คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 9 - วิวเมดท์ เกาะแห่งแร่ธาตุ (2021 NRW)
เรือไม้กำลังลุกไหม้
เปลวเพลิงสีส้ม เผาไหม้ทุกสิ่งอย่างรวดเร็ว จากที่หัวเรือ จนลามมาเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด
เปลวไฟที่ไร้ความปราณี คล้ายกับจะเผาเรือทั้งลำจนกว่าจะไม่มีอะไรเหลือ
ฮอคซ์เป็นคนบินข้ามไปบอกแก่ลูกเรือที่เคราะห์ร้ายให้รีบไปขึ้นเรือซีกัลไวท์ก่อน
ส่วนอัล...กัปตันหนุ่มที่ทำอะไรไม่ได้ เขาอยู่ที่ซีกัลไวท์ ได้แต่นั่งรอทั้งๆ
ที่ใจร้อนรนเต็มที
คริซโตเฟอร์เข้ามาหากัปตันหนุ่มที่ยืนมองเรือของเขาที่กำลังถูกไหม้ไปต่อหน้าต่อตา
“เจ้าโอเคนะ ใจเย็นๆ” ผู้รู้แห่งราฟาเอลว์พูด
“ไม่...เจ้าจะให้ข้าเย็นเหรอคริซ
มันไม่ง่าย...เลยนะ” เขาพยายามพูดออกมา มือสองมือที่กำเอาไว้เข้าด้วยกันสั่น เหงื่อไหลตามใบหน้า สายตาไม่ละไปจากเรือสีน้ำตาลราฟาเอลว์
คลิฟท์และไรอัลเดินเข้ามาหาเพื่อนของเขา
ตบไหล่เขาเบาๆ “ใจเย็นหน่อยอัล
เจ้าไปไม่ได้เด็ดขาด ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฮอคซ์เถอะน่า”
คลิฟท์กล่าว
“ข้ารู้น่า ข้ารู้” อัลกล่าว
เสียงเบาเหมือนพึมพำกับความคิดและความต้องการของตนเอง
แน่ใจนะว่าเจ้ารู้
คลิฟท์ดูเหมือนจะคิดเช่นนั้น อาการแบบเนี่ยโกรธจนตัวสั่นเลยสิ
ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองในใจ กับนิสัยของเพื่อนที่รู้จักกันมาพอสมควร
แต่...จะตำหนิอัลฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะพวกเขารู้สึกโมโหไม่แพ้กัน
“ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าใครทำ” พอพูดจบ ไรอัลก็เดินไปที่เสากระโดงเรือ คลิฟท์ตามมาติดๆ
ทั้งสองปีนขึ้นไปยังจุดที่ต้นหนของซีกัลไวท์ยืนอยู่ ที่ๆ จะเห็นทุกอย่างเบื้องล่าง
ส่วนอัลและคริซโตเฟอร์
พวกเขาเดินเข้าไปหารอยซ์ จอน ชาร์ลี ธีอะดอร์และนีโอ ที่มาเป็นกลุ่มแรก
“พวกเจ้าเป็นไงบ้าง”
อัลถามด้วยความเป็นห่วง
“กัปตัน...ไม่เป็นไรครับ” นีโอกล่าว
“ว่าแต่เกิดเรื่องนี้ขึ้นได้ไง” เขาถามน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
อัลเงียบไป
นั่นแหละ เขาก็อยากรู้เหมือนกัน
‘ปัง! ปัง!’ เสียงปืนใหญ่ดังมาอีกสองลูก
เล็งมาที่ราฟาเอลว์ทั้งสิ้น ความคิดของผู้ที่ยิงมันมา คือการต้องการเห็นความจบสิ้นของเรือสีน้ำตาลไม้
ความจบสิ้นของศัตรูในอนาคต
และก็มีเสียงปืนใหญ่ตอบโต้จากซีกัลไวท์ไปทางที่มาของเสียงปืนใหญ่นั้นเช่นกัน
แม้จะไม่เห็นเรือที่อยู่ในเงาสีดำก็ตามที
ความมืดมิดปกปิดไปทั่ว
เสียงโหยหวนของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นชาย หญิง คนชรา หรือเด็ก ต่างส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากเธอผู้ที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในความมืดนั้น
อยู่ไหนล่ะ เจ้าอยู่ไหน! หญิงสาวพยายามมองหา ซ้ายขวา แต่...ก็ไม่พบใคร
เธอเหลือเพียงคนเดียว ความมืด มันมืดจนน่ากลัว ความรู้สึกหวาดกลัวนั้น
มันทำให้ร่างกายของเธอรู้สึกร้อนทั่วทั้งร่าง เอเวียน่าสะดุ้งตื่นขึ้นมาในที่สุด
เหงื่อออกท่วมใบหน้า หญิงสาวหอบ
และก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่านั่น...เป็นเพียงความฝัน
ความฝัน
มันคือความฝัน หญิงสาวปลอบใจตัวเอง ห้องนอนของอัล ห้องเดิม ห้องไม้สีน้ำตาล… เธอถอนหายใจเบาๆ
ในลำคอ...ความรู้สึกร้อนก็เข้ามาในร่างกาย เธอจึงปัดผ้าห่มออกไป แล้วเธอก็ได้ยินเสียงเอะอะจากนอกห้อง
ความรู้สึกที่ไม่ดีเข้ามาในหัว
ไม่เอาน่ามันก็แค่ความฝันเท่านั้น
เอเวียน่าคิดถึงความฝันเมื่อครู่พลางปลอบตัวเองอีกครั้ง เธอเปิดประตูในที่สุด
ฉับพลันเปลวเพลิงก็ลุกเข้ามาในห้อง
ร่างของเธอล้มลงอย่างวิตก
ภาพของเรือราฟาเอลว์ที่ลุกไหม้เข้ามาอยู่ในดวงตาที่เป็นสีส้มในบัดนี้
ลึกลงไปในจิตใต้สำนึก ภาพบางอย่างที่เคยอยู่ในความทรงจำผุดขึ้นมาเพียงลางๆ
มันเป็นภาพของเปลวไฟที่สร้างความหวาดกลัว ความสิ้นหวัง...
“ม่ายยยยยยยย!!!” หญิงสาวร้อง เธอถอยหลังหนีกองไฟที่ลุกไหม้เข้ามาในห้อง
มือสองข้างเอื้อมมาปิดหูเอาไว้อย่างหวาดกลัว
ความฝัน ใครก็ได้
ช่วยบอกทีว่ามันคือความฝัน “ม่าย…”
ทางด้านซีกัลไวท์
ลูกเรือราฟาเอลว์ต่างข้ามน้ำมาเรื่อยๆ คริซโตเฟอร์คอยนับจำนวนคนที่มาถึงแล้ว
และคอยดูแลพวกเขา
“อัล!” เสียงร้องเรียกของรองกัปตันตัวล่ำสันจากที่สูง
ทำให้กัปตันหนุ่มจำเป็นต้องละสายตาจากเรือราฟาเอลว์
“เจ้ามีอะไร!”
