เรื่องสั้นไม่สยองขวัญวันฮัลโลวีน - เรื่องสั้นไม่สยองขวัญวันฮัลโลวีน นิยาย เรื่องสั้นไม่สยองขวัญวันฮัลโลวีน : Dek-D.com - Writer

    เรื่องสั้นไม่สยองขวัญวันฮัลโลวีน

    ผีน้อยน่ารัก มาเจอกับเด็กน่ารัก เรื่องน่ารักจึงเกิดขึ้น(น่ารักสำหรับเอ็งคนเดียวละฟะ)

    ผู้เข้าชมรวม

    1,152

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    1.15K

    ความคิดเห็น


    10

    คนติดตาม


    2
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 เม.ย. 57 / 11:38 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    บทความนี้เข้าร่วมประกวดโครงการ Halloween fiction contest #2


    ***ประกาศผลแล้ว เหนือความคาดหมายมาก ๆ  ได้รางวัลมาสองรางวัลด้วยกัน ! ***


      

     

    แปลกใจเหมือนกัน ทำไมเหตุการณ์ถึงเป็นเช่นฉะนี้ ทั้งที่ไม่น่าจะได้แท้ ๆ  แต่ก็ดีใจค่ะ ฮือ...
    ขอขอบคุณท่านคณะกรรมการมากมาย และเจ้าภาพงานด้วย ได้คำวิจารณ์ไปปรับปรุงฝีมือเพียบเลย

    คำเตือน !!!!!!

    เด็กอ่อนต่อโลกที่แสนไร้เดียงสาควรมีผู้ปกครองแนะนำ มันมีอะไรที่ผิดศีลด้วยน่ะ

    เรืื่องสั้นนี้ปั่นในเวลาอันรวดเร็ว เนื้อเรื่องมันบ้า ๆ บอ ๆ  บทจะฮาก็แป้ก บทจะซึ้งก็แป้ก โอย...อนาถตัวเอง สรุป อ่านไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องหวังอะไรเถอะค่ะ...



    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


      ฟ้าไร้ดาว ท่ามกลางสุสานฝังศพ แสงจันทร์สาดส่องลงสู่พื้น ไม่เกิดเงาใด ๆ ทั้งที่ดูเหมือนจะมีคนยืนชุมนุมอยู่เป็นจำนวนมาก ทุกสายตาจับจ้องไปยังนาฬิกากางเขนเรือนโตซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสุสาน ทันทีที่เข็มสั้นและเข็มยาวชี้ตรงกัน ณ เลขสิบสอง เสียงผู้นำก็ประกาศก้อง
      “วันนี้คือวันอะไร”
                  “วันฮัลโลวีน !”
                  “เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า”
                  “วันปล่อยผี !”
                  “อีกอย่างหนึ่งก็คือ”
                  “วันของพวกเรา !!”
                  สิ้นคำ ผีทุกตนกระจายตัวออกอย่างรวดเร็ว ทะยานจากสุสานมุ่งสู่ผืนฟ้ารัตติกาล เป้าหมายคือหลุมดำทะมึนที่ปรากฏเป็นวงกว้าง นั่นคือประตูมิติที่ใช้เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์ซึ่งจะเปิดออกเฉพาะวันนี้เท่านั้น
                  วันที่ภูตผีทั้งหลายจะไปร่วมสนุกกับเหล่ามนุษย์ !
       
