คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : คำสัญญา....และการรอคอย แก้ไข (100%)
ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง หญิงสาวผมยาวสลวย ผิวขาว ดวงตาคม ปากสวยได้รูป
ห่มสไสบเฉียงสีทอง นุ่งโจงกระเบนสีน้ำหมาก กำลังวิ่งหนีกลุ่มโจรป่ากับแม่นมคนสนิทที่เลี้ยงดูหญิงสาวมาแต่ยังเยาว์วัยและเนื่องจากหญิงสาวหนีออกมาเที่ยวป่าจึงไม่มีผู้ติดตามมาคอยช่วยเหลือจึงมีเพียงแม่นมเท่านั้นที่ยอมฝ่าฝืนกฎพาหญิงสาวมาเที่ยวกลางป่าใหญ่ทำให้ทั้งสองต้องพบกับภัยเมื่อโจรป่าจ้องจะจับหญิงสาวไปเป็นทองแผ่นเดียวกับมัน
"คุณหนูหนีไปเจ้าคะ ตรงนี้อิฉันจะขวางไว้เอง" แม่นมแม้นคนสนิทของคุณหนูเอื้อมผลักคุณหนูให้วิ่งไปข้างหน้าส่วนตนเองยืนขวางโจรป่าไว้
"แหวะ ยายแก่หนีไป ข้าทำเอ็งไม่ลงหรอก"
โจรป่าถีบแม่นมแม้นกระเด็นและตรงเข้าไปกระชากตัวคุณหนูเอื้อมแทนและในนาทีที่คุณหนูเอื้อมมิน่าจะรอดจากมือโจรป่าบุรุษนามหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นจากพุ่มไม้พร้อมกับม้าตัวโปรด ชายหนุ่ม ผมทรงกลาโหม ในชุดทหารกล้าสีน้ำเงิน กางเกงสีดำ สวมรองเท้าบูธหนัง โดดลงจากม้าพร้อมปืนยาว
"หยุด" ชายหนุ่มเล็งปืนไปยังโจรป่า
โจรป่ามีเพียงมีดดาบเห็นว่าสู้มิได้จึงวิ่งหนีไป พร้อมกับบอกไว้ว่าเจอกันคราวหน้าชายหนุ่มอาจจะไม่โชคดีอย่างครั้งนี้
"เจ้าเป็นอะไรมากหรือเปล่า" ชายหนุ่มในชุดทหารกล้าเอ่ยถามหญิงสาว
"ฉันไม่เป็นอะไรมากดอก ขอบใจท่ามากที่ช่วยฉันไว้"
"ไม่เป็นไร" เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายไปด้วยดีชายหนุ่มก็ขึ้นขี่ม้าควบไปยังเมืองหลวง แต่ก็ยังไม่วายมองกลับมามองหญิงสาวอีกครั้งก่อนจะลับกันไกล
เพลาต่อมาของวันใหม่ หญิงสาวตื่นขึ้นมาแต่หัววันเพื่อมาเตรียมสำรับถวายพระที่วัด และออกเดินทางกับแม่นมเพียงสองคนไร้ผู้ติดตามมารักษาความปลอดภัยเช่นเคยแล้วก็ทำให้หญิงสาวได้พบกับใครคนหนึ่งที่ติดตาต้องใจตั้งแต่คราแรกที่เห็นซึ่งหญิงสาวมินึกเลยว่าจะได้มาพบอีกครา ณ วัดแห่งนี้ ชายหนุ่มกราบพระพุทธรูปพร้อมกับหญิงสาวแล้วเงยหน้ามาพบกัน
"ท่านนั่นเอง" หญิงสาวเอ่ยด้วยความดีใจ
"ใช่ ข้าเอง เจอเจ้ามาสองคราแล้ว ข้ายังไม่รู้จักชื่อของเจ้าเลย"
"ฉันชื่อเอื้อม" หญิงสาวปรายตามองทหารหนุ่มก่อนจะเดินไปยังประตูวัด
ชายวัยกลางคน ไว้ผมทรงกลาโหม หนวดดำขลับ อยู่ในชุดราชประแตน หรือที่ใครๆเรียกกันว่าเจ้าคุณกลาโหม พร้อมกับข้าทาสรับใช้อีกขบวนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าเป็นข้าทาสหญิงช่วงบนจะนุ่งผ้าแถบพันไว้รอบอก ช่วงล่างนุ่งโจงกระเบน ถ้าเป็นข้าทาสชายก็เปลือยครึ่งท่อนบน ช่วงล่างนุ่งโจงกระเบนเช่นกัน เดินด้วยเท้าเปล่ามือมีรองเท้าสวมใส่เหมือนบรรดาเจ้าขุนมูลนาย เหล่าบรรดาข้าทาสนั้นเดินตามหลังเจ้านายอย่างรักษาระยะต่อเมื่อเจ้านายหยุดเดินจึงหยุดและนั่งลงคุกเข่าหลังเจ้านาย เมื่อพบว่าท่านเจ้าคุณกลาโหมกำลังเจรจาพาทีกับนายทหารท่านหนึ่ง