อัลถามกลับขึ้นไปแข่งกับเสียงความวุ่นวายของลูกเรือ
“เรือที่ยิงเราน่ะสิ!” ไรอัลตอบกลับมา
“เจ้าขึ้นมา...เฮ้ย!” ยังไม่ทันไรกัปตันผมสีแดงเพลิงก็ขึ้นมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
เล่นเอาเขาสะดุ้งเลยทีเดียว
“เจ้าปีนหรือบินขึ้นมาเนี่ย” ไรอัลถามอย่างสงสัย
“เจ้ามีอะไร” อัลถาม
“อยู่ข้างล่างมันหนวกหูมาก ข้าเลยขึ้นมาที่นี่”
เขาตอบ ไม่มีอารมณ์สนใจคำถามของรองกัปตันตัวล่ำสัน
“มันแคบไปรึเปล่า”
คลิฟท์พูด มองดูรอบๆ บนรังกาตอนนี้มีเขา ไรอัล กัปตันราฟาเอลว์ และลูกเรือซีกัลไวท์อีกสองคน
“ดี งั้นพวกเจ้าลงไป” ไรอัลพูดพลางชี้ไปทางต้นหนสองคนนั่น
“เร็วสิ” เขาเร่ง ด้วยรูปร่างของเขาแล้ว
ไม่มีใครที่จะกล้าหือกับเขาเป็นแน่ ต้นหนซีกัลไวท์จำต้องปีนลงไป
อัลเข้ามายืนแทนที่พวกเขา
“ตกลง พวกเจ้ามีเรื่องอะไร” อัลถามอีกครั้ง
คลิฟท์สบตากัปตันหนุ่ม
“เรือไงล่ะ” เขาพูด แล้วส่งกล้องส่องทางไกลให้กับอัล
“เรือที่ยิงปืนใหญ่มาทางเราไง”
อัลรับมาดู
เขาส่องกล้องไปทางที่คลิฟท์ชี้ เห็นเรือลำนึงในความมืด มันลอยอยู่นิ่งมาก
กลมกลืนเข้ากับน้ำทะเลและท้องฟ้าซึ่งบัดนี้เป็นสีดำ “นั่นเรืออะไร” ชายหนุ่มถาม
“เป็นเรือไม้ธรรมดา สีน้ำตาลเข้ม
ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ บรรจุคนได้พอสมควร
ข้าว่าคงเป็นเรือโจรสลัดที่มุ่งไปเกาะวิวเมดท์ หรือไม่ก็กลับออกมา” คลิฟท์พูด มันไม่ได้เป็นประโยชน์เท่าไรเลยแต่พอรู้ว่าลูกเรือมันไม่ได้มาก
“อืม”
อัลละสายตาจากกล้อง
“ข้าจะเรียกคริซโตเฟอร์มาดูเรือนี่ แล้วพวกเจ้าต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นใคร” เขาออกคำสั่ง แล้วส่งกล้องให้กับรองกัปตันผมบลอนด์
“ครับ”
ทั้งสองคนรับคำสั่งอย่างหนักแน่น
“ดี” อัลกล่าว
“ข้าจะลงไปดูลูกเรือหน่อย” แล้วเขาก็ปีนเชือกลงไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ!”
ไรอัลถอนหายใจ “เวรกรรมจริง”
“เอาเถอะน่า”
คลิฟท์กล่าว “อย่างน้อยเราก็ต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นใคร”
ไรอัลมองเพื่อนแล้วยิ้ม
“งั้นอย่างมากล่ะ” เขาหยุดพูดไปครู่นึง คลิฟท์มองกลับมาอย่างรู้ทัน
“ตีให้กระจุย” พวกเขาพูดพร้อมกัน และนั่นก็คงเป็นความรู้สึกเดียวกับกัปตันและคนอื่นๆ
ในเรือ ถึงเวลาที่ราฟาเอลว์ต้องเอาจริงซะแล้ว
อัลเข้าไปหาคริซโตเฟอร์ที่คอยนับลูกเรืออยู่
“เป็นไงบ้าง” เขาถาม
“เหลืออีกสาม แล้วก็ฮอคซ์” คริซตอบ
“อืม” อัลมองลูกเรือที่นั่งเป็นกลุ่มอยู่แถวขอบเรือ
ทุกคนดูหมดแรงไปตามๆ กัน
“ไม่มีใครเป็นไรนะ” เขาหันมาถามคริซโตเฟอร์อีกครั้ง
“อืม…” คริซกล่าว “...ไม่น่าจะมีใครเป็นไรนอกเสียจาก”
เขามองไปทางเรือที่กำลังไหม้ “ราฟาเอลว์”
อัลมองตาม
ได้แต่เงียบ ดูเรือราฟาเอลว์ ไฟกำลังไหม้ที่หัวเรือลามมาถึงส่วนกลางเรือแล้ว
เขาต้องปล่อยให้มันไหม้ไปอย่างนี้จริงๆ เหรอ
“กัปตัน”
มีคนมาสะกิดผ้าคลุมเขาเบาๆ อัลหันไป ปรากฎว่าเป็นสองฝาแฝดนั้นเอง
“ให้ข้าลองเรียกลมดูมั๊ย”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“เจ้าทำได้เหรอ”
“ให้ลมพัดเมฆมารวมกันไง
แล้วก็เกิดฝน...ข้ากับดิวเคยทำสำเร็จสองสามครั้ง ท่านคิดว่าน่าลองดูมั๊ย” คิวโอกล่าว
“แล้ว...เจ้าลองทำกี่ครั้งแล้ว
ที่ว่าสำเร็จไปสามครั้งน่ะ” คริซถามอย่างไม่ไว้ใจ
คิวยิ้ม
“ก็หลายอยู่แหละนะ
ส่วนใหญ่ที่เรียกมาได้ก็เป็นพายุกับลมแรงๆ ไม่ค่อยมีฝนตกลงมาอย่างเดียวหรอก” แล้วเจ้าฝาแฝดก็หัวเราะ
“ไม่ตลกเลยดิวโอ”
คริซโตเฟอร์กล่าว “หากเจ้าทำพลาดล่ะ”
หนึ่งในนั้นทำหน้าหงอย
“แหมท่านคริซลองดูก็ไม่เสียหายนี่น่า” อีกคนหนึ่งกล่าว
“อ๋อแล้วคนที่ชื่อดิวโอน่ะ ข้าต่างหาก”
“เอาเถอะ ลองดูก็ได้” อัลกล่าวในที่สุด
คริซถอนหายใจ
“ก็ได้ๆ...แต่ว่ารอให้ทุกคนข้ามมาซีกัลไวท์ให้หมดก่อนดีกว่า”
“อืม” อัลพูด
“เอาล่ะพวกเจ้าพยายามเข้าละกัน” เขาลูบหัวสองฝาแฝดเบาๆ
“เอ่อคริซ...” เขาพูดขึ้นเมื่อคิวโอและดิวโอไปอีกทางนึงแล้ว
“เจ้าไปหาไรอัลกับคลิฟท์ ข้าจะรอลูกเรือที่เหลือกับฮอคซ์เอง”
คริซพยักหน้า
“รับทราบ” และเขาก็เดินไป
อัลมองไปทางราฟาเอลว์
เขาต้องปล่อยให้มันลุกไหม้ไปอย่างนี้มันน่าเจ็บปวดจริงๆ
หวังว่าสองฝาแฝดคงทำอะไรได้ซักอย่างล่ะนะ เขาเพียงแต่หวัง
และแล้วเบนจามินคนดูแลโรงฝึก ฟิลิปผู้ดูแลคอกม้า
ต้นหนบิลเลียมและฟริงค์หมาป่าสีน้ำตาลก็ขึ้นมาเป็นกลุ่มสุดท้าย
“พวกเจ้าไปพักซะ” อัลตบหลังที่ละคนอย่างปลอบและให้กำลังใจ
เหลือแต่โอลิเวอร์ ฮอคซ์เท่านั้น ว่าแต่...ทำไมเขาถึงรู้สึกแปลกนะ อยู่ๆ
ความคิดนี้ก็ผุดเข้ามาในหัว มันไม่สบายใจเอาเสียเลย
รอไม่นานนักฮอคซ์ก็บินข้ามมา
แต่กลับเป็นในร่างคนปีกสีทองคำ ซีซัตหนุ่มอุ้มอะไรบางอย่างมาด้วย
กัปตันหนุ่มหรี่ตามองเพื่อให้เห็นชัดขึ้น นั่นโจซีฟีเน่ ทิงกาเบล
“เจ้าอยู่นิ่งๆ ไม่เป็นเหรอไง” เสียงความไม่พอใจของโอลิเวอร์ดังมาแต่ไกล
“เจ้าก็ปล่อยข้าสิ”
เบลดิ้น
“เจ้าอยากตายเหรอ จะถึงเรืออยู่แล้ว
อยู่นิ่งๆ!” เขากล่าวอย่างโมโห
นี่เจ้านกตัวแสบลืมไปแล้วหรือไงว่าเขาบาดเจ็บอยู่
อัลรับเทพซีซัตหนุ่มที่เหงื่อออกเต็มไปหมด
โอลิเวอร์ทิ้งทิงกาเบลลงทันทีเมื่อถึงพื้นเรือ
“นี่เจ้า!”
