คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 11 - นักล่าหัวกับโจรสลัด (2021 NRW)
แฮะๆ เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่โอเชี่ยนจะมาพูดคุยกับเพื่อนๆ นักอ่านทุกท่าน ก่อนอื่นต้องขอโทษจริงๆนะค่ะ ^/l\^"" ที่อัพช้ามากเลยอ่ะ แฮะๆไม่โกธรกันนะค่ะท่านผู้อ่านทุกท่าน ช่วงนี้เป็นช่วงที่ไม่มีเวลาจริงๆ แต่ยังไงๆ ก็พยายามอัพให้ทุกท่านได้อ่านกันนะค่ะ
เรื่องวันนี้ที่จะคุยกันหน่อยก็เรื่องค่าของเงินเนี่ยแหละค่ะ เขียนไปหลายครั้งแล้วนะเนี่ยแต่ก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้ฟังจริงๆ จังๆ ซักที วันนี้เลยมาขออธิบายหน่อยดีกว่าค่ะ ดังนี้เลยค่ะ
5 บาท = 1 กิลเซล
100 บาท = 20 กิลเซล = 1 จั้ง
1000 บาท = 200 กิลเซล = 10 จั้ง = 1 กาลัฟท์
เป็นการเทียบกับค่าเงินบ้านเราอย่างง่ายๆ เลยนะค่ะ อย่างเช่นในบทนี้ 5000 กาลัฟท์ ก็เท่ากับ 5,000,000 บาทบ้านเรา เพื่อนๆ คิดว่ามันพอที่จะใช้ซ่อมเรือมั๊ยเนี่ย ดูเหมือนจะพอเนาะ แต่ว่าถ้าเป็นเรือธรรมดายังซ่อมได้ค่ะ (ซ่อมๆ ได้แบบพี่เบริดเลย) แต่ว่ามันเรือโจรสลัดนี้สิค่ะ โดนยิงมาด้วย ไม่รู้ว่ามาถึงเกาะดามอสได้ไงนะ แฮะๆ ^^;;
ยังไงก็อัพบทที่ 11 แล้ว มีตัวละครใหม่ออกมาด้วย เอ็ดเวิร์ดจะเป็นใครน่ะเหรอ ติดตามต่อไปนะค่ะ ขอบคุณทุกท่านอีกครั้ง ^/l\^ และขอโทษด้วยจริงๆนะค่ะ โอเชี่ยนผิดไปแล้วค่ะ ยังไงๆ ก็ฝากเรื่องนี้เอาไว้ด้วยนะค่ะ
“เจ้าแน่ใจเหรอที่จะสังหารข้าได้” หญิงสาวผู้ที่ตอนนี้ไม่ว่ายังไงๆ ก็ดูเหมือนบุรุษเพศกล่าว
เจ้าของดวงตาสีชาที่แสดงรังสีเย็นเยือกออกมาอย่างน่าหวาดกลัว
แต่...คนตรงหน้าชะงักแค่เพียงเล็กน้อย
แล้วเขาก็ยังหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด “ฮึๆ เจ้า...อืม...จะให้ข้าเรียกเจ้าว่าไงดี”
เอเวินท์ถาม
เอเวียน่านิ่งอยู่พักก่อนที่ตัดสินใจไม่ตอบออกไป
“ไม่ต้องอยากรู้จักข้าขนาดนั้นหรอก”
เขาเลิกคิ้ว
ล็อคเก็ตสีทองจากคอของเขาส่องประกายสีทองออกมาเมื่อมันกระทบกับคบเพลิง “งั้นเหรอ น่าเสียดายจัง...เจ้ามาทำอะไรที่นี่ล่ะ”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เอเวียน่าตอบอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก
“แล้วเจ้า...คือนักล่าหัวในตำนานรึเปล่า”
“เอเวินท์น่ะเหรอ” ชายผู้นั้นกล่าว
และเขาก็มองไปทางอื่นอย่างใช้ความคิด
“ก็คงใช่” เขาตอบ
พร้อมก้าวเท้าเข้ามาใกล้เธออีกก้าวนึง
หญิงสาวถอยหลัง
รักษาระยะห่างจากตัวเขาและเธอ ยังไงเธอก็รู้สึกว่าชายผู้นี้ไม่น่าไว้ใจ
“เจ้ากลัวข้ารึไง”
“ไม่...” เอเวียน่าตอบอย่างรวดเร็ว
แต่ก็กลับรู้สึกลังเลใจในตอนหลัง
“...หรืออาจกลัวเพราะเจ้ามีลูกน้องมาก
ในขณะที่ข้าตัวคนเดียว” เธอกล่าว
เผื่อว่าการพูดในครั้งนี้จะไม่ทำให้เธอต้องสู้กับกลุ่มคนตรงหน้า
“แต่ท่าทางของเจ้าบอกว่าไม่กลัวเลยซักนิด ข้านึกว่าเจ้าจะตอบว่าไม่กลัวซะอีกแฮะ” คำพูดของเขาตีกันเอง ท่าทางกวนประสาทอย่างกับอะไรดี เขาก้าวเท้าเข้ามาอีก
เอเวียน่าก็ถอยออกไปอีกก้าว ชายนักล่าหัวทำหน้ามุ่ย
“ทำไมเจ้าต้องหนีข้า”
“แล้วทำไมเจ้าต้องเดินเข้ามา”
“ถ้าก้าวอีกก้าวเจ้าจะเดินเข้าไปในบาร์แล้วนะ”
แววตาทะเล้นจ้องมองมาที่บุรุษร่างเล็กตรงหน้า
“งั้นเจ้าก็อย่าเดินเข้ามาสิ” เอเวียน่าพูด
“เจ้าจะเดินเข้ามาทำไมกัน” เธอถามเสียงเบา ไม่หวังได้คำตอบเลย
แต่เอเวินท์ดูเหมือนจะสนใจคำถามของเธอไม่น้อยเลยทีเดียว
เขายิ้ม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองเข้ามาในดวงตาของหญิงสาวอย่างแน่วแน่และมั่นคง
มันเหมือนจะสะกดให้ตัวเธออยู่กับที่...
“อืม...ข้าจะจับเจ้ากดลง...ถอดสิ่งที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมนั้นออกให้หมด...เสื้อผ้า
กางเกง ให้เจ้าเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า ดาบซักดาบในที่นี่…ข้าจะใช้มันควักไส้ของเจ้า...หัวใจ
หน้าสวยๆ นั่นจะต้องเละ เสียบประจาน หรือแขวนคอ ล็อคมือถ่วงน้ำ
หรือว่าจะตัดทีละส่วนออกดีน้า”
คำพูดทุกคำเหมือนมีทำนองที่ชวนหนาวไปทั่วร่าง ไม่พอสายตาที่โหดเหี้ยมยังมองร่างเธอตั้งแต่หัวจดเท้าอย่างช้าๆ
“เจ้าชอบแบบไหนล่ะ”
เอเวียน่าจ้องมองแววตาที่เหมือนปิศาจของชายผู้นั้น
“ม...ไม่เอา” หัวใจ ความคิด พยายามบอกว่าไม่กลัวก็จริงแต่ร่างกายกลับเริ่มสั่น ออกมา
มันทำให้เธอรู้สึกโกรธกับความอ่อนแอของตัวเอง อยากให้เขาหยุดพูดดูถูกเธอเสียที
เอเวินท์ยิ้ม
ดูเหมือนเหยื่อจะเริ่มหวั่นเกรงเขาขึ้นมาทุกที “ดูสิว่าตัวเจ้าจะยังปากเก่งอีกได้มั๊ย” เขาก้าวเท้าเข้ามาอีก
“ถ้าเจ้าแน่จริง...อย่าหนีข้า…”
แน่จริงเหรอ ข้าแน่จริงอยู่แล้ว เอเวียน่ารู้สึกโมโหขึ้นมา ทั้งๆ
ที่ในใจยังกลัวอยู่แต่อารมณ์โกรธมันเริ่มมีมากกว่า กับคำพูดที่ดูถูกเธอ
มันน่าโมโหนัก
สัญชาตญาณของเอเวียน่าทำให้เท้าซ้ายก้าวไปด้านหลังโดยที่เธอไม่รู้ตัว
“แน่จริง...อย่าหนีข้า”
ตามคำขอทันทีทันใด
เอเวียน่าคว้าคทาไม้ฟาดที่นักล่าหัวผู้นั้นอย่างรวดเร็ว เขาหลบได้ง่ายๆ
คทาของหญิงสาวฟาดซ้ำอีกครั้งคราวนี้แหละ มันแม่นยำจนทำให้บุรุษร่างสูงล้มลง
เอเวียน่าไม่รอให้เขาฟื้นตัวหรอก เธอคร่อมตัวเขาเอาไว้
คทาจ่ออยู่ที่คอหอยของชายผู้นั้นพร้อมที่จะกดลงไปปลิดชีวิตได้ทุกเมื่อ
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนลืมขึ้นมา
แล้วเขาก็หัวเราะอย่างไม่เกรงกลัวกับท่าทีที่เหนือกว่าของบุคคลตรงหน้า “มีอะไรบางอย่างบอกข้าว่าเจ้าเป็นสตรี
แถมเป็นสตรีที่หัวดื้อเสียด้ว...อึก” เอเวินท์ต้องหยุดพูดเมื่อหญิงสาวกดคทาลงที่คอของเขา
เขาเงยหน้าขึ้นมามองร่างที่ทับเขาอยู่
“ข้ากลัวคทานะ”
แววตาของเขาอ้อนวอน
“เพราะฉะนั้นข้าไม่ควรตายด้วย...อึก!”
