คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ 13 - ดาบไร้ชื่อ ปราศจากอันตราย (2021 NRW)
น้ำชาร้อนๆ กลิ่นหอมกรุ่น
ใบสีเขียวสดลอยอยู่สองใบทำให้สีของมันเป็นสีเขียวอ่อนๆ
และไออุ่นจากมันทำให้คนที่จิบรู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งพอแตะเข้าที่ปลายลิ้นทั้งรสชาติ
ทั้งกลิ่น เข้ากันได้อย่างกลมกลืน
“อืม...อร่อย ชาอะไรน่ะ”
หญิงสาวถามสหายคนใหม่...ช่างตีเหล็ก หลังจากที่ดื่มเข้าไปไม่น้อยเลยทีเดียว
“จากต้นซาซีเจีย” เขาว่า
ทั้งสองนั่งอยู่ที่ข้างบ้านไม้หลังนั้น
เอเวียน่าไม่น่าเชื่อว่าบรรยากาศจะดีขนาดนี้ เหมาะแก่การดื่มชาจริงๆ
“ชื่อแปลกดี” หญิงสาวดื่มชาอึกใหญ่ท่าทางมีความสุข
“รสอร่อย” เธอว่า และยกดื่มอีก
ครอยซ์มองเธอยิ้มๆ เขาจับแก้วชา
หลังพิงเก้าอี้และจิบชาเบาๆ “อืม
วันนี้รสดี” เขาว่าและจ้องมองเธอที่ดื่มเข้าไปอย่างไม่ลดละ
“สรรพคุณก็...ดีนะ”
เอเวียน่าเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างต้องการคำตอบทั้งๆ
ที่ปากยังมีขอบแก้วอยู่
ครอยซ์จิบชานิดๆ ก่อนจะตอบคำถามของเธอ
“อืม...เพิ่มสรรถภาพทางเพศ
อีกทั้งยัง...”
‘ปู้ด!!’ ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มหน้าหวานจะพูดจบ
เอเวียน่าก็พ่นของเหลวในปากออกมาแทบจะทันที โชคดีที่คนที่นั่งอยู่ตรงข้างหลบทัน
ครอยซ์มองตามอย่างเหลือเชื่อ
เขาส่ายหน้าเบาๆ “มารยาทแสนงดงาม” เขาพูดด้วยเสียงสงบ
“ม...เมื้อกี้เจ้าว่าอะไรนะ...” เอเวียน่าถาม
เสียงตะขิดตะขัดในลำคอ
ชายหนุ่มมองตาม “ข้าพูดว่ามารยาทเจ้างดงาม”
เขาบอกท่าทางเหมือนไม่สนใจ
“ป...เปล่าไม่ใช่...ก่อนหน้านั้น”
ช่างตีเหล็กหน้าหวานเลิกคิ้ว “อ๋อ!” และดูเหมือนเขาจะนึกออกจนได้
“ข้าบอกว่า...เพิ่มสมรรถภาพและความต้องการทางเพศ
อีกทั้งยังเป็นยาเสน่ห์อ่อนๆ ช่วยเร่งฟีโรโมนในตัวมนุษย์ให้ออกมามากขึ้น
ดึงดูดความสนใจของเพศตรงข้ามได้ดีขึ้น อีกทั้งถ้าถึงเวลาตอนที่เจ้า...อืม...นอนกับผู้ชายน่ะจะทำให้เจ้าไม่...”
“พอๆๆๆๆ” เอเวียน่ายกมือเป็นเชิงห้าม
“ข้าถามนิดเดียวเอง” หญิงสาวเอามือแตะหน้าผากเบาๆ
และเหล่ตามองช่างตีเหล็ก
“เอ่อ...” เธอลังเล
“...มันเป็นยากระตุ้นเหรอ”
ครอยซ์ยิ้มอย่างเข้าใจถึงสิ่งที่เธอคิดอยู่
“ถ้าใส่ซักห้าหกใบล่ะก็นะ
เป็นยากระตุ้นที่ดีได้เลย” เขาว่า
นั่นทำให้เอเวียน่าถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ถ้ากินไปแบบเจ้าไม่เป็นปัญหาหรอก
นอกจากเจ้าจะเจอคนที่รู้สึกไว้หรือคนที่สนิทกับเจ้าจนเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของฟีโรโมนที่ปล่อยออกมามากขึ้น
นั่นจะทำให้...”
เอเวียน่ายกมือห้ามอีกครั้ง “ข้าถามนิดเดียว” เธอว่า
คลอรีนยิ้ม ท่าทางเขารู้สึกสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว
แหม...ก็คงตรงหน้าน่ะชอบทำท่าทีเย็นชาเสียจริงๆ เลยนี่น่า “โอเคๆ
แล้วเจ้าจะดื่มมันต่อรึเปล่า มันมีฤทธิ์ไม่มากหรอกน่า ข้าคำนวณมาดีแล้ว”
หญิงสาวคิด ครอยซ์คำนวณมาแล้วเหรอ หมอนี่จะเก็บยากระตุ้นไว้ทำอะไรกันแน่
แถมยังปลูกไว้เป็นต้นๆ คิดแล้วหญิงสาวก็ปวดหัวเสียจริงๆ เอเวียน่าวางแก้วชาลง
เธอขอเปลี่ยนจากการดื่มพรวดๆ แบบเมื่อกี้ มาเป็นจิบๆ แทนล่ะกัน
ครอยซ์ยิ้มและดื่มน้ำชาต่อ
และบางอย่างที่เขาคิดมาตลอดเวลาเกี่ยวกับหญิงสาวที่เหมือนกับบุรุษคนนี้ก็ผุดขึ้นมา
เอเวียน่าสนใจในดาบฝักสีเทาของเขา
ดาบที่ไม่เคยมีผู้ใดสนใจ ไม่เคยมีผู้ใดสัมผัสได้
ดาบที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจที่ไม่เคยมีใครคิดจะอยากได้ ดาบจะเลือกตัวเจ้าของเอง
แต่เอเวียน่าเป็นสตรีเพศ หรือว่าการที่เธอสนใจดาบ นั่นแสดงว่าดาบยอมให้เธอสนใจ
และตอนนั้นเธอจะเอื้อมมือจาบดาบอยู่แล้ว ถ้าเธอจับดาบไปล่ะจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง...
