ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Pokemon Ruby & Sapphire Special IV Ragnarok

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 1 ตำนานแห่งปฐมบท

    • อัปเดตล่าสุด 7 เม.ย. 55


                     

        เสียงสายลมดังสนันวูบวาบกระทบใบหู สัมผัสเย็นๆพัดผ่านทุกรูขุมขนบนร่างกาย กลิ่นเค็มของน้ำทะเลด้านล่างถูกสายลมพัดหอบขึ้นจนรู้สึกคันจมูก ทัศนียภาพด้านหน้าไม่เห็นสิ่งใดของผื้นฟ้าคราม ทะเลสีมรกต หมู่มวลเมฆสีขาวลอยปะปนด้านบน
        วัตถุที่ถูกสร้างจากเหล็กกล้ากำลังโบยบินอยู่กลางอากาศโดยมีแผ่นใบพัดคอยหมุนเพื่อพยุงน้ำหนักของมันให้ลอยกลางอากาศ ภายในสิ่งนั้นยังบรรจุร่างของคนหลายคนอยู่
        "ถึงแล้ว"เสียงๆหนึ่งดังขึ้นเมื่อเฮลิคอปเตอร์กำลังลอยอยู่เหนือเกาะแห่งกลางมหาสมุทร ประตูด้านข้างเฮลิคอปเตอร์ถูกเปิดสายลมกระโชกพัดเข้ากระทบหน้าคนด้านใน ก่อนหลายๆคนจะชะโงกหน้าออกไปมอง
        'และแล้ววันเวลาอันสงบสุขของผมก็จบลง...'คำๆนี้ยังวนเวียนอยู่ในหัวชายหนุ่ม ขณะตัวเขาทอดมองลงไปบนเกาะร้างไร้ผู้คนเพียงปล่องภูเขากับดงป่าไม้ที่ปกคลุมทั้งตัวเกาะ
        ทุกสิ่งทุกอย่างมันเริ่มจาก...
             -ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้-
        น้ำชาร้อนในถ้วยชาถูกวางบนโต๊ะรับแขกไม้ตัวกลม ภายในห้องที่ปู้ด้วยเสื่อทาซามิสไตล์ญี่ปุ่น รูบี้วางแก้วเสร็จก็ถอยออกมาก้าวหนึ่งแล้วนั่งลงก่อนหันไปถามแขกผู้มาเยือน
        "ตกลงมีธุระอะไรกับผมหรอครับ?...คุณเซตะ"รูบี้มองหน้าชายผู้แผงด้วยรอยยิ้มผมสั้นสีดำ ดวงตาสีดำภายใต้กรอบแว่นสี่เหลี่ยมจ้องมองตาก่อนยกซกถ้วยชานั้นแล้วจึงเอ่ยปากตอบ
             หลังจากอีกฝ่ายโผล่ทำให้เขาต้องจำพาอีกฝ่ายมาคุยธุระที่บ้านอย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะที่โรงเรียนคงไม่เหมาะกับการคุยเท่าไร
        "ฉันมีเรื่องอยากให้เธอช่วยหน่อย เหมือนครั้งที่แล้วนะ"อีกฝ่ายพูดตรงๆ รูบี้ทำหน้าบูดทันทีก่อนปฏิเสธทันควัน
        "Say NO! ครับ คราวที่แล้วผมเกือบเอาชีวิตไปทิ้งเพราะคำขอร้องคุณ"รูบี้เอ่ยพร้อมกวาดสายตาเขม้นใส่ อีกฝ่ายยิ้มแห้งๆก่อนมีเสียงบางคนเข้ามาแทรก
        "คราวนี้เจออะไรอีกหรอค่ะ"เสียงดังพร้อมร่างหญิงสาวอายุพอๆกับรูบี้ค่อยคลานเข้ามานั่งข้างๆตรงที่ว่างของโต๊ะกลม รูบี้ทำหน้าเหมือนจะพูดว่ายุ่งอะไรด้วย ก็โดนอีกฝ่ายแยกเขี้ยวใส่กลับ