                  “ไปก่อนนะมะลิ”
                  “จ้า”
                  เด็กหญิงมะลิโบกมือลาเพื่อนทั้งสามคนก่อนจะหันไปสนใจไม้กวาดและเศษขยะบนพื้นต่อ ไม่นานพื้นห้องเรียนก็สะอาดเอี่ยมอ่อง เธอตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้งแล้วจึงหยิบถุงขยะพร้อมสะพายกระเป๋าเดินออกจากห้อง
                  เธอโยนถุงขยะลงไปรวมกับเพื่อน ๆ ของมันที่หน้าโรงเรียนก่อนปัดมือเปาะแปะ พอเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก็สะดุ้ง ตัวเลขที่แสดงบ่งบอกว่าเธอต้องรีบกลับเสียแล้ว แต่ก่อนจะก้าวเดิน กองขยะสูงประมาณหัวเข่าก็เกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย เรียกความสนใจจากเด็กสาวจนต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เหมือนความรุนแรงของการสั่นสะเทือนจะเพิ่มทุกขณะ
                  ทันใด สิ่งไม่มีชีวิตขนาดเท่าตุ๊กตาก็กระโดดดึ๋งออกจากกองขยะที่ทับถม มันแลบลิ้นปลิ้นตาสุดขีดหวังจะได้เห็นใบหน้าตื่นตกใจหรือเสียงกรีดร้องจากอีกฝ่าย แต่ทุกอย่างกลับเงียบ...ผีน้อยกะพริบตาปริบ ๆ จ้องเด็กสาว ผู้ถูกจ้องทำตาเป็นประกายวาววับจนมันผงะ ไม่ทันจะก้าวถอยหลัง เจ้าตัวเล็กก็ถูกคนตรงหน้าคว้าไปกอดเสียแน่น
                  “น่ารักจังเลย !”
                  “ดะ..เดี๋ยวสิ” มันไอค่อกแค่ก พยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ “ทำอะไรของเธอเนี่ย”
                  “ก็เธอน่ารักดีนี่ ปะ กลับบ้านกัน”
                  “เฮ้ย”
                  ด้วยความที่ขนาดตัวเล็กกว่ามะลิถึงสามเท่า มันจึงถูกลากไปอย่างช่วยไม่ได้ จะเปิดปากค้านก็โดนมือเล็กปิดไว้ จึงได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ในลำคอเท่านั้น
                  บ้านของมะลิเป็นร้านขายของชำ ขนาดเล็กพอสมควร มะลิต้องรีบกลับบ้านก่อนสี่โมงทุกวันเพื่อมาช่วยแม่ขายของ แต่เพราะวันนี้เธอบังเอิญเจอผีน้อยจึงทำให้เสียเวลาไปครู่หนึ่ง แต่ก็ทดแทนเวลาในส่วนนั้นด้วยการวิ่งกลับด้วยความเร็วมากกว่าเดิม ผมยุ่งกระเซิงจนผู้เป็นแม่ต้องบอกให้ไปอาบน้ำแต่งตัวเสียก่อน
                  “เดี๋ยวฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ เธอนั่งรอบนเตียงแล้วกันตุ๊กตาตัวน้อย” เด็กสาวพูดเสียงแจ๋วเมื่ออยู่ในห้อง
                  มันฟังแล้วนึกฉุน “เธอว่าใครเป็นตุ๊กตากัน ฉันเป็นผีนะ !”
                  เงียบ...
                  มะลิอ้าปากค้าง ชะงักการเดินไปห้องน้ำทันที มองเจ้าผีน้อยด้วยใบหน้าซีดเผือด นิ้วเรียวสั่นเมื่อชี้ไปทางมัน
                  “นะ..นายพูดได้ !”
                  “รู้สึกเหมือนฉันจะพูดให้เธอฟังหลายครั้งแล้วนะ” มันส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “ฉันเป็นผี ! เธอรู้จักผีใช่ไหม ผู้คนต่างหวาดกลัวพวกฉันกันทั้งนั้น ผีที่จะเข้าสิงร่างคนอื่น คอยหลอกคนอื่นไปทั่ว หึ...รู้อย่างนี้แล้วยังจะกล้าให้ฉันอยู่ที่บ้านนี้อีกหรือเปล่าล่ะ”
