คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : บทที่ 12 - ท่องเที่ยวสู่เผ่าแห่งแร่ธาตุ (2021 NRW)
“ว้าวๆ! นั่นก็สวย
นี่ก็น่ารัก ว้ายๆ!” เสียงที่ถูกดัดให้ดูหน่อมแน้มร้อง
ชายหนุ่มที่ทำท่าทีไม่เหมาะกับเพศที่ตัวเองเป็นกำลังตั้งใจเลือกเครื่องประดับจากร้านแผงลอยเล็กๆ
อย่างตั้งอกตั้งใจ
“ว้าวๆ! ท่านคริซโตเฟอร์ ดูต่างหูอันนี้สิค่ะ” ทิงกาเบลมีท่าทีชอบอกชอบใจสิ่งของตรงหน้าไม่แพ้บุรุษข้างกายเธอเลย
“ไหนๆ”
คริซเลิกสนใจสิ่งที่อยู่ในมือของตนเองแล้วหันไปดู
การที่นกสาวไม่โดนชายหนุ่มตำหนิที่เรียกซะเต็มยศขนาดนั้นคงเพราะเขากำลังสนใจหินที่อยู่ในร้านมากกว่า
“ไหนๆ”
สองฝาแฝดผู้ที่ขอมาด้วยในครั้งนี้เกิดอาการอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาอีกคน
“นี่น่ารักเหรอ โจเซฟีน” หนึ่งในนั้นกล่าวอย่างคิดไม่ถึง
ส่วนสตรีสาวผมสั้นสีน้ำตาลเข้มที่อยู่ด้านหลังของร้านแผงนั้น
ได้แต่ยืนมองที่ปรึกษาแห่งราฟาเอลว์ สองฝาแฝด
และผู้ติดตามของเธอด้วยอาการเบื่อหน่ายเต็มทน
เธอยืนกอดอกรอพวกเขามาเกือบชั่วโมงแล้ว เอเวียน่าเหล่ตามอง
แต่ดูเหมือนคนพวกนั้นจะไม่เดินออกจากที่นี้ง่ายๆ เลย “ให้ตายสิ”
เธอบ่นพึมพำ
“รู้งี้ข้าไม่มาด้วยเด็ดขาด” สายตาของเธอพยายามหาอะไรที่หน้าสนใจกว่าการยืนรอที่นี้
เมื่อวานอัลไม่ยอมเล่าอะไรซักอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องชายนักล่าหัวเอ็ดเวิร์ด
พวกเขาทั้งสองต้องรู้จักกันมาก่อนแน่ๆ แต่เขาไม่ยอมบอกเธอ
เอเวียน่ามองไปยังที่ปรึกษาผมยาวสลวยที่เลือกเครื่องประดับอยู่
และที่มากับคริซเนี่ย เธอก็นึกว่าจะรู้อะไรบ้างหรอกนะ ถึงยอมมาด้วยง่ายๆ แต่ว่า...ไม่ได้เรื่อง
หญิงสาวคิด
ย้อนไปเมื่อตอนเช้า...
เอเวียน่าและทิงกาเบลอาศัยบาร์เป็นที่พักเหมือนเมื่อวาน
แต่ตอนนี้ที่นั่นเหลือเพียงลูกเรือราฟาเอลว์ไม่กี่คน
เพราะลูกเรือที่เหลือส่วนใหญ่กลับไปนอนที่เรือโจรสลัด
ส่วนลูกเรือของซีกัลไวท์ได้ไปเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางต่อ
เมื่อถึงเวลาอาหารเช้า
เอเวียน่าก็นั่งที่โต๊ะเดียวกับนกสาวทิงกาเบล เมื่อพวกห้าตำแหน่งสูงสุดบนเรือลงมา
คริซก็เดินดุ่ยๆๆ มาที่โต๊ะของเธอ และถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ
เธอโดยไม่ขออนุญาตแม้แต่น้อย เอเวียน่ามองตามสี่ตำแหน่งที่เหลือ
วันนี้กัปตันราฟาเอลว์ลุกขึ้นมาแต่เช้า คงเพื่อไปส่งริชาร์ดที่ท่าเรือ
“วันนี้ไปเที่ยวกันมั๊ย” พอนั่งปุ๊บเขาก็เริ่มพูดทันที
เอเวียน่าเลิกคิ้ว
เหลือบตาขึ้นมาสนใจการมาของเขาครู่นึง “วันนี้ข้าอยากอยู่เฉยๆ มากกว่...”
“ไปที่ไหนเหรอ ท่านคริซโตเฟอร์” โจซีฟีเน่พูดขึ้น
ชายหนุ่มทำหน้าเหยเกขึ้นมาทันที “เรียกข้าว่าคริซตี้ดีกว่า แม่นกน้อย” เขาว่า
“ไปที่หมู่บ้านของเผ่าแร่ธาตุไง
ไปดูเครื่องประดับกัน ที่นั่นนะ หินสวยๆ เต็มเลย ข้าล่ะ อยากไป้ อยากไป”
“เจ้าก็ไปซิ” หญิงสาวว่า แล้วหญิงสาวก็กลับไปสนใจหนังสือพิมพ์โอเชี่ยนนิวส์อีกเช่นเคย
“นั่นเป็นบุคลิกประจำตัวเจ้าหรือไง
ไอ้การมองหนังสือขาวดำเวลาคุยกับสุภาพสตรีน่ะ”
คริซพูดประชดประชัน
สายตาของเอเวียน่าไล่ตามบรรทัดข่าว “ข้าไม่ยักรู้ว่า ข้าคุยกับสุภาพสตรีอยู่” เธอว่า
“เฮอะ” เขาพึมพำในลำคอ
“อย่างน้อยข้าก็เป็นสุภาพสตรีมากกว่าเจ้า”
“ว่าไงนะ” เสียงเบาๆ ที่ชวนขนลุกอย่างประหลาด
เอเวียน่าส่งสายตาอาฆาตมาที่บุรุษจิ้มลิ้มตรงหน้า
เมื่อเธอได้ยินคำบางอย่างเกี่ยวกับการเปรียบเทียบ
“ปะ...เปล่านี่ ข้าแค่ถามว่าเจ้าจะไปกับข้ารึเปล่าแค่นั้นเอง” เขารีบแก้ตัว
เอเวียน่าหันไปสนใจหนังสือพิมพ์ต่อ “แล้วไป”
โชคดีที่หญิงสาวสนใจหนังสือพิมพ์มากกว่าการพูดคุยไม่งั้น...