        "นายไม่อยากรู้แต่ฉันอยากรู้"อีกฝ่ายเอ่ย พร้อมมีร่างหญิงสาวอีกคนเดินพยักหน้าสนับสนุน สองคนนี้ไม่ใช่ใครนอกจากแซฟไฟรกับนามินั้นแหละ
        "นั้นสิ พวกเราก็อยากรู้"เสียงประสานอย่างพร้อมดังขึ้นพร้อมร่างบรรดาพชรุ่นพี่มิตรสหายพากันโผล่ขึ้นราวดอกเห็ด รูบี้รู้สึกเส้นประสาทปูดขึ้นเล็กน้อยก่อนหันถาม
        "แล้วพวกคุณที่เหลือมาทำไมมิทราบ"แซฟไฟรกับนามิ หรืออายูมิยังพอเข้าใจ แต่คนอื่นๆจะตามทำไม ธุระของเป็นของเขาคนเดียว
        "ก็ฉันอย่างรู้"โกลด์กับคาซึและบลูตอบ พร้อมคำตอบที่สารพัดอ้างจากคนอื่นๆ รูบี้ถอนหายใจก่อนหันไปแว๊บมองเห็นคนที่ไม่น่าจะร่วมโดนมาด้วยสองสามคน
        "นายเล่นโดดเรียนมาแบบนี้ ฉันต้องมาจับตาดูสิ"ยุยตอบ
        "ยัยพวกนี้ลากฉันมา"อันจิซาเมะตอบพร้อมชี้ใส่บลู
        "ฉันแค่ตามมิคังมา"ยามิที่เพิ่งแยกกันไปกับมานั่งร่วมอีกครั้ง รูบี้ถอนหายใจปลงๆเล็กน้อย ไปๆมาๆเขากลับเป็นตัวต้นเหตุพาคนครึ่งห้องโดดเรียนซะแล้ว
        รูบี้หันมาถามเซตะซ้ำอีกครั้ง เซตะยิ้มรอจังหวะที่ทั้งห้องเงียบลงเพื่อรอฟังเขาก่อนเริ่มเกริ่นนำ
        "พวกเธอรู้จักความเชื่อของฮีบรูหรือยิวโบราณหรือเปล่า..."
        "หมายถึงความเชื่อของศาสนายิวหนอค่ะ"โนโดกะซึ่งเคยอ่านหนังสือเอ่ยปากถามย้อน
        "ใช่ อย่างที่พวกเธอรู้กันว่า ฉันเป็นนักโบราณคดีเป็นอาชีพหลัก แล้ววันหนึ่งก็ไปขุดสิ่งนี้เข้า..."อีกฝ่ายแกะห่อผ้าที่หิ้วมาตลอดวางบนโต๊ะกลม เมื่อกางผ้าใบออกก็เผยให้เห็นแผ่นหินอายุเก่าแก่แผ่นใหญ่แผ่นหนึ่งบนสลักด้วยลายอักษรประหลาดตาพร้อมรูปภาพแกะสลัก
        "นี้มัน..."คนรอบๆเริ่มหันกันเดินเข้าดูอย่างแปลกใจ ยูเอะกับโนโดกะซึ่งมีความถนัดด้านพร้อมพากันมองดูแผ่นหินอย่างละเอียด
        "แผ่นจารึกของชาวยิวโบราณ คาดว่ามีอายุไม่ต่ำกว่า2000ปี ถูกพบค้นที่อิสลาเอลเมื่อหลายวันก่อน แต่นั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเนื้อหาบนนั้นตั้งหาก"เซตะเผยพร้อมอธิบาย ทุกคนจ้องไปอักขระโบราณบนแผ่นพร้อมรูปวาดเหมือนสัตว์ประหลาดสามตัวกับสิ่งคาดว่าจะพระเจ้าอีกหนึ่ง แต่ทว่าอักษรและหายไม่ค่อยชัดเจนเท่าควร มีบางส่วนผุพังไปตามกาลเวลา
        "บนนี้เขียนอะไรบ้างละค่ะ"โนโดกะถามด้วยความอยู่ ขณะคนก็หันมาเซตะเป็นเป้าหมายเดียว
        "อืม...อันที่จริง มันเป็นภาษาโบราณที่แปลยาก ทีมงานได้ให้นักภาษาศาสตร์ลองแปลแต่ได้ช่วงต้นนะ เพราะช่วงปลายขาดหายตามรอยแหว่ง"อีกฝ่ายเอ่ยพร้อมล้วงกระดาษปึกหนึ่งออกจากกระเป๋าสะพาย
