีเน่ น้ำเสียงสุดท้ายนั้นมีพลังจนทำให้ร่างบางนิ่งค้าง ครู่หนึ่งที่สายตามองเห็นภาพของความชุลมุนและความหวาดกลัว ก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็ว

                เทพเฮอร์ออสยิ้มอ่อยโยน เจ้าเกิดใหม่ในอาณัติแห่งโพไซดอล...

                วินาทีนั้นคลื่นสีน้ำเงินก็ลุกโหมขึ้นรอบกาย...ก่อนจะโอบและดันร่างบางไปยืนรวมกับอเล็ค...ใกล้เทพที่มีช่วงร่างเป็นหางปลา

                เจ้าได้ยินมั้ย โอลิเวอร์...ข้าได้ยินไม่ค่อยชัด นางชื่ออะไรนะเมอร์ฮิวรัสร้องถามอย่างร้อนใจ ก่อนจะหันไปถามคนอื่นๆ เมื่อคนเป็นเพื่อนไม่สามารถให้คำตอบได้

                โอลิเวอร์กำลังนิ่งค้าง...เป็นไปไม่ที่เมอร์ฮิวรัสจะไม่ได้ยินชื่อนาง ทั้งๆ ที่เขาได้ยินเต็มสองหูราวกับเสียงตะโกนกึกก้อง และวินาทีนั้นหัวใจของเขาก็เต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง...ไร้สาเหตุ เหงื่อออกตามขมับ...ไหลลงมาตามร่างกายจนชุ่ม ...พลันหัวใจก็บีบเข้าหากันอย่างเจ็บปวดจนต้องร้องคราง เขาทนไม่ไหวจนต้องใช้มือสองข้างประคองอกตนเองเอาไว้ บีบมันแน่นดั่งกับว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้มันหยุดนิ่ง ...ใบหน้าซีดเซียว ลมหายใจหอบระริก ...หากแต่ดวงตาสีน้ำเงินเข้มยังเงยขึ้นสะท้อนภาพร่างบางในพิธีการอย่างไม่เข้าใจ

                โอลิเวอร์กลืนน้ำลาย บังคับขาที่เริ่มสั่น

                โจซีฟีเน่...เป็นชื่อที่มีอิทธิพลต่อหัวใจของเขา...เหลือเกิน...

     

     

    */*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*

    To Be Continue

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×