คทาไม้กดลงที่คออีกครั้งจนต้องหยุดพูด
แสงสว่างเล็กๆ
เกิดขึ้นที่ปลายหูด้านซ้าย แล้วคริสตัลแห่งดวงดาวก็ปรากฏขึ้นที่ปลายหูของเธอ
ตอนนี้เสียงของเธอไม่ถูกปกปิดด้วยพลังนั่นอีกต่อไป “หากเจ้ายังไม่หยุดพูดเจ้าจะได้ตายกับความกลัว” เสียงแหลมของสตรีสาวดังเข้าหูชายที่อยู่ใต้ร่างเล็กๆ ร่างนั้น
เขายิ้ม “เจ้าควรยื่นข้อเสนอให้ข้าแบบเดียวกับ...” คทากดลงมาอีก
“...ไม่ต้องก็ได้”
เขาพึมพำ
“ข้อเสนอ...”
เอเวียน่าคิดสิ่งที่เอเวินท์กล่าวกับเธอเมื่อครู่
‘เจ้าจะไม่ตายด้วยสองสิ่งนั้น’ เสียงของเขาพูดเมื่อเธอกล่าวถึงน้ำกับไฟ
แต่เธอไม่ได้ใจดีอย่างนั้นหรอก “เจ้าจะตายหากเจ้ายังไม่หยุดพร่ำ
หรือเจ้าไม่ตอบคำถามข้า!” เอเวียน่าพูดอย่างอารมณ์เสีย
“อา...ช่างเป็นข้อเสนอที่วิเศษสุดเลย
ข้าไม่เคยพอใจกับข้อเสนอของใครมากเท่านี้มาก่อน ถามคำถามของเจ้ามา” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนรีบพูดก่อนที่หญิงสาวจะทันกดคทาลงที่คอหอยเขา
“เจ้าคือใคร”
“เอเวินท์” เขาตอบทันที
“โกหก” เอเวียน่าก็พูดกลับทันทีเหมือนกัน
“อะไรทำให้เจ้าแน่ใจอย่างนั้น” เอเวินท์ถามบ้าง
เอเวียน่าจ้องมองสายตาที่ไม่มีแววของความหวาดกลัวคู่นั้น
“หนึ่งคือเจ้าไร้ฝีมือ”
มันไม่จริงเลย เขาไม่ได้ไร้ฝีมือ
เอเวียน่าคิด แต่เธอยังสงสัยว่าเขาไม่ได้เอาจริงตอนสู้กับตัวเธอ
การพูดเช่นนี้คงไม่มีปัญหาเมื่อเธออยู่เหนือกว่า
เอเวินท์เลิกคิ้วอย่างสงสัย
แต่สุดท้ายเขาก็ยิ้มออกมา
“อย่างที่สองคือข้าก็มีลางสังหรณ์เช่นเดียวกับเจ้า”
เอเวียน่ากล่าว
ชายหนุ่มฟัง “...อย่างที่สามคือเจ้าอยากรู้จักข้า...อึก” เขารู้สึกถึงคทาไม้เย็นๆ อีกครั้ง มันกดแน่นขึ้นทุกทีแล้วซิ
“ท่าทางเจ้าจะอยากตาย” เอเวียน่ากล่าว
“ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว
อยู่ที่ว่าตายยังไง” เขากล่าว ย้ำคำพูดเดิมที่เคยพูด
“ข้ากลัวคทานะ”
แล้วแววตากวนประสาทก็เข้ามาอีก
“เจ้าจะตายด้วยสิ่งนั้น” หญิงสาวพูดอย่างไร้เยื่อใย
“มันเป็นสิ่งที่วิเศษมากเมื่อได้ตายใต้ร่างของเจ้า คุณผู้หญิง” เอเวินท์มองไปรอบๆ ตัว
“ถ้าข้าตาย
เจ้าคิดว่าจะรอดจากเงื้อมือเหล่าบุรุษรอบๆ เจ้าหรือไง”
เอเวียน่าละสายตาจากเขา
มองดูเหล่าชาวบ้าน ทุกคนมองเธออย่างไม่ประสงค์ดีนัก แต่ก็ไม่มีใครคิดเข้ามาใกล้เธอ
หญิงสาวไม่อยากสู้กับชาวบ้านที่ไม่มีความผิด แต่เธอก็ไม่อยากปล่อยชายผู้นี้ไป
เธอหันมากดคทาลงไปอีก “แน่นอน
ข้าคิดว่าข้าจะรอด”
เขาถอนหายใจในลำคอ “ข้าขอร้องก็แล้ว
พูดดีๆ ก็แล้ว พูดให้เจ้ากลัวตายก็แล้ว เจ้าก็ไม่ปล่อยข้า”
เอเวินท์พูดอย่างไม่เกรงกลัว
“เจ้าเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูงทีเดียว
ข้าขอชื่นชม แต่ว่าสาวน้อย มีกฎข้อนึงของนักล่าหัวโจรสลัด เจ้าพอจะรู้จักบ้างมั๊ย”
เอเวียน่าขมวดคิ้ว
เธอแน่ใจว่าเธอรู้จักกฎต่างๆ ดี ไม่ว่าจะเป็นกฎของนักล่าหัว หรือเหล่าโจรสลัด
สงสัยจริงว่าเขาพูดถึงกฎข้อไหน
“กฎที่ว่า...” ดวงตาของบุรุษหายไปในเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนๆ
เหลือเพียงรอยยิ้มที่ดูไม่น่าไว้ใจ
“นักล่าหัวจะต้องสังหารเหยื่อ...”