...อยากรู้จริงๆ
“เอเวียน่า” เสียงที่แสนสงบเรียกชื่อของเธอ
“เจ้าสนใจดาบของข้าใช่รึเปล่า”
“อะไรนะ” เอเวียน่าจ้องมองดวงตาสีฟ้าอย่างไม่แน่ใจ
“ลองดูมั๊ยล่ะ”
เอ็ดเวิร์ดถูกพามาที่ห้องที่อยู่ลึกสุดของทางเดิน
ประตูไม้สีน้ำตาลถูกเปิดออก เขาก้าวเข้าไปในห้องนั้นเพียงลำพัง
ห้องนั้น
มีรอยไหม้เพียงเล็กน้อยจากเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อน
โต๊ะตัวใหญ่อยู่ตรงกลางห้องเต็มไปด้วยแผนที่ท้องทะเลและหมึกสีดำ ข้างห้องมีชั้นหนังสือไม้
ที่เต็มไปด้วยหนังสือการเดินเรือ ขุมทรัพย์ และที่น่าแปลกคือมีหนังสือการปกครอง
พงศาวดาร และตำนานต่างๆ ด้วย หน้าต่างที่หลังห้องมองเห็นวิวของใต้ท้องทะเล
แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาจากทางนั้น
ทำให้เห็นหน้าที่ไม่อยากเห็นของคนที่อยู่ข้างโต๊ะทำงานมุมห้อง...กัปตันราฟาเอลว์
อัลยืนอยู่ที่โต๊ะทำงาน
จ้องมองหน้าผู้ที่มาใหม่อย่างไม่ยินดีและไม่แปลกใจ เป็นการมองแบบธรรมดา
ดูไม่สนใจด้วยซ้ำ เขาลงมือเก็บของที่อยู่บนโต๊ะ “ไม่นึกว่าเจ้าจะยอมมาง่ายๆ”
ชายหนุ่มพูด โดยสายตายังสนใจกับการเก็บหนังสืออยู่
เอ็ดเวิร์ดมองสำรวจห้องรอบๆ
ก่อนที่จะนั่งลงบนโต๊ะวางแผนที่ตั้งอยู่กลางห้อง “ไม่คิดจะทักทายกันเลยเหรอไง” เขาว่า
“หวัดดี” กัปตันราฟาเอลว์ยอมทำตามแต่โดยดี
“หวัดดี...ข้ามาง่ายๆ และไม่ดีเหรอ เจ้าเนี่ยแปลกคน” เขาทักทายกลับ
แล้วจึงตอบคำถามของกัปตันราฟาเอลว์
อัลเก็บกระดาษมากมายที่กองไว้อยู่บนโต๊ะของเขา
กองเป็นปึกเดียว แล้วเคาะสองสามที “ก็ดี...แต่...แค่คิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้” ชายหนุ่มหันมามองสหายเก่า
“ไม่นึกว่าเจ้าจะเป็นนักล่าหัวไปแล้ว”
“ข้าก็ไม่นึกว่าเจ้าจะเป็นโจรสลัด” เอ็ดเวิร์ดโต้ตอบ
อัลแอบยิ้มนิดๆ ก่อนจะปั้นสีหน้าให้สงบ “ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้าหน่อย”
ชายนักล่าหัวขมวดคิ้ว แกว่งขาไปมา “แลกกับหัวเจ้าดีมั๊ยล่ะ” สายตาเย็นๆ จ้องมองกลับ
“ข้าไม่มีค่าหัว เสียใจด้วย”
เอ็ดเวิร์ดยังขมวดคิ้วไม่เลิก “จริงเหรอ”
ชายหนุ่มพยักหน้า
“เฮ้อ! ไม่รู้ว่าพวกทหารเรือกับตำรวจทะเลทำอะไรอยู่กันแน่
ปล่อยให้เจ้ารอดสายตาไปได้ไง” เขาบ่น
“ไม่น่าข้าไม่ได้ข่าวเจ้าเลย”
“ข้าไม่อยากทำตัวให้เด่น” อัลว่า “ว่าแต่...เจ้าพอรู้มั๊ยเรือที่อยู่หน้าเกาะเจ้าน่ะเป็นใคร”
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนมองหน้ากัปตันราฟาเอลว์
และมองไปรอบๆ เรือ ก่อนที่จะกลับมามองตาสีน้ำตาลดำของบุรุษตรงหน้าอีกครั้งด้วยแววตาที่ดูถูก
“เจ้าเนี่ย...ฝีมือตกลงจนโดนเจ้าพวกแมลงหน้าเกาะจัดการมาซะขนาดนี้เลยเหรอ” เอ็ดเวิร์ดว่า
กัปตันหนุ่มสังเกตถึงความขบขันในน้ำเสียง
แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นแบบประสงค์ดีหรือร้าย ขี้เกียจเดา เขาสรุปในใจ
“พวกนั้นเป็นแมลงเม่า...โจรสลัดที่คิดจะครองเกาะนี้” เอ็ดเวิร์ดกล่าว
“ว่างๆ ก็ช่วยกำจัดให้ด้วยล่ะกัน”
ชายหนุ่มผมแดงเพลิงกลืนน้ำลายลงคอ
เขากำลังลังเลอะไรนิดหน่อย “หมอนั่นอยู่ที่ไหนล่ะ” เขาตัดสินใจถาม
นักล่าหัวโจรสลัดเหล่ตามอง “คริสตัลดวงดาว”
อัลหันมามองหน้าผู้ที่เป็นพูดถึงสิ่งของในตำนานนั้นขึ้นมา
“ข้าเดาไม่ผิด...นั่นน่ะเหรอภารกิจของเจ้า” เขาถอนหายใจ
“ของรางวัลปีนี้ทำให้ข้าลำบาก
ต้องนั่งฟังเรื่องที่ชาวบ้านมาบ่นให้ฟังทุกวัน บอกให้ข้าไปกำจัดนู่นนี่
น่าเบื่อจริงๆ”
อัลยิ้มนิดๆ “งานนี้เหมาะกับเจ้าดีออก ฝึกยืนในใจคนหมู่มาก”
“เฮอะ ข้าล่ะเบื่อ”
“...แล้ว”
ชายหนุ่มผมแดงเพลิงกำลังสนใจเรื่องอีกเรื่องหนึ่งมากกว่า “ยังไงต่อ”
เอ็ดเวิร์ดมองอัลอย่างแปลกใจ
และเลิกคิ้ว “ข้าแค่จะบอกว่า หมอนั่นก็ลงแข่งขันในการแข่งทุกปีน่ะแหละ
ปีนี้ก็คงจะเป็นการตั้งกติกาและหาอะไรบางอย่างในป่า”
“อะไร”
“จะรู้เหรอ” เอ็ดเวิร์ดว่า “ข้าว่าถ้าเจ้าอยากได้คริสตัลอย่างเดียวน่ะขโมยเอาก็หมดเรื่อง”
อัลเลิกคิ้วบ้าง “ข้าไม่ได้อยากได้คริสตัลอย่างเดียว แต่อยากได้ผู้ใช้คริสตัลด้วย
เจ้าคิดว่า...ข้าจะหาได้จากการขโมยรึเปล่า”
“เหรอ งั้นเจ้าก็คงไม่ลงน่ะสิ…น่าเบื่อชะมัด” เสียงสุดท้ายเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“เจ้าว่าอะไรนะ”
“เปล่า...” เขาว่า ท่าทางเสียดายนิดๆ
“...”
แล้วเอ็ดเวิร์ดก็มองหน้าสหายเก่าที่หันไปสนใจกับตู้หนังสือต่อ “เจ้าทำท่าแปลกๆ นิ่งเกินไปรึเปล่า”
อัลมองหน้าอดีตเพื่อน
ที่ดูไม่มีความเครียดเลยตอนนี้ “เจ้าพูดมากไปต่างหาก”
เอ็ดเวิร์ดยิ้ม “ข้าตื่นเต้นไง” เขาว่า
“มีอะไรให้ตื่นเต้นนักเหรอ” อัลถาม
ชายนักล่าหัวยิ้มนิดๆ
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่นึงก่อนที่เอ็ดเวิร์ดจะเริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง “เจ้า...เป็นไงบ้าง”
คำพูดนั่นทำให้เรื่องราวในอดีตกลับมาในความคิดของเขาอีกครั้ง
อัลยิ้ม และหันมามองหน้าผู้ที่เคยเป็นสหายเก่า
“ก็ดี”
เขาว่า
“พอได้ล่องเรือแล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระขึ้นเยอะ...สบายใจกว่าเดิมมาก...” สายตาของชายหนุ่มทอดออกไปไกล
“...” แล้วเขาก็ถอนหายใจ “ข้าสบายดี”
“...” เอ็ดเวิร์ดมองสายตาของผู้เป็นเพื่อนอย่างพอเข้าใจ
“...อืม”
“แล้ว...เจ้า...”
เขาว่าพลางเลิกคิ้วขึ้นสูงไปหาคนในห้องอีกคน
เอ็ดเวิร์ดรับคำด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าก็สบายดี”
เอเวียน่าจ้องมองดาบฝักสีเทา มันทำให้ผู้มองรู้สึกอยากแตะต้อง
ตัวดาบเหมือนมีอำนาจบางอย่าง ความลึกลับเป็นสิ่งที่เธอสัมผัสได้ อัญมณี
สามเม็ดนั้นมีความหมายอะไร? และทำไมฝักดาบถึงดูธรรมดานัก มีเพียงแค่รอยสักยาวๆ
เท่านั้น ยิ่งคิด ก็ยิ่งอยากดูคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝักสีเทานั้นมากขึ้นไปอีก
จะครอบครองมันได้จริงหรือ?...หญิงสาวรู้สึกว่าเหงื่อเริ่มไหลมาเป็นทาง
“ดาบนี้ที่จริงไม่มีชื่อ มันเป็นหนึ่งในดาบทั้งสามที่ถูกเรียกว่า
เดอะฟรีเดนเจอร์ (ปราศจากอันตราย) แต่ข้าว่ามันนี่แหละตัวอันตราย” ประโยคหลังไม่รู้ว่าครอยซ์บ่นกับตัวเองหรือบอกกับเธอ
“เจ้าเคยได้ยินตำนานแห่งเผ่าทั้งเจ็ดและสมบัติแห่งท้องทะเลบ้างมั๊ย”
หญิงสาวพยักหน้าช้าๆ “คริสตัลแห่งดวงดาว”
“อืม...นั่นแหละ” ครอยซ์ว่า
“ดีเหมือนกัน ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเล่านาน...เริ่มเลยล่ะกัน...”