"ท่าน"
"เอ็งมาถิ่นนี้เหมือนกันดอกหรือ"
"ขอรับ"
"ท่านมาถิ่นนี้ไม่ทราบมีอะไรหรือขอรับ"
"ข้ามารับลูก ไปเอื้อม"
ภูมิคือชื่อนามของนายทหารกล้าผู้นั้น เขารู้สึกลุ่มหลงในสตรีนางนั้นเป็นนักหนาแม้ยามจะต้องพบกันในครานี้ ยิ่งได้รับรู้ว่าสตรีนั้นเป็นลูกสาวของท่านเจ้าคุณกลาโหมและไม่มีความถือตัวเช่นเจ้าขุนมูลนายทั่วไปก็ยิ่งชื่นชมในตัวนางนักและหลังจากวันนั้นภูมิจึงพยายามหาโอกาสทำความรู้จักอย่างแน่นแฟ้นด้วยการไปหาเจ้าขุนกลาโหมปรึกษาเรื่องราชการภายใน เพื่อหาโอกาสไปได้พบหน้าพูดคุยกับหญิงสาวเป็นประจำจนความรักของหนุ่มสาวทั้งคู่เริ่มก่อตัวเจ้าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็ต่างเห็นด้วย เมื่อหญิงสาวก็เป็นผู้รากมากดี ส่วนชายหนุ่มก็เป็นนายทหารหนุ่มอนาคตไกล ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างก็เห็นว่าเหมาะสมกันเหมือนกิ่งทองใบหยกทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเปิดทางให้ทั้งคู่แต่งงานตามราชประเพณีไทยได้
หลายวันต่อมาภูมิถูกนายทหารชั้นผู้ใหญ่เรียกตัวไปพบที่กรม ภูมิเข้าพบตามวิสัยของทหารชั้นผู้น้อยที่ต้องมาเพื่อให้เกียรติแก่ผู้เชิญ ภูมิได้คิดอันใดในการมาครั้งนี้เพราะนึกว่าเป็นแค่เพียงการปรึกษาเรื่องราชการทั่วไปตามที่เคยถูกเชิญมาก่อนครั้งหน้านี้ แต่ว่าที่ทำให้ภูมิคงสงสัยไม่ได้ก็คือสีหน้าของนายทหารใหญ่นั้นหาได้มีความเป็นมิตรอย่างที่ผ่านมาและยังมีสีหน้าที่แสดงได้ถึงความจงเกลียจงชังภูมิอย่างล้นพ้นแต่ถึงอย่างไรภูมิก็ยังทำไจเย็นเหมือนไม่รับรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคืออะไร
"ท่านเรียกกระผมมาพบมีอะไรหรือขอรับ"
"ข้าขอเอ็งสั่งเอ็งให้ยกเลิกงานแต่งกับเอื้อมซะ" นายทหารชั้นสูงเปล่งเสียงอย่างมีอำนาจ
"กระผมทำไม่ได้ดอกขอรับ" ภูมิทำความเคารพแล้วเดินจากไป
"เอื้อมเป็นของข้า อย่าหวังเลยว่าจะได้ไปง่ายๆ"
วันพรุ่งขึ้นซึ่งเป็นกำหนดวันแต่งงานของภูมินายทหารหนุ่มหล่ออนาคตไกลกับคุณหนูเอื้อมลูกสาวเพียงคนเดียวของเจ้าคุณกลาโหมที่ได้รับการเลืองลือว่าเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆทั้งเมือง เนื่องจากมีรูปโฉมและกิริยาที่งดงาม เก่งงานบ้านการเรือนเป็นที่หนึ่ง มีการศึกษามากมายหญิงในเมืองทุกคน จึงเป็นที่โจษจันกันว่าใครที่ได้คุณหนูเป็นศรีภรรยาจะทำให้ชีวิตการงานก้าวหน้ายิ่งนักด้วยคุณหนูเอื้อมเป็นเบญจกัลยาณีที่มีความสามารถหลายด้าน
ในขณะที่ภูมิกำลังเดินทางไปสู่ขอก็เกิดร้างไปดีเกิดขึ้นเหมือนต้นไม้หล่นขวางหน้ากลางทางอย่างไม่มีสาเหตุภูมิรู้สึกสังหรณ์ใจถึงรางไม่ดีที่เกิดขึ้นจังสั่งให้ไพร่พลรีบเดินทางไปยังเรือนเจ้าคุณกลาโหมโดยเร็วที่สุดทางด้านคุณหนูเอื้อมกำลังแต่งกายตามชุดราชประเพณีไทยก็ได้ยินบ่าวร้องเอ๊ะอะโวยวายด้านนอกแสดงถึงความตกใจแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเนื่องจากตร่องว่าอาจเป็นการหยอกล้อกันของบ่าวเหมือนเช่นทุกวันที่หาทางแกล้งกลั่นสร้างเสียงหัวเราะให้ผู้คนรอบข้างที่ผ่านมาพบ