โจซีฟีเน่จะโวย แต่ก็ต้องรีบกลืนมันลงไปในทันทีเมื่อเห็นอาการของซีซัตหนุ่ม
“เจ้าเป็นอะไรน่ะ”
ฮอคซ์มองเธออย่างเหลือเชื่อจริงๆ
“นี่เจ้าถามว่าข้าเป็นอะไรเหรอ” เขาย้ำคำถามเธอ
“คิดว่าเป็นเพราะใครกันล่ะ”
เบลหน้าแดง
“ข้าขอโทษ
ข้าไม่นึกว่าแผลของเจ้ายังไม่หาย ข้าขอโทษ”
โอลิเวอร์เพียงแต่ยิ้มเป็นคำตอบ
“แล้วข้าอยากรู้นัก
เจ้าดิ้นอะไรกันนักหนา”
โจซีฟีเน่เหมือนนึกบางอย่างออก
“ใช่...อัล!” มันกระโจนเข้ามาหากัปตันหนุ่มในทันที เขย่าเสื้อของเขา
อัลสะดุ้ง
“มีอะไร”
“นายท่าน!…ท่านเอเวียน่า!”
เบลกล่าวอย่างร้อนรน
อัลเบิกตาโพล่ง เขาลืมบางอย่างไปจริงๆ
‘แค่น้ำกับไฟเท่านั้นแหละที่ข้ากลัว’ คำพูดของเอเวียน่าลอยเข้ามาในหัว
เธอเคยบอกเอาไว้ ‘แค่น้ำกับไฟ...’
“ข้าไม่รู้ว่าท่านไปอยู่ไหน!” เบลยังคงพูดไม่หยุด
‘น้ำกับไฟ...’
‘…กับไฟ...’
“เขา...อัล!” โจซีฟีเน่ตะโกนขึ้นอย่างตกใจ กัปตันหนุ่มกระโดดลงน้ำไปเรียบร้อยแล้ว
เขาว่ายไปยังเรือที่กำลังลุกไหม้ คำพูดของหญิงสาวยังดังกังวาลอยู่ในหัวสมอง
“นายท่าน!”
ฮอคซ์พยุงตัวขึ้นมา “ข้าไปเอง! ท่านกลับ...”
“จะบ้าเหรอ เจ้าบาดเจ็บนะ!” ซีซัตสาวดึงแขนข้างซ้ายที่ไม่บาดเจ็บของเขาเอาไว้
“ปล่อยข้านะ!”
ซีซัตหนุ่มพยายามสะบัดออก เขาจะกลายร่างเป็นเหยี่ยวอีกแล้ว
แต่เบลก็จับตัวเขาเอาไว้แน่น
“นี่เจ้า!” ฮอคซ์จะโวย
“อยู่นิ่งๆ ข้าเป็นคนทำให้เจ้าบาดเจ็บนะ!
ให้ข้าดูแผลเจ้าหน่อย!” เบลพูดอย่างไม่ยอมแพ้
แต่เจ้าหนุ่มก็ไม่ยอมเหมือนกัน
“ปล่อยข้า!” เขาพยายามสะบัดออกอีก แต่เพราะบาดเจ็บเลยไม่ง่ายนัก
เบลจับตัวเขาแน่น
“ไม่!” เบลห้ามสุดชีวิต “รู้บ้างสิว่ามีใครห่วงเจ้าบ้าง!”
ซีซัตสาวตะโกนอย่างเหลืออด
คราวนี้แหละที่โอลิเวอร์หยุดนิ่ง
เป็นห่วง เป็นห่วงเหรอ?? เมื่อกี้เขาได้ยินคำนี้ใช่มั๊ย เทพบุตรหันมามองทิงกาเบล
ซีซัตสาวที่พยายามห้ามเขา กอดเขาไว้แน่น หลับตามิด ขอบตามีน้ำบางๆ โอลิเวอร์นิ่ง
เป็นห่วงเหรอ เขาเอามือแตะหัวเทพีสาวเบาๆ
เบลสะดุ้งขึ้นมา
เธอปล่อยเขาทันที “อะ...อะไร” โจซีฟีเน่หน้าแดง
โอลิเวอร์ยิ้ม
“เมื่อกี้...เจ้าว่าอะไรนะ” เขาแกล้งถาม
นั่นทำให้มันหน้าแดงขึ้นไปอีก
“ปะ...เปล่านี่” เธอตอบตะกุกตะกัก
“ไหน...ดูแผลเจ้าหน่อยสิ...” นกน้อยเข้าไปดูแผลของเขา
เธอไม่กล้ามองหน้าเทพบุตรซีซัต ทำให้ไม่รู้ถึงสายตาที่มองมาทางตัวเธออย่างอ่อนโยน
เปลวไฟ
ความร้อน ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ความฝัน มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นอีกแล้ว ได้โปรด...
เสียงบางอย่างดังเข้ามาในหัวของเธอ พอซะที
“ไม่”
ปากพึมพำบางอย่าง
“ไม่นะ ได้โปรด” ใบหน้าซีดๆ ดวงตาสีส้ม หวาดกลัว
ตื่นตระหนก ไม่ว่ามองไปทางไหนก็มีเพียงแต่ไฟที่ลุกไหม้อย่างไม่ปราณี ‘ความตาย’
ไม่นะ
ร่างกายสั่น สติเริ่มเลือนลาง แต่หญิงสาวยังพยายามลืมตาอยู่
กลัวเพียงว่าหากหลับตาลงเทพแห่งความตาย จะมาพลัดพลาดจิตวิญญาณไปจากร่างกายเธอ
แต่ว่าการลืมตาทำให้เธอนึกถึงสิ่งที่น่ากลัวสุดหัวใจด้วยเช่นกัน
“ไม่นะ” หญิงสาวพึมพำ พยายามห่อตัวเข้ามาอีก
ไฟยังคงลุก และเธอเห็นบางอย่างผ่านเปลวเพลิงที่ร้อนระอุเข้ามาถึงตัวเธอ
อัล
ชายผมสีแดงเพลิงเข้ามาหาเธออย่างร้อนรน “เจ้าเป็นไรมั๊ย...โอเครึเปล่า” เขาตบหน้าเธอเบาๆ
เผื่อสติเธอจะออกไปแล้ว
“เอเวียน่า...”