เอเวียน่าพยักหน้าอีก
คราวนี้เธอเริ่มรู้สึกหน่ายๆ เพราะเจ้าเพื่อนคริซโตเฟอร์คนนี้ชักน่ารำคาญขึ้นทุกที
หญิงสาวคิดว่าถ้ายังไม่เริ่ม...ข้าจะไม่ฟังอะไรทั้งนั้น
“กลุ่มแรกที่ครองคริสตัลทั้งเจ็ดได้ คือกลุ่มที่นำโดยกษัตริย์เผ่าเออร์ลิน
ผู้ใช้คริสตัลเจ็ดคนและคริสตัลเจ็ดอัน...ระหว่างที่เขากำลังเดินทางเพื่อไปสู่สมบัติที่ยิ่งใหญ่เกินประเมินค่า”
“ดินแดนนิจนิรันดร์”
เอเวียน่าเปรยขึ้นมาเมื่อนึกถึงความคิดของชายหนุ่มผมสีแดงเพลิง
“มันเป็นความเชื่อแต่ละเผ่า
เพราะยังไม่มีใครได้สมบัตินั้นก็เกิดเรื่องซะก่อนทุกครั้ง”
ครอยซ์หยุดเล่าชั่วครู่เพื่อจิบน้ำชา ที่ย้ายมาอยู่ในบ้านแล้วตอนนี้
ขณะที่ในใจเอเวียน่าเริ่มหมั่นไส้เต็มทน
“ระหว่างการเดินทางได้เกิดความไม่เข้าใจระหว่างฝ่ายสองฝ่าย...แสงสว่างและ...ความมืด...มะ...มิ...อะไรนะ”
คนที่กำลังฟังเพลินๆ
ก็หมดอารมณ์ไปกับผู้เล่าที่เกิดนึกชื่ออะไรบางอย่างไม่ออกขึ้นมา
“เมดิก้า นักรบสาวแห่งเผ่าแสงสว่าง”
โชคดีที่หมอนั่นมีสหายดีต่อให้จนจบ
“ข้าเริ่มรำคาญเจ้าแล้ว จะเล่าเรื่องอะไรก็เล่าให้จบก่อนได้มั๊ย” คริซเอ็ด
เป็นครั้งแรกที่ความเห็นตรงกัน
เอเวียน่าคิดในใจ
“เมดิก้า นักรบสาวแห่งเผ่าแสงสว่าง และคาเมนท์นักดาบแห่งเผ่าความมืด”
คริซโตเฟอร์ก็กลายเป็นผู้เล่าเรื่องแทนไปโดยปริยายเมื่อเจ้าเพื่อนของเขาทิ้งตัวนั่งลงเก้าอี้เพื่อจิบชา
“ทั้งสองได้เกิดความไม่เข้าใจกันขึ้นมา...เจ้าควรรู้ว่าแสงสว่างและความมืดเริ่มมีปัญหากันตอนนั้น”
เอเวียน่ารู้สึกว่าตัวเองได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์
มากกว่าที่จะรู้สึกว่าคริซและครอยซ์จะเป็นเทนเนอร์ให้เธอพิชิตดาบฝักสีเทาตรงหน้า
“ความไม่เข้าใจนำไปสู่ความวิวาท
การตัดสินด้วยคมดาบและพลังที่มี...การต่อสู้เกิดขึ้น
ทั้งสองไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น ไม่ว่าใครจะห้ามยังไง พวกเขาไม่สน
ไม่สนแม้ว่าพวกเขากำลังจะได้สมบัติอันประเมินค่าไม่ได้นั้น
แม้ว่าหากเขาหยุดทะเลาะกันอาจจะทำให้...”
คริซโตเฟอร์หยุดคำพูดลง เหมือนเทปที่หยุดกะทันหัน เขาตัดสินใจไม่พูดเรื่องนี้ต่อ
เพราะไม่เกี่ยวกับดาบตรงหน้า
“เอาเป็นว่า การทะเลาะกันเกิดขึ้นกว่ายี่สิบชั่วโมง
ในที่สุดดาบหนึ่งก็หยุดการต่อสู้อันไร้สาระ นั่นก็คือ...”
“เดอะฟรีเดนเจอร์” เอเวียน่าพึมพำ
คริซและครอยซ์พยักหน้าเบาๆ
“เจ้าแน่ใจว่าอยากเป็นเจ้าของมัน”
ชายหนุ่มผู้ซึ่งบัดนี้สวมบทผู้รู้แห่งราฟาเอลว์ถาม เอเวียน่าเพียงหันมามองหน้าเขา
คริซถอนหายใจ
“ข้าจะคอยดูอยู่ห่างๆ” ชายหนุ่มตัดสินใจไม่พูดต่อว่า
คนที่เคยลองจับดาบนี้มีสภาพเช่นไร เมื่อหญิงสาวตรงหน้าดูจะตัดสินใจดีแล้ว
เอเวียน่าหันหน้าไปสนใจดาบฝักสีเทาอีกครั้ง
คราวนี้...ความเงียบเข้าปกคลุมที่บ้านไม้เล็กๆ
หญิงสาวจ้องมองดาบ แล้วเธอก็รู้สึกเหมือนดาบจะสนใจการมาของเธอเช่นกัน
ภาพรอบด้านของอาวุธเล่มนั้นในสายตาของเธอเริ่มพร่ามัว
แต่ในแววตาสีชายังคงมองเห็นภาพดาบชัดเจน เอเวียน่าจ้องมองมันราวกับว่า...จะค้นหาบางอย่าง
ที่ไม่สามารถมองเห็นได้เพียงการ ‘มองผ่านๆ’
มือเรียวยาวของสตรีสาวยกขึ้นมาอย่างช้าๆ
พร้อมกับการก้าวเข้าไปอย่างไม่รู้ตัวเพื่อครอบครองของมีคมตรงหน้า
ไม่รู้ว่าทำไม...ยิ่งใกล้ดาบนั่นเท่าไร
เธอก็รู้สึกเหมือนร่างกายเริ่มหนักอึ้งไปเป็นช่วงๆ เหงื่อที่ไหลออกมาทางใบหน้าและลำตัวแสดงถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่ไม่ปกติ
ความเจ็บปวดเริ่มไหลขึ้นมาทีละส่วนอย่างช้าๆ
ปลายนิ้วเท้า...เท้า...หน้าแข้ง...หัวเข่า...
หญิงสาวเอื้อมมือ
อีกอึดใจเดียวก็จะถึงดาบ เธอไม่ยอมปล่อยให้โอกาสตรงหน้าหลุดไปอย่างง่ายๆ แน่นอน
ภาพที่สะท้อนในนัยน์ตาตอนนี้ เห็นเพียงดาบฝักสีเทาเท่านั้น
ต้นขาของเอเวียน่า...เริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดอันแปลกประหลาดที่ไล่ขึ้นมา
อีกนิดเดียว...
เสียงในหัวใจดังขึ้นมา
ความเจ็บปวดไล่ขึ้นมาถึงสะโพก
ตอนนี้ช่วงล่างของเธอเริ่มสั่นเบาๆ อย่างรู้ว่าจะทนได้อีกไม่นาน...อำนาจอันลึกลับของดาบในสายตา
มันช่างกดดันให้ผู้ที่คิดจะครอบครองมันให้ยอมแพ้หรือผละมือออกได้อย่างง่ายๆ
เสียจริงๆ
แต่หญิงสาวคนนี้ดูเหมือนจะแตกต่างเพียงเล็กน้อย...อาจเป็นเพราะเอเวียน่ารู้สึกเหมือนดาบกำลังท้าทายเธอให้เข้าไปสัมผัส
และเธอเกลียดความท้าทายไม่ว่ามาจากอะไรก็แล้วแต่
และ...อีกนิดเดียวเท่านั้น!
...มือเอื้อมเข้าไปตามคำสั่งจากสมอง จนเธอสามารถแตะด้ามดาบได้แล้ว!
ฉับพลัน!
ความเจ็บปวดก็ขึ้นมาสู่ช่วงเอว
หญิงสาวผู้ท้าทายตัวแข็งทันที...แผลที่ยังไม่หายดีที่เอวด้านซ้าย
สร้างความเจ็บปวดกระจายออกไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว
เหงื่อไหลออกมาตามใบหน้าเป็นสาย กายเริ่มสั่นและหนาวไปทั่วร่าง
‘ตุ๊บ!’ ร่างเอเวียน่าล้มลงกับพื้นราวกับภาพช้า
คริซโตเฟอร์และครอยซ์รีบเข้ามาดูอาการของเธอ ตามด้วยโจซีฟีเน่และสองฝาแฝด
เทพีสาวเอามือแตะหน้าผากของเธออย่างหาอาการของเจ้านาย
“ตัวเย็นมากเลย...ทำไมนายท่านจู่ๆ
ก็ล้มลงไป” คำถามหลังหันมาถามผู้รู้แห่งราฟาเอลว์
ภาพของหญิงสาวสะท้อนในดวงตาสีมรกต
ร่างกายของเอเวียน่าสั่นอย่างน่ากลัว ตัวเธอเย็นเพราะเหงื่อที่ไหลออกมา
มือข้างซ้ายกุมเอวเอาไว้ ตัวบิดงอ และสีหน้าแสดงถึงความรู้สึกเจ็บปวด
แล้วคริซก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นสิ่งของในมือขวาของเธอ
…ดาบไร้ชื่อ...เดอะฟรีเดนเจอร์...