“แล้วเจ้าว่าไง จะไปรึเปล่า”
คริซเปลี่ยนเรื่องโดยเร็ว
“ไม่ไป ข้าอยากอยู่เฉยๆ” เธอตอบแทบทันที
“โธ่! นายท่าน”
เสียงนี้เป็นของทิงกาเบลที่แสดงอาการเสียดาย
“ไปเถอะน่า
ข้าอยากไปดูเครื่องประดับหรือไม่ก็หินซักอัน”
หญิงสาวผู้เป็นเจ้านายเหล่ตามอง “เจ้าไปกับคริซสิ”
“จะไปไหนเหรอ” เสียงนั้นดังมาจากข้างโต๊ะ
เมื่อหันไปดูก็เห็นหัวกลมๆ ที่มีเส้นผมสีเงินโผล่ขึ้นมาสองหัวจากขอบโต๊ะ
ทั้งสองทำตาแป๋ว
“อย่าทำท่าทางแบบนั้นสิดิวโอ คิวโอ” เอเวียน่าละสายตาจากหนังสือพิมพ์บนโต๊ะซักครู่นึง
“ข้ารู้สึกขนพองแปลกๆ”
สองฝาแฝดผมเงินทำตามคำสั่งของเอเวียน่าอย่างว่าง่ายและเข้ามานั่งที่โต๊ะ
“พวกเจ้าจะไปไหนกัน”
“เผ่าแร่ธาตุ” คริซกล่าว
“เมื่อคืนก่อนพวกเจ้าดื่มเบียร์ด้วยรึเปล่า”
เอเวียน่าถาม
“แล้วเมื่อวาน...”
“ข้าเปล่าดื่มนะ เอเวียน”
จากการพูดก็รู้ได้เลยว่าเป็นดิวโอ เขาพูดแก้ตัว
“ข้าก็เปล่า” คิวโอเสริมน้องชาย
“แค่ชิมนิดหน่อยเอง”
เสียงนี้เบาจนแทบไม่ได้ยิน
เอเวียน่าหันไปสนใจหนังสือพิมพ์ต่อ “ข้าแค่ลองถามดู”
แต่ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ เธอเชื่อว่าสองคนนี้ต้องดื่มไปไม่ต่ำกว่าสามแก้วแน่ๆ
เพราะว่าเธอเห็นสลบเหมือดกันหมด
“เจ้าดื่มเบียร์เหรอ!”
นกสาวแผดเสียงเหมือนแม่กำลังจับผิดลูกยังไงยังงั้น
“ทำไมทำแบบนี้!” เบลตำหนิ
“ข้า...เปล่านะ” ทั้งสองฝาแฝดพูดตะกุกตะกัก
ท่าทางพวกเขาก็เหมือนลูกตัวน้อยที่ถูกแม่จับผิดได้นั่นแหละ
หญิงสาวเหล่ตามองคิวโอและดิวโอที่ทำท่าจะมุดลงไปใต้โต๊ะให้ได้
“เอาเถอะ ครั้งนี้ข้าไม่เห็นก็ถือว่าแล้วไป แต่ไม่มีครั้งหน้านะ” โจซีฟีเน่กล่าวอย่างมีสิทธิ
“แต่...แต่พวกข้า สิบหกแล้ว...”
“งั้นวันนี้เจ้าไม่ต้องไป”
นกสาวกล่าวเมื่อได้ยินคำต่อเถียงของเด็กหนุ่ม
“โอเคๆๆ!” พวกเขาทั้งสองรีบพูดขึ้น
“ข้าจะไม่ดื่มเบียร์อีกแล้ว” มือของพวกเขาทั้งสองยกขึ้นมากล่าวสาบาน
แต่มือซ้ายที่อยู่ด้านหลังกลับเอาสองนิ้วไขว้กันไว้
พวกเขาไม่มีทางเชื่อทิงกาเบลแน่นอน
“ดี” เทพซีซัตสาวกล่าวอย่างพอใจ
แต่เอเวียน่ากลับต้องกุมหัวอย่างหน่ายๆ
เวรกรรม แล้วในที่สุดเธอก็ถูกดึงมาด้วยจนได้
“นายท่าน ท่านว่าหินนี้สวยมั๊ย”
เบลเข้ามาหาเธอพร้อมกับหินสีส้มที่ส่องสว่างแวววาวในมือ
“ก็อืม” หญิงสาวว่าท่าทางไม่สนใจสิ่งที่เห็นเท่าไรนัก
‘ฟู่!’ เสียงหนึ่งจากมือของทิงกาเบล
ทำให้เอเวียน่าต้องถอยหลังออกมาก้าวนึงเมื่อเปลวไฟเกิดขึ้นที่มือนั้น
แล้วพอไหม้จนหมด ก็เหลือเพียงผงถ่านในมือ
“ว้า!” เบลร้อง
“ข้าระวังแล้วนะ”
มันกล่าวอย่างอารมณ์เสีย เทพีสาวหันกลับไปที่ร้านค้า
และชูผงถ่านในมือให้เจ้าของร้านดู
“อันนี้ราคาเท่าไรค่ะ”
มันเดินเข้าไปที่ร้าน
เอเวียน่ายังไม่ได้ทันพูดอะไร
แต่ที่รู้ๆ เธอเกิดสนใจหินนั่นขึ้นมาแล้วสิ ไม่รอช้า
หญิงสาวตามเจ้านกน้อยเข้าไปที่ร้านอย่างเงียบๆ
คริซผู้สายตาดีเยี่ยมเห็นก่อนที่เธอจะถึงร้านซะอีก
“เข้ามาได้แล้วเหรอย่ะ ฮึ” เขายิ้มที่มุมปาก เป็นอาการที่เธอไม่ค่อยชอบเลยแต่หญิงสาวก็เงียบไว้
สนใจแต่หินที่เรียงรายไว้บนผ้าสีขาวตรงหน้า
“เมื่อกี้นี้มัน...” หญิงสาวเอ่ยปากถาม
“...คืออะไร”
หญิงสาวท่าทางอายุน้อย
ยิ้มบางๆ ที่ใบหน้า และหยิบหินต่างๆ ออกมาให้ดู “มันเรียกว่า เพาเวอร์อินเทอร์ชัวร์สโตน
เป็นหินที่จะเปล่งพลังออกมาเมื่อเจออุณหภูมิที่แตกต่างค่ะ”
เธออธิบายเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เธอเข้าใจได้โดยไม่ยาก
เบลเป็นเทพจึงมีอุณหภูมิทางร่างกายต่ำกว่ามนุษย์ธรรมดาเล็กน้อย
จึงทำให้หินนั้นกลายเป็นไฟ นกน้อยคิดไม่ดีเลยที่จะเอาหินนี้มาทำเป็นเครื่องประดับ
เอเวียน่าคิดอย่างเหนื่อยใจ
“...มันจะเปลี่ยนเป็นเพลิงเมื่อเจอความเย็น
และเมื่อเจอความร้อนก็จะกลายเป็นน้ำแข็งค่ะ
แต่ถ้าอยู่กับผิวสัมผัสของมนุษย์จะไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ
แต่ก็ยังไว้ใจไม่ค่อยได้เหมือนกัน” เธออธิบาย
“ถ้าเกิดว่าอุณหภูมิร่างกายของข้าเกิดร้อนขึ้นมา...เออ
แบบว่าตอนไม่สบายเนี่ย มันจะไม่อันตรายเหรอ” หญิงสาวถาม
“เพียงเล็กน้อยค่ะ
ขนาดของน้ำแข็งและเปลวเพลิงขึ้นอยู่กับอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปของอุณหภูมิปกติด้วยนะค่ะ”
“อืม...” เอเวียน่าพยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอจ้องมองหินนั่นซักพัก
“มีสักกี่เม็ด?”