        "...กล่าวถึงตำนานเริ่มครั้นตั้งแต่ยุคที่ทุกอย่างทุกอย่างยังเป็นศูนย์ สรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า ต่อมาได้การเกิดปฏิกิริยาเคมีครั้งใหญ่เกิดระเบิดขึ้นหรือในที่ทุกคนรู้จักกันว่า บิกแบงก์(Bigbang) การระเบิดบิกแบงก์ก่อให้เกิดห้วงอวกาศ ห้วงกาลเวลา รวมกันเป็นกรวยแสง ใจกลางระเบิดนั้นคือโปเกม่อนผู้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง อาเคอัส อันตัวอาเคอัสกำเนิดจากบิกแบงก์และบิกแบงก์มีต้นพลังมาจากตัวอาเคอัส จึงเป็นกล่าวขาน มันคือผู้สรรค์สร้างสรรพสิ่งขึ้น เมื่ออาเคอัสถือกำเนิด มันได้แบ่งพลังออกให้กำเนิดDialga, PalkiaและGiratinaเพื่อดูแลแกนแวลา แกนอวกาศ และกรวยแสงตามลำดับ
        เวลาผ่านไปดาวเคราะห์ในอวกาศเริ่มก่อเป็นรูปเป็นร่าง ขณะทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างปกติ มีสิ่งแปลกปลอมสิ่งหนึ่งหลุดของให้อาณาจักรทั้งสาม(ห้วงอวกาศ แกนเวลา และกรวยแสง - ขอใช้คำนี้แทน)วัตถุนั้นเคลื่อนที่ในลักษณะดาวหาง ก่อนดาวหางปริศนาจะพุ่งชนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง พลังงานของมันเปลี่ยนแปลงมวลสาร ธาตุต่างๆของดาวเคราะห์จนเกิดการแบ่งแยกออกเป็น ผืนดิน ผืนน้ำ ผืนฟ้า ดาวเคราะห์นี้คือ ดาวเคราะห์อันดับ 3 ของระบบสุริยะ หรือก็คือโลก(Earth)
        ต่อมาอาเคอัสผู้สร้างสัมผัสถึงสิ่งแปลกปลอมก่อนหน้านี้ได้จึงได้ตามร่องรอยของมาจนถึงโลก ยามมาถึงอาเคอัสสัมผัสได้ถึงก้อนพลังงานจากอุกกาบาตที่ฝังอยู่บนพื้นโลก พลังงานที่มันปล่อยออกมามีความคล้ายคลึงกับตัวมันครั้นก่อกำเนิดหรือพูดอีกนัยๆ อาเคอัสรู้ว่าสิ่งนี้ๆคือ "ว่าที่ ผู้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง"เช่นเดียวกับมันนั้นเอง
        ด้วยเหตุใดไม่มีใครอาจรู้ได้พลังงานที่มันสะสมกลับไม่ระเบิดพร้อมทั้งตกลงบนดาวเคราะห์ไร้ชีวิตแห่งนี้ ตัวอาเคอัสเห็นว่าหากปล่อยมันจะเสียเปล่าจึงพยายามหาวิธีเปลี่ยนพลังงานของก้อนพลังงานนี้เพื่อสร้างสรรค์สิ่งต่างบนดาวนี้แทน โดยตั้งชื่อก้อนพลังงานนี้ว่า "พลังงานต้นกำเนิดที่ไม่สามารถระบุได้(Marternal Enegy of Unknown)"