“เจ้าหมายความว่ายังไง” อัลถาม
เมื่อไรก็ไม่รู้ที่การสนทนาของพวกเขาทั้งสองมาหยุดตรงที่เรื่องของสตรีสาวเพียงคนเดียว
ที่ตอนนี้เป็นลูกเรือของเรือราฟาเอลว์
“ก็หมายความว่า เอเวียน่า...เป็นคนสำคัญ”
เอ็ดเวิร์ดกล่าวคำซ้ำเพื่อย้ำให้คนตรงหน้าฟัง
แววตามีประกายความมั่นคงที่แสดงถึงความมั่นใจอย่างแน่นิ่งในคำพูด
“แล้วไงล่ะ” อัลถาม ดูเหมือนเป็นการตอกกลับมากกว่า
“ข้าขอตัวหล่อน” แต่เจ้าตัวไม่สนใจการกระทำนั้น
“ไม่” เขาตอบสั้นๆ
ชายนักล่าหัวขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง” กัปตันหนุ่มไม่ตอบเพียงแต่เดินกลับไปที่โต๊ะของเขา
“ข้าเกลียดการคุยกับเจ้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” เขาพูด
“ข้าพยายามอดทนแล้วนะ” คำพูดเย็นชา
คำพูดคำนี้ทำให้คนตรงทั้งสองรู้แล้วว่า...อดีตเป็นสิ่งที่ไม่ควรจดจำ
อดีตก็คืออดีต ครั้งก่อนพวกเขาเคยเป็นสหาย
แต่ปัจจุบันคือปัจจุบัน
ตอนนี้พวกเขาคือศัตรู
โจรสลัดกับนักล่าหัว
ถึงพยายามฟังยังไงก็ไม่มีทางเป็นมิตร
อัลทำหน้านิ่ง
เหล่ตามองไปที่คนที่เคยเป็นสหาย แต่บัดนี้...ตัวเขาเกลียดเข้าไส้ เข้าสมอง
แล้วเขาก็ยิ้มอย่างพอใจที่ได้กวนประสาทคนตรงหน้า “คิดว่าเจ้าคนเดียวเหรอ ที่เกลียดการคุยแบบนี้”
อัลว่า การคุยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะคุยอย่างมิตร คุยอย่างศัตรู ชายหนุ่มคิด
เอ็ดเวิร์ดถอนหายใจ “แต่นางสำคัญสำหรับข้า คนที่ไม่เห็นความสำคัญของนางอย่างเจ้าน่ะ
คงมีปัญญาแค่ให้นางเป็นลูกเรือเท่านั้นแหละ”
“หนักส่วนไหนของเจ้าไม่ทราบ” อัลว่า
“แล้วเจ้าล่ะ คนที่เห็นความสำคัญของนางเช่นเจ้า จะมีปัญญาทำอะไรได้
ให้นาง...เป็นเจ้าหญิงเหรอ” อัลยิ้ม
เอ็ดเวิร์ดมองกัปตันหนุ่มอย่างเคียดแค้น
และเขาก็ยิ้ม...เมื่อรู้ว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า “แต่ข้าบอกไว้ก่อนนะ อะ...อัล เอเวียน่ากับข้า เคยรักกันมากเชียวล่ะ
ถ้านางคือคนที่เคยรักข้าล่ะก็ มันไม่ยากเลยล่ะที่ข้าจะเอาตัวนางไปจากเรือสกปรกนี่” และชายนักล่าหัวก็ยิ้มอย่างผู้ชนะ
แต่กัปตันหนุ่มกลับยิ้มไม่ออก
คราวนี้คนที่มองไปอย่างเคียดแค้นกลับเป็นเขาซะเอง
“เจ้าสนใจมากล่ะซิ แต่ว่า...”
เอ็ดเวิร์ดหัวเราะอย่าเย้ยหยัน
“...ข้าว่า ข้าควรจะกลับได้แล้วล่ะ” ชายหนุ่มลงมาจากโต๊ะวางแผนและเดินไปทางประตู ถึงกระนั้นเสียงหัวเราะเบาๆ
ของเขาก็ยังเข้ามาในหูของกัปตันหนุ่มอยู่ดี เอ็ดเวิร์ดจับลูกบิดประตู
‘ฉึก!!’ มีดด้ามสีเงินปักเข้าที่ข้างประตู
เอ็ดเวิร์ดหันกลับมาหาที่มาของมีดพร้อมกับใบหน้าที่มีรอยยิ้มดูถูก
กัปตันหนุ่มผมแดงเพลิงยืนขึ้นหลังโต๊ะของเขา
“ทำไมข้าถึงเกลียดการคุยกับเจ้ารู้มั๊ย...” เขาว่า “เพราะว่าเจ้ากับข้า
พูดกันไม่รู้เรื่อง...น่ะสิ”
ชายนักล่าหัวยิ้ม เขาดึงมีดออกมา “ข้าก็อยากคุยกับเจ้าให้รู้เรื่องเหมือนกัน
แต่ว่า...ตัวเจ้าน่ะ เปลี่ยนไปเป็นโจรสลัดที่ชื่ออัลแล้ว”
เขาปามีดไปที่ข้างหูกัปตันหนุ่ม
“เจ้าก็เปลี่ยนไปเป็นนักล่าหัวแล้วเหมือนกัน” อัลว่า
“ใช่” เขาพยักหน้าช้าๆ
“ถึงจะอยากยังไงก็คงไม่มีทางที่จะคุยกับให้รู้เรื่อง ตั้งแต่วันนั้นด้วยล่ะมั้ง”
เอ็ดเวิร์ดเปิดประตูอีกที
“ข้าจะกลับมาเอาตัวนางไปให้ได้ แล้วเจอกัน”
แล้วชายผมสีน้ำตาลอ่อนก็ออกไปจากห้อง
อัลทิ้งตัวลงบนเก้าอี้
เขาเอามือกุมหน้าอย่างปวดศีรษะ “ใช่...ตั้งแต่ตอนนั้น” เขาพึมพำและนึกถึงเรื่องบางอย่างในอดีต
...แม้จะเกลียดเข้าไส้
เกลียดเข้าหัวสมอง
แต่...เขายังยอมรับ...ว่ายังไงก็ไม่เกลียดชายผู้นั้นเข้าไปถึงหัวใจ...แม้ว่าจะพยายามเท่าไรก็ตาม...ยังไงก็ยังคิดเสมอว่า...มันเคยเป็นสหาย
และเพราะคิดอย่างนี้
พวกเขาทั้งสองถึงยอมรับว่าตัวเองยังไม่มีทางจะกำจัดผู้เป็นเคยสหายให้ออกไปนอกเส้นทางการเดินของตัวเขาเองได้
ทำให้เขายังไม่แข็งแกร่งจนกว่าจะตัดความรู้สึกนี้ออกไป...จนกว่าจะรู้สึกเกลียดมันเข้าไปลึกถึงในจิตใจ
...คงอีกไม่นานมั้ง
อัลคิด
เอเวียน่ารู้สึกว่าร่างกายเบาจนสามารถลุกขึ้นยืนได้
เหมือนมีสายลมอุ่นๆ คอยประคอง แต่พอลืมตาตื่นขึ้นมา รอบกายเธอกลับมีแต่ความมืด
สายลมอุ่นๆ หายไปแล้ว หญิงสาวมองไปรอบๆ อย่างหาทางออก ทั้งๆ
ที่รู้ว่า...มันคงไม่มีอีกเช่นเดิม
แต่ว่า!…เธอเห็น ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองรึเปล่า แต่ว่า...ไม่สิ ไม่ได้รู้สึกไปเอง
คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็ออกแรงวิ่งทันที วิ่งไปยังที่ที่มี...แสงสว่าง
เอเวียน่าวิ่งเข้าหาแสงที่มีอยู่น้อยนิด
แต่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในที่แห่งนั้น
ออกแรงวิ่งอย่างไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย...
ผ่าง!