"ลุย" ชายหนุ่มร่างใหญ๋ใส่ผ้าดำปิดคลุมใบหน้าสั่งลูกน้องให้ต่อสู้กับทาสชายที่เฝ้าอยู่หน้าห้องคุณหนูเอื้อมแล้วตนก็เปิดบานประตูเข้าไปภายในห้องเพื่อชิงตัวคุณหนูเอื้อมมา
"ปล่อยฉันนะ" เอื้อมสบัดมือชายลึกลับที่จับอยู่ทิ้งแล้วพยายามร้องให้คนช่วยเมื่อถูกลากมายังเรือนร้างกลางป่า
"พี่เอง" ชายลึกลับเผยผ้าที่คลุมหน้าออกทำให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง
"พี่เชิดทำไมพี่ทำแบบนี้"
"เพราะข้ารักเอ็งไง ป่านฉะนี้ไอ้ภูมิคงตามหาเอ็งให้ทั่ว"
เชิดเห็นว่าเอื้อมมิมีท่าที่ใจอ่อนเลยใช้กำลังเข้าปลุกปล้ำหวังได้เอื้อมเป็นของตนและในเวลานั้นภูมิก็จะไม่มีสิทธิ์ใดมาแย่งเอื้อมไปจากเขาได้เมื่อเอื้อมตกเป็นเมียของเขาแต่มันก็ไม่ใช่การง่ายอย่างที่เขาได้คิดไว้ก่อนหน้านี้เมื่อเอื้อมขัดขื่นและพยายามหาโอกาสวิ่งหนีให้ได้ซะทุกครั้งที่เขาเผลอปล่อยเอื้อมหลุดมือไปทำให้เชิดต้องชกท้องให้เอื้อมหมดแรงที่จะขัดขื่น และในจังหวะนั้นเองที่เชิดกำลังจะโน้มตัวลงไปสัมผัสเรือนร่างของเอื้อมก็ถูกเท้าของใครคนหนึ่งทีบเข้าให้เต็มแรงจนเชิดเซติดผนังเรือนร้าง
"โอ๊ย"
"ไอ้ภูมิ"
"เออ ข้าเอง"
ภูมิหยิบดาบขึ้นหวังจะฟันเชิด แต่เชิดไหวตัวทันขว้าดาบของตนเองที่อยู่ที่พื้นขึ้นมากันไว้ไม่ให้ดาบฟันมาถึงหน้าของเขา ทั้งสองใช้ดาบฟาดฟันใส่กันอย่างมิผู้ใดยอมกัน ภูมิฟันไปทางด้านขวาเชิดก็รับได้จากด้านขวา เชิดฟันแสกหน้ามิก็ใช้ดาบกั้นรับไว้ได้ทัน ภูมิทีบเชิดเซและหวังจะใช้ดาบฟันตัวเชิด เชิดก็พลิกตัวหลบได้ทัน เชิดเลยเตะข้าภูมิให้เสียหลักล้มแล้วจวบนำดาบแทงไปยังตัวภูมิแต่ภูมิรับดาบได้ทันและทีบให้เชิดกระเด็นออกไปให้ไกลจากตัวเขา ก่อนที่ทิ้งดาบแล้วเข้าไปชกเชิดด้วยมือเปล่าจนเชิดสลบไป แล้วจึงได้เข้าไปพาตัวเอื้อมออกจากเรือนร้างไปยังบ้านเจ้าคุณกลาโหมประกอบพิธีกรรมตามราชประเพณีของการครองเรือนด้วยกัน
เวลาแห่งความสุขของทั้งสองช่างสั้นนักเพราะเพียงไม่กี่เพลาต่อมาก็มีราชการด่วนมาถึงภูมิให้ออกไปต่อกรกับข้าศึกนอกเมืองที่คิดจะตั้งตัวเป็นอริและเข้ายึดครองเมืองภูมิจึงต้องรีบเตรียมตัวออกไปสู้รบกับข้าศึกและทิ้งให้เอื้อมเป็นหญิงที่ต้องเฝ้าอยู่กับเรือนเพื่อรอการกลับมาของสามี เอื้อมนั้นพอเห็นภูมิแต่งกายด้วยชุดทหารเต็มยศ บวกกับไพร่พลทหารที่มายืนรอรับอยู่หน้าศาลาท่าน้ำก็รู้สึกใจคอไม่ดีมิอยากให้ภูมิต้องเดินทางออกไปราชการไกลๆจึงพยายามหาคำพูดมาเพื่อรั้งให้ภูมิอยู่ต่อที่เมืองหลวงต่อให้จงได้ทั้งๆที่รู้ว่าการนั้นอาจมิสำเร็จ
"พี่ภูมิจักไปไหน"
"พี่จักไปสู้กับข้าศึก บัดนี้มันบุกเข้ามาใกล้เมืองหลวงเต็มทีแล้ว"
"พี่ฉันไม่ให้พี่ไป"
"เอื้อม เจ้าจงรอพี่อยู่ที่นี่ พี่สัญญา พี่จะกลับมาหาเอื้อม แล้วพี่ก็จักต้องชนะศึกกลับมาด้วย"
"ฉัน"