        แต่ทว่าบนดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลกยังสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากก้อนพลังงานนี้อยู่ เมื่อครั้นอุกกาบาตลูกนี้ตกลงมาบนโลกเกิดเหตุไม่คาดฝันชิ้นส่วนของอุกกาบาตแย่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกนั้นคือที่อาเคอัสค้นพบ ส่วนอีกส่วนกลับแยกออกกระจายออกอีกเป็น 3 ส่วนและด้วยความบังเอิญที่ก้อนแรกสุดซึ่งมีขนาดใหญ่ตกลงสู่พื้นก่อนทำให้พลังงานจากก้อนแรกแพร่กระจายบนคลุมพื้นผิวโลก ก้อนพลังงานย่อยทั้งสามจึงตกลงโดยไม่สูญเสียพลังงาน หนำซ้ำพวกมันยังดูดพลังงานที่อยู่บนโลกเข้าหาตัว โดยก้อนแรกลอมรวมกับพลังงานจากพื้นดิน ก้อนที่สองดูดซับจากพื้นน้ำ ก้อนที่สามดูดกลืนพลังงานจากธาตุอากาศ พลังงานสะสมมากขึ้นจนเกิดเป็นวิวัฒนาการ เศษก้อนอุกกบาตพัฒนาตนจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมเป็นมลพิษยังไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดถือกำเนิดดำรงชีพได้ จนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตสามตนแรกบนโลกหรือคือ"ผู้บุกเบิก"
         อาเคอัสได้ประจันกับทั้งสาม พวกมันตามร่องรอย"พลังงานต้นกำเนิด"มาเช่นกัน เพราะพวกมันเป็นเศษครึ่งหนึ่ง จึงออกตามอีกครึ่งของตน อาเคอัสสัมผัสได้ถึงพลังงานอันมหาศาลจากทั้งสามตน มันมากกว่าตัวของผู้คุมอาณาจักรทั้งสามหรือตัวอาเคอัสเองเสียอีก
        เดิมทีอาเคอัสสูญเสียพลัง8ส่วนไปในการระเบิดบิกแบงก์ อีก 1 ส่วนสำหรับสร้างDialga, Palkia,Giratinaและส่วนประกอบอื่นในอาณาจักรทั้งสามจึงมีเพียงพลัง 1 ส่วนที่เหลือ อันที่จริงหนึ่งส่วนเพียงพอที่จะทำลายอวกาศให้เละเทะได้แล้ว ทว่าศัตรูของมันกลับมีมากกว่าถึง 3 ตน
        การต่อสู้แม้อาเคอัสจะได้เปรียบที่ตนมีพลังงานทุกธาตุหลอมรวมเป็นหนึ่ง แต่อีกฝ่ายนั้นมีพลังที่สูงกว่า การดูดซับพลังจากอีกฝ่ายจึงแทบเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งพลังงานของอีกฝ่ายมิได้มาตัวของอาเคอัส แต่มาจาก"พลังงานต้นกำเนิด"ที่เปรียบดั่งอาเคอัส2 จึงส่วนประกอบอนุภาคหลายอย่างที่แตกต่างกัน
        อาเคอัสเห็นท่าไม่ดีหากปล่อยให้ทั้งสาม ดูดซับพลังงานจาก"พลังงานต้นดำเนิด"ได้ จะเป็นภัยต่อสรรพสิ่ง ต่อให้อาเคอัสหรือผู้ปกครองทั้ง3มารวมตัวกันก็มิอาจต้านทานได้
        ครั้นจนมุมอาเคอัสได้เสี่ยงใช้พลังงานจาก"พลังงานต้นกำเนิด"ประสานกับพลังของตนผนึกทั้งสาม ผลที่เกิดขึ้น ร่างพลังงานของทั้งสามหลุดออกจากร่างเนื้อ พลังงานตกตะกอนอยู่ในรูปผลึกฝังลงใต้พื้นโลก