หญิงสาวตัดสินใจถามโดนไม่สนใจสายตาที่ดูแปลกใจของคนที่มาด้วยแต่ละคน
“เจ้าซื้อของไร้สาระมากนะ
ทำไมไม่ปรึกษาข้าบ้าง” คริซโตเฟอร์ถามหลังจากออกจากร้านนั้นแล้ว
“เจ้าจะช่วยข้าออกเหรอไง
ข้าไม่ได้พึ่งเงินเจ้าซักกิลเซลเดียวอย่าบ่นน่ารำคาญแบบนั้นได้มั๊ย” หญิงสาวกล่าวท่าทางอารมณ์เสีย เธอรู้สึกรำคาญชายหนุ่มปากมากคนนี้เต็มทน
“แล้วเจ้าจะไปไหนต่อ”
คริซทำท่าทางไม่พอใจ “ร้านอาวุธ” เขากล่าว
ร้านอาวุธที่คริซโตเฟอร์พูดถึง
เป็นร้านที่อยู่นอกหมู่บ้านริมป่า
จะเรียกว่าร้านก็ไม่ได้เพราะมันดูเหมือนบ้านคนมากกว่า บ้านเล็กๆ ไม้สีน้ำตาลรอบๆ
ที่นั่นเป็นต้นไม้ มีโรงเก็บของอยู่ข้างๆ บ้าน
คนในบ้านนี้น่าจะทำอาชีพหาของป่ามากกว่าช่างอาวุธ
“แน่ใจเหรอว่าร้านอาวุธ”
เอเวียน่าถามเพื่อความแน่ใจ
“เอาเฮอะน่า เจ้าตามก็พอ”
คริซโตเฟอร์กล่าวด้วยความรำคาญ
“งั้น
ข้ากลับ” เธอหันหลังกลับไปทางที่มาเมื่อครู่
ชายหนุ่มหน้าจิ้มลิ้มนึกถึงคำสั่งและหน้าที่ของเขา
ซึ่งได้รับมาจากกัปตันหนุ่มเมื่อวานนี้ขึ้นมากะทันหัน
ก่อนที่จะเดินหันหลังตามไปเพื่อหยุดการกระทำของเธอ “เดี๋ยวเอเวียน่า
เจ้าอย่าพึ่งไป” คริซห้าม หน้าตาสำนึกผิด
เอเวียน่าขมวดคิ้ว “ข้าไม่ชอบให้ใครมาวิ่งตามเอาใจ และ...” เธอมองหน้าเขา
“ข้าอยากกลับไปนอนหลังจากที่เฝ้าดูพวกเจ้ามามากกว่าชั่วโมงในร้านเครื่องประดับนั่น”
หญิงสาวกล่าวท่าทางอารมณ์เสียและเธอก็หันหลังเดินต่อ
“โธ่!...เอเวียน่าได้โปรดเถอะ” คริซโตเฟอร์เข้ามาดึงมือเธอไว้
เอเวียน่าหรี่ตามอง เธอรู้สึกสงสัยท่าทางของเขาที่ดูจะพยายามเหลือเกิน
“มีอะไรรึเปล่า ข้าอารมณ์ไม่ดี มีอะไรก็พูดมา”
“อัลบอกให้มาดูดาบหรือมีดสั้นให้เจ้าพกไว้นะ” คริซโตเฟอร์หาเรื่องมาพูดได้อย่างรวดเร็ว
หญิงสาวเลิกคิ้ว
“ข้ามีคทาอย่างเดียวก็เกินพอ” เอเวียน่าปฏิเสธความหวังดีของกัปตันราฟาเอลว์ทันที
“การใช้คทา
เมื่อสู้กับคนมากๆ เจ้าจะลำบากนะ” คริซแสดงความเห็น
เขาพยายามดึงเธอเอาไว้เต็มที่
“ไม่หรอก”
เอเวียน่าปฏิเสธแทบจะทันที และเธอก็ทำท่าจะเดินต่อ
“เอเวียน่าข้าไม่ได้โกหกนะ”
คริซพยายามรั้งเธอไว้ด้วยคำพูด เพราะเขาคิดว่าถ้าเขาเดินไปขวางข้างหน้าเธอตอนนี้มีหวังโดนคทาที่เธอมั่นใจแสนมั่นใจนั่นเป็นแน่
แต่หญิงสาวก็ไม่สนใจเหมือนเดิม
“โธ่
เอเวียน่าเจ้าจะรีบไปไหน!” เขาตะโกนอย่างไม่ยอมแพ้
แต่เธอก็ไม่หันกลับมาและเดินต่อ
“โธ่เอ๊ย!” คริซสบถเมื่อหญิงสาวใกล้ลับตาขึ้นทุกทีแล้ว...