                  “นะ..นายเป็นผี” เสียงสั่นเครือ นั่นทำให้มันยิ้มด้วยความลำพองใจ
                  “ฉันฝันอยากจะเห็นผีมานานแล้วล่ะ ! นี่เป็นไงมาไงถึงมาที่นี่ได้ล่ะผีน้อย” ไม่ทันไรก็เปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นจนมันหน้าหงาย เด็กสาวดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอากัปกิริยานั้น แต่รีบผลุนผลันลงไปข้างล่าง “รอเดี๋ยวนะ ฉันจะไปหาของว่างมาให้”
                  สักพักก็วิ่งขึ้นมาพร้อมขนมเค้กกับน้ำชา “เอ้า เล่ามาเลย เร็ว ๆ”
                  เจ้าตัวเล็กกลืนน้ำลายเอื๊อก อยากไปจากบ้านนี้เพื่อจะได้ทำหน้าที่ของตนเสียที แต่ขนมเค้กหอมกรุ่นน่าอร่อยตรงหน้าทำให้มันตัดใจไม่ลง ตราชั่งในหัวกำลังสับสนว่าจะเอียงไปทางไหนดี แต่สุดท้ายมันก็ตัดสินใจนั่งกับพื้น ตักเค้กกินทีละคำ
                  สรุปคือ ของหวานชนะทุกสิ่ง !
                  “ฉันคือผีฝึกหัด” มันเริ่มปริปากเล่า “นี่เป็นปีแรกที่ฉันได้มีโอกาสมาโลกมนุษย์ เป็นแค่ครั้งเดียวในหนึ่งปีด้วย ประตูมิติที่เชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์กับโลกของฉันจะเปิดออกเฉพาะวันฮัลโลวีน เธอรู้จักวันฮัลโลวีนใช่ไหม”
                  มะลิพยักหน้า “อืม ฉันเป็นคนศาสนาคริสต์”
                  “นั่นแหละ มีกฎว่าต้องเป็นผีที่มีอายุการตายสามปีขึ้นไปเท่านั้นถึงจะมาโลกนี้ได้ แต่ไม่ใช่มาเที่ยวเปล่า ๆ นะ ผีทุกตนจะต้องหลอกคนให้ได้อย่างน้อยสามคน ไม่อย่างนั้นปีหน้าจะถูกงดไม่ให้มา เหมือนที่ฉันหลอกเธอวันนี้ไง”
                  “อืม เป็นการหลอกที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ” น้ำเสียงประชดอย่างขำขัน หากเจ้าตัวที่ถูกประชดคงยังไม่รู้สึก
                  “ฉันก็คิดว่ามันยอดเยี่ยม ไม่มีการหลอกไหนจะสมบูรณ์แบบไปกว่านี้อีกแล้ว แต่ทำไมเธอถึงไม่กลัวล่ะ” มันขมวดคิ้ว ทำท่าครุ่นคิดจริงจังเสียเหลือเกิน เด็กสาวต้องรีบปิดปากเพื่อไม่ให้เสียงหัวเราะเล็ดลอด
                  “อ่า...ฉันไม่ใช่คนกลัวผีเท่าไหร่” มะลิยิ้มระรื่น “เธอลองไปหลอกพ่อแม่ฉันสิฮัลลี่”
                  “ฮะ..ฮัลลี่” มันทวนด้วยความสงสัย
                  “ฉันตั้งให้ เธอเรียกฉันว่ามะลิก็แล้วกัน เอ้า ความคิดนี้ว่าไงล่ะ พ่อแม่ฉันขวัญอ่อนนะ”
                  ฮัลลี่นิ่งคิด เริ่มคล้อยตาม ตั้งแต่มาที่นี่มันยังหลอกใครไม่ได้สักคน ถ้าเอาตามที่มะลิว่าก็จะได้สองคนแล้ว อีกคนคงหาได้ไม่ยาก เวลาก็เหลือไม่มากด้วย...มันเลยตัดสินใจ
                  “เอ้า ตกลง”
                  “แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน” มะลิสวนทันควัน ใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้ม “เธอต้องทำตามที่ฉันบอกอย่างหนึ่ง”
                  “ว่ามาสิ” พอคิดว่าจะได้หลอกคนหัวใจมันก็อิ่มเอิบไปหมด
                  เด็กสาวยิ้มอย่างพอใจ ก้มลงกระซิบสิ่งแลกเปลี่ยน
       
