คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ^_ ^_||
ตอนเย็น มยุรีมาดักรอภูวรินน์ ภูวรินน์จึงซักถามว่ามีอะไร เธอจึงบอกว่ามาสมัครเป็นเลขาคนใหม่ของเขา
ภูวรินน์รับอย่างไม่รีรอเพราะเห็นมยุรีมีประสบการณ์แต่ติดตรงที่ว่ามยุรีเป็นนนางแบบอาจจะไม่เหมาะที่จะทำช่วงนี้ภูวรินน์จึงขอให้มยุรีไปเคลียร์งานให้หมดก่อนแล้วค่อยมาทำงานกับเขา
วันต่อมา ธารธิณีมาทำงานในสถานที่ใหม่เธอเข้ากับทุกคนได้ดีโดยเฉพาะนภดลเจ้านายสุดหล่อ
นพดลกล่าวชมธารธิณีเสมอว่าเขาเลือกคนไม่ผิดนอกจากธารธิณีจะมีจิตใจที่งดงามแล้วยังทำงานเก่งอีก เพียงแค่นี้ก็ถึงกับทำให้ธารธิณีเขินจนเก็บอาการไม่อยู่
ขณะเดียวกันภูวรินน์ก็รู้สึกวุ่นไปหมดตั้งแต่ที่ไม่มีธารธิณีอยู่เขาต้องชงกาแฟเอง จัดคิวลูกค้านัดลุกค้าเอง จดรายละเอียดที่สำคัญในการประชุมเองเวลามีปัญหากับลุกค้าเขาก็ต้องเคลียร์เอง
สุมิตเห็นเพื่อนเคร่งเครียดกับงานที่ทำก็รู้สึกเป็นห่วงจึงเตือนให้ภูวรินน์เพลางานลงหน่อยหรือไม่ก็แค่ลงทุนไปง้อเลขาแสนแสบคนเก่งกลับมา
ภูวรินน์ลุกขึ้นอย่างทระนง
“หวังไปเถอะ”
สุมิตยกกาแฟขึ้นดื่มแต่แล้วก็ต้องหาถังขยะป้วนทิ้ง
“โห นี่แกชงกาแฟได้บัดซบมากเลยนะเนี่ย ฉันไปดื่มที่ร้านกาแฟดีกว่า”
ภูวรินน์นั่งลงอย่างเหนื่อยใจก่อนที่จะค่อยๆหันไปมองแฟ้มที่กองอยู่บนโต๊ะ
ตอนบ่ายของวันนั้นนพดลชวนธารธิณีไปทานข้าวด้วยกันซึ่งธารธิณีก็รับปากอย่างเต็มใจ
ธารธิณีได้แต่คิดในใจว่านพดชั่งเป็นเจ้านายที่แสนดีจริงๆอุตส่าห์ชวนเธอมาทานข้าว ลองเป็นภูวรินน์หรออย่าว่าแต่ข้าวเลย น้ำสักแก้วก็ยังไม่เคยเลี้ยง ตอนนี้เธอรู้สึกแล้วว่าเธอเลือกคนไม่ผิด
เสียงปืนดังขึ้นทำให้เธอได้สติมองไปรอบๆเห็นผูคนมากมายหมอบอยู่ใต้โต๊ะ
นพดลกระซิบบอกให้ธารธิณีหมอบลง
ธารธิณีได้ยินไม่ถนัดจึงตะโกนถามหัวหน้าโจรจึงหันมามองทางธารธิณีและสั่งให้เธอหมอบลง
“ฉันไม่ใช่หมานะ”
หัวหน้าโจงเล็งปืนไปทางธารธิณี
“หมอบก็ได้”
ธารธิณีกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นๆก่อนจะหมอบลง
“นำของมีค่าทั้งหมดมาวางกองวางบนโต๊ะ”
ธารธิณียังคงเป็นคนเดียวที่ทำท่าจะขัดขื่น
หัวหน้าโจรมองหน้าธารธิณีก่อนจะยกปืนขึ้นและสั่งให้ธารธิณีถอดสร้อยที่ใส่อยู่ที่คอออก
ธารธิณีจับสร้อยอย่างลังเล ทันใดนั้นคำที่สายใจเคยพูดไว้ก็แวบขึ้นมาที่หัว