ฉับพลัน
อย่างรวดเร็วจนหญิงสาวแทบไม่หายใจ เมื่อรู้สึกตัวอีกทีเธอก็กลายเป็นผู้ที่อยู่เบื้องล่างแทน
คทาไม้หลุดมือไปแล้ว
“...ทันทีที่จับได้”
เอเวินท์กล่าวกฎของนักล่าหัวต่อให้จบ รอยยิ้มอย่างผู้ชนะปรากฏขึ้นบนหน้าของเขา
“แต่ไม่ต้องห่วงข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก”
มือสองข้างที่เคยถือคทา
ตอนนี้ถูกตรึงเอาไว้ที่พื้นไม่สามารถขยับได้ ส่วนร่างของชายหนุ่มอยู่ระหว่างขาของเธอ
เนื่องจากว่าเมื่อกี้เธอคร่อมเขาเอาไว้
ล็อคเก็ตสีทองทีเคยส่องประกายกระทบแสงของคบเพลิงอยู่เหนือปลายคางของเธอไม่เท่าไร
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเริ่มสำรวจร่างกายของสตรีที่อยู่ในกำมือเขาอย่างช้าๆ
ใบหน้าขาวเนียนละเอียดที่เคยมองเป็นบุรุษกลับดูเป็นสตรีที่งดงามอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่เรือนร่างที่ถูกปกคลุมเอาไว้ภายใต้ผ้าคลุมเมื่อครู่กลับดูเหมือนบุรุษไม่มีผิด
ไม่มีทั้งน่าอก ทั้งเอว ทั้งสะโพก
เนื่องจากเสื้อผ้าหลวมโพรกและผ้าพันแผลปิดเอาไว้จนมิด
เขาขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างอารมณ์เสีย สายตาเหลือบไปเห็นสิ่งของในตำนานที่หูด้านซ้าย...คริสตัลแห่งดวงดาว
แล้วมือเล็กๆ ก็พยายามดิ้น
ทำให้เขาหยุดสนใจในเรือนร่างนั้นทันที
ชายหนุ่มขึ้นมามองที่ใบหน้างดงามที่มีแววของความดื้อรั้น และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
นักล่าหัวอมยิ้ม การกวนโมโหซักหน่อยคงสนุกไม่น้อยเลย “ท่าสวยนะ เจ้าว่ามั๊ย” เขาว่า
ทันใดนั้นหน้าขาวๆ ก็ขึ้นสีมาทันที
หมอนี่คิดอะไรอยู่กันแน่ “เจ้า!…” เอเวียน่าเริ่มโมโห
เอเวินท์เลิกคิ้ว “แต่เสียดาย...ข้าไม่มีอารมณ์กับรูปร่างของเจ้าเลย”
ทันทีที่เขาพูดจบเอเวียน่าก็เข่าเข้าที่ท้องเขาด้วยแรงที่มีอยู่
มันไม่มากพอที่จะทำให้เขาเจ็บมากแต่ก็ทำให้เธอดิ้นหลุดออกมาได้ “ปากเจ้า! เจ้า! หึ๋ย!” หญิงสาวหาคำด่าไม่เจอ
ชายหนุ่มลูบท้องเบาๆ
และเขาก็ลุกขึ้นยืนเป็นจังหวะเดียวกับเอเวียน่า “ไม่ต้องกังวลหรอกน่า อีกซักสองสามปี
เจ้าจะไม่เป็นแบบนี้แน่ ผู้หญิงน่ะโตเร็วเสมอแหละ”
“เจ้า! เจ้า...เจ้าบ้า!” เอเวียน่ากล่าวอย่างเหลืออด
“ตอนแรกข้ามาเพื่อล่ากษัตริย์แห่งท้องทะเล
และกัปตันเรือกระจอกที่คงมีค่าหัวราวสิบกาลัพฟ์ หรือคงน้อยกว่านั้น
ยิงนัดเดียวได้นกมาสอง คุ้มกว่าที่อื่นเป็นไหนๆ แต่ว่า...”
เขาเหล่ตามาทางเธอ
“ข้าเจออะไรที่น่าสนุกกว่านั้นอีก” ชายหนุ่มเดินเข้ามาหาเธอ
เอเวียน่าระมัดระวังตัวเต็มที่
“...ทำไมเจ้าถึงเป็นโจรสลัด” เขาถามเธอ
หญิงสาวขมวดคิ้ว “...เจ้าถามทำไม”
เอเวินท์มองเธอ “คนรักของเจ้าเป็นโจรสลัดเหรอ...” เขาพูดเองเออเอง
“คงนอนอยู่ในบาร์นั่น”
ชายหนุ่มมองไปในบาร์
“ไม่ได้เรื่องเลยนะว่ามั๊ย”
“ใช่ข้าเห็นด้วย” เอเวียน่าเออออไปด้วยเมื่อนึกถึงกัปตันราฟาเอลว์ที่นอนอยู่อย่างหมดสภาพ
แต่เดี๋ยวสิ! คนรักเหรอ!
“เดี๋ยว!”
เอเวียน่าร้องขึ้นเมื่อหันไปหาชายหนุ่มนักล่าหัว
เขามองมาที่เธอพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก
“เจ้ายอมรับแฮะ”
“ไม่ใช่นะ! ข้าไม่ได้มีคนรักงี่เง่าอะไรทั้งนั้น
และหมอนั่นก็ห่วยแตกสิ้นดี” เอเวียน่าพูด
“เหรอ” ชายนักล่าหัวกล่าว
แต่มีอะไรบางอย่างบอกในน้ำเสียงว่าเขาไม่เชื่อแม้แต่น้อย
และดูเหมือนเอเวียน่าจะรู้ถึงสิ่งนั้นดี
ช่างมันเถอะ เธอขี้เกียจเถียง เพราะถ้าเถียงกันอีก
คืนนี้เธอคงไม่ได้นอนพอดี
“ข้าสัญญาว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัย ทุกคนจะต้อนรับเจ้า
เพียงแต่เจ้าจะสัญญาว่าไม่รังแกเหล่าชาวบ้าน และพรรคพวกของเจ้าก็เช่นกัน”
“ข้าไม่คิดจะทำอะไรพรรณนั้นอยู่แล้วล่ะไม่ต้องห่วง
พวกกัปตันพวกนั้นก็แค่อยากมาพักผ่อนที่นี่แค่นั้นเอง”
“ก็ดี” เขาว่า ทุกอย่างดูเหมือนจะอยู่ในความดูแลของชายผู้นี้
“เอเวินท์เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกข้าอย่างที่เจ้าว่า
ชื่อของข้าคือเอ็ดเวิร์ด” เขายื่นมือออกมา
“ชื่อคล้ายๆ นะ”
เขาพยักหน้า
“พวกเขาถึงเรียกข้าว่าเอเวินท์ไงล่ะ”
“แล้ว...เจ้าพอรู้จักเอเวินท์รึเปล่า”
เอเวียน่าถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“ทำไมเหรอ” เขาได้คำตอบเป็นแววตาของสตรีที่ดูไม่มั่นคง เลยตัดสินใจไม่ถามต่อ
“เอเวินท์ จะว่าไม่รู้จักก็คงไม่ใช่ ข้าแค่พอรู้ว่าเขาเป็นใคร
แต่ไม่แน่ใจเท่านั้นเอง”
เอเวียน่ารู้สึกหัวใจเต้นระทึกขึ้นมา
หายใจเริ่มไม่สะดวก “งั้นเหรอ” เธอพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ ชายคนนี้รู้จักเอเวินท์
เธอมองชายที่ชื่อเอ็ดเวิร์ด
“มีอะไรงั้นเหรอ”
“เปล่าหรอก” เอเวียน่าตอบทันที
“ข้าชื่อเอเวียน่า” เธอจับมือของเขา
เขาเขย่ามือเธอเบาๆ ความรู้สึกที่สัมผัสมือของชายผู้นั้น เป็นความรู้สึกที่แปลกๆ
ไม่ใช่ไม่ดีแต่ว่า...
“ยินดีที่ได้รู้จักเจ้า เอเวียน่า” เขายิ้ม
หญิงสาวไม่พูดอะไร
แต่ดวงตากลับจ้องมองบุรุษตรงหน้าไม่วางตา พยายามนึกถึงความรู้สึกของตัวเอง
“มีอะไรรึเปล่า” เอ็ดเวิร์ดถาม
“...เปล่า” เอเวียน่าตอบเบาๆ ปล่อยมือของเขา
เอ็ดเวิร์ดยิ้มคราวนี้ไม่ได้เป็นรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์เหมือนเคย “งั้นข้าไปล่ะ
แล้วเจอกัน” เขากล่าวลา และนำเหล่าชาวบ้านออกไปอย่างช้าๆ
เอเวียน่ายืนมองจนชายผู้นั้นและเหล่าชาวบ้านลับตาไป
เจ้าของร้านที่ถูกภรรยาประคองพาดไหลเข้ามาหาเธอ “เชิญค่ะ” ภรรยาผู้นั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เชิญพักที่นี่ได้เลย
คนมากมายขนาดนั้นท่านเพียงคนเดียวคงไม่สามารถหาที่พักได้แน่เพราะฉะนั้นเชิญค่ะ” เธอกล่าวอย่างอ่อนโยน
“...ดั่งที่ท่านเอเวินท์กล่าวเอาไว้
เรายินดีต้อนรับท่านเมื่อท่านเป็นแขกของชายที่เรานับถือ ข้ายินดีให้ท่านพักที่นี่
เชิญเลยค่ะ” หญิงวัยกลางคนกล่าวเสริมเมื่อเห็นท่าทางที่ลังเลของเอเวียน่า
เธอตัดสินใจเดินตามเข้าไป
สตรีผู้นี้คงไม่ได้โกหก ทุกอย่างคงไม่ได้เป็นกับดักเหมือนเมื่อกี้
หญิงสาวเชื่อเช่นนั้น สิ่งที่ทำให้เชื่อก็มีเพียงสิ่งเดียว
สัมผัสของชายหนุ่มเมื่อครู่ มันเป็น...เอเวียน่าลูบมือตัวเองเบาๆ
…สัมผัสที่คุ้นเคย
แสงตะวันขึ้นสูงพ้นขอบฟ้าแล้ว
ความครึกครื้นเริ่มเข้ามาเยี่ยมเยือนเมืองเล็กๆ แห่งนี้อีกครั้งอย่างเช่นทุกวัน
ผู้คนในตลาดเริ่มออกทำมาหากิน จับจ่ายซื้อของ
เป็นเช้าที่หน้ายินดีพร้อมกับอากาศที่สดใสสำหรับใครหลายๆ คน แต่...