“ข้ายอมทำทุกอย่างเลย.เอ้า!” เขากล่าวอย่างหมดอารมณ์
เอเวียน่าถึงจะอยู่ไกลแต่เธอก็ได้ยินชัดเจน
หญิงสาวหันหลังและเดินกลับมาหาชายหนุ่มหน้าจิ้มลิ้มที่ตอนนี้หน้าซีดไปถนัด
เมื่อมาคิดได้ทีหลังว่าได้พูดสิ่งที่ทำให้ตัวเองลำบากเข้าไปแล้ว
“หนึ่งชั่วโมงนะไม่เกินกว่านั้น” หญิงสาวยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ภายใต้ใบหน้าที่เหมือนบุรุษ
“กะ.....ก็ได้” คริซพูดใบหน้าเหงื่อตก
“อ้าว! สวัสดี” เสียงหนึ่งดังขึ้นเมื่อประตูเปิดออก
เจ้าของเสียงที่โผล่หน้าออกมาเป็นหญิงสาวผมดำที่รวบผมไว้ด้านหลัง
ถึงกระนั้นมันก็ยาวจนถึงเอว ดวงตาสีฟ้าราวกับมีมนต์สะกด
เธองดงามน่าหลงใหลเพียงแต่ว่า...
“เป็นไงบ้าง...ครอยซ์”
ที่ปรึกษาแห่งราฟาเอลว์เรียกชื่อเธออย่างสนิมสนม
ผู้ที่ถูกเรียกครอยซ์ทำหน้าไม่ค่อยพอใจนัก ทำให้เอเวียน่านึกถึงท่าทางของใครบางคน
“ข้าบอกว่าให้เรียกว่าคลอรีน หรือแคลอรีนก็ได้ชื่อครอยซ์เชยจะตายชัก”
ท่าทางบิดองเอวไม่แพ้คริซโตเฟอร์
หญิงสาวนึกออกในทันที
ก็เหมือนผู้รู้แห่งราฟาเอลว์เมื่อตอนที่ถูกเรียกว่า คริซโตเฟอร์นี่เอง
แสดงว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ก็คงไม่ใช่ผู้หญิงสินะเอเวียน่าคิด เพื่อนหมอนี่ต้องเป็นแบบนี้ทุกคนรึไง
“อ้าว
นั่นใครล่ะ” พ่อหนุ่มผมดำยาวกล่าวถามผู้รู้แห่งราฟาเอลว์
พ่อหนุ่มชื่ออะไรจ้ะ” ครอยซ์ขยับตามาทางเอเวียน่าดวงตาเป็นรูปหัวใจ
ผู้ที่ได้แค่เหมือนบุรุษได้แต่มองหันซ้ายขวา
เพื่อมองหาคนที่ถูกเรียกว่าพ่อหนุ่ม
“เจ้านั่นแหละ
เจ้าน่ะ” เสียงหวานๆ ยังไม่เลิก
เอเวียน่าชี้มาทางตัวเองอย่างงงๆ
ไม่รู้ว่าเพื่อนของชายผมน้ำตาลแดงคิดอะไรอยู่
หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะหันไปมองใบหน้าของคริซโตเฟอร์ เธอเห็นรอยยิ้มจางๆ
บนหน้าของเขาผู้รู้แห่งท้องทะเล ให้ตายสินี่มันอะไรกัน เธอคิด
“เอ้า! ตอบมาได้รึยังเล่า” ครอยซ์ถามเสียงนิ่มๆ
แต่มีแววดุ
“ข้าชื่อเอเวียน่า”
เธอตอบท่าทางอารมณ์ไม่ดี
“ไม่ชอบผู้ชายที่กวนประสาทเช่นคริซโตเฟอร์”
เสียงแหลมนิดๆ ของสตรีสาวกล่าวถึงชายที่กวนประสาทตัวเอง
ชายผู้รู้แห่งราฟาเอลว์สะดุ้งทันที
ส่วนครอยซ์เพื่อนของเขาได้แต่อึ้งในน้ำเสียงที่เป็นสตรีของบุรุษตรงหน้า
กับท่าทางของเขา...เอ้ย...กับท่าทางของเธอ
“ข้านึกว่าเป็นบุรุษซะอีก”
เสียงของครอยซ์ไม่เหมือนเสียงซุบซิบกับสหายเพียงสองคน
เพราะเอเวียน่าได้ยินชัดเจน
“ต้าย! ตาย ตายแน่ๆ”เขาพึมพำ
“ยังย่ะ” คริซห้ามเพื่อนไว้ก่อน
“แล้ว...” เขาเหล่ตาไปทางสตรีสาวแท้ๆ เพียงคนเดียว
“เจ้าคิดว่าเป็นบุรุษมั๊ยล่ะ?”
เป็นอีกครั้งที่เอเวียน่าได้ยิน
และเธอไม่ชอบการพูดคุยของชายที่พูดมากสองคนนี่เอาซะเลย
คนเดียวยังเล่นซะปวดหัวนี่ยังต้องมาเจออีกคน หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ เธอส่ายหน้า
และแล้วดวงตาก็ไปสะดุดเข้าที่ดาบด้ามหนึ่งที่แขวนไว้อยู่บนผนัง
เอเวียน่า
จ้องมองตาไม่กระพริบ ดาบฝักสีเทา ด้ามยาวแค่ศอกกว่า ประกายอัญมณีเม็ดเล็กๆ
สีน้ำเงินสามเม็ดที่ด้ามดาบเรียงยาวเป็นแถวเดียว
ที่ถ้าไม่สังเกตก็จะมองไม่เห็นเพราะมันเล็กมากจริงๆ ฝักดาบเป็นสีเทาเรียบๆ
มีรอยสลักเป็นแนวขวางธรรมดา แต่มันกลับทำให้ผู้มองดูเกิดความรู้สึกลึกลับอย่างประหลาย
ครอยซ์หันมามองหญิงสาวตามที่เพื่อนถาม
เขามองเอเวียน่าที่กำลังยืนอยู่นิ่งๆ จ้องมองดาบฝักสีเทาที่แขวนเอาไว้อยู่ “เหมือนบุรุษและสตรีในคนๆ
เดียวกัน” เขาตัดสินใจพูดออกมายังงั้น
แต่คราวนี้กลายเป็นเสียงที่หญิงสาวไม่สนใจ อาจเพราะมันเบากว่าครั้งก่อน และเธอกำลังสนใจกับดาบตรงหน้า
“พูดอะไรพิลึก” คริซโตเฟอร์ว่า
เขากอดอกแน่นขึ้นอย่างรู้สึกขนลุก
ครอลีนมองท่าทีที่หญิงสาวมองดูดาบอยู่ครู่หนึ่งอย่างละสายตาไม่ได้
“ข้าสนใจหล่อน” เขาพูดเบาๆ
ผู้รู้แห่งราฟาเอลว์ถอนหายใจ
“เจ้าเปลี่ยนรสนิยมมาเป็นแบบได้ทั้งสองอย่างแล้วเหรอ…โอ๊ย!”