ดวงตาของเธอมีภาพของเขา
แทนที่จะเป็นเปลวเพลิง น้ำตาเริ่มไหลรินออกมาอาบแก้ม
“เจ้าไม่เป็นไรนะ”
อัลจับแขนเธอ เป็นครั้งแรกที่เห็นเจ้าหล่อนร้องไห้ ตัวเธอสั่น สั่นมากจนน่ากลัว
หญิงสาวไม่ตอบอะไร เขารู้ รู้ว่าเธอกลัว อัลถอดเสื้อคลุมที่ยังพอชื้นๆ
อยู่บ้างจากการที่ลงไปว่ายในมหาสมุทร คลุมตัวหญิงสาวเอาไว้
หญิงสาวมองหน้าเขา
เธอคงถามว่าเขาจะทำอะไร
“เราจะออกไปจากที่นี่กัน” อัลเอามือข้างนึงลงไปใต้ขา และช้อนตัวเธอขึ้นอย่างง่ายดาย
ออกไปจากที่นี่
ฝ่าเปลวไฟไป!!! “ไม่นะ”
เอเวียน่าพึมพำ
กัปตันหนุ่มกระโดดเข้าไปในกองไฟ
ความร้อนพุ่งเข้าใส่หน้าหญิงสาว
ภาพบางอย่างผุดเข้ามาในหัว เป็นภาพเด็กหญิง นั่งตัวสั่นอยู่ในกองไฟ เสียงโหยหวน “ไม่นะ ได้โปรดปล่อยข้า ฆ่าข้าสิ อย่าทำอย่างนี้” เสียงของเด็กน้อยตัวเล็กๆ
กลายเป็นคำพูดของเอเวียน่า เธอเริ่มเพ้ออย่างไร้สติ
อัลฝ่ากองเพลิงมาถึงดาดฟ้าเรือ เขามองซ้ายที ขวาทีเพื่อหาทางออก
ชายหนุ่มเหงื่อตก เขากระชับเอเวียน่าให้แน่นขึ้น “เอาล่ะ” เขาพึมพำ หญิงสาวสังเกตเห็นรอยยิ้มของเขา มันไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย
ดวงตาอัลสะท้อนภาพของซีกัลไวท์ เรือสีขาวสะอาด เขาออกแรงวิ่ง และโดด!!
‘ตูม!’ น้ำแตกกระจาย
กัปตันหนุ่มปล่อยส่วนขาของเอเวียน่าที่เขาอุ้มเอาไว้ลงไปสัมผัสพื้นน้ำและใช้มือข้างนึงโอบเธอไว้
อีกข้างนึงก็ออกแรงว่าย
หญิงสาวได้แต่จับเสื้อเขาเอาไว้แน่น
เธอกลัวน้ำ ว่ายน้ำไม่เป็น
และเธอรู้สึกไม่ดีเลยที่เกือบทั้งตัวของเธออยู่ในมหาสมุทร เอเวียน่าตัวสั่น
พึมพำอะไรบางอย่าง
“โอบคอข้าไว้” อัลสั่งเบาๆ
เอเวียน่าทำตาม
อย่างน้อยมันทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นหน่อย แผ่นไหล่ที่กว้าง แข็งแกร่ง อกที่อบอุ่น
สักพักนึง
อัลก็หยุดว่าย ชายหนุ่มก็เลื่อนมือที่โอบเธอลงมาใต้สะโพกหญิงสาว
และดันตัวเธอขึ้นให้นั่งเธอบนแขนเขา มืออีกข้างจับเชือกที่ทิ้งลงมาเพื่อให้ลูกเรือราฟาเอลว์ปีนขึ้นไปเรือซีกัลไวท์
เอเวียน่าไม่ยอมปล่อยมือจากแผ่นไหล่นั้น
ถึงแม้จะขึ้นถึงเรือแล้วก็ตาม กัปตันหนุ่มหอบแหก
เธอได้ยินเสียงหัวใจเขาที่เต้นเร็วด้วยความเหนื่อยอ่อน
มันทำให้รู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อ
“เอาผ้ามา”
เสียงริชาร์ดสั่งลูกเรือ และไม่นานนักอัลก็ได้รับผ้าเช็ดตัวผืนยาว
ลูกเรือราฟาเอลว์ต่างเข้ามาดูพวกเขาด้วยความเป็นห่วง
ชายหนุ่มเช็ดหัวเอเวียน่าเบาๆ
“เอาน่า เจ้าไม่เป็นไรแล้ว” เขากล่าว
ความกลัวของเธอลดลง
แม้ตัวยังสั่นอยู่บ้าง ดวงตาสีส้มอ่อนโยนลง และเปลือกตาก็หล่นลงมาช้าๆ
แล้วเอเวียน่าหลับไปในอ้อมแขนนั้น
แสงไฟสีขาว เข้ามาในความมืด ดวงตาสีชาค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างช้าๆ
ภาพบนเพดานดูไม่คุ้นเคย เพดานสีขาวมีโคมไฟอันเล็ก แต่ดูมีราคา ห้อยลงมา
เธอพยายามนึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ราฟาเอลว์ไหม้ และเธอก็กลัวไฟ
แล้วก็...เกิดอะไรขึ้นนะ
“ตื่นแล้ว...เจ้ารู้สึกเป็นบ้าง” ภาพของกัปตันหนุ่มเข้ามาในดวงตาเธอ
“...อัล”
หญิงสาวพึมพำเรียกชื่อเขา ...แล้วเกิดอะไรขึ้นนะ เอเวียน่ารู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
“เจ้าอยากพักต่อมั๊ย” กัปตันหนุ่มถาม
เธอเหนื่อยจัง
ปวดหัวไปหมด แต่...ไม่อยากนอนเลยซักนิด หญิงสาวสู้กับความต้องการของตัวเอง
เพราะเธอมีเรื่องที่อยากทราบ “ไม่ล่ะ” หญิงสาวพยายามพยุงตัวขึ้น
ชายหนุ่มเข้ามาช่วย
“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่อยากพักต่อ” อัลถามอีกครั้ง
“แผลเจ้ายังไม่หายดีเลย ดูท่าจะแย่ลงไปอีกด้วยซ้ำ นอนซะหน่อยเถอะ”
เอเวียน่านั่งหลังพิงหมอน
“ไม่เป็นไร...ที่นี่...” หญิงสาวมองรอบๆ
“…ซีกัลไวท์?…”
“ใช่” อัลตอบเบาๆ
“แล้ว...”