แน่นอนว่ามันไม่น่ายินดีเลยซักนิดสำหรับเหล่าโจรสลัด
“โอ๊ย!” เสียงร้องดังไปทั่วบริเวณบาร์
ซึ่งตอนนี้ที่นั่นดูเหมือนจะเป็นสถานที่รักษาพยาบาลมากกว่าสถานรื่นรมย์
ชายหนุ่มโจรสลัดผู้ได้ชื่อว่านักรบแห่งท้องทะเลหมดสภาพไปตามๆ กัน
ทุกคนมีอาการกุมขมับ และวิ่งเข้าออกห้องน้ำเพื่อเอาของเสียออกจากร่างกายกันเป็นว่าเล่น
นางพยาบาลสาวเพียงคนเดียวของที่นั่น
เธอมีอาการเหนื่อยหน่ายสุดๆ กับท่าทางของแต่ละคน “พวกเจ้านี่น้า”
เสียงของสตรีสาวบ่นพึมพำไม่หยุดปาก แต่ถึงกระนั้นตัวเธอก็ยังแจกยาที่มีอยู่เต็มไม้เต็มมืออย่างร้อนรน
เมื่อคืนนี้ทั้งคืนเอเวียน่าต่อกรกับพ่อนักล่าโจรสลัด
นั่นก็เหนื่อยแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว
เช้านี้ยังต้องลุกขึ้นมาแต่เช้าเพื่อแจกยาให้กับคนที่ไม่รู้จักดูแลร่างกายตัวเองอีก
อีกทั้งแต่ละคนก็ตัวเหม็นกลิ่นเหล้าไม่แพ้กันเลย ให้ตายสิ เอเวียน่าคิด
“เอายามาซิ เอเวียน่า” เสียงสั่งอย่างมีอำนาจมาจากทางกัปตันผมสีแดงเพลิง
เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ท่าทางเขาคงดีกว่าหลายๆ คนนิดหน่อย
ที่ไม่เหลือกลิ่นของแอลกอฮอล์แล้ว แต่อาการของอัลก็ไม่ต่างจากลูกเรือของเขา
เขานั่งกุมหัวหลังจากวิ่งเข้าห้องน้ำไปแล้วสองรอบ
เอเวียน่าเดินไปที่โต๊ะนั่นอย่างกระแทกกระทั้นเต็มที่
เธอวางยาที่อยู่ในมือทั้งหมดลงไป มันมากพอที่จะทำให้คนตายได้เลย “ข้าไม่ใช่หมอนะ!” เธอตะโกนในลำคอ
อัลหยิบยาออกมาเม็ดนึง “แล้วน้ำล่ะ”
ให้ตายสิ เธอคิดอย่างปวดหัว
เวรกรรมจริงๆ
และก็เดินออกมาจากสิ่งที่ชวนโมโหนั่นซะ
“เฮ้ๆ” เสียงของอัลไล่ตามหลังมา
หลังจากที่เธอเดินผ่านพ้นประตูแล้ว ดูเหมือนเขาจะพยายามวิ่งมาทางเธอ
แต่ท่าทางร่างกายไม่เป็นใจเอาเสียเลย แต่ในที่สุดก็ดูเหมือนจะตามเธอทันจนได้
“เจ้าโมโหอะไร” เขาถาม
“เจ้ายังจะให้ข้าตอบอีกงั้นเหรอ”
เอเวียน่าเหล่ตามองเขา
แล้วอัลก็ไม่ถามต่อ “...งั้นต้องขอโทษแทนลูกเรือของข้าด้วย”
เจ้าน่ะแหละทำให้ข้าโมโหมากที่สุด!
เอเวียน่าคิด
“ช่างเถอะ...ว่าแต่
เจ้าต้องตอบคำถามข้าจำได้มั๊ย”
เธอทวงถึงเรื่องที่เขาสัญญาเมื่อคืน
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “จำ?...ไม่...”
และกัปตันหนุ่มก็กุมขมับตัวเอง และก็เหล่ตามาทางเธออย่างไม่พอใจ
ท่าทางคงจะนึกออกบ้างแล้ว
“เจ้าวางยาข้าเหรอ”
อัลแหย่
“ข้าคงโง่มากที่ทำอย่างนั้น
เพราะรู้ว่าอีกไม่นานเจ้าต้องล้มลงไปเพราะฤทธิ์เบียร์ที่เจ้าดื่ม” เอเวียน่ากล่าวด้วยท่าทางประชดประชัน
“ข้าล้อเล่นน่า” อัลว่า
“ท่าทางเจ้าอารมณ์ไม่ดีเลยนะวันนี้”
หญิงสาวหันมามองหน้าเขา “ข้าอารมณ์ดีสิ แปลก”
“ยังไง” เขาถามห้วนๆ
ยังไง! ยังไงเนี่ยนะ เฮอะ! จะเรียกเจ้าว่าโง่คงไม่ผิดแฮะ เอเวียน่าคิดอย่างโมโห
“เช้านี้ข้าต้องตื่นมาดูแลพวกเจ้าเป็นร้อย
ก็มากพอทนแล้ว เมื่อคืนข้าแทบไม่ได้นอน”
“แล้วทำไมไม่นอนล่ะ” อัลถามอีก
หญิงสาวเงียบ
ก็เพราะความโง่ของเจ้าไงละ เธอคิด
แต่ว่า...
ชายที่ชื่อเอ็ดเวิร์ดกลับทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด แต่ยังไงๆ
เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว ไอ้อาการคุ้นเคยแค่สัมผัสมือกันเนี่ย มันพอมีด้วยงั้นเหรอ หรือข้าจะคิดไปเอง
“ช่างมันเถอะ” เอเวียน่าว่า
“ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้ามากกว่า”
กัปตันหนุ่มเหล่ตามามองหญิงสาวที่แต่งตัวไม่ต่างกับบุรุษ
“ว่ามาสิ”
“เจ้ายอมตอบคำถามข้าดีๆ งั้นเหรอ”
เธอพูดอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“แปลกเหรอไง ข้าแค่คิดว่าเราต้องคุยกัน” อัลพูด
สายตามองหาอาหารเช้ารอบๆ ตัว
“เจ้าถามก่อนและข้าก็มีเรื่องอยากถามเจ้าเหมือนกัน”
เอเวียน่าทำท่าคิดอยู่นิดนึง
และถ้าหมอนั่นไม่ยอมตอบล่ะ จะเอาไงดี “เอางี้ ถ้าเจ้าตอบไม่ได้ หรือไม่ตอบ ทำตามคำสั่งข้า”
อัลเหล่ตามอง “ตามใจสิ”
น้ำเสียงเขามีแววขำๆ ดูเหมือนเขาไม่กังวลอะไรเลย
เอเวียน่ารู้สึกไม่มั่นใจแล้วสิ
แต่เธอก็ตัดสินใจถาม “ข้าอยากรู้ว่า...ข้าจะได้ไปถึงเอร์ซิลเมื่อไร”
ใบหน้าขมวดคิ้วของชายหนุ่มกลับมาที่เธอ “เจ้าไม่ยอมเลิกถามเรื่องแบบนี้เลย...แล้ว...เจ้าอยากไปถึงเมื่อไรล่ะ”
อัลถามเธอกลับ
“สักสองอาทิตย์”
“ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าที่นั่นมีอะไร” กัปตันหนุ่มพึมพำ
มันไม่มากเกินไปหรอก แต่มีสาเหตุหลายอย่างที่ทำให้เจ้าไปไม่ทัน” อัลว่าดูท่าทางเป็นทางการ
“รวมถึงเรื่องที่เจ้าไม่กล้าพอ” เอเวียน่าเสริม
เขายิ้ม
“อาจจะใช่” ท่าทางไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นยังไง
“ข้าคงกลัวเกินกว่าจะไปที่นั่น...เราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกครั้งได้มั๊ย”
“ได้” เอเวียน่าตอบถ้วนๆ
“หรือบางทีข้าอาจไม่พึ่งเจ้าแล้ว” หญิงสาวพึมพำ
“หมายความว่าไง” ดูเหมือนชายหนุ่มจะได้ยิน
แต่...สายตาของเอเวียน่าตอนนี้สนใจอยู่กับร้านขายผลไม้เล็กๆ
ข้างทาง นั่นทำให้เธอนึกถึงผลแซนดีนสามผลของเธอ “อัลผลแซนดีนของข้าอยู่ไหน”
เอเวียน่าหันขวับไปถามชายหนุ่ม
กัปตันผมแดงเพลิงมองหน้าเธออย่างเหนื่อยใจ
“เอเวียน่า...” เขาหลับตาลง
“เจ้าฟังข้าอยู่รึ...”
แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกทีก็พบว่าสาวน้อยข้างๆ ตัวได้หายไปแล้ว “เอเวียน่า” อัลมองซ้ายทีขวาทีอย่างหาตัวเธอ
“ลุงทำไมขายของแพงอย่างนี้ล่ะ ข้าซื้อผลแซนดีนล่าสุดถูกกว่านี้เยอะเลย” ผู้ที่วิญญาณหญิงสาวนักช็อปเข้าสิงพูดด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“โธ่! คุณหนู นั่นมันนานเท่าไรแล้วล่ะ
ฤดูนี้ของแพงเป็นธรรมดา”
พ่อค้ากล่าวพลางรับเงินจากลูกค้าอีกคน
“ข้าเอาผลนี้” เอเวียน่าพูด แลวยื่นเงินสองกิลเซลให้แก่พ่อค้าและเอาผลไม้เข้าปากอย่างไม่รอช้า
เมื่อเธอหันกลับไปก็เห็นหน้าตาของกัปตันหนุ่มที่บอกว่าไม่สบอารมณ์
“แสดงว่าเจ้าไม่มีคำถามแล้วใช่มั๊ย ข้าจะได้ถามบ้าง”
อัลพูด ตอนนี้ผลแซนดีนครึ่งลูกอยู่ในปาก ซึ่งเขาแย่งมาจากแม่สาวตัวดี
“มีสิ...” เอเวียน่าเคี้ยวผลไม้ลงคอ
“เรื่อง...”
แล้วมือก็เอื้อมไปจับที่ติ่งหูซ้ายของตัวเอง
“คริสตัลแห่งดวงดาว...”
อัลเลิกคิ้ว
“มันเป็นแค่สมบัติแห่งท้องทะเลที่ลอร์ดโอคาลอทตามหา
เจ้ารู้มั๊ยว่าสมบัตินั้นจะนำทางไปสู่ดินแดนอันเป็นนิจนิรันดร์”
หญิงสาวขมวดคิ้ว “ดินแดนนิจนิรันดร์...เนี่ยนะ”
“เจ้าไม่เชื่องั้นสิ...ฮึ” อัลยิ้ม
“เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ที่มีสมบัติแห่งความมืดและสมบัติจากเผ่าอริอยู่มากมาย”
“เผ่าอริ?” หญิงสาวทำหน้าสงสัย
อัลเหล่ตามองท่าทางของเธอ
“เผ่าแห่งความมืดเป็นเผ่าซึ่งไร้มิตรภาพ
จะมีแค่เผ่าที่อยู่เฉย และเผ่าที่เป็นอริ
เผ่าแห่งความมืดรวบรวมสมบัติในตำนานของแต่ละเผ่าไปรวมไว้ในที่ๆ เดียวกัน
ซึ่งยังไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน”
“แล้วเจ้าก็เลยตามหา”
เขายิ้มที่มุมปาก
แล้วก็เดินออกนอกตลาดที่เริ่มมีคนพลุกพล่าน ลงไปที่ข้างลำธาร
ซึ่งดูเหมือนเป็นสถานที่พักผ่อน เอเวียน่าตามมา
“ยังมีอีกเผ่านึงที่เป็นมิตรของเผ่าความมืด
เรียกอีกอย่างว่าเผ่าลูกน้องคงไม่ผิด” เขาว่า
“เผ่า?” และเธอก็ทำหน้าสงสัยอีก
ก่อนที่เขาทั้งสองจะนั่งลงที่พื้นหญ้า
“เจ้าไม่เคยรู้เรื่องความเกี่ยวข้องของเผ่าในตำนานบ้างเลยเหรอ” อัลถามอย่างรู้สึกสงสัย เมื่อเธอเบือนหน้าหนีไปอีกทางก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้
“เผ่าปิศาจไงล่ะ ลูกน้องของเผ่าแห่งความมืด
ชนเผ่านี้จะมีรูปร่างแตกต่างจากเผ่าอื่นๆ เช่น รูปร่าง หน้าตา บุคลิก อะไรแบบเนี่ย” เขาว่า มือโยนผมแซนดีนที่กัดไปแล้วพลางๆ
“และยังมีพลังพิเศษของเผ่าพันธุ์ด้วยนะ ที่หลายคนมักเรียกว่า
เวทย์สีดำล่ะมั้ง”
“เผ่าปิศาจต่างจากคนอื่นเหรอ” เอเวียน่ารู้สึกทึ่งๆ
นิดหน่อยกับเรื่องราวใหม่ที่ได้รู้ และสายตาก็จ้องมองไปที่เส้นผมสีแดงเพลิง
มือซุกซนก็เอื้อมไปจับเส้นผมของกัปตันหนุ่มอย่างไม่รู้ตัว ทำให้เขาหันมา
“...เหมือนผมของเจ้าน่ะเหรอ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เอเวียน่าพูด
ใบหน้าที่แปลกใจเมื่อครู่ก็มีรอยยิ้มบางๆ กับอาการช่างสงสัยของเธอ “เจ้าคิดอย่างนั้นเหรอ” อัลว่า
“หากเป็นเช่นนั้น ...เจ้าคงไม่แตกต่าง”
เสียงสุดท้ายนุ่ม ฟังดูอ่อนโยน ไม่ต่างกับรอยยิ้มของเขา
เอเวียน่ารู้สึกแปลกๆ
เมื่อสบตากับดวงตาสีน้ำตาลดำคู่นั้น มือของเธอหยุดลง
เธอรู้สึกตัวว่าตัวเองทำเรื่องน่าอายเข้าเลยเบือนหน้าหนีไปอีกทางและเพื่อหลบสายตาคู่นั้น
“ไม่จับต่อหรือไง” ชายหนุ่มกล่าว
น้ำเสียงของเขาดูเหมือนจะรู้ทันเกี่ยวกับอาการของหญิงสาวตรงหน้า
“ข้าแค่...เอ่อ...เห็นผมเจ้า เอ่อ สวยดีแค่นั้นเอง”
หญิงสาวพูดตะกุกตะกัก โดยไม่หันใบมองใบหน้าของบุรุษข้างกาย
“งั้นเหรอ” อัลกล่าว
คราวนี้มือของชายหนุ่มดึงปลายคางและใบหน้าเนียนๆ ของเธอให้กลับมาจ้องมองดวงตาเขา
และนิ้วมือเรียวยาวของอัลก็ลูบใบหน้าใต้ดวงตาของเธอเบาๆ
สายตาของเอเวียน่าจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลดำไม่กระพริบ
เธอไม่สามารถละสายตาไปได้ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองโดนมนตร์สะกด ดวงตาคู่สวย ดูอบอุ่น
และอ่อนโยน
นิ้วมือของชายหนุ่มยังคงลูบหน้าเธอเบาๆ
“ข้าว่า...ดวงตาเจ้าสวยกว่า” สายตาเขาดูเหมือนมองลึกเขาไปอีก
เอเวียน่าเบือนหน้าหนีจนได้
ในที่สุดเธอก็หลุดออกจากมนตร์สะกดจากดวงตาคู่นั้น เธอรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนผ่าว
รู้สึกแปลกๆ เกาะกุมหัวใจที่เต้นอย่างกับจะระเบิดออกมา ‘ดวงตาเจ้าสวยกว่า’
เมื่อคิดถึงคำพูดเมื่อครู่ทำให้เธอรู้สึกร้อนขึ้นมาอีก ดวงตาเจ้าต่างหากที่สวย