ไม่ทันไรมือหนักๆ ก็โป๊กเข้าให้ที่หัวของผู้พูดจังๆ
จนเขาต้องเอามือกุมหัว แล้วมองหน้าเพื่อนตัวดีอย่างเคืองๆ
ครอยซ์เหล่ตามองเพื่อนเจ้าเพื่อนปากพล่อย
“ข้าไม่ได้สนใจแบบนั้นซะหน่อย” เขาพูด
และขยับร่างกายเข้าไปหาสตรีที่พูดถึงเมื่อครู่
หญิงสาวยื่นมือออกไปอย่างต้องการที่จะสัมผัสดาบนั้น...
“เจ้าสนใจดาบเหรอ”
เอเวียน่าสะดุ้งนิดหน่อย
เธอดึงมือกลับมาทันที แล้วหันมาดูการมาของชายหนุ่ม “ดาบน่ะเหรอ” เธอว่า
ครอยซ์พยักหน้า
“สนใจหรือไง”
“ไม่เลย” เธอตอบ
“แค่เห็นว่ามันแปลกๆ เท่านั้น อย่างตัวข้า...มีคทาอย่างเดียวก็เกินพอ”
ครอยซ์พยักหน้า
เขายิ้มนิดๆ อย่างรู้นิสัยหัวดื้อของเธอในทันที “ดาบนี้เป็นของบรรพบุรุษข้าตั้งแต่โบราณกาล” เขาอธิบาย
“ไม่มีใครเคยจับมันได้ซักคน เจ้าอย่าเสี่ยงเลยดีกว่า”
“ทำไมล่ะ” เอเวียน่าหันมาถาม
ชายหนุ่มผมดำเลิกคิ้ว
“ไหนว่าไม่สนใจไง”
หญิงสาวหันหน้าไปอีกทางเพื่อหลบสายตา “ก็แค่อยากรู้เฉยๆ เท่านั้น”
เขายิ้ม
“เอาเถอะน่า ข้าว่าเรื่องดาบนี้น่ะอย่ายุ่งเลยดีกว่า...ข้ามีดาบอีกเยอะแยะ
หากเจ้าสนใจจะลองชมดูหน่อยมั๊ยล่ะ”
เอเวียน่ายิ้มนิดๆ
“แล้ว...” เธอเหล่ตามองเขา
“ข้าจะจับมันได้รึเปล่า”
“ฮึ
แน่นอน” ครอยซ์กล่าว ตอนนี้เขาดูเหมือนบุรุษไม่มีผิด
ประตูโรงเก็บของเปิดออก
สิ่งแรกที่เปล่งแสงแวววาวส่องกระทบดวงตาสีชาของหญิงสาวคือปลายมีดดาบที่สัมผัสกับแสงเป็นเล่มแรก
พอประตูเปิดออกจนสุด ครอยซ์ก็เข้าไปจุดคบเพลิงที่อยู่ทั้งสี่มุมของห้อง พอแสงสว่างเกิดขึ้น
ณ ที่นั่นดาบแต่ละเล่มทั่วๆ ห้องก็เปล่งประกายกระทบแสงแข่งกันทำให้ลายตาไปหมด
“อาวุธเจ้างดงาม เหมือนเดิม” คริซโตเฟอร์กล่าว
มาดเขาดูเป็นบุรุษขึ้นมาทันที
“แน่ล่ะ นานๆ ทีจะได้อวดเจ้า มันต้องงดงามอยู่แล้ว”
ครอยซ์ว่า
“ฮึๆ” ชายหนุ่มอดยิ้มไม่ได้ ในมือสัมผัสมีดเล่มเล็กที่คมของมันดูเงางามกว่าด้ามจับเสียอีก
และในไม่ช้าแววตาสีมรกตก็ดูจะเพลินกับอาวุธที่ไม่เหมาะแก่มาดกุลสตรีของเขา
เอเวียน่าก็เป็นคนหนึ่งที่สนใจความงดงามของดาบที่ครอยซ์ทำขึ้น
ทุกเล่มดูมีค่าและมีพลัง หญิงสาวจับดาบฝักสีแดงขึ้นมา แทบทำให้เธอเกร็งมือแทบไม่ทัน
มันหนักเกินกว่าที่เธอจะสามารถใช้สู้กับใครๆ ได้แน่นอน
“’ฟูดีคราย’ ดาบพลังไฟแห่งมังกรเทา น้ำหนักดี
รูปร่างกะทัดรัด ปราบสัตว์ร้ายได้สบายหากเจ้ามีกำลังมากพอ เหมาะแก่บุรุษ
แต่ไม่เหมาะกับเจ้าเลยซักนิด”
เสียงครอยซ์ดังขึ้นมาจากด้านหลังเธอ
เอเวียน่ายิ้มบางๆ “ข้าก็ว่างั้น” เธอก็วางมันลงในที่ๆ
หยิบออกมาและหันมาหาชายหนุ่มผมดำยาว “มันไม่เหมาะกับข้าเท่าไร”
“งั้น...เล่มนั้นเป็นไง” ครอยซ์ชี้ไปที่ดาบฝักสีเงิน
‘ไฮแลคท์’ ดาบสั้น น้ำหนักดี พกง่าย
เหมาะกับเจ้าแน่นอน มีพลังแห่งเสียงของนกอินทรีย์”
“เสียงนกอินทรีเหรอ” เธอทำหน้าไม่เชื่อ
ข้ายังไม่เคยเห็นนกอินทรีย์ร้องจนมีพลังสามารถทำลายอะไรได้เลย…แปลกๆ นะ”
ชายนักตีดาบเลิกคิ้ว “นกอินทรีย์เป็นนกที่มีพลังนะ ไม่เห็นแปลกเลย” เขาว่า
“งั้น ‘ครายวิลโดว์’”
ครอยซ์หยิบดาบฝักสีฟ้าขึ้นมาให้เธอ
“พลังแห่งลมของจิ้งจอกฟ้า เพียงแค่แกว่งดาบก็ทำให้ต้นไม้ราบได้
เหมาะกับสตรีที่สุด”
“ข้าไม่เน้นทำลายป่าไม้หรอกนะ” เอเวียน่าว่า
ครอยซ์ขมวดคิ้ว เขาวางดาบลง “ข้าไม่ได้หมายความว่างั้นซะหน่อย”
เอเวียน่าหัวเราะเบาๆ “เอาเถอะน่า”
เขายิ้ม “งั้น เอคไซ....”
