ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    They call me STALKER[พวกเขาเรียกผมว่าสตอล์คเกอร์]

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่1:จุดจบและจุดเริ่มต้น

    • อัปเดตล่าสุด 3 ต.ค. 55


        บทที่1:จุดจบและจุดเริ่มต้น

        ย้อนกลับไปในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม...

        ช่วงเวลาที่เป็นจุดจบและจุดเริ่มต้นของการเป็นสตอล์คเกอร์ของผม

    .....................................................................................................................................................................

        ผมมองท้องฟ้าสีครามที่มีเมฆอยู่จำนวนหนึ่งอย่างอ้อยอิ่ง...

       ตอนนี้ผมอยู่บนชั้น4ของอาคารเรียน ในเวลานี้เป็นเวลาพักกลางวัน ทำให้ผมสามารถมาเดินเล่นแถวนี้ได้โดยไม่มีขอกังขาใดๆทั้งสิ้น แต่ก็นั่นล่ะ ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงพักกลางวันมันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีนักเรียนอยู่บนอาคารเลย ยังมีนักเรียนจำนวนหนึ่งเดินไปมาระหว่างอาคารอยู่

        แต่พวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ได้หันมาสนใจผม...ก็ดีแล้วล่ะ ต่างคนต่างอยู่มันก็ดีแล้ว

        ผมมองไปข้างล่างของอาคารเพื่อหา “เหยื่อ” ของวันนี้

        ใจเย็นๆก่อน ผมไม่ได้เป็นฆาตกรโรคจิตแต่อย่างใด แต่โรคจิตนี่...คงจะใช่ล่ะมั้ง

        ผมเป็นสตอล์คเกอร์ครับ นั่นคือความจริง สิ่งที่ผมชอบก็คือการติดตามผู้คนไปเรื่อยๆ ค้นหาความลับของ “เหยื่อ” ที่ผมติดตาม พอได้ความลับก็จดลงไปในสมุด ไล่ตามไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงที่สุดเท่าที่คนๆหนึ่งจะทำได้ จะว่าผมโรคจิตก็ได้นะ แต่ผมรู้สึกมีควาสุขยังไงก็ไม่รู้ที่ทำแบบนี้...

        ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่เวลาที่ผมได้รู้ความลับใหม่ๆ มันรู้สึกสนุกแล้วก็มีความสุขดี เวลาตาม “เหยื่อ” ไปเรื่อยๆโดยทีเหยื่อไม่รู้ตัว มันทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งวามสุขออกมายังไงชอบกล

        ยังไงก็ตาม ผมรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี เข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคลด้วย แต่ก็...ผมหยุดมันไม่ได้เลยล่ะ เวลาเลือกเหยื่อได้แล้ว ก็รู้สึกเหมือนร่างกายมันแทบจะขยับไปเองด้วยซ้ำ

        สายตาของผมจดจ้องไปที่นักเรียนหญิงคนหนึ่ง...

        เธอน่าจะอยู่ในช่วงอายุ15-16 แม้จากตรงนี้ผมก็สามารถเห็นได้ว่าเธอเป็นคนที่ดูดีมากเลยทีเดียว หากจะอธิบายง่ายๆ เธอก็เป็นคนที่อยู่ระหว่างคำว่า “สวย” กับคำว่า “น่ารัก” แม้ว่าผมจะอยู่บนตึกสูงสี่ชั้น แต่ด้วยสายตาของผมที่ฝึกมาด้วยตัวเอง ทำให้ผมสามารถจินตนาการรายละเอียดของหน้าตาของเธอคนนี้ได้ ใบหน้าของเธอนั้นสวยได้รูปมากเลยทีเดียว...

         นี่ล่ะ “เหยื่อ” วันนี้...

         เมื่อผมเลือกเหยื่อได้แล้ว ผมจึงจัดการตามเหยื่อไปโดยทันที

        เอาล่ะ...ถ้าใช้บันไดลงไปล่ะก็ เหยื่อคนนี้คงจะคลาดสายตาแน่ๆ

        เพราะฉะนั้นต้องปีนลงไปจากชั้น4อย่างเดียว

       “ฮึบ”

        เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ผมจึงปีนลงไป โดยอาศัยท่อระบายน้ำที่ต่อกับรางระบายน้ำฝนบนหลังคาเป็นตัวช่วยปีนลงมา

        ผมอาศัยจังหวะที่คนส่วนใหญ่ไม่สนใจผม ปีนลงไปจากชั้น4แล้วกระโดดลงไปในพุ่มไม้ข้างๆก่อนที่เท้าจะแตะพื้นเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังจนหันมาทางผม

        “???”