“แม่เห็นว่าหนูอยากได้ก็เลยซื้อมาให้รักษาไว้ดีๆนะเพราะนี่อาจเป็นของขวัญชิ้นเดียวที่แม่ซื้อให้หนู”
หัวหน้าโจรทำท่าจะยิงธารธิณีเพราะเห็นว่าธารธิณีเรื่องมากเหลือเกิน
“ก็แค่ปืนนึกว่าฉันกลัวหรอ”
“ปากดีนักมึง”
หัวหน้าโจรจะตบธารธิณีด้วยสันปืนธารธิณีก็หลบและหยิบกระเป๋าขึ้นมา
“ฉันมีระเบิดจะลองหน่อยมั้ย”
“โกหก”
ผู้คนพากันแตกตื่น
“งั้นฉันลองโยนระเบิดลงกับพื้นดูมั้ย”
“อย่า อย่า จะเอาไงก็ว่ามา”
ข้างนอกร้านอาหารตำรวจกำลังระดมกำลังเข้าไปจับกุมโจรโดยละหม้อม
ลูกน้องโจรเห็นตำรวจเข้ามาในร้านก็ลนลานยิงปืนให้มั่วไปหมด
แขกที่อยู่ในร้านหมอบอยู่กับพื้นพร้อมร้องอย่างตกใจ
ธารธิณีคลานหนีออกมาจากร้านอย่างว่องไวและเธอก็พบว่าตัวเธอมาหยุดอยู่ที่เท้าของใครคนหนึ่ง
เสียงหัวเราะคุ้นๆดังขึ้น
“คิดว่าเป็นสุนัขหรือไงถึงได้คลานออกมานอกร้านอาหาร”
ธารธิณีลุกขึ้นผลักภูวรินน์กระเด็น
หัวหน้าโจรหลบหนีออกมาได้และจับธารธิณีไว้เป็นตัวประกัน
ภูวรินน์ยืนหัวเราะอย่างชอบใจ
ธารธิณียืนหน้ามุ้ยพร้อมกับผวา
ภูวรินน์โทรศัพท์ให้สุมิตมาดูธารธิณี
สุมิตรีบขับรถมาเพื่อมาดูว่าภูวรินน์หาเรื่องอะไรธารธิณีอีก พอมาถึงก็แทบช็อคเมื่อเห็นธารธิณีถูกจับเป็นตัวประกัน
“นี่แกยืนใจเย็นอยู่ทำไมเล่า ทำไมไม่เข้าไปช่วยเลขาแก”
“เธอคนนั้นไม่ใช่เลขาของฉัน”
ธารธิณีกระซิบหัวหน้าโจร
“พี่ลืมรูดซิบ”
“หรอ”
หัวหน้าโจรก้มลงไปมองเลยเป็นโอกาสให้ธารธิณีวิ่งหนีไป
หัวหน้าโจรจึงขว้าภูวรินน์ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดมาเป็นตัวประกัน
“เบาๆหน่อยสิคุณเสื้อผมยับหมดแล้ว นี่คุณเหยียบรองเท้าผมทำไมเปื้อนหมดแล้ว”
ธารธิณียืนยิ้มอย่างสะใจก่อนจะเดินไปทางนพดล
“ท่านคะ กลับกันเถอะค่ะ”
“ไม่ได้หรอกครับ น้องผมโดนจับตัวอยู่”
“หมอนั่นหรือคะ”
นพดลพยักหน้า
ธารธิณีได้แต่คิดว่านพดลเป็นพี่ชายที่แสนดี เป็นเจ้านายแสนอบอุ่น เป็นผู้ชายที่จริงใจ อะไรจะเพอร์เฟ็กต์ขนาดนี้ ผิดกับน้องชายลิบลับ
ธารธิณีหยิบกล้วยมาทานและโยนเปลือกกล้วยทิ้งไปทางหัวหน้าโจร
ภูวรินน์มองไปทางธารธิณีคล้ายกับจะเปรยว่าทำอะไรสิ้นคิดอีกแล้ว
ด้วยความประมาททำให้หัวหน้าโจรไม่ทันสังเกตเปลือกกล้วยที่อยู่ด้านหน้าจึงไปเหยียบลื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ
ตำรวจเข้าจับกุมหัวหน้าโจรโดยฉับพลัน
นพดลบอกให้ภูวรินน์มาขอบใจธารธิณี
นอกจากภูวรินน์จะทำท่าเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วยังเดินผ่านธารธิณีไปอย่างไม่สะทกสะท้านอีก
ธารธิณีเห็นท่าภูวรินน์แล้วอดหมั้นไส้ไม่ได้จึงบอกให้นพดลกลับไปบริษัทเดี๋ยวเธอจะตามไปทีหลัง
นพดลลังเลอยู่สักครู่ก่อนจะตัดสินใจขึ้นรถ
ภูวรินน์กำลังจะเปิดประตูรถ
ธารธิณีก็มาขวางไว้ก่อน
“คุณลืมอะไรไปหรือเปล่า”
“ถอยไปผมไม่ต้องการคุยกับคุณ”
“อุตส่าห์ช่วยจะขอบใจสักนิดก็ไม่มี”
“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นแค่ความบังเอิญ”
“เมื่อไรนายจะเลิกเก๊กและทำตัวดีๆแบบพี่ชายนายสักที”
“ผมต้องรีบไปทำงานกรุณาหลีกทางด้วย”
“ก็ได้พวกไม่สำนึกบุญคุณ”
ในตอนเย็น ขณะที่วิตรากับธารธิณีกำลังเดินกลับบ้านก็มีรถขับตาม
ธารธิณีหันไปเผชิญหน้ากับเจ้าของรถ
ภูวรินน์ก้าวเข้ามาจากรถก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเต็มใจครึ่งไม่เต็มใจครึ่ง
“ขึ้นรถฉัน....จะไป....ส่ง”
“ไม่”
ภูวรินน์รู้สึกเหมือนหน้าแตกอย่างละเอียดจึงๆแต่ก็กลบเกลื่อนไว้
“ถือว่าตอบแทนที่ช่วยฉัน”
“งั้นหรอ ความจำยังดี หนินึกว่าความจำเสื่อม”
ภูวรินน์กำหมัดแน่น
“ฉันพูดดีกับเธอที่สุดแล้ว ธารธิณี”
ภูวรินน์เดินขึ้นรถก่อนจะปิดประตูอย่างสุภาพไม่ตึงตังเหมือนคนทั่วไปที่โกรธ
“เจ้านายนี่สุดยอดเลยเน๊อะ ขนาดโกรธยังดูดีมีมารยาทเลย”
“ตรงไหนมิทราบ”
ธารธิณีมุ่งหน้ากลับบ้านโดยไม่รอเพื่อนซี้
ที่บ้านภูวรินน์ สินิทราดูนาฬิกาพร้อมกับชะโงกหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง
“ลูกไม่เคยกลับผิดเวลา”
“จะกังวลอะไรกันคุณหญิง”
“ 5 โมงแล้วยังไม่มาอีก”
ยังไม่ทันขาดคำรถก็มาจอดเทียบบันไดบ้าน
ภูวรินน์กล่าวสวัสดีแม่กับพ่ออย่างมีมารยาทก่อนที่จะขึ้นไปชั้นบนของบ้าน
“ป้านิ่มคุณภูเป็นอะไรอ่ะ ทำไมวันนี้ดูเงียบจัง”
“เดือนไปช่วยป้าจัดสำรับก่อนดีกว่า”
ธารธิณีพอกลับถึงบ้านก็ปิดประตูดังปั้งจนสายใจต้องออกมามอง
“เบาๆหน่อยสิลุกเดี๋ยวประตูพังหรอก”
ธารธิณีไม่พูดกลับวิ่งเข้าห้องไป
ธานินเอ่ยถามภรรยาอย่างงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับธารธิณี ทำไมทำราวกับว่าธารธิณีไปโกรธใครมา
สายใจเองก็งงไม่แพ้กันจึงได้แต่ยืนมองด้วยความประหลาดใจ
ความคิดเห็น