                  “เร่เข้ามาคร้าบ ร้านขายของชำถูก ๆ อยู่ข้างบ้านท่านนี่เอง ของที่นี่มีมากกว่าเซเว่นอีเลเว่น ราคาถูกกว่าบิ๊กซี เลิศหรูอลังการกว่าพารากอนอีกคร้าบ!!!”
                  ผู้คนที่เดินผ่านต่างหันมาสนใจอะไรบางอย่างที่ตะโกนไปปั่นจักรยานไป บ้างก็รับใบปลิวที่เขียนตัวโต ๆ ว่า ‘ร้านของชำซุปเปอร์บิกกี้’ มาอ่านอย่างใคร่รู้ตามคำโฆษณา
                  ฮัลลี่หยุดพักหลังจากปั่นจักรยานมาร่วมครึ่งค่อนชั่วโมงตามคำแลกเปลี่ยนของเด็กสาวที่ว่า
                  ‘วันนี้ไปช่วยแจกใบปลิวแทนฉันหน่อยนะ การบ้านที่โรงเรียนเยอะมากจนจะทำไม่ทันอยู่แล้ว คิดดูนะ แจกใบปลิวนิดเดียวแลกกับการที่เธอได้หลอกคนตั้งสองคน คุ้มสุด ๆ !’
                  แล้วมันก็หลงเชื่ออย่างไม่เอะใจ นึกโกรธตัวเองตอนนั้นจริง ๆ
                  ได้พักพอหายเหนื่อย มันก็ขึ้นคร่อมจักรยานแล้วปั่นกลับไปที่ร้าน
                  “ใบปลิวหมดแล้วมะลิ” มันพูดอย่างเหนื่อยอ่อน ทำท่าจะล้มตัวนอนบนเตียง
                  “งั้นเหรอ อีกปึกหนึ่งอยู่หน้าประตูน่ะ ไปแจกต่อสิ” พูดไปโดยไม่เงยหน้ามองเพราะทำการบ้าน จึงไม่ทันเห็นสีหน้าโกรธจัดของฮัลลี่
                  “อะไรกัน ! ใช้งานฉันมาตั้งชั่วโมงหนึ่งแล้ว ยังจะใช้ต่ออีก พอเลย ๆ ฉันขอยกเลิกสัญญา แบบนี้ไม่คุ้มสักนิด !” มันกระแทกเสียง มะลิสะดุ้งตัว รีบหันมาง้อ
                  “โธ่ ฮัลลี่...ล้อเล่นหรอกน่า ฉันไม่ใจดำขนาดนั้นหรอก” พูดพลางยิ้มหวานหยดเยิ้ม “ปะ ไปหลอกพ่อแม่กัน”
                 