        ดูเหมือนเหยื่อของผมจะได้ยินเสียงผมตกลงไปในพุ่มไม้ เธอหันมองข้างหลังของตัวเอง ก่อนที่จะไม่สนใจแล้วเดินไปข้างหน้าตามเดิมอีกครั้ง

        เกือบไปแล้วไหมล่ะ...

        เอาล่ะ ต้องระวังกว่านี้หน่อยแล้ว ยังไงก็ตาม ถ้าความแตกขึ้นมาล่ะจะมีแต่ซวยกับซวยแน่...

        ผมรอให้เหยื่อเดินห่างออกไป แล้วจึงออกมาจากพุ่มไม้นั้น ปัดใบไม้ออกจากตัวเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต แล้วจึงเริ่มเดินแฝงตัวไปตามเหล่านักเรียนที่มุ่งหน้าไปที่โรงอาหาร

        ดูจากเส้นทางแล้ว ดูเหมือนว่าเธอคนนี้จะกำลังมุ่งหน้าไปที่โรงอาหาร แต่หลังจากที่เธอได้ยินเสียงผมกระโดดลงไปในพุ่มไม้ เธอก็เปลี่ยนเส้นทางทันที

       คงไม่ใช่ว่าเธอรู้ตัวแล้วหรอกนะ?

        ก็เป็นไปได้ว่าเธออาจจะรู้ตัว ทิ้งระยะห่างหน่อยดีกว่า

        “........”

        เมื่อผมไม่ได้ตามเธอไป เธอก็หยุดชะงักลง แล้วมองมาที่พุ่มไม้ที่ผมอยู่...

        เธอยิ้มให้กับผมด้วยรอยยิ้มแปลกๆ

        มันจะเป็นรอยยิ้มที่เป็นมิตรก็คงไม่ใช่ แต่จะบอกว่าเป็นรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์หรือแสดงความเป็นศัตรูมันก็ไม่ใช่อีกนั่นล่ะ

        มันเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น แต่ก็ไม่น่าไว้ใจ

        อย่างกับเธอบอกว่าอยากให้ผมตามเธอไปอย่างนั้นแหละ

        เหยื่อของผมหันหน้ากลับไปข้างหน้าเช่นเดิม แล้วเริ่มออกวิ่งเหยาะๆไปตามทางเดินของโรงเรียน

        ท้างั้นเหรอ? จะบอกว่าให้ผมตามเธอไป?

        เอาอย่างนั้นก็ได้...

        ผมรอให้เธอวิ่งเหยาะๆไปจนถึงหัวมุม แล้วหายไปจากสายตาของผม จากนั้นผมจึงเริ่มวิ่งตามด้วยฝีเท้าเงียบกริบ

        “ฮึบ!

        เมื่อวิ่งมาถึงอีกอาคารหนึ่ง ผมไต่ไปตามกำแพงของอาคารอย่างรวดเร็ว อาศัยท่อเหล็กสำหรับระบายน้ำฝนกับขอบระเบียงของอาคารเป็นตัวช่วย

        การปีนอาคารในยุคสมัยอาคารคอนกรีตนี่เป็นอะไรที่ลำบากและต้องใช้ความรวดเร็วกับตัวช่วยเยอะมาก ไม่เหมือนอาคารยุคกลางกับยุคเรเนอซองที่มีอะไรให้ยึดเกาะบ้าง นั่นทำให้ผมต้องฝึกหนักอยู่มากสำหรับการปีนตึกและกำแพงโรงเรียน

        ผมปีนมาจนกระทั่งถึงหลังคากระเบื้องของอาคารเรียนที่อยู่ตรงข้ามอาคารเมื่อกี้ที่ผมมอง “เหยื่อ” เอาล่ะ วันนี้คงต้องติดตามจากที่สูงสินะ...

        แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ “เหยื่อ” ท้าผมให้ตามตัวเองมา

        ไม่ ไม่ ไม่ เดี๋ยวสิ อาจจะไม่ใช่ก็ได้ คิดในแง่ดีเข้าไว้สิมานพ บางทีเธอคนนี้อาจจะแค่หันมามองโดยบังเอิญแล้วยิ้มให้กับอะไรบางอย่างก็ได้ อย่างคนที่เธอรู้จักไง จะว่าไปหลังพุ่มไม้ที่ผมซ่อนตัวมันก็มีหน้าต่าง บางทีคนที่เธอรู้จักอาจจะอยู่ข้างในห้องนั้นก็ได้...