เอเวียน่าเงียบ เธอคิดได้ที่หลังว่าไม่ถามคงจะดีกว่า
กัปตันหนุ่มยิ้ม
“...ราฟาเอลว์ไหม้ไปครึ่ง
คิวโอ ดิวโอเรียกฝนได้ พวกนั้นเก่งเป็นบ้าเลย...ลูกเรือบางคน ลงมือซ่อมบางแล้วล่ะ
ทั้งๆ ที่น่าจะพักเอาไว้ก่อน” เขาตอบ
“แล้ว...มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ” เอเวียน่าถาม น้ำเสียงแทบหมดแรง
อัลเลิกคิ้ว
“อืม...เจ้านอนไม่รู้เรื่องเลยเหรอไง
เสียงปืนใหญ่ออกดังขนาดนั้น” เขาตอบ
“เป็นเรือที่ไหนก็ไม่รู้ ข้าคิดว่าคงรู้เร็วๆ นี้แหละ” กัปตันหนุ่มพูด สายตาของเขาเหมือนบอกว่า ‘ข้าต้องรู้ให้ได้’
“...อืม”
เอเวียน่ากล่าว
อัลเห็นเธอดูท่าทางล้า
เขาเลยบอกให้เธอพักอีกนิด เพราะว่าพรุ่งนี้มีอะไรต้องทำอีกมาก
แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมเลย ผู้หญิงอะไรดื้อชะมัดยาด กัปตันหนุ่มคิด
“แล้ว...เจ้าจะทำยังไงต่อ” เอเวียน่าพูด
ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างใช้ความคิด
“อีกประมาณหกชั่วโมงเราจะถึงเกาะวิวเมดท์
เอาไว้ถึงตอนนั้นค่อยคิด” เขาตอบ
“เจ้าควรจะพักหน่อยนะ”
เอเวียน่าพยักหน้า
เธอมีเรื่องที่อยากรู้มากเหมือนกันแต่ว่าเอาไว้ที่หลังก็ได้ หญิงสาวค่อยๆ
พยุงตัวเองลงนอน
ชายหนุ่มเข้ามาช่วย
“พักมากๆ ล่ะ” แล้วเขาก็เดินออกจากห้องไป
เอเวียน่ารู้สึกสงสัยอะไรบางอย่าง
เธอลืมอะไรบางอย่างไปรึเปล่า แต่เธอก็ตัดสินใจไม่คิดอะไรมาก
เธอไม่อยากคิดถึงไฟเพราะมันทำให้เธอรู้สึกสั่น มันน่ากลัวเกินไป
ไม่อยากคิดถึงภาพที่เธอเห็นตอนอยู่ในกองไฟ ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น เธออยากพักผ่อน
เธอเหนื่อย แล้วเธอก็ค่อยๆ หลับตาลง
“นายท่าน”
พอเวลาผ่านไปไม่นาน เสียงเล็กๆ ก็เข้ามาในหู ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร
เสียงนั่นทำให้เธอสะดุ้ง เกือบจะหลับแล้วเชียวนะ
“ท่านรู้สึกเป็นไงบ้าง” เจ้านกน้อยถามเสียงใส
“ก็ดี”
เอเวียน่าตอบเรียบๆ
เบลนั่งลงในที่ที่อัลนั่งเมื่อครู่
“แล้ว...ท่านกลัวมากมั๊ย” มันถามน้ำเสียงเป็นห่วง
“กลัว” คงตอบได้เพียงคำเดียว
“ข้าขอโทษที่ไม่ได้ช่วยท่าน” โจซีฟีเน่กล่าวน้ำเสียงเศร้า
เอเวียน่าขมวดคิ้ว
หากไม่ใช่เบลแล้วใครช่วยล่ะ หญิงสาวคิดอย่างสงสัย “งั้นข้าออกมาจากที่นั่นได้ไง”
“อ้าว...นี่ท่านจำไม่ได้เหรอท่านเอเวียน่า
แหมน่าเสียดายจัง” ทิงกาเบลพูดท่าทางอารมณ์ดี
“ทำไมเหรอ”
เอเวียน่าสงสัย
เบลลุกขึ้น
“จะมีใครซะอีกล่ะ...” มันหันมายิ้มให้นายหญิง
“ก็อัลไงล่ะ” เอเวียน่าเงียบ เจ้านกน้อยเลยพูดต่อ
“ก็ท่านน่ะกอดเค้าแน่นแท้ๆ เลยนะ...นายท่าน นี่ท่านจำไม่ได้จริงๆ เหรอ”
เบลเหล่ตามอง
เอเวียน่ารู้สึกแปลกๆ
ข้าเหรอ ข้าเนี่ยนะ เธอคิด กอด...หญิงสาวแทบเอาหน้าซุกหมอน
เธอจำได้แล้ว จำได้ชัดเสียด้วยซิ
“เจ้า...ออกไปก่อนได้มั๊ย ข้าอยากพักหน่อย”
โจซีฟีเน่แปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมออกไปแต่โดยดี
เสียงประตูปิดดังปัง
เอเวียน่ารู้สึกหน้าร้อนผ่าว นี่เธอกอดเขางั้นเหรอ หญิงสาวเอาผ้าคลุมหัว
พยายามควบคุมอารมณ์ให้ปกติ หวา...ทำอะไรไม่คิดเลยนะเอเวียน่า
เอเวียน่าบ่นในใจ
แต่ว่า..
.แล้วเธอก็คิดถึงแผ่นไหล่ที่กว้าง แข็งแรง ที่โอบเธอเอาไว้ตอนที่เขาว่ายน้ำแล้วอก...ก็อบอุ่น...
หวาๆๆๆๆ!!! หญิงสาวร้องในใจ เธอรู้สึกร้อนผ่าวไปหมด
ไม่เอาน่าเอเวียน่า
เธอพยายามควบคุมตัวเอง ท้ายที่สุด เธอก็พล่อยหลับด้วยความเหนื่อยล้า
เอเวียน่าหลับไปได้สองถึงสามชั่วโมงแล้ว
ดวงจันทร์ขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ กลางคืนยังไม่จบ…
ประตูห้องของเธอเปิดออกเบาๆ ผู้มาเยือนใหม่ค่อยๆ ก้าวเข้ามา
แทบไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า... ร่างหนาเข้ามาข้างเตียงของหญิงสาว
เขาล้วงหาอะไรบางอย่าง หยิบมีดเล่มคมออกมา มือด้านหนึ่งจับผ้าห่ม
และอีกด้านเงื้อมีดขึ้นหมายปองชีวิต!!! คมมีดปักลงอย่างรวดเร็ว!!!
ดวงตาสีชาลืมขึ้น
คว้ามือของบุคคลที่เข้ามาใกล้ตัวอย่างรวดเร็ว มีดถูกดันมาอยู่ตรงหน้า
ระยะห่างไม่กี่เซน หญิงสาวมือสั่นพยายามดันมีดนั้นออกไป เธอไม่มีแรงเลย บ้าชะมัด
เอเวียน่าถีบชายคนนั้นออกด้วยแรงที่เหลืออยู่
เขากระเด็นออกไป
แสงของดวงจันทร์เข้ามาทางหน้าต่าง สะท้อนให้เห็นภาพของชายที่อยู่ตรงหน้า เส้นผมสีดำยาวเลยไหล่
ผ้าสีน้ำตาลคาดไว้บนหัว ดวงตาสีเข้มเย็นชา เอเวียน่ารู้จักเขาดี ...ลูอิซ
มือขวาของริชาร์ดแห่งท้องทะเล
นี่เขายังอยู่อีกเหรอเนี่ย
เอเวียน่าคิด เธอนึกว่าเขาโดนไล่ออกไปจากเรือหรือโดนสังหารไปแล้วแท้ๆ
เพราะทรยศต่อเรือและกัปตัน แต่นี่เขายังอยู่ตรงหน้าเธอ “เจ้ามาได้ยังไง”
เอเวียน่าถามเสียงเบา
ผู้เป็นมือขวายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“มันสำคัญด้วยเหรอ
เจ้าไม่กลัวตายเลยหรือไง” เขาถาม
แต่เอเวียน่าไม่ได้ตอบคำถามนั้น
“ริชาร์ด
ไม่ได้ไล่เจ้าออกไปอย่างนั้นเหรอ”
สายตาเย็นชามองมาที่เธอ
“คิดว่าหมอนั่นจะโง่ให้ข้าอยู่อีกงั้นรึ” เขาค่อยๆ เดินเข้ามาหาหญิงสาว
“แล้วเจ้าล่ะ เป็นยังไงบ้าง ทำไมมาอยู่ที่นี่...”