"เอื้อมไม่เชื่อพี่ดอกหรือ"
"ฉัน"
"ใจพี่อยู่ที่เอื้อม พี่ต้องกลับมาหาเอื้อมเป็นอยย่างแน่แท้ พี่มิอาจขาดเจ้าไปได้ดอก"
"จ๊ะ เอื้อมจะรอพี่อยู่ณ ที่แห่งนี้ ไม่ว่าเพลาจักผ่านไปนานแค่ไหน พี่สัญญากับฉันแล้วนะว่าจักกลับมา"
"พี่สัญญา" ภูมิขึ้นเรือจากไป
ม้าเร็วจากนอกเมืองส่งข่าวมาถึงในเมืองหลวงว่าสถานการณ์ภายนอกมิสู้ดี ทหารถูกฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากอีกมิช้าคาดว่าข้าศึกจะบุกมาถึงเมืองหลวงอยากให้ชาวเมืองเตรียมการณ์อพยพย้ายถิ่นฐานไปซ่อนกันชั่วคราวจนกว่าทางเมืองขึ้นจะส่งกำลังมาสนับสนุนตามที่องค์กษัตริย์ได้ส่งสาลน์เชิญไป ชาวบ้านที่รู้ข่าวบางส่วนก็ทำตัวตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะไม่คิดว่าข้ากจะสามารถบุกเข้ามาถึงในวังหลวงได้ ในขณะที่บางส่วนเริ่มเก็บข้าวของย้ายถิ่นฐานเพื่อความปลอดภัย และเอื้อมก็เป็นหนึ่งในจำนวนที่ไม่ยอมย้ายถิ่นฐานด้วยเชื่อในคำสัญญาของนายทหารภูมิว่าเขาจักกลับมาหาตามที่ให้คำสัญญาไว้แม้จะมีข่าวลือหนาหูว่านายทหารภูมิได้เสียงชีวิตในการทำศึกสงครามและมิสามารถนำศพกลับมาทำพิธีกรรมทางศาสนาได้เนื่องจากพวกข้าศึกเผนศพทหารทั้งทหารเกลี้ยงเอื่ไม่ให้ผู้ใดสามารถรอดกลับไปคาบข่าวบอกทางเมืองหลวงได้สักคน
"นายหญิงหนีไปเจ้าคะ ข้าศึกบุกแล้ว"
"ข้าจะรอพี่ภูมิอยู่ ณแห่งนี้"
"ท่านคง ไม่กลับมาดอกเจ้าคะ"
"เจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร"
ข้าศึกแทงบ่าวจากข้างหลัง บ่าวรีบผลักให้นายหญิงไปซ่อนตัวและดึงขาทหารของข้าศึกไว้ไม่ให้ตามไปพบนายหญิงได้สำเร็จซึ่งทหารเลวนั้นต้องใช้กำลังกำจัดบ่าวผู้นั้นอยู่นานเมื่อบ่าวนั้นมิยอมปล่อยมือจากเขาไปง่ายๆแม้จะถูกแทงนับสิบแผลก็มิยอมปล่อยจนกระทั่งไม่อาจทนพิษบาดแผลไหวสิ้นลมไปเอง
"หนีไปนายหญิง" นี่คือคำพูดสุดท้ายก่อนบ่าวจะสิ้นลมไป
บัดนั้นนายใหญ่ของพวกมันได้ส่งสัญญาณบอกว่าสามารถเข้ายึดครองเมืองหลวงได้หมดสิ้น และกวาดต้อนเชลยออกมาจากเมืองหลวงไปเป็นทาสของตนทหารเลวผู้นั้นถึงได้เดินตามนายใหญ่ของพวกมันออกไปในขนาดที่ทหารบางส่วนก็เดินตรวจตราเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะออกจากเมืองเพื่อจะได้ทรัพย์สมบัติที่มีค่าของชาวบ้านที่ซ่อนอยู่กลับไปฝากลูกหลานที่เมืองตน ทำให้ทหารเลวผู้หนึ่งเห็นเอื้อมยืนรอใครสักคนอยู่บริเวณท่าน้ำจึงย่องเข้าไปหาพร้อมกับชักดาบออกมาอย่างเบามือ
"ข้าจะไม่ไปไหน ข้าจะรอพี่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ พี่ภูมิ"
สิ้นสุดคำพูดของเอื้อมทหารเลวคนนั้นก็ใช้ดาบแทงเอื้อมจากทางด้านหลังจนเอื้อมล้มลงจมกองเลือดหน้าศาลาท่าน้ำ
"พี่ภูมิ"
"เอื้อม" เขาสะดุดตัวตื่นขึ้นมา