                  จำปา แม่ของมะลิกำลังคิดเงินลูกค้าคนหนึ่งอยู่ มะลิรอจนลูกค้าคนนั้นไปแล้วจึงหันไปให้สัญญาณกับเจ้าผีน้อย ฮัลลี่ค่อย ๆ อ้อมไปด้านหลังอย่างเงียบเชียบที่สุด แล้วพุ่งไปด้านหน้าจำปาโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว
                  “แบร่!!!” ท่าเดิม...แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน จำปามองแล้วขมวดคิ้ว ขยับแว่น
                  “เด็กคนนี้นี่ใครกันน่ะมะลิ”
                  มันหน้าเจื่อน พยายามทำท่าให้น่ากลัวขึ้นอีก แต่ไม่เป็นผลเมื่อจำปายิ้มขัน “น่ารักจังเลย นี่ท่าไอ้มดแดงแปลงร่างหรือจ๊ะ”
                  มะลิหัวเราะแห้ง ๆ ทำหน้าไม่ถูก “อ่า...น้องของเพื่อนน่ะค่ะ เขามาฝากเลี้ยงไว้แป๊บหนึ่ง เพราะไม่มีใครอยู่บ้าน”
                  “แหม...น่ารักจริง มาเอาขนมไปสิจ๊ะ” เธอกล่าวพลางหาขนมห่อไม่ใหญ่มากยื่นให้ ฮัลลี่ก็รับมา แต่หันไปคาดโทษกับเด็กสาวที่ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ข้างบันได...ไหนบอกคุณแม่ขวัญอ่อนไง
                  ทันใดก็เกิดเสียงอะไรบางอย่างแว่วเข้าโสตประสาท เหมือนเสียงกริ๊กเบา ๆ ฮัลลี่เบิกตากว้าง มองดูที่ต้นแขนของตน
                  รอยสักรูปหมีพู !
                  มันมองแล้วดีใจจนเนื้อเต้น โค้งตัวเร็ว ๆ สองสามที “ขอบคุณคุณแม่มาก ๆ ครับ” แล้วลากมะลิขึ้นไปบนห้อง พอถึงก็ปิดประตูดังปัง เขย่ามือเด็กสาวอย่างดีใจสุดขีดจนเธอสับสน
                  “เดี๋ยว...อะไรกันน่ะฮัลลี่” เธอน่าจะถูกโกรธที่ทำพลาดสิ ไม่ใช่มาเขย่ามือแบบนี้
                  “ฉันได้แต้มมาแล้วมะลิ ! ไม่รู้ทำไม แต่ฉันได้แต้มมาแล้ว !”
                  มะลิเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ ก็แม่เธอไม่กลัวสักนิดเลยนี่นา...สักพักคิ้วที่ขมวดเป็นปมก็คลายออกเมื่อนึกได้
                  “ฉันรู้แล้วล่ะฮัลลี่ ก็เราหลอกคุณแม่ได้ไง”
                  “หลอกตรงไหนกัน แม่เธอไม่กลัวสักนิด” มันสงสัย
                  “ใครว่าจะต้องหลอกให้กลัว” เด็กสาวยิ้มแก้มแทบปริเมื่อพบข้อสันนิษฐานของตน “หลอกให้เชื่อต่างหาก ! ฉันเผลอโกหกแม่ออกไปจนท่านเชื่อว่านายเป็นน้องของเพื่อนจริง ๆ นี่ไงล่ะ !”
                  คราวนี้ฮัลลี่เป็นฝ่ายตกใจบ้าง ค่อย ๆ นึกตามคำพูด คลี่ยิ้มออกมา
                  “หมายความว่าฉันใช้วิธีนี้ได้ใช่ไหม”
                  “แน่นอน !” มะลิรับคำ “หน้าตาอย่างเธอ จะหลอกสักหนึ่งร้อยคนเลยก็ได้”
                  ไม่รอช้า มะลิรีบพาเจ้าผีน้อยออกจากบ้าน เวลาหกโมงผู้คนยังมากอยู่ เธอพาฮัลลี่ตระเวนไปทั่ว ทั้งทำตัวน่าสงสารจนคนเชื่อว่าเป็นเด็กกำพร้า ให้เงินบ้างของกินบ้าง มันก็ชักสนุกเหมือนกัน แบบนี้สิ ง่ายกว่าหลอกให้คนกลัวตั้งเยอะ !
                  “เหนื่อยจัง หลอกไปตั้งเก้าสิบเก้าคนแล้ว” เจ้าตัวเล็กหอบแฮก นั่งพักบริเวณน้ำพุพลางดื่มนมและขนมปัง มะลิลูบหัวมันอย่างเอ็นดู
                  “เก่งจ้าเก่ง” เธอชม “กลับบ้านก่อนไหม เธอต้องกลับโลกโน้นเมื่อไหร่ล่ะ”
                  “เที่ยงคืนตรง” มันตอบ คิดแล้วก็อดสลดใจไม่ได้ “นี่ก็สี่ทุ่มแล้ว ฉันอยากอยู่กับเธอนาน ๆ จังเลยมะลิ”
                  เด็กสาวยิ้ม เข้าใจความรู้สึก เพราะเธอเองก็ผูกพันกับมันแล้วเหมือนกัน โดยเฉพาะความน่ารักเหมือนตุ๊กตานี่ ยิ่งอยู่ด้วยยิ่งรู้สึกเหมือนตนเองเป็นพี่สาวเข้าไปทุกที