เสียงของเขาเบาลง พร้อมกับย่างก้าวที่ใกล้เข้ามา
เอเวียน่าจะลุกหนีการกระทำนั้นแต่
มืออันแข็งแรงก็คว้าคอเธอลงไปกับเตียงอย่ารวดเร็ว
“จะไปไหน ท่านหญิง...” เสียงของลูอิซเย็นชา เขารู้แล้วว่าเธอเป็นสตรีเพศ
“ข้าขอยอมรับว่าเจ้าเก่งสาวน้อย แต่เจ้าผิดเองนะ...”
มือของเขาบีบคอเธอแน่น
เอเวียน่าดิ้น
พยายามดึงมือนั้นออกก่อนที่เธอจะขาดอากาศ เธอคิดจะถีบเขา
แต่ขาสองข้างของลูอิซกดขาเธอไม่ให้เขยื้อน ตอนนี้เหลือมือสองข้างที่พยายามอย่างสุดแรง
“...เป็นผู้หญิงแท้ๆ
กลับอาจหาญจะสู้กับบุรุษ...” มือนั้นแน่นขึ้น
เอเวียน่าพยายามสูดอากาศเข้ามา
มือข้างนึงคลำหาสิ่งที่พอช่วยชีวิตได้ และเธอก็เจอกับอะไรบางอย่าง “...เจ้า พล่าม...อะไร” สายตาของหญิงสาวนิ่งจนทำให้ชายตรงหน้าเสียความมั่นใจ
“จะตายอยู่แล้วยังปากดีอีก!” ลูอิซบีบแรงขึ้น ครั้งนี้หมายจะสังหารคนตรงหน้าให้ได้
หญิงสาวจับมีดได้! เอเวียน่าเอามีดที่คลำได้เมื่อครู่
แทงเข้าข้างตัวของอดีตมือขวาซีกัลไวท์!!!
“โอ๊ย!!”
เขาปล่อยมือออกในทันที
เอเวียน่าไอ
แคก แค่ก พยายามสูดอากาศเข้าไป เธอลูบคอเบาๆ อย่างโล่งอก
หญิงสาวเกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้วมั๊ยล่ะ ดีที่หมอนั่นทิ้งมีดเอาไว้
และสายตาของเอเวียน่าก็มองไปทางผู้ที่จะสังหารเธอ
ลูอิซดึงมีดของเขาออกอย่างง่ายดายเหลือเกิน
เลือดไหลออกมาเล็กน้อย บาดแผลคงไม่ลึกมาก
แล้วสายตาของชายหนุ่มก็มองกลับมาที่เธออีก “ไม่เลวนี่” เขายิ้ม
“ขนาดพึ่งลุยไฟมาเมื่อกี้นะเนี่ย…”
แล้วเขาก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากขอบกางเกง “แต่...เจ้าคงกลัวมากเลยซิ
อยู่ที่นั่นตั้งนาน...” ไฟเเช็คอยู่ในมือของเขา
มันถูกจุดขึ้น
เอเวียน่ามองเข้าไปในเปลวไฟ
ภาพต่างๆ ลอยขึ้นมาบนหัว เธอถอยหลีกไปชิดขอบเตียง ดวงตามีภาพของเปลวไฟเล็กๆ
แต่ในความทรงจำกลับมีภาพของกองเพลิง
ลูอิซเดินเข้ามา
ไฟนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นอีก
เอเวียน่าถอย
“อย่านะ...” เธอพึมพำ
“ม่ายย!…อุ๊บ!”
มือนั้นปิดปากเธอก่อนที่จะส่งเสียงร้องได้มากกว่านี้
ไฟเข้ามาใกล้เธอ มันอยู่ตรงหน้าแล้วตอนนี้ เอเวียน่าพยายามจะขยับหนี
แต่ดูเหมือนไม่เป็นผลเอาเสียเลย
“...ถ้ารุ่งเช้า
ร่างเจ้าไหม้ทั้งร่างจะเป็นยังไงนะ...ริชาร์ดคงโมโหหน้าดู
เอ...แล้วกัปตันเจ้าจะว่ายังไงบ้างน้า” ลูอิซกล่าว
เสียงของเขาช่างเย็นชาไร้ความปราณี
“...เริ่มจากที่ไหนก่อนดีล่ะ
สาวน้อย…”
เอเวียน่าตัวสั่น
ภาพไฟดวงเล็กๆ ปลุกความทรงจำในจิตใต้สำนึกของเธอ ความทรงจำที่หน้าหวาดกลัว
ขอบตาเริ่มมีน้ำใสๆ ออกมา ดวงตาเริ่มไม่รับรู้อะไร มีเพียงไฟกับความร้อน...
“...ผมสีน้ำตาลของเจ้า สวยดีนะ...” ลูอิซเอามือข้างที่ถือไฟจับผมเธอ
“...ลาก่อน...แม่สาวน้อ...”
‘ตึง!’
ภาพนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก ลูอิซถูกใครคนหนึ่งลากออกไปจากตัวเธอ ไฟแช็คดับลง
ส่วนเจ้ามือขวาถูกกระทืบ
“เจ้าจะคิดลวนลามลูกเรือข้ามันยังเร็วไปหลายล้านปีเฟ้ย” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากความมืด
เขาทั้งเตะทั้งถีบลูอิซลุกและวิ่งออกไป แต่ชายหนุ่มตามออกไปถึงหน้าประตู
“จับมันไว้!” สุดเสียงคำสั่งนั้นซักพัก
ชายที่ช่วยเธอก็กลับเข้ามาในห้อง เปิดไฟขึ้น และเข้ามาหาเธอ
“เจ้าโอเคมั๊ย” อัลนั่นเอง
เอเวียน่าเงยหน้ามองการมาของเขา
ผมสีแดงเพลิง ดวงตาสีน้ำตาลดำ
มือของกัปตันหนุ่มแตะที่หน้าผากเธอ
“ตัวเจ้าเย็นมากเลย
ไม่สบายรึเปล่า” อัลมองหน้าของเอเวียน่า มือโอบกอดเธอเบาๆ
“ไม่ต้องกลัวน่า เจ้าไม่เป็นไรแล้ว” หญิงสาวค่อยๆ
นิ่งลง อัลจึงปล่อยตัวเธอลงบนเตียง ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องน้ำ
และออกมาพร้อมกับผ้าชุบน้ำหมาดๆ เขานั่งลงข้างๆ เธอ
“เจ้า...มาที่นี่ได้ไง” เอเวียน่าถามเบาๆ
อัลโป๊ะผ้าเปียกเย็นๆ
ลงที่หน้าเอเวียน่า “ข้าพึ่งประชุมเสร็จ
เลยจะมาดูเจ้าซักหน่อยน่ะ เห็นเจ้าไม่ค่อยสบายอยู่”
แล้วอัลก็เอาผ้าออก
“...แต่ไม่คิดเลยว่า จะเจอคนอยู่ก่อนแล้ว เป็นคนที่คาดไม่ถึงเสียด้วยสิ” เขากล่าว
“ประชุมเหรอ เรื่องอะไรบ้าง” เอเวียน่าถาม
อัลมองขึ้นไปบนเพดาน
“เป็นความลับ” เขายิ้ม
“เจ้านอนพักเถอะ เดี๋ยวข้าจะอยู่เฝ้าให้ อีกสองสามชั่วโมงคงเช้าแล้ว
เราจะถึงวิวเมดท์กันซะที”
“อืม” และเอเวียน่าก็หลับตาลง
ด้วยความเหนื่อยล้า ทำให้เธอเข้าสู่ดินแดนนิทราอันแสนสงบอย่างรวดเร็ว
“ตื่นเร็ว นายท่าน!”