สวยซะจนไม่สามารถละได้
“เอ่อ...ข้าว่าเรากลับกันดีมั๊ย” เอเวียน่าพูดเบาๆ
อัลทำหน้าหน่ายๆ
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มนิดๆ ให้กับความน่ารักที่หาได้ยากจากสตรีสาวข้างกาย “ไม่เอา” เขาพูดอย่างเอาแต่ใจ
ทำให้เอเวียน่าหันควับทันที
“ทำไม”
สายตาคราวนี้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว
เมื่อกี้ยังน่ารักอยู่แท้ๆ
อัลอดที่จะคิดไม่ได้ “ไปเดินตลาดหาอะไรกินกันอีกหน่อยดีกว่า” เขาว่า ไม่รอช้าลุกขึ้นตรงไปทางตลาดทันที
“เดี๋ยวสิ!” เอเวียน่าเรียกเอาไว้
แต่อัลไม่มีทีท่าว่าจะรอเธอเลย
ทำไมถึงเป็นคนอย่างนี้นะ
เธอคิดอย่างไม่สบอารมณ์ ผู้คนในตลาดมากพอที่จะทำให้เธอคลาดสายตาจากชายหนุ่มได้ง่ายๆ
ถึงกระนั้นเอเวียน่าก็พยายามที่จะแหวกฝูงชนที่มาจับจ่ายเพื่อหาเขาอย่างเร่งรีบ
‘ตึง!’ เสียงกระแทกกันเบาๆ
ระหว่างเอเวียน่ากับบุคคลผู้เคราะห์ร้ายเดินเข้ามาใกล้เธอ
“เจ้าบ้าเอ๊ย!” หญิงสาวบ่นพึมพำในลำคอ
เอามือกุมศีรษะที่เจ็บปวดจากการถูกกระแทก
ส่วนคนที่เธอชนก็มีอาการกุมหัวไว้เหมือนกัน
ท่าทางเธอคงจะชนคางของเขา “ข้ากำลังจะทักเจ้าอยู่พอดี” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาก่อนที่ใบหน้าของชายที่เธอต่อกรเมื่อคืนจะขึ้นมา
เอ็ดเวิร์ด นักล่าหัวโจรสลัดคุมเกาะวิวเมดท์
“จะรีบไปไหนรึเปล่า”
“เปล่า” เอเวียน่าตอบ
“แล้วเจ้ากำลังจะไปไหนเหรอ”
“ข้าว่าจะไปหาเจ้าซักหน่อย นึกว่าเจ้าจะอยู่ที่บาร์
โชคดีจริงๆที่เจอเจ้าก่อน” เขาตอบ
“มีอะไรรึเปล่า” เอเวียน่าถาม
แต่สายตาของเธอไม่ได้มองที่เขา กลับชะเง้อมองหาร่างของกัปตันราฟาเอลว์
ชายนักล่าหัวเลิกคิ้ว “ไปล่าหมาป่า” เขายิ้มนิดๆ
“เหรอ” หญิงสาวพูดอย่างไม่สนใจ
“...กับกระต่าย” เขาต่อให้จบ
เพราะคำพูดนั้นทำให้เอเวียน่ากลับมาจ้องมองชายผู้นั้นแทนการมองหากระต่ายในคำพูดเขา
“น่าจะพูดว่า หมาป่าอย่างเดียวดีกว่า”
เอ็ดเวิร์ดยิ้มที่หญิงสาวหันมาสนใจเขาเสียที
“ฮึ ข้าอยากรู้จักหมาป่าของเจ้าจริงๆ” เขาว่า
“เจ้าล่ากษัตริย์แห่งท้องทะเลให้ได้ก่อนเถอะน่า”
เอเวียน่าว่า
“เจ้าท้าข้ารึเปล่าเนี่ย” เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ก็ลองทำดูสิ”
เอเวียน่ามองข้ามไหล่เอ็ดเวิร์ดไปเห็นกัปตันราฟาเอลว์ที่เดินกลับมาด้วยท่าทางอารมณ์เสีย
ใบหน้ามองซ้ายขวาหาร่างของสตรีสาว
เอ็ดเวิร์ดหันกลับไปตามสายตาของหญิงสาว
และดวงตาของเขาก็เหมือนหยุดนิ่งอยู่ที่ภาพตรงหน้า
อัลพยายามมองหาสตรีที่แสนดื้อดึงที่ไม่ยอมเดินตามเขามา
ให้ตายสิ อัลคิด ใบหน้าคิ้วขมวดไม่สบอารมณ์
แต่แล้วสายตาก็เลือนไปหยุดที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน เขาสบตาคู่นั้น คิ้วคลายออก
และก็ขมวดเข้าหากันอีก ท่าทางเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
“เจ้า...”
ชายหนุ่มดูเหมือนจะพึมพำในลำคอ และเขาก็เดินเข้ามา
เอเวียน่าขยับตัวออกมาจากด้านหลังของเอ็ดเวิร์ด
“ทำไมเจ้าไม่ตามข้าไป” อัลยิงคำถามทันที
“แล้ว...”
เขาเหล่ไปทางเอ็ดเวิร์ดและมองกลับมาทางเธอ
“หมอนี่ใคร”
“เอ่อ...นี่คือเอ็ดเวิร์ด ส่วนเอ็ดเวิร์ด
นี่อัล” หญิงสาวยื่นมือแนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกัน
“เอ็ดเวิร์ด?” เสียงนี้บอกถึงความสงสัย
แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน
“เอ็ดเวิร์ด”เขาพึมพำและพยักหน้าเบาๆ
ดูเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง
“อัล...” ชายหนุ่มนักล่าหัวเลิกคิ้ว
“...งั้นเหรอ”
น้ำเสียงมีแววแห่งความขบขัน เขาเหล่ไปทางเอเวียน่า และมองอัล
“กัปตันเรือราฟาเอลว์สินะ หมาป่าของเจ้า
ดูเหมือนจะเป็นราชสีห์มากกว่า” คำพูดเหมือนพูดกับเอเวียน่า
แต่สายตากลับมองมาที่ชายผมสีแดงเพลิงตรงหน้า
หญิงสาวขมวดคิ้ว
เอ็ดเวิร์ดรู้ว่าอัลเป็นกัปตันราฟาเอลว์?
“เป็นไงบ้างล่ะ...อัล”
เสียงท้ายฟังเหมือนล้อเลียน
กัปตันราฟาเอลว์ผู้ถูกถามมีสีหน้าเคร่งเครียดจ้องมองชายตรงหน้าตาไม่กระพริบ
“ข้า...จำไม่ได้ว่ารู้จักเจ้า” อัลว่า แต่การกระทำของเขาไม่ได้บอกเช่นนั้นเลย
เอ็ดเวิร์ดเลิกคิ้ว “งั้นเหรอ ข้าคงจำคนผิด…งั้นสิ” คำพูดนั้นฟังดูแปลกๆ ชอบกล
ดูเหมือนตอนแรกเขาจะยอมรับ แต่กลับมาถามคำถามในตอนท้าย
“ข้าจะไปรู้เหรอ” อัลท่าทางไม่สนใจ
“อัล...ฮึ” เขายิ้มกับความคิดของตัวเอง
ชายหนุ่มราฟาเอลว์เงยหน้าขึ้น “ท่าทางเจ้าจะมีปัญหากับข้านะ”
“เจ้าต่างหากที่ท่าทางมีปัญหากับข้า”