        ไม่สิ...ไม่สิ...ใบหน้าของเธอมองต่ำไปที่พุ่มไม้นี่นา...

        เฮ้? นี่ผมกำลังรู้สึกอะไรอยู่เนี่ย?

        “...???...”

        ผมกำลัง “กลัว” งั้นเหรอ...

        ถ้าเธอบอกให้ตามไป แสดงว่าเธอต้องรู้แน่ๆว่าผมกำลังแอบตามเธออยู่...เป็นไปได้อย่างนั้นเหรอ? นี่ความลับของผมกำลังแตกแล้วงั้นเหรอ?

        บ้าชะมัด

        เป็นครั้งแรกเลยที่ผมเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมา กลัวในขณะที่กำลังติดตามเหยื่ออยู่

        เย็นไว้น่ามานพ คนเราเวลาสูญเสียความเยือกเย็นแล้วจะเสียความสามารถในการตัดสินใจไปตั้ง50%เชียวนะ

         เอาเป็นว่าเช็คที่เหยื่อของผมก่อนก็แล้วกัน เป็นไปได้ว่าถ้าเธอรู้ว่าผมตั้งใจจะติดตามเธอไป เธอก็น่าจะรู้ว่าผมอาจจะแอบมาทางหลังคาได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้าเธอมองขึ้นมาบนหลังคานี้ล่ะก็ แปลว่าเธอรู้ว่าผมแอบตามเธอมาจริงๆ

        ผมมองออกไปที่ข้างล่าง...

        “......!!!!....”

       เฮ้! ไม่ตลกเลยนะ!

        “เหยื่อ” ของผมหายไปแล้ว!

        บ้าชะมัด! พึ่งเคยเกิดเรื่องแบบนี้ครั้งแรกนี่ล่ะ! ตลอดชีวิตการเป็นสตอล์คเกอร์ของผมไม่เคยปล่อยให้เหยื่อคลาดสายตาไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว! นี่มันอะไรกัน!?

        “อุก!

        อะไรเนี่ย?

        ผมรู้สึกเหมือนกับมีแขนข้างหนึ่งนำผ้าขนหนูผืนเล็กๆผืนหนึ่งมาปิดจมูกผมไว้

        โปะยาสลบรึเปล่าเนี่ย?

        ผมกลั้นหายใจในทันที แล้วผลักแขนข้างนั้นออกไป

        “!!!!

        ผมตกใจจนแทบจะสิ้นสติไปทันที ไม่สิ ถึงไม่ตกใจสติของผมคงจะหลุดลอยไปอยู่ดี

        เหตุผลนะหรือ? ข้อแรกนะ ผ้าขนหนูนั่นมียาสลบจริงๆ ผมเผลอสูดเข้าไปนิดหน่อยแล้วก็เริ่มง่วงแล้วด้วยนะตอนนี้

         ส่วนข้อสอง เจ้าของแขนและมือข้างนั้นเป็นนักเรียนหญิง

        เป็น “เหยื่อ” ที่ผมคลาดสายตาไปเมื่อกี้!

        บ้าน่า! อาศัยจังหวะไม่กี่วินาทีปีนขึ้นมาบนนี้งั้นเหรอ!

        เมื่อเธอเห็นผม เธอก็ยิ้มให้กับผมด้วยรอยยิ้มที่เธอยิ้มให้ผมเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

        “ฮุฮุ...แหม...ปัดออกไปได้ด้วย...เก่งจริงๆเลยน้า~~~

        นักเรียนหญิงคนนี้คว้าเครื่องช็อตไฟฟ้าออกมาจากกระเป๋ากระโปรง เปิดสวิตซ์ แล้วพุ่งมันเข้ามาที่ท้องของผมทันที

        “อ!!....อุ้ก!!!

        สติของผมเลือนรางเต็มทน

        ผมรู้สึกได้ถึงกระแสไฟฟ้าของเจ้าเครื่องช็อตตัวนี้...พึ่งรู้ว่าเจ้าเครื่องช็อคไฟฟ้านี่มันก็ทำให้เหยื่อที่ถูกช็อตหมดสติเร็วจริงๆ แถมยังเจ็บแปล๊บๆอีกแน่ะ

        แต่ก่อนที่ผมจะหมดสติ ผมยังพอที่จะมองเห็นชื่อที่ปักอยู่บนเสื้อนักเรียนหญิงของเธออยู่ เห็นแค่ชื่ออย่างเดียวน่ะนะ

        ชื่อของเธอคือ “อัปสร”

    .....................................................................................................................................................................

       

        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×