“พอเถอะน่า” เอเวียน่าพูด
“ข้าไม่คิดจะใช้ดาบหรอก”
ชายหนุ่มผมยาวดำขมวดคิ้ว “...ทำไมล่ะ...อาวุธมีคมโดยเฉพาะดาบจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักรบ โจร
ตำรวจหรือทหาร ไม่เว้นแม้กระทั่งนักเดินทาง ไม่เว้นแม้กระทั่งโจรสลัด” เขาเหล่ตามองเธอ
“เจ้ารู้เหรอ” เอเวียน่าดูแปลกใจนิดหน่อย
“แน่ล่ะซิ ข้าเป็นสหายของคริซโตเฟอร์มาตั้งแต่เล็กๆ
อาวุธของราฟาเอลว์แทบทุกชิ้นมาจากข้าทั้งนั้น” ครอยซ์กล่าว
เก็บดาบให้เข้าที่เข้าทางไปพรางๆ
“ยกเว้นกัปตันเจ้าล่ะมั้งที่ไม่ได้พึ่งดาบข้าเลย หมอนั่นมีอาวุธประจำตระกูล…” เขาว่า
“อาวุธเหรอ” เอเวียน่าสงสัย
“ข้าไม่เคยเห็นอัลใช้อาวุธเลยซักครั้ง” แม้ดาบที่ปกติจะอยู่ข้างกายโจรสลัดทุกคน
หญิงสาวก็ไม่เห็นกัปตันราฟาเอลว์พกเลยซักครั้ง ร่างกายเขาดูหละหลวม
ไร้การป้องกันอย่างที่สุด
ครอยซ์เลิกคิ้ว
“ไม่ใช่จะได้เห็นง่ายๆ หรอก
แต่หมอนั่นเท่ห์ดี ข้ายังอดปลื้มไม่ได้” เขากล่าวยิ้มๆ
“ยังไงๆ เจ้าควรจะพกไว้นะ อ๋อ”
แล้วเขาก็ส่งแววตารู้ทันมาทางเธอ
“ถ้าเป็นดาบฝักสีเทาของตระกูลข้าเนี่ย เจ้าคงจะใช้แน่...ใช่มั๊ย”
เอเวียน่ายิ้ม “ข้าแค่ถูกใจเฉยๆ เอง”
“แค่นั้นก็เกินพอสำหรับผู้ถือดาบแล้วล่ะ” ครอยซ์ว่า
เก็บดาบที่กำลังจะแนะนำให้หญิงสาวอีกเล่มที่ข้างผนัง และเขาก็หันกลับมาทางเธอ
“ไปดื่มชากันหน่อยมั๊ย” ชายหนุ่มชวน
“ก็เอาซิ” เอเวียน่าว่า
“เฮ้ คริซ เลือกตามสบายนะ แล้วเจ้าปิดโรงเก็บของนี่ด้วยล่ะ” เขาพูดกับคริซที่สนใจมีดสั้นอยู่ ดูเหมือนเค้าจะพยักหน้าเข้าใจแล้ว
“เจ้าฝาแฝดดาบนั่นหนักมากเลยนะ ข้าขอเตือน”
ครอยซ์ว่าเมื่อเห็นดิวโอกำลังจะจับดาบสีน้ำเงินด้ามยาว ทำให้เขาถอยออกมาทันที
“ไปเถอะ” คราวนี้เค้าหันมาทางเอเวียน่า
“อืม” หญิงสาวเดินตามออกไป
ทางด้านรองกัปตันทั้งสองคลิฟท์กับไรอัล
รวมถึงโอลิเวอร์เทพซีซัตผู้เป็นสายสืบของเรือ พวกเขาทั้งสาม
คนกำลังตามหาบางสิ่งบางอย่างในตลาดที่บัดนี้เต็มไปด้วยผู้คนจอแจ
...ชายคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นสหาย...
...ชายคนหนึ่งที่มีฝีมือสูสีกับกัปตันราฟาเอลว์มาตั้งแต่อดีต...