เอ็ดเวิร์ดตอกกลับอย่างรวดเร็ว คราวนี้เขาไม่ได้ยิ้มแล้ว
พวกเขามองกันอย่างกินเลือดกินเนื้อ
เอเวียน่าที่ยืนอยู่ตรงกลางขนลุกซู่
เหมือนมีรังสีแห่งความอาฆาตออกมาจากร่างกายของแต่ละคน ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรกันก็เถอะ
“คือว่า...พวกเจ้ารู้จักกันเหรอ”
“ไม่!” พวกเขาหันมาตอบเธอพร้อมกัน
และก็หันกลับไปสบตากันอีก
โกหกชัดๆ เอเวียน่าคิด
“ข้าไม่นึกว่าเจ้าจะเป็นโจรสลัดจริงๆ”
เอ็ดเวิร์ดเริ่มการสนทนาก่อน
“ไม่นึกงั้นเหรอ” อัลพึมพำเบาๆ
ดูเหมือนจะมีรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าเขา
“ข้าไม่นึกว่าจะเจอเจ้าที่นี่เหมือนกัน” เขาว่า
“ถ้าข้ารู้
ข้าจะไม่แม้แต่จะเข้าใกล้ที่นี้เลย” อัลพูด
“งั้นเหรอ” เอ็ดเวิร์ดกล่าว
“งั้นเจ้าควรรีบออกไปดีกว่า
เพราะว่า...ข้าเป็นคนคุมเกาะนี้”
ชายหนุ่มเปรยตามอง “ฮึ ท้าทายดี”
เขากล่าว พูดไม่ต่างกับคนประสาทเสีย
“ข้ามาที่นี่เพราะมีภารกิจ เสียใจด้วยนะ” พอพูดจบรอยยิ้มของเขาก็หายไปทันที อัลหันมาทางเอเวียน่า
“ไปเถอะ”
ไม่พอเขายังดึงมือเธอไปอีก
“เอ๊ะ!” หญิงสาวตั้งตัวแทบไม่ทัน
แต่เสียงนึงทำให้กัปตันหนุ่มหยุดกึก “เจ้าน่าจะตายตั้งแต่เมื่อคืน” เสียงของนักล่าหัวโจรสลัดฟังดูเยือกเย็น
เอเวียน่าชนกับแผ่นหลังของอัลจังๆ
ชายหนุ่มค่อยๆ หันกลับมาช้าๆ ทำให้หญิงสาวไปอยู่ด้านหลังของเขา “เจ้าหมายความว่าไง”
เอ็ดเวิร์ดยิ้ม “หรือน่าจะตายไปตั้งนาน
มีหลายครั้งที่เจ้าควรจะตาย”
กัปตันราฟาเอลว์หรี่ตามอง “ข้าต้องขอโทษเจ้ามั๊ยที่ข้ายังอยู่ถึงทุกวันนี้”
ชายผู้นั้นยังคงยิ้มอย่างเยือกเย็น “แล้วแต่ว่าเจ้าอยากรึเปล่า” เขาว่า
“แต่ว่า
เจ้าควรขอบคุณเอเวียน่าที่ทำให้เจ้าไม่ตายมาตั้งแต่เมื่อคืน”
เอเวียน่าสบตากัปตันหนุ่มผ่านหางตาของเขา
แต่อัลไม่ได้พูดอะไรและก็กลับหันไปสนใจเอ็ดเวิร์ดต่อ
หญิงสาวไม่รู้ว่าเอ็ดเวิร์ดกับอัลรู้จักกันได้อย่างไร
ความรู้สึกจากมือของกัปตันหนุ่มบอกเพียงความอ่อนแอในตัวเขา
มันเย็นมากเมื่อจับมือของเธอ และตอนนี้มันบีบมือเธอมากขึ้นเรื่อยๆ เขาคงกำลังโมโห
เอเวียน่าคิดว่างั้น อดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองเอาไว้ไม่ได้
อยากรู้เรื่องราวของพวกเขาจริงๆ
แต่ตอนนี้คงไม่เหมาะเท่าไร
ในเมื่ออีกคนหนึ่งเป็นนักล่าหัว
อีกคนหนึ่งเป็นโจรสลัด อีกทั้งนิสัยหลายอย่างยังคล้ายๆ กัน ความสูง
ลักษณะก็ไม่แตกต่างกันมากนัก พวกเขาคล้ายกันมากจริงๆ
แต่ทำไมถึงจ้องกันราวกับกินเลือดเนื้อ ยังกับจะฆ่ากันให้ตาย เธออดที่จะคิดไม่ได้
ทำให้อยากรู้เรื่องของพวกเขามากขึ้นไปอีก แล้วสายตาก็มองสูงขึ้นไปยังเส้นผมสีแดงเพลิง
แล้วทำไม เขา...ถึงมีท่าทีแบบนี้
เอเวียน่าจะรู้มั๊ยว่าความคิดของเธอเริ่มแสดงความเป็นห่วงชายหนุ่มผมสีแดงเพลิงมากขึ้นทุกที
“เมื่อคืนข้ากะจะไปล่ากระต่าย แต่ดันนึกไม่ถึงว่าจะเป็นราชสีห์อย่างเจ้า” เอ็ดเวิร์ดพูดต่อ
“ไม่งั้นข้าไม่กลับมามือเปล่าหรอก
เจ้าคงไม่รอด...” สายตาของเขาดูถูกบุคคลตรงหน้า
อัลมองหน้าเขานิ่ง
ดูเหมือนเขาจะหาเรื่องพูดต่อไม่ได้หรือว่ากำลังใกล้หมดความอดทนเต็มทีเลยต้องระงับอารมณ์ตัวเองโดยการเงียบเอาไว้ก่อนแล้วก็ไม่รู้
สายตาของชายผมสีน้ำตาลอ่อนดูเหมือนแสดงออกมาว่าเขาจะชนะ
มองกัปตันหนุ่มอย่างดูถูก “อย่างที่ข้าบอกล่ะ...เจ้าควรตายตั้งนานแล้ว”
เขาย้ำ
และรอยยิ้มก็ปรากฏที่ใบหน้าของกัปตันราฟาเอลว์
“เจ้าพูดแบบนี้...ทั้งๆ
ที่ตัวเจ้าก็มีชะตากรรมไม่ต่างกันเนี่ยนะ...ฮึ” เขาเลิกคิ้ว
“บางทีเจ้าควรส่องกระจกบ้างนะ...เอ็ดเวิร์ด” เสียงท้ายแสดงอาการดูถูกเหมือนที่ชายนักล่าหัวเคยพูดไว้กับตัวเขา
แต่เอเวียน่ากลับรู้ดีว่าชายหนุ่มตรงหน้าเธอไม่ได้ใจเย็นเหมือนคำพูดของเขา
เนื่องจากมือที่เย็นของเขาบีบมือเธอแน่นมากในตอนนี้
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองด้านหลังของใบหน้าเขาอีกครั้ง แต่แล้วเธอก็รู้สึกแปลกๆ
ที่ช่วงเอว คิ้วของเธอขมวดเข้าหากัน เจ็บ ความรู้สึกนี้แผ่เข้ามาถึงหัวใจ
เธอหลับตาปี๋ กุมเอวเอาไว้เบาๆ เธอรู้สึกเจ็บแผลมากทีเดียว ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“บางทีข้ากับเจ้าน่าจะลองสู้กันอีกสักตั้งนะ”
เอ็ดเวิร์ดกล่าว
“เป็นความคิดที่ดี” อัลยิ้ม “เมื่อไรดีล่ะ”
ชายหนุ่มนักล่าหัวเลิกคิ้ว “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนยังไง
ข้าเกลียดการรอคอย”
กัปตันหนุ่มทำท่าทางคิดอะไรบางอย่าง “งั้น...”