        เมื่อจบการต่อสู้อาเคอัสได้ใช้พลังงานที่เหลือของ"พลังงานต้นกำเนิด"สร้างสิ่งมีชีวิตไว้บนโลก นั้นคือ พืช มนุษย์ และโปเกมอน เพื่อป้องกันไม่ให้พลังงานสูญเสียอย่างไรประโยชน์ตัว แต่สาเหตุหลักจริงคือเพื่อกระจายพลังที่เหลือออกเป็นหลายส่วนไม่ให้ทั้งสามคืนชีพมาเอาคืนได้อีก อาเคอัสสูญเสียพลังมากจึงได้ย้อนกลับที่มิติของตนเพื่อฟื้นฟู
        ด้าน"พลังต้นกำเนิด"หลังจากโดนใช้ไปเกือบหมดพลังงานส่วนยังเหลืออยู่นิดหนึ่งเปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆมีตอนหลังมีคนขนานนามมันว่า “Mew” อันมาจากความเพี้ยนเสียงของการรวมตัวหน้าชื่อดังเดิมของมัน (Marternal Enegy of Unknown นำตัวหน้ามาเป็น MEU เพี้ยนเป็น MEW)นั้นคือสาเหตุที่มิวเป็นมารดาของโปเกมอน เพราะทุกตัวมีรากฐานมาจากตัวมันที่อาเคอัสแยกออกมานั้นเอง
        ในขณะเดียวสิ่งมีชีวิตทั้งสามได้เลือนหายไปในประวัติศาสตร์เหลือเพียงชื่อที่ยังอยู่ที่เรียกว่า 'สามมหาสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์' ผู้บุกเบิกโลก!...."เซตะร่ายยาวราวบทกลอน เนื้อหาประวัติศาสตร์ถูกเล่าออกเป็นฉากชวนให้นึกภาพ เซตะกลืนน้ำลายหนึ่งเพื่อไม่ให้ลำคอแห้งกะดากจนเกินไปก่อนพูดต่อช่วงท้ายให้จบ
        "ชื่อของ'สามมหาสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์'คือ..."
        "...ราชาแห่งผืนฟ้า ซิซ(Ziz) ราชีนีแห่งมหาสมุทร เลวีธาน(Levithan)และราชันย์แห่งพิภพ เบฮีมอท(Behemoth)..."เสียงๆหนึ่งแทรกขึ้นระหว่างเซตะพักช่วงหายใจต่อท้ายคำตอบของเซตะจนหมดทุกคนล้วนหันไปทางต้นเสียงเพื่อหาคำตอบว่าคนที่พูดคือใคร
        "รูบี้...?"คนพากันแปลกใจ รูบี้จ้องมองแผ่นศิลาบนโต๊ะไปพร้อมมือที่ลูบคล่ำราวกำลังถอยความหมายบนนั้น ดวงตาสีแดงขุ่นกำลังทอดมองอย่างเหม่อลอยคล้ายคนจิตไม่อยู่กับตัวเท่าไร
        "ใช่แล้ว... รูบี้คุงเธออ่านมันออกด้วยหรอ?"เซตะประหลาดใจปล่อยคำถามที่ทุกคนอยากรู้ออกมา รูบี้เหมือนคนโดนปลุกสะดุดเล็กน้อยหันมาเป็นปกติ
            "อูย ไม่รู้สิครับ พอมองมันรู้สึกเหมือนเคยเห็น..."เขาจับขมับหัวเบาๆ เมื่อมีอาการปวดหัวตึบขึ้นเมื่อพยายามย้อนคิดว่าเคยเห็นที่ไหน ขณะเดียวกันแซฟไฟรก็มองแผ่นหินไม่ปล่อย ก่อนเธอจะไปส่ายหัวเบาๆเพื่อสลัดความมึนงงในหัว
        "งั้นฉันคงมาไม่ผิดที่ละนะ แต่ในศิลาก็บอกสิ่งอีกสิ่งหนึ่งซึ่งสิ่งนี้ที่ฉันอยากขอร้องพวกเธอ..."