หญิงสาวยกมือขึ้นปิดดวงตาที่ยังไม่สามารถปรับได้ดีทันใจ
จิ๊บๆ...เสียงนกร้อง
จ๋อม...เสียงน้ำ
พลัน
เธอก็รู้สึกเหมือนสายน้ำเย็นๆ มากระทบหน้า
ตอนนี้แสงสว่างที่ดูอบอุ่นก็โอบอุ้มร่างกายของเธอเอาไว้แทนความมืด
เอเวียน่าเช็ดสายน้ำที่เข้ามากระทบใบหน้าออกไปด้วยมือทั้งสองข้าง
และค่อยๆ ลืมตาที่ไม่ค่อยจะคุ้นเคยกับแสง...
หญิงสาวเบิกตากว้างกับภาพที่เห็นตรงหน้าในทันที
เทพ...ไม่สิ...มนุษย์
วัยสามสิบ...ล่ะมั้ง...ผมสีน้ำเงินยาวสยาย ดวงตาน้ำตาลเข้มจนดูดำ
เธออยู่ในชุดสีฟ้าอ่อนๆ ที่เรียบง่ายไร้เครื่องประดับ
ชุดนั้นยาวเข้ารูปกับร่างกายที่สมส่วนของเธอ ใบหน้าเรียบเนียนดูเป็นประกายสดใส
สามารถสะกดหนุ่มใดให้หลงใหลได้เพียงไม่กี่วินาที ความงดงามและดวงตาที่ดูอ่อนโยน
เธอดูดียิ่งกว่าจะเชื่อว่าอายุอยู่ในวัยผู้ใหญ่
แต่นั่นแหละที่เอเวียน่าพอดูออกเพราะรอยยิ้มแบบนั้น
เป็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่มองมาด้วยความเอ็นดู และท่าทางที่ดูสง่างามจนอดมองตามไม่ได้
“ท่าน...เป็นใคร” เอเวียน่าพลั้งปากถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
แต่ดูเหมือนสตรีผู้งดงามนั่นจะไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด
เธอจึงได้เพียงแต่ยิ้ม...รอยยิ้มที่อ่อนโยน
เอเวียน่ารู้สึกหัวใจเต้นตึกตัก
ไม่รู้เพราะว่าอะไรเหมือนกัน แต่รู้สึกร่างกายพลุกพล่านไปหมด
ความคิดเริ่มไม่เป็นระบบ และ...ร่างกายหญิงสาวก็วูบลงอีกครั้ง
สายตาที่ยังปิดไม่สนิท
เห็นว่าร่างกายของหญิงสาววัยสามสิบนั้น ยังคงยิ้มให้เธอ
จนดวงตาของเอเวียน่าตกอยู่ในความมืดมิดอีกครั้ง...
ดวงตาสีชาลืมขึ้นมาอย่างช้าๆ
และหลุบลงเมื่อเจอเข้ากับแสงสว่างของจริงไม่ใช่เพียงในความฝัน...ความฝันเหรอ
“นายท่านตื่นแล้ว” เสียงแรกที่เข้ามาในโสตประสาทคงเป็นเสียงของใครไปไม่ได้นอกจากผู้ติดตามของเธอ
ดวงตาที่สั่นระริกค่อยๆ
ลืมขึ้นมาอีกครั้ง เอเวียน่ามองหน้าเทพีสาวที่เข้ามา กะว่าจะถามว่าตัวเองเป็นอะไร
แต่มันก็ตอบขึ้นมาซะก่อน
“ท่านเป็นลมลงไปน่ะ คงเป็นเพราะบาดแผล...ข้านึกว่าจะหายดีแล้วซักอีก
ทำไมมันถึงไม่ดูดีขึ้นเลยล่ะนายท่าน” เบลถาม “ท่านได้ล้างแผลดูแลมันบ้างรึเปล่า”
เอเวียน่าไม่อยากบอกหรอกนะว่า
แม้แต่อาบน้ำเธอยังไม่ค่อยได้อาบเลยด้วยซ้ำ...ช่างเถอะ หญิงสาวค่อยๆ
พยุงตัวเองขึ้นโดยได้รับความช่วยเหลือจากนกน้อย แล้วดูเหมือนมือจะไปสัมผัสอะไรบางอย่าง
“นี่มัน...”
เธอหยิบดาบฝักสีเทาที่อยู่ข้างตัวขึ้นมาดูด้วยอาการตื่นเต้นจนลืมเรื่องบาดเจ็บนิดๆ
หน่อยๆ ในความคิดของเธอไปสนิท
“มันเป็นของเจ้า” เสียงครอยซ์ดังขึ้นมา
“...ยกให้ข้าเหรอ…”
เอเวียน่าหันไปหาช่างตีเหล็กที่นั่งจิบชาอยู่ เพื่อถามให้แน่ใจอีกครั้ง
“แน่นอน”
เอเวียน่าจ้องมองเดอะฟรีเดนเจอร์
ความจริงเธอแค่คิดอยากจะท้าทายพลังแปลกๆ อันลึกลับของมันเท่านั้น
แต่ว่ากลับได้มาเป็นเจ้าของ...
...แค่สัมผัสเพราะน่าท้าทายแต่ไม่ต้องการเป็นเจ้าของ...
ใช่...มันไม่จำเป็นเพราะเธอมีคทาเป็นอาวุธอยู่แล้ว
และหญิงสาวก็มั่นใจว่า ตราบใดที่มีคทา เธอจะไม่ต้องพึ่งดาบ
“ข้าว่า...” เอเวียน่ายื่นดาบออกมา
“...ข้าคืนให้เจ้าดีกว่า”
ครอยซ์เลิกคิ้ว
“ทำไมล่ะ”
“อาวุธอย่างดาบไม่จำเป็นสำหรับข้า”
“อาวุธ...ฮึ” คริซโตเฟอร์พึมพำและหัวเราะเบาๆ
“ไม่ใช่อาวุธ เจ้าไม่เคยรู้เรื่องเดอะฟรีเดนเจอร์เลยเหรอ” คลอรีนพูดเบาๆ แต่แฝงไปด้วยการดูถูกนิดหน่อย
“อาวุธคือสิ่งที่ต่อสู้เพื่อให้ตัวเองรอดพ้นอันตราย...บางครั้งก็ใช้เรียกดาบไร้ชื่ออันนี้...แต่ดาบกับอาวุธแตกต่างกัน” ครอยซ์นึกคำพูดนิดหน่อย
“ดาบเป็นของมีคมสองคม ด้ามยาวหรือสั้นแล้วผู้ใช้
เอาเป็นว่า...จะอธิบายยังไงดีล่ะ”
และเขาก็หันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนข้างตัว
หญิงสาวเกาหัว
ยิ่งฟังช่างตีเหล็กพูดก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่
เธอจึงเลิกสนใจความหมายและหันมาสนใจดาบในมือแทน
คริซโตเฟอร์จิบน้ำชา
“ที่มันถูกเรียกว่าเดอะฟรีเดนเจอร์
ก็คงเพราะเป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องผู้เป็นเจ้าของให้พ้นจากอันตราย
ซึ่งอาจจะเป็นความหมายเดียวกับอาวุธ แต่ว่าอาวุธต้องใช้พลังอำนาจของตัวเอง
แต่ดาบไร้ชื่อไม่ใช่”
เอเวียน่าฟังคำจากผู้รู้ซึ่งดูเหมือนจะงงๆ
ดาบกับอาวุธเนี่ยนะ ดาบอันนี้ต่างจากดาบอันอื่นเหรอ? ยิ่งฟังเหมือนจะยิ่งงง
เธอคิด หญิงสาวจับฝักดาบและดึงออก หวังดูคมดาบในตำนาน
และเธอก็ต้องผละจากดาบทันที
แสงสีส้มสว่างจ้าขึ้น
“เอาเป็นว่า...มันคือผู้ปกป้องเจ้าของดาบให้ปราศจากอันตราย (free
danger)”
คริซโตเฟอร์พูดต่อจนจบและยกชาจากต้นซาซีเจียดื่มอีกโดยไม่สนใจการสว่างจ้าของดาบที่เขาพูดถึง
เอเวียน่ายกมือป้องแสงสีส้มจากดาบ
จนแสงที่จ้าค่อยๆ จางลง และดับไปในที่สุด
หญิงสาวขึ้นมองหาดาบที่เธอทิ้งไปเมื่อครู่ แต่ว่า!