"ฝันถึงผู้หญิงคนนั้นอีกแล้วเหรอลูก" หญิงวัยกลางคนที่เป็นแม่ของชายหนุ่มเข้ามาเอาเก็บไว้ในตู้เลยได้เห็นว่าลูกสะดุ้งตัวตื่นจากความฝันเดิมๆอีกแล้ว ตั้งแต่เด็กยันโตเป็นหนุ่มหล่อนจำได้ดีว่าเกือบจะทุกคืนที่ลูกชายของหล่อนจะตื่นมากลางดึกพร้อมกับเหงื่อที่ชุ่มกายและเรียกชื่อผู้หญิงที่ชื่อเอื้อมอยู่ซ้ำๆไปโดยไม่อาจหาสาเหตุได้เลยว่าเพราะอะไรลูกชายของหล่อนถึงได้ฝันถึงหญิงสาวคนนั้นทุกคืน
"ครับ ผมไม่เข้าใจทำไมชอบฝันถึงนัก"
"ช่างเถอะ นี่ก็เช้าแล้ว ไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วไปทำงานเถอะลูก" หญิงวัยกลางคนผู้เป็นแม่ปิดตู้เสื้อผ้า
ปฎิภาคลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วเดินไปขว้าผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำ ปฎิภาคเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์และทำงานเกี่ยวกับหนังสือ และหน้าที่หลักของเขานอกจากบริษัทงานในสำนักพิมพ์แล้วยังทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการของบริษัทสื่อสิ่งพิมพ์ที่เขาทำงานอยู่ด้วย นอกจากนี้ปฎิภาคยังต้องมีหน้าที่ดูแลสนามกอล์ฟที่ตกทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายมาจนถึงเขาที่ต้องรับหน้าที่แทนพ่อที่เสียชีวิตไป แต่ส่วนใหญ่ชีวิตของเขาก็วนเวียนอยู่กับกิจการสื่อสิ่งพิมพ์ที่เขารักมากกว่า
ณ บริษัท น้ำหอมแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มในสูทชุดสีน้ำตาลอ่อนกำลังยืนหันหลังให้กับโต๊ะทำงานมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับคุยโทรศัพท์มือถือเมื่อลูกน้องโทรมารายงานยอดขายน้ำหอมของบริษัทพุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์หลังจากสำรวจตลาดมาหลายแห่งและพบว่าประชาชนส่วนใหญ่นิยมใช้น้ำหอมของบริษัทที่เจ้านายพวกเขาบริหารอยู่ซึ่งข่าวดีนี้มันทำให้ชายหนุ่มในสูทชุดสีน้ำตาลยิ้มย่องอย่างภาคภูมิใจที่สามารถเอาชนะใครคนหนึ่งได้
"ดี น้ำหอมตัวนี้กำลังทำเงินรีบต้อนเข้าตลาดเยอะๆ ดีสิวะทำแบบนี้น่ะถูกแล้ว น้ำขึ้นต้องรีบตักจำไว้" ชายสูทชุดสีน้ำตาลวางโทรศัพท์มือถือ
"ไอ้ภาคหนังสือแกมันจะขายดีสู้น้ำหอมฉันได้ยังไง"
เจ้าของเสียงนั้นหันหลังกลับมาจากกระจกและเดินมานั่งลงบนเก้าอี้พนักพิง เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง หน้าตาคมเข้ม ไว้ผมรองทรง ไว้เครานิดๆให้ดูน่าเกรงขามแต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียดจนดูเหมือนโจรผู้ร้าย เขาก็คือพิชิตชัยเจ้าของบริษัทน้ำหอมที่กำลังไต่อันดับเข้าไปเป็นที่หนึ่งของประเทศเร็วๆนี้ ผู้หญิงจำนวนมากที่สนใจในตัวเขาแต่เขากลับไม่มองใครสักคนนอกจากแฟนสาวคนสวยของปฎิภาคเนื่องจากเขาและปฎิภาคตอนสมัยมหาวิทยาลัยเคยมีเรื่องบางอย่างที่บาดหมางใจต่อกันทำให้เขาตั้งใจว่าจะเอาชนะปฎิภาคให้ได้ทุกอย่างแม้ในเรื่องของความรัก ทั้งๆที่ความรักแท้ของเขานั้นได้ตายจากไปตั้งนานแล้ว