เสียงอันสดใสของเทพซีซัตสาวดังเข้ามาในหัวของเอเวียน่า
มันพยายามดึงผ้าห่มออกจากร่างที่นอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าผืนนั้น
แต่ผู้ที่นอนอยู่กลับไม่ยอมง่ายๆ
หญิงสาวไม่อยากให้ดวงตาสัมผัสกับแสงอาทิตย์เร็วเพียงนี้ “ข้าพึ่งหลับไปได้ห้านาทีเอง” เสียงพึมพำดังออกมาจากใต้ผ้าห่มที่สองสาวแห่งราฟาเอลว์แย่งกันอยู่ด้วยจุดประสงค์ที่ต่างกัน
“ท่านลุกเดี๋ยวนี้นะนายท่าน!” เบลพูดอย่างมีอารมณ์ มันพยายามดึงผ้านั้นออกสุดแรง
“อีกสิบนาทีล่ะกัน...” เอเวียน่าต่อรอง
เจ้านกน้อยปล่อยผ้าห่ม
ยังไงๆ เธอก็ไม่มีทางที่จะสู้แรงของสตรีที่เป็นบุรุษมานานหลายปีได้เลย
แต่มันก็ไม่ยอมแพ้ เทพสาวจับผ้าห่มขึ้นอีก “ท่านลุกได้แล้ว” โจซีฟีเน่ออกแรงดึง
“ท่านรู้มั๊ย ว่า...”มันหยุดเป็นช่วงๆ
เพื่อผลัดแรงดึงจากมือสองข้าง
“อัลน่ะ เขา ลง ไป ที่ เกาะ...แล้ว…”
“อะไรนะ!” เอเวียน่าลุกขึ้นทันที ‘ตึง!’ ทำให้เทพีสาวต้องเสียหลักล้มลงไปชนกำแพงพร้อมกับผ้าห่มผืนใหญ่ที่คลุมหัวอยู่
ดวงตาสีฟ้าสดใส ของเธอมึนงง เป็นภาพที่ดูไม่ได้เอาเสียเลย
“เบล! เจ้าเป็นอะไรมั๊ย” เอเวียน่าเข้าไปหาอย่างเป็นห่วง
“...ม่าย เป็น.รายยยย” นกน้อยลากเสียงยาว อาการและท่าทางเหมือนคนเมาไม่มีผิด
“เบล! โจซีฟีเน่
ทิงกาเบล นี่!” เอเวียน่าเรียก
มันส่ายหัวแรงๆ
ตบหัวเบาๆ และลูบหัวด้านหลังที่โขกกำแพงเข้าอย่างเจ็บปวด “เจ็บ...” มันพึมพำ
“ท่านเป็นอะไรไปเนี่ย” เบลถาม
สีหน้ายังงุนงงอยู่เล็กน้อย
“เออใช่”
เอเวียน่าพูดเหมือนนึกอะไรออก “เรามาถึงเกาะวิวเมดท์แล้วใช่มั๊ย”
“แน่นอนนายท่าน” ทิงกาเบลกล่าว
มันหยิบผ้าห่มบนพื้นขึ้นมาพับ
“ในเรือนี้มีห้องอาบน้ำอยู่ ท่านรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วค่อยลงไป
อัลบอกว่าเขาจะอยู่แถวๆ ตลาดในหมู่บ้าน
คลิฟท์กับดิวโอยังอยู่เดี๋ยวเราค่อยลงไปกับพวกเขาก็ได้”
นกน้อยพูด พอพับเสร็จแล้วก็เดินไปวางที่เตียง
“มีอะไรอีกรึเปล่าน้า...” มันทำท่าคิด
“อ๋อ…แล้วอัลยังบอกข้าว่าให้มาปลุกท่านด้วย
ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาไม่มาปลุกท่านเอง”
โจซีฟีเน่อดสงสัยไม่ได้
เอเวียน่าคิดแล้วก็ต้องยิ้มออกมา
เขาคงกลัวเธอจะเตะเค้าให้เหมือนวันก่อนล่ะมั้ง แล้วเธอก็หันไปหานกสาว “เจ้ามีเสื้อผ้ามาให้ข้ารึเปล่า” เอเวียน่าถาม
“มีเจ้าค่ะ” เบลพูด
“อยู่ในห้องน้ำแล้ว”
“ขอบใจ”
เอเวียน่าพูด เธอก็เดินออกไป แล้วก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
เธอเลยหันกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง
“ข้าหวังว่าครั้งนี้คงไม่ใช่ชุดฟูฟ่องนะ” เอเวียน่าถาม
เทพีสาวยิ้ม
“น่าเสียดายที่ไม่ใช่นะนายท่าน” เบลว่า
“ตอนแรกข้าก็กะจะเลือกให้ท่านเหมือนกัน แต่มันไม่ค่อยสะดวกเวลาเดินเท้า
เอ๊ะ!…แต่ถ้าท่านต้องการข้าจะเอาไปเปลี่ยนกับร้านเดิมและซื้อชุดใหม่ให้ท่าน
ท่านจะเอารึเปล่า” นกน้อยถาม รอยยิ้มของมันสดใสจริงเชียว
“ไม่ล่ะ ขอบใจ”
เอเวียน่าปฏิเสธแทบในทันที เธอยังเข็ดไม่หายจากที่เกาะที่แล้วเลยนะ
เธอหกล้มไปกี่ครั้งเจ้านกน้อยรู้รึเปล่า
“อ๋อ” ก่อนที่เธอจะกลับออกไปอีก
เธอก็นึกบางอย่างออกอีกเรื่อง
“...เสื้อคลุมของข้าอยู่ที่เจ้าใช่มั๊ย”
“จริงสิ”
ซีซัตสาวก็เสกเสื้อคลุมสีน้ำตาลออกมา
“ดีนะที่อยู่ที่ข้า” โจซีฟีเน่ว่า
“ดีที่อยู่ที่เจ้า...” เอเวียน่าเข้ามารับเสื้อคลุม
“ขอบใจ” เธอกล่าว
หลังจากที่เอเวียน่าแต่งตัวในชุดอย่างบุรุษด้วยเสื้อสีน้ำเงินหลวมๆ
เอาผ้าพันหน้าอกให้แน่นกว่าเดิม เสยผมสีน้ำตาลเข้มที่เปียกจากการสระผมของเธอขึ้นไป
หญิงสาวใช้พลังของต่างหูสีน้ำเงินซึ่งก็คือคริสตัลแห่งดวงดาวนั่นเองเปลี่ยนเสียงของเธอให้กลายเป็นบุรุษ
มันหายไปจากปลายหู...เมื่อเธอใช้พลังจะไม่มีใครเห็นมันได้
รูปร่างที่ดูเป็นสตรีของเธอถูกปกปิดไว้ด้วยผ้าคลุมสีน้ำตาลผืนเดิม