มันไม่เหลือทั้งดาบและฝักสีเทา
สิ่งที่เหลืออยู่คือสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่ง
ม้าสีเทาซึ่งเป็นสีเดียวกับดาบเมื่อครู่
ตัวเล็กๆ ขนาดสองมือโอบได้ ขนของมันเงางามเป็นสีเดียวกับฝักดาบไม่มีผิดเพี้ยน
แผงขนที่คอเป็นสีดำอ่อนของด้ามดาบ สิ่งที่โผล่ออกมาจากขนคือ...เขา? เขาเล็กๆ
ใต้เขามีอัญมณีสีน้ำเงินเม็ดเล็กที่จำได้ว่าเคยเห็นประดับอยู่ตรงด้ามดาบ
สิ่งเดียวที่สมองบอกได้คือ
ดาบกลายเป็น...ม้า!
ไม่จริงมั้ง ไม่จริงน่า เอเวียน่าปฏิเสธความคิดของตัวเอง
...ยูนิคอน!?...
หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของใหม่
ตาค้างไม่สามารถขยับได้ชั่วครู่ มือชี้ไปที่สัตว์ในตำนาน
แล้วหันหน้ามาทางผู้รู้แห่งราฟาเอลว์และสหาย ด้วยความยากลำบาก “น...นี่มันอะไร” เอเวียน่าพูดตะกุกตะกัก
“ยูนิคอน” ครอยซ์ตอบ
หญิงสาวแทบจะปาหมอนที่หัวเตียงใส่เจ้าคนพูด
แต่เนื่องจากมันอยู่ไกลเกินไปหน่อย จะปาเจ้ายูนิคอนตัวนี้ก็ไม่ได้ซะด้วย “ข้าให้โอกาสเจ้าตอบใหม่นะ” เธอพูดน้ำเสียงข่มขู่
“ม้ามีเขา”
“เจ้า!”
ดูเหมือนชายช่างตีเหล็กจะสนุกกับการกวนประสาท
เพราะรู้ว่าหญิงสาวผู้ชอบวางมาดแบบบุรุษตรงหน้าเขาตอนนี้
ไม่สามารถจะทำอะไรได้อย่างที่ใจคิด
“เดอะฟรีเดนเจอร์ไง” คริซโตเฟอร์พูดขึ้นมา
ก่อนที่คนอาการไม่ดีจะกระโจนลงจากเตียงเพราะทนกับการกวนประสาทไม่ไหว
“มันจะกลายเป็นดาบเมื่อเจ้าต้องการ”
เมื่อข้าต้องการ
เอเวียน่าทวนสิ่งที่ได้ยินในหัวสมอง แล้วหันไปมองยูนิคอนตัวจ้อยตรงหน้า
“ข้าว่ามันน่ารักดีนะ” ดิวโอ หรือไม่ก็คิวโอ
ที่เข้ามาเมื่อไรก็ไม่รู้พูดขึ้น
“ใช่ๆ เจ้าน่าจะลองเลี้ยงนะ ไม่เสียหาย” อีกคนพูดขึ้น
เอเวียน่าจ้องมองม้าสีเทา
ดวงตากลมโตสีเดียวกับอัญมณีบนหัว ร่างกายที่เล็กเท่ามือสองมือ
เธอยื่นมือออกไปหาเจ้าสัตว์ตัวนั้น แล้วมันก็...เลีย
น่า...รัก
ยิ่งตอนมันเอียงหัวไปอีกทางทำท่าเหมือนสงสัยสิ่งที่พวกเขาพูดกัน
ยิ่งตอนที่มันพยายามลุกขึ้นยืนและล้มลงไป ไหนจะท่าเดินที่เดินไปบนฟูก
ใครเห็นก็คงบอกได้เพียงคำเดียวว่า...น่ารัก
“เอ๊ะ! นายท่าน!”
เจ้านกทิงกาเบลร้องขึ้นมา
ยูนิคอนสีเทากระโจนเข้าหาเอเวียน่า
“เอ๊ะ! นายท่าน!”
เอเวียน่าหัวเราะเบาๆ
ยูนิคอนตัวเล็กเกาะเข้าที่บ่าข้างขวาของเธอ
หญิงสาวใช้มือลูบแผงขนของมันอย่างเอ็นดู
“เอ๊ะ! นายท่าน!” คราวนี้เจ้าทิงกาเบลลุกขึ้นยืน
“อะไรล่ะเบล” เอเวียน่ารู้สึกรำคาญกับคำซ้ำๆ
ของนกน้อยขึ้นมาทันที
“นั่นที่ประจำข้า!” ว่าแล้วเบลก็เปลี่ยนร่างกายเป็นนกสีทอง
กระโจนเข้าใส่สิ่งมีชีวิตที่อยู่บนบ่าเธออย่างรวดเร็ว สงครามเล็กๆ เกิดขึ้น
แต่เอเวียน่าไม่สนใจ เธอแค่คิดว่า นกน้อยไม่น่าจะทำอย่างนี้
เพราะคนที่แย่น่าจะเป็นมันเองมากกว่า
เนื่องจากเจ้ายูนิคอนตัวสีเทาตัวนั้นตัวใหญ่กว่าเบล เอเวียน่าก็เลยจำต้องปล่อยไป
หญิงสาวหันไปคุยกับคริซต่อเพราะดูเหมือนครอยซ์จะยุ่งกับการอวดสรรพคุณของต้นชาซาซีเจียกับสองฝาแฝด
“แล้วตกลงจะให้ข้า...” เธอพูดพลางชี้ไปที่สงครามซึ่งบัดนี้ฝุ่นตลบ
“สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเจ้า”
เอเวียน่าพยักหน้าเบาๆ
อย่างเข้าใจ แต่พอเธอหันไปเห็นท่าทางต่อสู้กันของสองคนนั้นเธอก็ต้องเหงื่อตก...ตัวยุ่งเพิ่มมาอีกตัว
หญิงสาวกุมหัว
“ข้าว่ากลับกันเถอะ” และเธอก็หันไปบอกกับผู้รู้แห่งราฟาเอลว์
คริซเลิกคิ้ว
มองเวลา และเขาก็พยักหน้า “ก็เอาซิ”
หญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้มเดินไปมาอยู่ในห้อง
กับความคิดที่อยู่ในหัว เธอเดินมาเป็นเวลานานพอสมควร
เมื่อรู้ว่าการเดินไปมานั้นจะไม่สามารถช่วยให้สมองของเธอเดินได้ดีขึ้นเลยซักนิด
มันมีแต่เรื่องที่เธอไม่รู้ และบางเรื่องก็สามารถหาคำตอบได้จากคนใกล้ตัว
แต่เพราะมันหาไม่ได้นี่สิ ถึงน่าหงุดหงิดใจนัก
เอเวียน่าทิ้งตัวลงบนเตียง
ก่อนเรียงลำดับความสงสัยในหัวสมองช้าๆ
เทียรอส
เป็นชื่อที่เธอตั้งให้มัน ยูนิคอนสีเทาตัวจ้อย ที่ไม่ใช่อาวุธ?...แต่เป็นดาบ?
คำตอบเรื่องนี้...ง่ายๆ
คือ เธอยังไม่ต้องใส่ใจ ถึงเวลาก็รู้เอง
เพราะเมื่อมันกลายเป็นผู้ร่วมเดินทางอีกตัวหนึ่งไปแล้ว
แม้ว่าดูท่าทางจะเข้ากับเบลเจ้านกน้อยนั้นยากอยู่ซักหน่อยก็เถอะ...สรุป...เรื่องนี้เดี๋ยวก็เห็นเอง
...จบไปหนึ่งเรื่อง...
แล้ว...
ผู้หญิงในความฝัน?...ดวงตาสีน้ำตาลดำ
เส้นผมสีน้ำเงินนั้น...ที่เธอเกือบลืมไปแล้ว
บอกได้เพียงคำเดียวว่างดงาม
แต่…ทำไมถึงอยู่ในฝัน ฝันของเธอ
ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยรู้จัก ไม่เคยผูกพัน ไม่ซักนิด แม้แต่เคยเห็นหน้า แต่ก็ช่างเถอะ
ถึงสงสัยไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา หญิงสาวถอนหายใจ เมื่อเรื่องนี้ไม่มีใครให้คำตอบเธอได้...
อีกเรื่อง...เอ็ดเวิร์ดกับอัล?
เอ็ดเวิร์ด
บอกได้ว่ารู้สึกคุ้นเคย แต่อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ
เพราะความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นง่ายๆ เพียงจับมือเลยเหรอ
แต่ที่อยากรู้ยิ่งกว่า...อัลกับเอ็ดเวิร์ด เคยรู้จักกันมาก่อนแน่ๆ ทำไมถึงไม่ยอมบอก
เอเวียน่าขมวดคิ้ว พลางหลุบตาลง
หากอัลไม่ยอมตอบก็คงต้องถามเจ้าผู้ต้องหาอีกคนนั่นแหละ
แล้วเธอจะได้เจอเขาเมื่อไร...