ที่บริษัทไดอิ้ง หญิงสาวผมหลอนยาว นัยน์ตาสวย กำลังโพลท่าถ่ายแบบตามอิริยาบถที่ช่างถ่ายภาพกับทีมงานที่คอยช่วยเหลือกำกับอยู่เป็นระวังดังนั้นระหว่างถ่ายภาพก็มักจะเสียงทีมงานขึ้นมาเป็นระยะระยะถ้าช่างภาพไม่บอกให้เปลี่ยนท่าเพราะทางทีมงานต้องการให้รูปของมาตรงมาคอนเซ็ปต์ของบริษัทของมากที่สุด ทางบริษัทไดอิ้งได้เลือกพรีเซ็นเตอร์มาแคชหน้ากล้องหลายคนแต่ก็ไม่พอใจจนมาลงตัวที่หญิงสาวที่กำลังถ่ายแบบอยู่ในขนาดนี้ซึ่งใครๆก็ต่างพากันเห็นว่าสมแล้วที่เป็นนางแบบชั้นนำของเมืองไทย
"ซ้ายหน่อยค่ะ ทำตาหวานเย้ายวนหน่อยค่ะ ดีค่ะ อย่างงั้น"
กระเป๋าสีชมพูที่ตั้งอยู่บนโต๊ะของทีมงานมีเสียงเพลงจากโทรศัพท์ดังออกมาทีมงานจึงไปเรียกผู้จัดการส่วนตัวให้มารับโทรศัพท์แทนหญิงสาวที่กำลังถ่ายแบบอยู่ผู้จัดการส่วนตัวพยักหน้ารับรู้แล้วเดินไปเอามือถือออกจากกระเป๋านางแบบชื่อดังก่อนจะกดรับและพูดเพียงไม่กี่ประโยคแล้วเดินไปหน้านางแบบชื่อดังที่กำลังเป็นแบบให้ช่างภาพถ่ายแบบอยู่
"คุณมณีรัตน์คะ" ผู้จัดการส่วนตัวผู้พร้อมชูมือถือขึ้น
"ขอตัวเป็ปนึงนะคะพี่" มณีรัตน์หันไปขออนุญาติกับพวกพี่ๆทีมงาน
"เชิญจ้ะ" หัวหน้ากองในการถ่ายภาพมองภาพอย่างพอใจก่อนเอ่ยคำอนุญาติ
"มณีรัตน์ค่ะ" หญิงสาววิ่งมารับโทรศัพท์จากผู้จัดการส่วนตัว
"นี่ผมเองนะ" เสียงปลายสายดังขึ้น
"ภาค" หญิงสาวเอ่ยอย่างดีใจ
"เย็นนี้ว่างมั้ย" ชายหนุ่มยังคงเอ่ยสั้นๆอีกเหมือนเคย
"ว่างสิ ได้จ้ะ" หญิงสาวรับคำอย่างอารมณ์ดี
หลังจากนั้นหญิงสาวก็วางสายจากชายหนุ่มที่โทรมาหา หญิงสาวผู้นี้ คือ มณีรัตน์ สาวสวยที่ผันตัวเองเขาสู่วงการนางแบบหลังจากจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเอกชนจากการชักนำของโมเดลลิ้งคนหนึ่งที่ไปสะดุ้งตาตั้งแต่ที่มณีรัตน์เดินทางไปประกวดมิสยูนิเว่อร์ซิตี้ซึ่งเป็นการรวมตัวประกวดสาวสวยที่มีความสามารถของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศทำให้มณีรัตน์โด่งดังมาได้จนถึงทุกวันนี้
ที่บริษัทสื่อสิ่งพิมพ์ของปฎิภาค ปฎิภาคนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานมองหน้าลูกน้องที่พากันเดินเกาะกลุ่มเข้ามาหาอย่างเกร็งๆ ลูกน้องนั้นค่อยยื่นแฟ้มงานวางลงบนโต๊ะปฎิภาคแล้วพากันผละถอยออกไปเมื่อปฎิภาคเริ่มเปิดแฟ้มงานออกมาแต่พบว่าไม่มีงานอะไรเป็นหลักแหล่งสักอย่างพบเพียงรูปถ่ายบ้านเรือนไทยที่อยู่ไกลๆและหามีความชัดเลยแม้แต่น้อยเพียงสองสามใบเท่านั้นที่อยู่ในแฟ้มงาน
"อะไรพวกคุณทำไม่สำเร็จอีกแล้วเหรอ" เขาปิดแฟ้มลงอย่างหัวเสีย
"ครับ...ที่บ้านหลังนั้นน่ากลัวมาก เรากะว่าจะพยายามถ่ายภาพบ้านหลังนั้นมาให้ได้และนำมาลง ฉบับสยองขวัญเรือนไทยปีนี้แต่ก็ไม่สำเร็จ" ชายผมตั้งและดูจะแสบที่สุดในกลุ่มเป็นคนเอ่ยขึ้นคนแรก
"แล้วคุณเขียนเรื่องเสร็จแล้วหรือ" ปฎิภาคถามอีกที
"ยังเลยครับแม้แต่บรรทัดเดี๋ยว คือเรากะจะเขียนที่นั่นได้บรรยากาศดี ถ้าเขียนได้นะครับเร็ตติ้งต้องพุ่งสุดๆแน่ครับ" ชายผมตั้งยังคงเป็นคนตอบเหมือนเดิมต่อไป
"พวกคุณออกไปได้แล้ว" ปฎิภาคก้มหน้ามองกองเอกสารอื่นแทนและกวักมือไล่เป็นเชิญให้ออกไป