        ผลสุดท้ายคือพวกเขาเลยต้องมาเกาะแห่งนี้ พวกรูบี้มองไปเกาะด้านหลังอย่างระมัดระวัง เกาะด้านล่างนี้ไม่ปรากฏบนแผนที่โลก ไม่ติดบนภาพถ่ายดาวเทียมไม่เคยมีการค้นพบมาก่อน แต่กลับมีตำแหน่งระบุบนแผ่นศิลาโบราณ ไม่แน่ที่อาจเป็นสถานลึกลับอห่งหนึ่งของโลกก็ได้
        "แล้วไงต่อละงานนี้"ไม่รู้ใครโพล่งขึ้นมา แต่เซตะเป็นคนตอบคำถามนี้"พวกเราต้องลงตรงน้ บริเวณชายหาดไม่กว้างพอที่จะเอาเครื่องลง"
        "เหหหห!!"คนอื่นๆร้องเสียงหลงเพียงโกลด์กับพวกผู้ชายที่บ้าเรื่องท้าทายเป็นใหญ่อย่างเร้ด คาซึ หรือไม่ก็ไม่รู้สึกรู้สา อย่างกรีน ซิลเวอร์ที่ไม่ร้องตาม
        "อย่างว่าแหละ คิดว่าพวกเธอคงใช้เป็นสินะ สายดึงอยู่หลัง แบกมันบนหลังแล้วก็..."อีกฝ่ายพูดไปใส่สวมกระเป๋าร่มชูชีพไป ก่อนเดินไปที่ประตูที่เปิดอ้าไว้"...ทำแบบนี้!"
        พูดเสร็จเจ้าตัวก็กระโดดหันหลังลงจากเครื่องบิน พอถึงระยะหนึ่งก็ทำการดึงเชือกร่มชูชีพออก ร่มชูชีพกางโปงด้วยแรงลมที่พัดพาขึ้นพยุงให้ร่างลอยค้างบนอากาศและค่อยๆร่อนลงอย่างช้าๆ
        "โอ้ ง่ายอย่างี้เอง"โกลด์พูดเหมือนเข้าใจ แต่บรรดาสาวๆหน้าซีดเป็นไข้ต้มยกเว้นบางคน
        "ไหวกันไหมเนี่ย"คริสตัลพอเข้าใจจิตใจคนอื่นบ้างหันมาถามบรรดาคนอื่นๆ
        "กลัวอารายเนี่ยมันเตี๊ยกว่าตอนลงมาจาก ปราสาทซุน อีกนะ"โกลด์เอ่ย คริสตัลตะคอกกลับไปทีหนึ่งก่อนหันสนใจคนอื่นแทน
        "เธอใช่เป็นอะเปล่า"รูบี้แซวแซฟไฟรตามปกติ แน่นอนคำตอบที่ได้ย่อมเป็นปกติ"เป็นสิยะ!"
        "พวกหนูไม่เท่าไรหรอกค่ะ คนนู้นนะน่าเป็นห่วง"จิซาเมะชี้ไปทางนามิที่นั่งตัวขดไม่ยอมขยับ คนอื่นพากันหยิบแห้งๆ รูบี้หันมามองแล้วยิ้มแบบคนข้างๆพากันสะดุดก่อนเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
          "เป็นอะไรหรอครับ องค์หญิง เจอแค่นี้ก็หงอยแล้ว"รุบี้ยิ้มยี่ยวนใส่อีกฝ่าย นามิกัดฟันเงยหน้าขึ้นจ้องอีกฝ่านเขม็ง"ใครหงอย ของแค่นี้นะ...!!"