...ไหนจะเรื่องเอร์ซิล?
“เฮ้อ!” หญิงสาวถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ
“ถอนหายใจน่ากลัวเชียว” เสียงดังขึ้นมาในห้อง
เอเวียน่าดันตัวขึ้นนั่งทันที
จ้องมองผู้ที่เข้ามาใหม่โดยเธอไม่รู้สึกตัวสักนิด ไม่ต้องหวังให้เคาะประตู
เพราะโดยปกติคนๆ นี้ เป็นเจ้าของห้องอยู่แล้ว เข้ามาเมื่อไร
ความคิดดังอยู่ในใจ
“รู้สึกเหนื่อยเหรอไง” อัลถามเบาๆ
น้ำเสียงอ่อนโยนอาจทำให้ใครหลายคนหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
แน่นอนเธอยังไม่หายเหนื่อย
แต่พูดไม่ได้ว่าเหนื่อย “เจ้าเข้ามาเมื่อไร” เธอถาม
“เมื่อกี้” ชายหนุ่มว่า
“เห็นเจ้านอนนึกว่าหลับไปแล้ว” เขาพูดพลางเรียงหนังสือที่คงเอามาจากห้องวางแผนใส่ไปในชั้นติดผนังเหนือโต๊ะ
เนื่องจากหนังสือเก่าคงไหม้จนหาแม้แต่ชื่อหนังสือไม่เจอ
นั่นทำให้เอเวียน่าคิดว่า
หนังสือ ‘สมบัติแห่งท้องทะเล’
ก็คงไหม้ไปเหมือนกัน หญิงสาวจับคริสตัลสีขาวที่ติ่งหูด้านซ้าย “อัล” เสียงเรียกแผ่วเบา
ทำให้ชายกัปตันหนุ่มหันมามองด้วยความสงสัย
“ข้าอยากถามอะไรซักอย่าง”
กัปตันหนุ่มขมวดคิ้ว
“คำถามเหรอ” เขาว่า แล้วนั่งลงที่เตียงข้างตัวหญิงสาว
“เมื่อครั้งก่อนเจ้าถามข้าไป ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าบ้างเลย” อัลเปรย และรอยยิ้มบางๆ ก็เกิดบนใบหน้าก่อนจะเหล่ตามาทางเธอ
“ถ้าไม่ลำบากจนเกินไปก็...ว่ามาสิ”
หญิงสาวมองหน้าเขา
มือยังคงสัมผัสต่างหูสีน้ำเงินเอาไว้ “ตอนขึ้นเรือ…”
เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าต้องรวบรวมความกล้าอย่างมากที่จะเอ่ยปากแต่ล่ะคำ
“ตอนเจอกันครั้งแรกน่ะ
ที่เจ้าบอกว่าสนใจข้า...เอ่อ...โกหกรึเปล่า”
อัลมองนัยน์ตาสีชาที่แน่นิ่ง
แต่ดูเหมือนซ่อนความอ่อนไหวที่เดาได้ยากแสนยากว่ามันจะมีอยู่ในเธอคนนี้จริงรึเปล่า
เพราะเธอคือคนที่ซึ่งใช้ชีวิตกับการเปลี่ยนร่างไปมาเป็นบุรุษสตรีมาเกือบหกปี “นั่นน่ะเหรอ...”
อัลพูดพยายามใช้ความคิดนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้น
“แน่นอนว่าเป็นความจริง”
เขาว่าพร้อมรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นบนใบหน้า
“ข้าแค่โชคดีหรือร้ายก็ไม่รู้ที่มารู้หลังว่า...”
เสียงสุดท้ายเบาเหล่ตามองไปยังคนข้างกาย
เอเวียน่าหรี่ตา
“ว่าอะไร” เธอถามสายตาไม่ไว้ใจ
อัลยิ้ม
“โชคดีว่าเจ้าเป็นผู้ใช้พลังจากคริสตัลแห่งดวงดาวที่ข้าตามหา
ไปพร้อมๆ กับคริสตัลน่ะแหละ”
“หือ...ผู้ใช้พลังเหรอ”
กัปตันพยักหน้า
“การที่เจ้าเปลี่ยนเสียงเจ้าเป็นบุรุษได้เป็นพลังของคริสตัล
นั่นถือว่าเจ้าใช้คริสตัลได้ยอดเยี่ยมแล้ว แต่เสียดายตรงที่ว่า...” เขาเว้นระยะนิดนึงก่อนเหล่มองอีกครั้ง
“เจ้าไม่เห็นใช้พลังอะไรเลยนอกจากนั้น”
“ทำได้ด้วยเหรอ” เอเวียน่าถาม
หัวใจเธอเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น
“แน่นอนสิ”
“ยังไง” หญิงสาวถามแทบจะในทันที
“เจ้าอ่านหนังสือนั่นที่ขโมยมาจากห้องข้าไปแล้วนี่น่า” อัลพูดถึงหนังสือสมบัติแห่งท้องทะเล
“‘คริสตัลสีขาวมีพลังแตกต่างกันตามแต่ล่ะอัน ผู้ใช้พลังนั้นคือเผ่าตำนานเจ็ดเผ่า
และความสามารถของผู้นั้นต้องดึงพลังที่ซ่อนอยู่ในคริสตัลออกมาได้อย่างเต็มที่
จึงเป็นผู้ที่ใช้พลังอำนาจของคริสตัลได้อย่างแท้จริง’…เจ้าเข้าใจความหมายรึเปล่า”
หมายความว่าต้องค้นหาด้วยตัวเอง
เธอคิด
“เข้าใจ”
เอเวียน่าพยักหน้ารับ
กัปตันราฟาเอลว์พยักหน้าตอบ
“แล้ว...โชคร้ายล่ะ” เอเวียน่าหรี่ตามอง
อัลเลิกคิ้ว
“อยากรู้เหรอไง” ชายหนุ่มสบดวงตาสีชาที่ส่อแววไม่ไว้ใจเขา “ก็...เจ้าบุรุษที่ข้าเจอน่ะสิ
ดันเป็นสตรีทำให้ข้าลำบากอยู่เรื่อย”
หญิงสาวคว้าหมับที่แขนเสื้อชายหนุ่มก่อนที่จะทันลุกขึ้นหนีด้วยซ้ำ
“เจ้าว่าไงนะ”
เมื่อไม่มีทางหนี
“ก็มันจริง” เขาตัดสินใจไม่ตอบคำถาม และยิ้มออกมาแทน
เอเวียน่าปล่อยแขนเสื้อเขา
“ข้าจะพยายามไม่ทำเรื่องยุ่ง” เธอพูดอย่างสำนึกผิด
อัลเลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“เจ้ากินอะไรผิดมารึเปล่าเนี่ย” อัลร้องเสียงหลง
“คริซพาเจ้าไปกินอะไรมารึเปล่า อย่างเช่นยาเปลี่ยนนิสัย ข้าไม่ยักว่าวิวเมดท์จะมีของวิเศษขนาดนั้นด้วย”
‘ตุ๊บ!’ เสียงตบเบาๆ เข้าที่หลัง
แต่แรงไม่เบาเหมือนเสียงที่ตบ
“เจ้าเป็นผู้หญิงแน่เหรอ”
คราวนี้คนที่ถูกกล่าวหาก็ยกหมัดขึ้น
“ใจเย็นเอเวียน่า” อัลยกมือห้าม
แน่นอนว่าเขาไม่เอาอีกแล้ว หมัดหนักๆ ของสตรีอย่างที่เจอไปเมื่อวันก่อน
วันที่ตื่นขึ้นมาไม่ถึงสองนาทีก็ลงไปกองกับพื้น
หญิงสาวจึงต้องลดมือลงอย่างเสียไม่ได้
“เจ้ากวนประสาท”
อัลยิ้ม
ดูเหมือนจะไม่สนใจข้อกล่าวหาจากปากสตรีสาวข้างกาย
ข้าขอถอนคำพูด เอเวียน่าคิดในใจ
แน่นอนว่าเป็นคำพูดที่ว่าจะไม่พยายามทำเรื่องยุ่ง
“...เอ็ดเวิร์ด...” หญิงสาวตั้งใจจะถามอีกเรื่อง
แต่ทันทีที่ชายหนุ่มได้ยินชื่อนั้น
ดวงตาของเขาที่ทอดมองต่ำก็เบิกกว้างขึ้น ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้น
“เจ้าเคยรู้จักกับเขาใช่มั๊ย”
กัปตันราฟาเอลว์หยุดกึก
เปิดประตูห้อง “ข้าอยากเตือนเจ้าไว้อย่าง...” แล้วชายหนุ่มก็หันมามองเธอ
“...นั่นคือเรื่องของข้าที่เจ้ากำลังเข้าไปยุ่ง และเจ้าก็พูดแล้ว
ว่าเจ้าจะไม่ทำเรื่องยุ่งให้เกิดขึ้น ข้าแค่หวังว่า เรื่องนี้...เจ้าจะไม่ใส่ใจ”
ชายหนุ่มพูดพร้อมกับเดินออกไปกับคำทิ้งท้าย
“ทางที่ดีอย่ายุ่งกับหมอนั่น”
‘ปัง!’