"ครับ"
"ค่ะ"
"เป็ดทำไมแกไม่บอก บ.ก ไปวะว่าพวกเราโดนผีที่นั่นหลอกเลยทำงานไม่สำเร็จ"
"บอกไป บ.ก ก็ไม่เชื่อ"
"จริงของแก"
ยามพบค่ำบรรยากาศเย็นเยือก บริเวณบ้านเรือนไทยที่มีอาณาเขตกว้างขวางราวกับเป็นบ้านเจ้านายคนใหญ๋คนโตในอดีตยามนี้ช่างเงียบสงบนัก ฝุ่นขึ้นเกาะยักไยเต็มบ้านไปหมด กลีบดอกจำปี ร่วงหล่นทั่วบริเวณบ้านแต่ไม่มีผู้ใดคิดแม้แต่จะกล้าเข้าไปทำความสะอาด นอกจากพวกบรรดาบ้าหวยเข้าเส้นเลือดเพราะเคยมีข่าวลือว่าวิญญาณที่สิงอยู่ในบ้านเรือนไทยหลังนี้มักให้โชคภาคด้านการเสี่ยงทายตัวเลขกับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมเยื้อนเสมอ
สองสามีภรรยาคู่หนึ่งกำลังพยายามเปิดประตูไม้เก่าๆเข้าไปในบ้านเรือนไทยอย่างเกร็งๆโดยสามีเป็นผู้นำทัพหน้าเดินนำไปก่อนและภรรยาเดินเกาะหลังตามอย่างกลัวๆไม่กล้าแม้แต่จะลืมตามองสภาพบริเวณบ้าน แต่แล้วก็มีอันต้องลืมตาขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวนั่งอยู่ตรงศาลาท่าน้ำของเรือนไทยกำลังนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นภรรยาเลยคิดว่าหญิงสาวผู้นี้ก็คงหวาดกลัวเหมือนกันอาจจะคิดมาขอหวยเหมือนตนและโดนสิ่งลี้ลับหลอกเลยไม่กล้าขยับตัวออกไปไหนทำได้แต่ร้องไห้ให้คนมาช่วย
ภรรยาเอามือแตะบ่าหญิงสาวผู้นั้นเพื่อจะปลอบแต่มือกลับผ่านตัวหญิงผู้นั้นไปอย่างง่ายดาย
"ผีๆๆๆ ผีหลอกไม่อยู่แล้ว"
สองสามีภรรยาพากันวิ่งหนีออกมาจากบ้านเรือนไทยอย่างไม่คิดชีวิต ผมของทั้งสองตั้งขึ้นโดนอัตโนมัติพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ตลอดทางวอนให้คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วยอย่าให้โดนผีหลอกอีกเลย
เจ้าของบ้านเช่าที่อยู่ข้างๆบ้านเรือนไทยเปิดผ้าม่านออกมามองสองสามีภรรยาวิ่งหนีออกจากบ้านเรือนไทยมาและปิดผ้าม่านไว้อย่างเดิม พร้อมกับคิดไปถึงอดีตเก่าที่คุณปู่ทวดคิดจะยกสมบัติบ้านเรือนไทยนี้ให้กับหล่อน ตอนนั้นก็ดีใจอยู่หรอกแต่พอหลังจากคุณปู่ทวดเสียไปก็ไม่มีใครคิดจะไปเหยียบบ้านหลังนั้นอีกเลย แม้แต่จะคิดราคาเช่าราคาถูกๆให้พวกคนงานอยู่ ยังไม่มีใครทนอยู่ได้เกินวันเลย ทำให้หล่อนรู้สึกปลงกับชีวิตเหลือเกินว่าคงไม่มีทางสามารถขายบ้านหลังนี้ให้ใครเช่าได้อีกแล้ว เพราะขนาดจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดยังไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งในบ้านเลยทั้งๆที่พยายามให้ราคาสูงๆแล้วก็ตามจึงต้องเป็นภาระแก่ผู้ที่ย้ายเข้าไปอยู่ต้องทำความสะอาดเองทุกครั้ง
"น้อยเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่คนหนีออกมาจากบ้านหลังนั้น" เจ้าของบ้านเช่าหันมาถามสาวใช้คนสนิท
"999 แล้ว แต่ถ้ารวมจำนวนคนทั้งหมดก็ประมาณ 2,300 คน แต่ถ้าดูโดยรวมแล้วอาทิตย์นี้ทำลายสถิติคนหนีออกไปถึง 320 คน ภายในอาทิตย์เดียว" สาวใช้ผูกผมแกะสองข้าง หน้าขาววอกด้วยโปะแป้งเป็นผู้ตอบ