ใต้ผ้าคลุมคทาซึ่งเป็นอาวุธของเอเวียน่าถูกเก็บอยู่ในที่ของมัน
บัดนี้เอเวียน่าก็ละทิ้งชื่อจริงๆ ของตัวเอง
และตอนนี้เธอก็กลายเป็นจอห์นไปอีกครั้ง โจซีฟีเน่ ทิงกาเบล แปลงร่างเป็นนกตัวเล็กๆ
สีทองเกาะบ่าข้างขวาที่ประจำของมัน พวกเขาพร้อมกับการที่จะลงเกาะแล้ว
“เมื่อกี้เจ้าว่าว่าไงนะ” เอเวียน่าถาม
“คลิฟท์และดิวโอรอเราอยู่เหรอ”
ข้าบอกว่าพวกเขายังอยู่บนเรือเฉยๆ
ไม่ได้บอกว่ารอเราอยู่ซักหน่อย เบลพูดในร่างของนก
เราจะลงไปกับเขาก็ได้นะนายท่าน
“ไม่ล่ะ”
เอเวียน่าปฏิเสธ
“ดีแล้วที่พวกเขาไม่ได้รอเราอยู่” ว่าแล้วหญิงสาวในคราบบุรุษก็หาทางลงจากเรือ
ซึ่งมันลำบากตรงที่ตอนไต่เชือกลง
เอเวียน่าแก้ไขปัญหาโดยกระโดดลงไปที่ท่าเรือที่อยู่ด้านล่างนั่นแทน
แม้เธอจะต้องปิดตาเพราะเหมือนเธอกำลังโดดลงน้ำก็ตามแต่มันก็คุ้มล่ะ
เอเวียน่าตรงไปที่ตลาดของหมู่บ้าน
หญิงสาวคิดว่า นานเท่าไรแล้วนะที่เธอไม่ได้เหยียบพื้นดิน
ผู้คนมากมายกำลังเดินซื้อสินค้าในยามเช้า ร้านต่างๆ เริ่มเปิดขึ้น
ขณะที่บางแห่งเริ่มปิดลง เหมือนดังเช่นเดิม วิวเมดท์เป็นชนเผ่าแห่งแร่ธาตุก็จริง
แต่สภาพเมืองไม่ต่างจากที่เมืองหรือเกาะอื่นๆ ที่เคยเจอเลย
ยังไงก็ตามบรรยากาศของบนบกกับบนทะเลย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว บนทะเลมีลมอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่ามองไปทางไหนก็มีแต่พื้นน้ำสีน้ำเงิน มองขึ้นฟ้าก็มีเพียงแต่ก้อนเมฆ
ท้องฟ้าและนกที่โบยบินอย่างอิสระ แต่ที่นั่นก็ทำให้เธอสดชื่นตลอดเวลา
เสียอย่างตรงที่เธอค่อนข้างกลัวน้ำเนี่ยสิ ถึงจะว่ายังไงก็ตาม
เอเวียน่าก็ชอบบนบกมากกว่า เพราะมีผู้คนที่จอแจ ไม่เงียบสงบ
บางทีเสียงก็ดังเกินไปด้วยซ้ำ
พื้นไม่ใช่สีน้ำเงินแต่กลับเป็นสีน้ำตาลบ้างเขียวบ้างของพื้นดิน
เท้าได้สัมผัสธรรมชาติ นี่สิที่วิเศษ บรรยากาศแตกต่างกับพื้นน้ำโดยสิ้นเชิง
และที่สำคัญ...
เอเวียน่ามองขึ้นฟ้า
วิลฟริด เจ้าอยู่กับข้าใช่มั๊ย ความคิดของเธอนึกถึงชายคนสำคัญที่สุดในดวงใจ
นายท่าน
ท่านจะซื้ออะไรมั๊ย เสียงของนกน้อยปลุกเอเวียน่าจากความคิดที่เพลินๆ
“ไม่ซื้อหรอก”
เอเวียน่าพูด
“อาหารน่ะมันเป็นหน้าที่ของกัปตัน ของใช้ก็หน้าที่กัปตัน ไม่ว่าอะไรๆ
เมื่อเราเป็นลูกเรือถึงแม้จะชั่วคราวก็ตาม
แต่ทุกอย่างมันเป็นหน้าที่ของกัปตันทั้งนั้น” เธออธิบาย
งั้นเหรอ
ฮึ แล้วเสียงหัวเราะที่ร้องจิ๊บๆ ก็ดังขึ้นเบาๆ
เอเวียน่าคิด
ว่าแต่ว่าหมอนั่นมีเงินเหรอไง หญิงสาวคิดถึงกัปตันหนุ่มผมแดงเพลิง
แล้วก็คิดถึงเรื่องบางอย่างออก
“เบล หากข้าไม่เดินทางกับราฟาเอลว์ต่อจะว่าไง”
เธอคิดว่าหากอัลไม่ไปที่เกาะเอร์ซิลล่ะก็
คงไม่จำเป็นที่เธอจะต้องเดินทางต่อไปกับเขา เมื่อเธอมาถึงแผ่นดินแล้วด้วย
การทำงานอะไรๆ คงง่ายขึ้นกว่าเดิม
ท่านหมายความว่าไงกัน
นกสาวถาม
“เก็บเอาไปคิดดูนะ”
เอเวียน่าพูด และก็ปัดเรื่องนั้นทิ้งไปทันที
แต่ทิงกาเบลไม่ยอมให้มันจบ
เมื่อมันได้ยินเต็มสองรู้หู เดี๋ยวก่อนซินายทะ...ไม่ทันที่มันจะพูดได้จบ
“ว้ายยยยยยย!!!” เสียงร้องของเด็กสาวก็ร้องขึ้น
เอเวียน่าจำเหตุการณ์ที่อยู่ในความทรงจำได้ชัดเจน
เสียงแบบนี้ทำให้เธอนึกถึง...โจรสลัด! ที่ทำให้เธอสูญเสียทุกอย่างไป
เสียงที่เธอได้ยินเมื่อครั้งคนสำคัญที่สุดของเธอตาย เสียงที่ทำให้วิลฟริดตาย
เอเวียน่าหัวใจเต้นตึกตัก เหงื่อเริ่มไหลออกมา ความรู้สึกบอกให้เธอหนี
แต่ร่างกายกับวิ่งไปยังที่มาของเสียงอย่างรวดเร็ว เกิดอะไรขึ้น โจรสลัดรึไง
หญิงสาวคิด พยายามวิ่งสุดแรง ทิงกาเบลไม่สามารถเกาะไหล่ของเอเวียน่าเอาไว้ได้
มันต้องเปลี่ยนเป็นการบินตามแทน
ขอให้อย่าเกิดอะไรขึ้นเลย
อย่าให้มีใครเป็นอะไรไปเพราะโจรสลัดอีกเลย จิตสำนึกคิดเช่นนั้น
เธอไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสีย
เธอไม่ต้องการให้ใครมารู้สึกเช่นเดียวกับเธออีกต่อไป
ความคิดเห็น