...บัดนี้ คือ
ชายคนหนึ่งผู้เป็นอริหมายเลขหนึ่งของหัวหน้าของพวกเขา
จะชนะมั๊ยนะ จะจับตัวไปได้รึเปล่า
พวกเขาต้องคิดวิธี...แต่ดูเหมือนเป็นเรื่องยากจริงๆ
“เจ้าว่าวันนี้จะเจอมั๊ย”
ไรอัลแกล้งถามขณะใส่ผลแชงกูลสีแดงอ่อนเข้าปาก
“เจ้ากินมากแบบนั้นระวังจะล้มฟุบลงไปได้ง่ายๆ ไรอัล”
โอลิเวอร์เตือนด้วยความหวังดี เมื่อเห็นเขากินผลไม้ที่ได้ชื่อว่ามีฤทธิ์ทำให้มึนเมาเมื่อกินในปริมาณแค่สี่ห้าลูกเท่านั้น
“ห่วงข้าเหรอเจ้านกน้อย”
ฉุนกึก ซีซัตหนุ่มไม่พอใจขึ้นมาทันที “ข้าผิดเองแหละ กลัวว่าเจ้าจะสู้ไม่เต็มที่เท่านั้น”
“เอาเถอะน่า ข้าพึ่งกินไปแค่ลูกเดียวเองนะ แล้วเราอาจจะไม่เจอเขาก็ได้” เขาแกล้งพูดทั้งๆ ที่รู้ว่ายังไงก็ต้องหาให้เจอภายในวันนี้
“เจอสิ ต้องเจอให้ได้” คลิฟท์ว่า
เขาไม่มีทางลืมคำสั่งของผู้เป็นกัปตัน
จะต้องทำให้สำเร็จไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ต้องพาตัวเอ็ดเวิร์ดไปหาอัลให้ได้
“ดูซีเรียสจัง” ไรอัลว่า
“ถ้าไม่เจอ...ข้าจะมี…” แล้วสายตาของชายผมบลอนด์ก็หยุดลงที่ภาพๆ หนึ่ง
มือของเขายื่นออกไปเป็นสัญญาณให้เพื่อนหยุดโดยอัตโนมัติ
“ข้าเจอแล้ว” เขาพึมพำเบาๆ
ทุกคนหันไปมองตามสายตาของรองกัปตันมือซ้ายในทันที
ภาพที่เห็น...ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อน
กำลังหยอกล้อทักทายกับสตรีสาวที่ขายผักอยู่ที่แผง เขาดูร่าเริง สดใส
ไม่มีพิษภัยเลยแม้แต่น้อย แต่ความจริง...เขานี้แหละอันตราย
แล้วหัวใจของคลิฟท์ก็เต้นระรัว
มือของเขาบัดนี้กำแน่นจนขาวซีด ไม่แตกต่างจากปฏิกิริยาของทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลัง
โอลิเวอร์เริ่มเหงื่อตก
ส่วนไรอัลก็ทิ้งผลแชงกูลครึ่งผลในมือทันที
การติดตามเริ่มขึ้น คลิฟท์ ไรอัล
และโอลิเวอร์ก้าวเท้าออกเดินทันทีเมื่อชายหนุ่มในสายตามุ่งหน้าไปอีกทาง
ดวงตาจดจ้องมองสะท้อนแต่ภาพของนักล่าหัวผู้นั้น
ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่พวกเขาหยุดคุยกัน
ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่พวกเขาพยายามจะเดินให้เบาขึ้นเรื่อยๆ
จนการก้าวเท้าของเขาแทบไม่ได้ยินเสียง พวกเขากลัวแม้กระทั่งเกิดเสียงเพียงเล็กน้อย
เขาพยายามไม่ให้ชายที่อยู่ตรงหน้าละสายตา และต้องระวังอย่าให้เขารู้ตัว รอเวลา
รอโอกาส เร่งและชะลอฝีเท้าเป็นช่วงๆ ตามเป้าหมาย จากที่คนมากๆ ในตลาด
ก็เข้าสู่ย่านหมู่บ้าน ยิ่งเดินไปเท่าไรยิ่งลึกเท่าไร คนดูเหมือนจะน้อยลงทุกที
การทำตัวให้เป็นธรรมชาติเริ่มยากลำบาก แล้ว...เอ็ดเวิร์ดก็เลี้ยวเข้าไปในซอยแคบๆ
เดาไม่ยาก
ชายหนุ่มผู้นั้นอาจจะรู้ตัวแล้วก็เป็นได้ เขาเป็นศัตรูที่สำคัญของกัปตัน
คงมีลางสังหรณ์บางแล้วแน่ๆ ทั้งสามเหงื่อไหลออกมาเป็นทางยาว
รู้ทันทีว่านั้นเป็นอันตราย หากก้าวเข้าไปในซอกนั้นต้องเป็นอันตราย
แต่...หลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งสามก้าวเท้าเข้าไปในซอยอย่างช้าๆ
มองซ้ายขวาเพื่อหาร่างของคนๆ นั้น แต่ก็หาไม่เจอ
“นึกว่าใคร”
เสียงที่แม้ไม่เคยได้ยินก็ต้องรู้ว่าเป็นของเป้าหมายที่ติดตามมา ร่างๆ
นั้นกระโดดลงมาจากด้านบน เผยให้เห็นเป็นรูปร่างสูงสง่า เส้นผมและดวงตาสีน้ำตาลอ่อน
ใบหน้าสะอาดหมดจด ล็อคเก็ตสีทองที่คอส่องแสงแวววาว
“เจ้านั่นเอง” รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ใบหน้า
“คลิฟท์ ไรอัล และก็ฮอคซ์สินะ”
ผู้ที่เป็นรองกัปตันมือซ้ายยิ้มแห้งๆ
เหงื่อที่ตกลงมาตามใบหน้า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขารู้สึกยังไง
กับการเผชิญหน้าในครั้งนี้ แค่สมาธิของพวกเขาในตอนนี้ก็ยังพ่ายแพ้ “ท่านเอ็ดเวิร์ด…” คลิฟท์พูดขึ้น
“ทำไม” เสียงเย็นๆ พูดขึ้นก่อน
เล่นทำให้พวกเขารู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา
“จะมาทำอะไรข้า คำสั่งจากกัปตันเจ้าหรือไง ส่งพวกเจ้ามาเนี่ยนะ หมอนั่นคิดดีแล้วเหรอ”
“คือท่านเอ็ดเวิร์ด” ไรอัลเริ่มพูด
“พวกเราเพียงแต่...คือข้าไม่ได้มาเพื่อทำอะไรท่าน…เพียงแต่…”
เขาเหล่ตามอง “ถูกของเจ้า ถ้าเจ้าคิดมาสังหารข้าล่ะก็คิดผิดแล้วล่ะ...แล้วมีปัญหาอะไร” เสียงเย็นๆ ทำให้ผู้ตอบเสียความมั่นใจได้ง่ายๆ
“…ข้าต้องการให้ท่านไปกับพวกเรา”
คลิฟท์พูดอย่างรวดเร็ว
“ไม่จำเป็นต้องยกย่องข้าเป็น ‘ท่าน’ หรอก” เขาว่า
“...แล้วไง หมอนั่นมีปัญหาอะไรรึไง”
“กัปตันไม่ได้บอกเรา” โอลิเวอร์กล่าว
“บอกเพียงว่าให้นำตัวท่าน...เจ้าไป”
สรรพนามช่วงท้ายเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“แล้ว…” ดวงตาของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น
มันมีแววสีน้ำตาลมนลงที่คุ้นมากในอดีต
“...พวกเจ้าจะทำยังไง”
“คงต้องพาท่านไป” คลิฟท์ว่า
“ถ้าข้าบอกว่าไม่ไปล่ะ”
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมืดจนแทบไม่เหลือสีเดิม
“เราคง...ห้ามท่านไม่ได้” ไรอัลกล่าวบ้าง
“เจ้าจะ...ใช้กำลังกับข้างั้นเหรอ” เอ็ดเวิร์ดยิ้ม
“ลองดูสิ”
พวกเขาเงียบ หัวใจเต้นแรง
ดวงตาจ้องมองดวงตาสีคล้ำอ่อนซึ่งบัดนี้...เยือกเย็นยิ่งนัก
...ชายผู้เป็นอริกับเจ้านายสูงสุด
พวกเขาไม่มีทางจัดการได้...