เจ้าของบ้านเช่าทำหน้ากลุ้มใจก่อนจะนั่งลงพร้อมกับหยิบยาดมขึ้นมาดม
ที่บ้าน มณีรัตน์ รถสปอตสีแดงมาจอดหยุดตรงหน้าบ้านสีครีมประตูรั้วเหล็กทาสีทอง มณีรัตน์เปิดประตูก้าวลงจากรถพร้อมกับเอ่ยช่วยให้ปฎิภาคเข้าบ้านไปนั่งพักผ่อนก่อนเดี๋ยวหล่อนจะหาอะไรเย็นๆให้ดื่ม ปฎิภาคตอบปฏิเสธด้วยเห็นว่าดึกมากแล้วจะเป็นการไม่ควรและจะเป็นการรบกวนพ่อแม่ของมณีรัตน์ที่กำลังนอนพักผ่อนอยู่เปล่าๆมณีรัตน์เลยตามใจปฎิภาคให้เขากลับบ้านไปได้
"หลับฝันดีนะครับ" ปฎิภาคเอ่ยพร้อมกับจับกุญแจรถ
"ค่ะ ภาคก็เหมือนกันนะคะ" มณีรัตน์พูดก่อนจะหันไปให้กุญแจไขประตูบ้าน
"ครับ" ปฎิภาคขานรับพร้อมกับทำท่าทำความเคารพเหมือนตำรวจ
ปฎิภาคมองจนแน่ใจแล้วว่ามณีรัตน์เข้าบ้านไปอย่างปลอดภัยแล้วจึงสตาร์ทรถขับออกไปจากบริเวณหน้าบ้านของมณีรัตน์
ขากลับของคืนนั้นฝนตกหนักมากปฎิภาคขับรถไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากฝนที่สาดเข้ามาที่กระจกแม้ปฎิภาคจะกดปุ่มให้หลังคารถพับมาปิดคลุมเหมือนรถทั่วไปแล้วก็ตามทำให้ปฎิภาคมองทางข้างหน้าด้วยความยากลำบากต้องพยายามขับช้าๆเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ แต่แล้วก็ไม่วายรถเขาเกิดดับกลางถนนสตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยติดเท่านั้นก็ไม่ค่อยมีบ้านเรือนปลูกอยู่เท่าไหร่ทำให้เขาต้องลงจากรถเพื่อเข็นรถไปหลบข้างทาง และจอดทิ้งไว้กะว่าจะไปหาผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ให้มาช่วยเขาสักหน่อยและไม่แน่ว่าอาจจะต้องขอค้างคืน สัก 1คืน เนื่องจากฝนตกหนักเหลือเกิน แต่จนรอดก็ไม่เห็นมีบ้านสักหลังแต่ก็นับว่าโชคยังเขาข้างเขาบ้างทำให้เขาไปสะดุดตากับบ้านสีฟ้าขนาดปานกลางไม่เล็กและใหญ่จนเกินไปเลยพยายามจะวิ่งไปที่บ้านหลังนั้นเพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าของบ้านแต่ด้วยพื้นที่เขาวิ่งอยู่บนดินเมื่อโดยน้ำฝนจึงชื้นแฉะและลื่นเป็นธรรมดาทำให้เขาทรงตัวไม่อยู่ล้มลงกลิ้งไปตามพื้นลาดของพื้นดินลงสู่คลองเล็กๆและสลบไปใต้ผืนน้ำของคลอง แต่ก็ปรากฏหญิงสาวหน้าตาสะสวยแต่งชุดเหมือนหญิงไทยในสมัยอดีตโผล่เข้ามาเขาช่วยไว้ก่อนที่ตัวของเขาจะลงสู่พื้นลึกของคลองนั้น
*นานเท่าไหร่ เฝ้ารอมานานเท่าไหร่
เฝ้ารอหัวใจอีกดวงเดินทางมาหา
เพราะฉันแน่ใจ ว่าความรักทีไม่ไกลสุดฟ้า
คนที่หัวใจคอยหา คงมาถึงในสักวัน
**ไกลเท่าไหร่ เดินทางมาไกลเท่าไหร่
ตามหาหัวใจอีกดวงที่ใจเรียกร้อง
คงมีสักวัน ที่ความรักจะสมใจปอง
วันที่หัวใจทั้งสอง ได้พบเจอกันเสียที
***แล้วในที่สุดโลกก็หมุนให้เราพบกัน
สิ่งที่ฝันพลันกลายเป็นจริงในวันนี้
มันคือการรอคอยของใจดวงหนึ่ง
กับการมาถึงของหัวใจอีกดวง
รักกำเนิดเกิดกลางเชื่อมใจสองดวง
หยุดการเดินทางทั้งปวง ลงหลักปักฐานหัวใจ
จากวันนี้ไป
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................
แล้วพบกันอีก.....ทุกวันที่ฝนตก
ความคิดเห็น