เสียงอะไรก็ได้ที่หาได้จากแถวๆ
นั้นกระทบกับประตูห้องจังๆ ด้วยการปาระบายอารมณ์ขุ่นเคืองในใจของหญิงสาวภายในห้อง
แค่เธอหวังว่าจะโดนกัปตันหนุ่มกวนประสาทนั่นซักนิดก็ยังดี
ทำไมถึงเกลียดกันขนาดนั้น
เอเวียน่าคิด เธอถอนหายใจในใจ ดวงตาสีชาค่อยๆ ปรือลงช้าๆ วันนี้เหนื่อยเหลือเกิน
คิดแล้วก็หมั่นไส้เจ้าคริซโตเฟอร์ ผู้รู้แห่งราฟาเอลว์ ตอนขากลับเธอถามเขาแล้ว
หญิงสาวอุตส่าห์เอาเจ้าเทียรอสมาขู่ก็ไม่ยอมบอก
ไม่รู้ว่าจะเก็บความรู้ให้ได้อะไรขึ้นมาถ้าไม่เผยแพร่ออกไป
พรุ่งนี้...จริงสิ
วันแข่งขันแล้ว เทศกาลที่มีประจำทุกปีของเกาะแห่งแร่ธาตุ...
ไปดีมั๊ย...ไปดีกว่า
เอเวียน่าตัดสินใจนอนเอาแรงไว้พรุ่งนี้
เธอเขยิบตัวขึ้นไปทิ้งหัวลงหมอนแล้วค่อยๆ ลงสู่ในนิทราอย่างช้าๆ
เผื่อได้เจอเอ็ดเวิร์ดด้วย...จะได้ถาม
‘ปัง!’
ดวงตาสีชาลืมขึ้นทันที ทั้งที่สติเธอกำลังเดินทางไปแดนนิทราอยู่แล้วเนี่ยนะ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหญิงสาวอารมณ์ไม่ดีแน่ๆ ถ้าคนๆ นั้นไม่มีเรื่องสำคัญล่ะก็
เตรียมตัวลาหัวกับร่างกายได้เลย
“นายท่านยังไม่หลับเหรอค่ะ” โจซีฟีเน่พูดขึ้น
นกน้อยที่น่าจะรู้จักเธอดีกว่าใครๆ กลับกลายเป็นคนไม่รู้จักเธอเอาซะเลย
เพราะใครกันล่ะ
เอเวียน่าคิด
“มีอะไร” เธอถาม เพราะรู้ว่าโกรธไปคงไม่ได้อะไรขึ้นมา
“ข้ามีข่าวมาบอก” นกน้อยนั่งลงข้างเตียง
เอเวียน่าเลิกคิ้ว
ค่อยๆ ดันตัวขึ้นมา รอฟังข่าวสารที่รีบเร่งมาบอกเธอ เบลส่งกระดาษมาให้
หญิงสาวรับมาดู นั่นเป็นภาพหน้าตรงของชายผมสีน้ำตาลหัวตั้ง และดวงตาสีเดียวกัน
ด้านล่างเขียนไว้ว่า ‘15000G’ หนึ่งหมื่นห้าพันกาลัฟท์ “นี่มัน...”
“โจรสลัด” เบลว่า
“ยังเด็กอยู่เลยนี่นะ...เจ้าจะให้ข้าฆ่าเด็กเหรอ”
“แต่ว่าเด็กนี่...ข้าได้ยินมาจากเหล่าชาวบ้านว่าเป็นคนที่อยู่หน้าเกาะวิวเมดท์
ซึ่งก็หมายความว่าเป็นคนที่ยิงเรือราฟาเอลว์นะนายท่าน”
เอเวียน่าพยักหน้า
“แต่ก็ยังเป็นแค่เด็ก...ไว้ข้าจะคิดดู”
“ข้าแค่เห็นท่านว่างๆ คงอยากหาอะไรทำ การหาเงินน่าจะมาเป็นอันดับแรก” นกน้อยกล่าว
“ขอบใจ” เอเวียน่ากล่าว
มันยิ้ม
“งั้นข้าไม่รบกวน” ว่าแล้วมันก็ออกไป
เอเวียน่าทิ้งตัวลงดูภาพเด็กหนุ่มที่ท่าทางอายุคงไม่เกินสิบห้า
โจรสลัดล้นบ้านล้นเมือง เธอคิด แม้แต่เด็กขนาดนี้ยังเป็นโจรสลัด คิดยังไงถึงมาเป็น...อยากรู้จริงๆ
ถ้าจะให้ล่า...ก็คงต้องดูเหตุผลว่าสร้างความลำบากให้เธอรึเปล่า
แต่ดูเหมือนเหตุผลจะเพียงพอ...ตั้งแต่เจ้าเด็กนี่ยิงราฟาเอลว์
และทำให้จิตใจเธอตกอยู่ในความกลัว แม้จะเพียงไม่นานแต่ก็ถือว่าพอ
...แต่ก็ยังเป็นเด็ก...ไว้คิดอีกที
“คาเบรีย” คลิฟท์อ่านชื่อที่ใต้รูปภาพ
“ทำไมเหรอ”
“เด็กอยู่เลย” โอลิเวอร์กล่าว
ตอนนี้พวกเขาทั้งห้าอยู่ในห้องวางแผน
ซึ่งกัปตันราฟาเอลว์เรียกมาเพื่อคุยกันถึงเรื่องวันนี้ที่เขาได้คุยกับสหายเก่า
และอัลก็หยิบรูปเด็กหนุ่มวัยไม่น่าจะเกินสิบห้าปี ผมและดวงตาสีน้ำตาล
ด้านล่างมีค่าหัวเขียนไว้ หนึ่งหมื่นห้าพันกาลัฟท์และชื่อของเด็กหนุ่ม คาเบรีย
ดอร์นย่า มันเป็นรูปภาพแผ่นเดียวกับที่ทิงกาเบลส่งให้เอเวียน่าเมื่อครู่
“ทำไมเหรออัล”
ไรอัลหันไปถามกัปตันหนุ่มที่ท่าทางจมอยู่ในความคิดของตัวเองตั้งแต่เข้ามา
กัปตันราฟาเอลว์หันมาสนใจท่าทางของลูกเรือ
“โจรสลัดที่ยิงเรือเรา” อัลว่า
“และจะให้ทำยังไง” คริซโตเฟอร์ถาม
“จับเลยมั๊ย”
“ข้าจัดการเอง” อัลตอบ “เจ้ารอลงแข่งพรุ่งนี้ดีกว่าคริซ”
“ให้ข้าลง!” ผู้รู้แห่งราฟาเอลว์เบิกตาโพล่ง
ชี้นิ้วมาที่ตัวเองอย่างตกใจ
“เจ้าแน่ใจเหรอ” รองกัปตันผมบลอนด์ถามเพื่อความแน่ใจ
“อืม”
ฮอคซ์เลิกคิ้ว
“แล้วเจ้านี่” เหยี่ยวหนุ่มหยิบภาพของเป้าหมายขึ้นมา “ท่านจะจัดการเองงั้นเหรอ...แน่ใจนะนายท่าน”
“อืม” อัลพยักหน้า
การแข่งขันพรุ่งนี้ให้ส่งได้ทีมล่ะสามคน ซึ่งชายหนุ่มจะส่งคริซโตเฟอร์ ฟิลิป
และหนึ่งในสองฝาแฝดลง เพื่อหาผู้ใช้คริสตัล
และเขาจะลงไปสังเกตการณ์พร้อมกับหนึ่งในสองฝาแฝดที่ไม่ได้ลงแข่ง
เพื่อหาทางจัดการกับเด็กหนุ่มที่ชื่อคาเบรีย...ดูก่อนว่า เจ้าเด็กนั่นมีดีอะไร
ค่าหัวถึงตั้ง หมื่นห้ากาลัฟท์...ถ้ามีดี จะชวนมาเป็นลูกเรือ แต่ถ้าไม่...ส่งไปให้ทางการเอาเงินล่ะกัน
*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*
ความคิดเห็น