                  “เอาน่า ยังไงเธอก็ได้เกินสามแต้มแล้ว เดี๋ยวปีหน้าก็เจอกันอยู่ดี ไม่ต้องเสียใจหรอกนะ เอ้า...บอกสิ ว่านายจะไม่เศร้าใจ”
                  ฮัลลี่ไม่รับคำ แต่ดวงตาเริ่มมีน้ำใส ๆ เอ่อล้น มันโผเข้ากอดมะลิพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น “ฉันไม่อยากไป ฉันอยากอยู่กับเธอ แง ๆ”
                  มะลิกอดตอบ พยายามเก็บน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาอีกคน
                  “ไม่เอาน่า อย่าดื้อสิ ยิ้มเข้าไว้ ถ้าอยากให้ฉันสบายใจก็พูดซะ ว่านายจะไม่เสียใจ นายจะมีความสุขตอนอยู่ที่นั่น โอเค๊”
                  มันปาดน้ำตาทิ้ง คำพูดแทบไม่เป็นภาษา “ฉัน..ฉันจะไม่เสียใจ...จะสนุกตอนอยู่ที่นี่...จะ..จะไม่เศร้าใจสักนิด ตอนนี้ฉันก็ไม่ได้เสียใจเลย...ฮึก”
                  ไม่ทันที่เธอจะตอบกลับ แสงสว่างวาบก็เข้าปกคลุมร่างสองร่าง เป็นออราลูกบอลกลมสีทองที่ขยายวงใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนครอบคลุมทั่วบริเวณน้ำพุ ผู้คนที่เดินขวักไขว่พลันหายไปเสียเฉย ๆ ทั้งสองมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงง ส่งสายตาถามกันว่า...นี่มันอะไรกัน
                  “ผีหมายเลขสามหมื่นสองพันเก้าร้อยเจ็ดสิบสาม ฟังทางนี้”
                  “เสียงท่านหัวหน้าใหญ่ !” มันตะโกน มองไปรอบ ๆ ไม่พบต้นเสียงแม้แต่นิด กระนั้นก็ยังตั้งใจฟัง
                  “ตามกฎลับของสุสาน เจ้าได้หลอกคนครบหนึ่งร้อยคนโดยใช้วิธีอันแปลกใหม่ เพราะฉะนั้นเจ้ามีสิทธิเข้าออกโลกมนุษย์ทุกเมื่อตามต้องการตลอดชีวีแห่งการเป็นวิญญาณนี้”
                  เจ้าผีน้อยรวมถึงมะลิไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน ฮัลลี่ลองถามอีกครั้ง “หมายความว่าอย่างไรครับท่าน”
                  “ไอ้นี่นิ บอกไปแล้วยังต้องให้ข้าบอกซ้ำ ฟังให้ดี เจ้าหลอกคนครบหนึ่งร้อยคนแล้ว นี่คือกฎลับซึ่งไม่เคยเปิดเผยให้ผีตนใดฟังว่า หากสามารถหลอกคนได้หนึ่งร้อยคนภายในวันเดียว จะได้รับวีซ่าผ่านเข้าออกโลกมนุษย์ฟรีตลอดชีพ”
                  “หา!!” ทั้งสองอุทานขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะเอ่ยละล่ำละลัก “ตะ..แต่ข้าเพิ่งหลอกคนไปได้เก้าสิบเก้าคนเองนะครับ”
                  “มันเพิ่งครบร้อยเมื่อกี้นี้เอง”
                  เสียงลึกลับกล่าว
                  “เจ้าจำได้ไหม เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอย่างไร”
                  มันทำหน้างง “เมื่อกี้หรือครับ เมื่อกี้ข้าพูดไปว่าเพิ่งหลอกไปได้เก้าสิบเก้าคนเท่านั้น”
                  “พอได้แล้ว ข้าพูดเองแล้วกัน ไอ้โง่”
                  เสียงกระแอมไอดัง
                  “อะแฮ่ม ก่อนที่ข้าจะมา เจ้าได้โกหกตัวเองไปข้อหนึ่ง ซึ่งก็คือการที่เจ้าบอกว่าตอนนี้เจ้าไม่เสียใจเลยอย่างไรล่ะ ทั้ง ๆ ที่หัวใจเจ้าจะแตกสลายอยู่แล้ว นั่นทำให้การโกหกของเจ้าครบหนึ่งร้อยคน”
                  พอฟังแล้วก็เข้าใจ ฮัลลี่หันไปสบตากับเด็กสาวข้างกาย ตะโกนออกมาพร้อมเพรียงโดยไม่ต้องนัดหมาย
                  “ไชโย!!!”
                  แล้วทุกอย่างก็แฮปปี้เอนดิ้ง...จบค่ะ
               

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×