หัวใจที่เต้นแรง
และความกลัวภายในจิตใจนั่นเป็นเครื่องพิสูจน์ พวกเขาไม่มีทางที่จะ...แม้แต่จะแตะต้องชายผู้นี้ได้
เอ็ดเวิร์ดหลับตาลงเหมือนรู้ความคิดของลูกเรือราฟาเอลว์
ดวงตาของเขากลับมาเป็นสีน้ำตาลอ่อนที่งดงามเช่นเดิม
ชายนักล่าหัวเดินตรงมายังพวกเขา ผ่านหน้าคลิฟท์ ไรอัล ฮอคซ์ ทีละคน ทีละคน...
พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่หายใจยังลืมไปชั่วขณะ
และเอ็ดเวิร์ดก็จะหยุดอยู่ตรงปากซอย
ความกลัวพลุกพล่านไปหมด พวกเขาไม่มีทางทำอะไรได้...แต่ว่า...
“ฝากบอกกัปตันเจ้าด้วยนะ วันหลังมาด้วยตัวเองดีกว่า”
ยังไงก็ต้องทำ!!!
‘ปัง!’ ฉับพลัน!
เสียงปืนดังขึ้น เป้าหมายคือหัวที่มีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อน แต่ว่าก็มีเส้นผมเพียงเล็กน้อยที่ขาดออกมาตามแรงของลูกปืน
หัวของเขาพ้นวิถีลูกปืนภายในไม่กี่วินาที เอ็ดเวิร์ดหันกลับมา ใบหน้าที่แสนสงบ
ดวงตากลับมีแววเยือกเย็น จ้องมองผู้ปองร้ายตนเองอย่างไม่ปราณี
“พวกเจ้าเก่งขึ้นนี่” เขากล่าว
คำพูดชมเชย แต่กลับทำให้ผู้ฟังเสียวสันหลังวาบ
“แต่ยังเก่งไม่พอหรอก”
สายตาเย็นชามองราวกับจะทะลุร่าง
คลิฟท์เหงื่อตก
เขาไม่อาจต่อกรกับชายผู้นี้ได้เลย เขากำอาวุธในมือแน่นจนไม่มีสีเลือด
ร่างกายไม่สามารถแม้แต่จะขยับเอามือลง หัวใจเต้นระรัว
เพราะหัวคิดแต่เพียงความน่ากลัวของชายตรงหน้า
เอ็ดเวิร์ดหลับตาลง “เอาเถอะ” เขาว่าแล้วลืมตาขึ้น
ดวงตาที่ลืมขึ้นมาในครั้งนี้ไม่มีแววเย็นชาหลงเหลืออยู่แล้ว
แต่เป็นดวงตาที่มองพวกเขาทั้งสามอย่างเป็นมิตร
“ข้าก็อยากจะลองไปพบหมอนั่นด้วยเหมือนกัน”
เขามองหน้าทั้งสามหนุ่มราฟาเอลว์ที่ดูอึ้งๆ
“แต่แค่คิดว่าน่าจะให้หมอนั่นมาดีกว่า”
พวกเขามองหน้าเอ็ดเวิร์ดผู้ที่ไม่กี่วินาทีก่อนยังดูน่ากลัว
แต่ตอนนี้...
“ว่าไงล่ะ” เขาเอามือไขว้ไว้หลังศรีษะ
“เอ่อ...คือ” ปืนของคลิฟท์ลดต่ำลง
ชายนักล่าหัวเลิกคิ้ว “พวกเจ้ากลัวข้ามั๊ย” เขาถาม
พวกเขาเงียบซักพัก “แน่นอนครับ...กลัวสุดๆ ” ไรอัลว่า
เอ็ดเวิร์ดหัวเราะ “พวกเจ้ากล้าดี ข้านับถือ...ยังไงวันนี้ข้าอารมณ์ดี
ในฐานะที่เคยรู้จักกันมาก่อน วันนี้...ข้ายอมเองล่ะกัน”
เขายิ้ม
นี่หมายความว่าถ้าอารมณ์ไม่ดีล่ะ
พวกเขามองหน้ากันอย่างเข้าใจ
“จะไปรึยัง” เอ็ดเวิร์ดถาม
“ครับ งั้นเชิญท่าน” คลิฟท์เก็บกระบอกปืนที่ข้างตัว
“ไม่จำเป็นต้องยกย่องข้าหรอกน่า”
เอ็ดเวิร์ดยิ้มและเดินออกจากซอย
ปล่อยให้สามลูกเรือราฟาเอลว์ยืนกันยังไม่หายงง
ไม่เข้าใจอารมณ์ที่เปลี่ยนได้รวดเร็วของคนตรงหน้า เมื่อครู่ยังบอกว่าไม่ไปอยู่แท้ๆ
แต่ทำไมถึง...
“เป็นคนที่เดาไม่ถูกเลย” ไรอัลยิ้ม
“นั่นสินะ” โอลิเวอร์เห็นด้วย คลิฟท์พยักหน้า
เอ็ดเวิร์ด...ผู้ที่เป็นสหายเก่าของกัปตันราฟาเอลว์
แต่เพราะเพียงความไม่เข้าใจของผู้ใหญ่ ทำให้ทั้งสองต้องเป็นศัตรูกันเพียงข้ามคืน
พวกเขาไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นดีนัก เพียงแต่ว่าในอดีต พวกเขาเป็นสหายที่รักและสนิทกันมากจริงๆ
*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*
ความคิดเห็น