“โอ๊ย!” เอเวียน่าพยายามร้องออกมาเบาๆ
แต่ก็ยังเรียกร้องความสนใจจากชายตรงหน้้าได้ทันที
เขาหันมา “เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า” มือที่เคยจับมือขึ้นมาจับบ่าของเธอเบาๆ เอเวียน่าส่ายหัวช้าๆ เป็นคำตอบ
“แต่สีหน้าเจ้าไม่ได้บอกอย่างนั้นเลยนะ” อัลว่าและเขาก็เอามือมาแตะหน้าผากของเธอ
“เหงื่อออกด้วย เจ้าเป็นอะไร”
“ข้าเจ็บแผล...นิดหน่อย” เอเวียน่าพูดตะกุกตะกัก
อัลขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย “แน่ใจเหรอว่านิดหน่อย รู้สึกเป็นไงบ้าง…ไม่เจ็บมากแน่เหรอ”
เอเวียน่าพยายามหายใจเข้า
หายใจออกตามเสียงลมหายใจของชายหนุ่ม แล้วเธอก็รู้สึกโล่งขึ้น ความเจ็บป่วยก็ค่อยๆ
หายไป “ไม่ๆ...ข้าหายเจ็บแล้ว”
“แน่ใจ” อัลถาม หญิงสาวได้แต่พยักหน้าหงึกๆ
“ดีแล้วล่ะ”
เขาตบหัวเธอเบาๆ
“อืม” เอเวียน่าพูดเหมือนพึมพำในลำคอ
และอัลก็หันกลับไปหาเอ็ดเวิร์ด
ดูเหมือนชายหนุ่มคงนึกออกว่าคุยกับเขาอยู่ “ขอโทษนะ แต่ว่าเอ็ดเวิร์ด ข้าไม่คิดจะสู้กับเจ้า รอต่อไปเถอะ” และเขาก็หันกลับมาหาเอเวียน่า
ไปเถอะ”
คราวนี้อัลดึงมือของเอเวียน่า และเดินออกไปโดยไม่สนใจชายผมสีน้ำตาลอ่อนอีกเลย
เอ็ดเวิร์ดที่ใบหน้าเคร่งเครียดกลับมีรอยยิ้มขึ้นมาเมื่อร่างของกัปตันหนุ่มลับตาไปแล้ว
ชายนักล่าหัวมองดูมือทั้งสองข้างที่สั่นเทาไม่หยุดของตัวเอง “ให้ตายสิ...ฮึ เจ้าไม่เปลี่ยนเลย”
เย็นวันนั้นดูเหมือนอัล ไรอัล คลิฟท์
คริซ และฮอคซ์ จะแอบไปทานอาหารกันเพียงลำพังโดยที่ไม่มีลูกเรือ
แต่จุดมุ่งหมายที่เขาไปทานอาหารกันวันนี้คือ
การประชุมของห้าตำแหน่งสูงสุดบนเรือราฟาเอลว์ครั้งแรกหลังจากที่มาถึงเกาะวิวเมดท์
สถานที่คือร้านอาหารในเมือง เป็นร้านมืดๆ ที่เล่นเพลงเบาๆ
ทำให้การหาใครสักคนที่นั่นดูจะเป็นเรื่องยากทีเดียวในเวลาที่เริ่มมืดเช่นนี้
พวกเขาทั้งห้าคนเลือกโต๊ะอาหารที่อยู่ริมกำแพง
สั่งอาหาร และเริ่มพูดคุยกัน
“น่าแปลกนะ มื้อนี้เจ้าเลี้ยงเหรออัล” ไรอัลพูดอย่างยิ้มๆ หลังจากเขาสั่งอาหารไปเป็นชุดใหญ่
กัปตันหนุ่มยิ้ม “นานทีเป็นไรไป...หรือถ้าข้าไม่มีเงินพอจ่าย...” เขาขยับเข้าไปข้างตัวเพื่อน
“…ค่อยขโมยเอา” อัลยิ้ม
“ฮึๆ” ไรอัลหัวเราะกับความคิดของเพื่อนเบาๆ
“แน่ใจเหรอนั่นน่ะ”
คำตอบมีเพียงรอยยิ้ม
และอัลก็หันไปหาคริซโตเฟอร์ “คืนนี้เจ้าหาโรงเตี้ยมให้ลูกเรือพักรึยัง”
คริซพยักหน้า “ริชาร์ดบอกว่าจะจัดการให้
แต่พวกนั้นไม่ยอม เลยไปนอนในราฟาเอลว์น่ะ” เขาว่า
“บางทีข้าคิดว่าเราพึ่งเขามากเกินไปหน่อย”
“ข้าเห็นด้วย” คลิฟท์ว่า
“ดูเหมือนว่าริชาร์ดจะออกจากเกาะวิวเมดท์พรุ่งนี้เช้าแล้วใช่มั๊ย…”
อัลพยักหน้า “เขาบอกว่าแค่มาส่งข้า”
“ท่านริชาร์ดเป็นมิตรที่ดี” ไรอัลว่า
รองกัปตันอีกคนหนึ่งเห็นด้วย “และเรื่องเรือของเราเนี่ยจะเอาไง
ซ่อมเหรอ”
“ก็คงต้องยังงั้นนะ” โอลิเวอร์กล่าว เอนตัวไปด้านหลังอย่างเมื่อยๆ
“ที่สำคัญคือจะหาเงินที่ไหน”
พวกเขามองหน้ากันอย่างหาคำตอบ
และคริซก็ดูเหมือนจะคิดอะไรออก “การแข่งขันไง” บุรุษที่เหมือนสตรีกล่าว
“นอกจากจะได้ของที่เจ้าต้องการแล้ว…” เขาเหล่ตาไปทางอัล
“ยังมีเงินอีกราวห้าพันกาลัฟท์ ถึงน้อยแต่พอทำอะไรได้บ้าง”
ทุกคนพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“และยังมีโจรสลัดที่มาอีก ลองหาค่าหัวพวกมันดูสิ”
คริซกล่าวเสริม ดวงตาสีมรกตของเขาฉายแววที่ไม่เคยเห็น...แววตาเจ้าเล่ห์
“ทำตัวเหมือนพวกนักล่าหัว...เนี่ยนะ” ไรอัลเลิกคิ้ว
“ข้าขอคิดดูก่อนดีกว่า”
คริซยิ้มๆ
โอลิเวอร์พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของรองกัปตันตัวล่ำสัน
อัลไม่มีความเห็น
เพราะเรื่องที่อยู่ภายในใจของเขามันเป็นเรื่องใหญ่กว่า ‘เจ้าควรรีบออกไปดีกว่าเพราะว่าข้าเป็นคนคุมเกาะนี้’
เอ็ดเวิร์ดพูดเอาไว้ ทำให้ชายหนุ่มนึกถึงอะไรบางอย่าง
“คริซ...” เขาเรียกเพื่อนหนุ่มที่เหมือนหญิงสาว
“...เรื่องเรือนั่นไปถึงไหนแล้ว”
คริซโตเฟอร์เงียบ
เขารู้ว่าอัลหมายถึงเรือที่ยิงเรือราฟาเอลว์เมื่อวันก่อน แล้วเขาก็ส่ายหน้าเบาๆ “ไร้ข้อมูล
ชาวบ้านพวกนี้พอหลอกถามเรื่องแบบนั้นกลับตอบอะไรไม่ได้เลย
ไม่รู้ว่าพวกเขาไม่รู้จริงๆ หรือว่าไม่บอกกันแน่
แต่เรื่องเกิดขึ้นหน้าเกาะตัวเองแท้ๆ ต้องรู้อยู่แล้ว”
เขาถามเองตอบเอง
“ข้าว่าพวกเขาดูแปลกๆ บางทีก็ดีด้วย
หรือบางทีก็ดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย”
อัลมองคริซ มองเพื่อน
เขารอให้พนักงานเสริฟวางน้ำและอาหารลงบนโต๊ะและจากไป “ข้าเจอคนคุมเกาะนี้ ข้าว่ามันต้องรู้เรื่องพวกนี้แน่...พวกเจ้าต้องนึกไม่ถึงแน่ๆ
ว่าข้าเจอใคร”
“ใคร?” เสียงพึมพำของเหล่าสหายรอคำตอบของเขา
“เอ็ดเวิร์ด” อัลดึงน้ำมาดื่ม
“หมอนั่นเป็นนักล่าหัวโจรสลัดแล้ว
คุมวิวเมดท์...ข้าเกลียดมัน” เสียงสุดท้ายพึมพำในลำคอ
เหล่ารองกัปตันและที่ปรึกษามองหน้ากันอย่างสงสัย
“เจ้าหมายถึง...เอ็ดเวิร์ดที่...” ไรอัลพูดติดขัดในลำคอ
“ข้าไม่อยากฟังว่าหมอนั่นทำอะไรกับข้าเอาไว้บ้าง”
อัลกล่าว แววตาของเขาเปลี่ยนไป
พวกเขารู้ว่าพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดเข้าแล้วจึงเงียบลง
“ข้าขออภัย...” ไรอัลพูดด้วยคำสุภาพ ทำให้คนฟังนึกถึงฐานะที่แตกต่างระหว่างเขากับกัปตันราฟาเอลว์
“แล้วท่าน...จะให้ข้าทำยังไง” คลิฟท์กล่าว
สรรพนามของเขาที่เรียกชายหนุ่มผู้เป็นสหายต่างไปจากเดิม
ดวงตาสีน้ำตาลดำทอดไปไกล
เหมือนนึกถึงอะไรบางอย่างในอดีต “คริซโตเฟอร์พรุ่งนี้นายพาเอเวียน่ากับโจซีฟีเน่ออกไปไกลๆ ตัวข้า
ส่วนพวกเจ้าที่เหลือ...” เขาเงียบก่อนจะกล่าวคำสั่ง
“...จับตัวมันมา ข้าว่า
ข้าคงรู้ถึงสาเหตุที่เรือข้าไหม้ภายในไม่ช้า...”
แววตาของบุรุษที่มั่นคงอยู่เสมอ มีแววของความรู้สึกบางอย่างที่ออกมาในดวงตา
ความเศร้า ความผิดหวัง
เอ็ดเวิร์ด เจ้าไม่เคยเปลี่ยนเลย
และรอยยิ้มบางๆ ก็เกิดขึ้นที่ใบหน้าของเขา
เจ้าไม่เปลี่ยนจริงๆ
เพื่อนที่นั่งอยู่รอบๆ
โต๊ะได้แต่มองหน้ากัน
กับการจับนักล่าหัวโจรสลัดคนหนึ่ง
ที่เก่งกาจ ที่สามารถ ไม่แพ้กัปตันราฟาเอลว์
อีกทั้งยังเป็นอริที่สูสีของเขา...ชายผมสีแดงเพลิงผู้เป็นเจ้านายสูงสุด
พวกเขาจะทำได้หรือ...
*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*
ความคิดเห็น