        "งั้นช้าอยู่ใย ไม่มาโดดดูละครับ"รูบี้เชิญชวน นามิกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ อนิจจังอัตตาเหนือกว่าความกลัวได้ นามิคว้ากระเป๋าร่มชูชีพมาอันหนึ่ง พร้อมเดินขาสั่นพับๆ ขณะคนอื่นพากันมองแล้วไม่รู้หัวเราะหรือร้องไห้ดี 
        "รูบี้อย่า..."แซฟไฟรหมายห้ามพร้อมเข้าเตะเจ้ารูบี้ซักที เล่นแกล้งกันแบบนี้ออกจะเกินไปหน่อยแต่คนที่ห้ามเธอไม่ใช่นอกจากตัวนามิเอง รูบี้คลี่ยิ้มพร้อมแหวกทางให้อีกฝ่ายคล้ายเชิญให้เดินไป นามิเดินมาหยุดหน้าประตู ก่อนหยุดชะงักเมื่อมองไปด้านหน้า
        "เฮ้ พอแล้วน่า นามิเธอไม่ไหวก็พอเถอะ"จิซาเมะสุดจะทน พร้อมหันตะคอกใส่รูบี้ที่แกล้งอีกฝ่าย คนอื่นพอมีคนเริ่มก็เริ่มต่อว่าบ้าง รุบี้ได้เกาหัวแกรกๆ
        แต่เสียงช่วยเหลือกลับกลายเป็นสิ่งกดดันอีกฝ่าย นามิเป็นประเภทยอมหักไม่ยอมงอ อีกฝ่ายกลั้นใจกระโดดโดยไม่สนใจหน้าอินทรหน้าพรหม และแทบจะหมดสติทันทีเมื่อตัวพ้นจากเครื่อง
        "คุณนามิ โดดไปแล้วค้า แถมหมดสติด้วย"โนโดกะเหลียวหันมามองทันแต่ไม่ทันห้าม คนอื่นหันขวับพร้อมอุทานเสียงดัง ขณะเดียวมองมาหารูบี้ก่อนหายไปจุดเดิมพร้อมๆกระโจนออกไปด้านนอกแล้ว
        "ให้ตายสิ!!"รูบี้ยอมรับเลยจริงๆอีกฝ่ายไม่ยอมงอง่าย เข้ารีบโดดตามอีกฝ่ายไปพร้อมคว้ากระเป๋าอีกฝ่ายดึงเชือกออก ร่มชูชีพกางออกอย่างรวดเร็ว พยุงร่างนามิให้ร่องลงอย่างสวัสดิภาพแม้อีกฝ่ายหมดสติก็ตาม กลับกันปัญหาตอนนี้คือตัวรูบี้เองไม่กระเป๋ามาด้วยตั้งหาก
        "เฮ้อ..."รูบี้ถอนหายใจหนึ่งรอบ เมื่อตัวเองร่วงลงออกหางนามิที่กางร่มชูชีพ ก่อนสะบัดมือเล็กน้อยแล้วกางออก เพียงชั่วพริบตากงเล็บยักษ์สีแดงยืดขยายออกกระแทกบนพื้นคล้ายเสาดันร่างที่ตกลงให้หยุดก่อนรูบี้จะเหวี่ยงร่างตัวเองให้ลอยบนอากาศควงหมุนลงบนพื้นอย่างสวยงาม
        "Cut! ยอดมากครับลูกพี่"พลัสซูลกับโปเกมอนตัวอื่นของชายหนุ่มออกจากบอลเมื่อไรไม่รู้ แต่ที่แน่ๆภาพควงหมุนยิ่งลีลายิมนาติกเมื่อกี้คงโดนถ่ายเห็บเข้าแฟ้มโดยทีมงานชุดนี้แล้วละ
        "ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ค่อยเท่าไรเลยนะ"จิซาเมะเอ่ย ขณะแซฟไฟรแยกเขี้ยวหมายลงไปทุบหัวหมอนั้นซะที โกลด์เห็นน่าสนุกก็ทำตามอีกฝ่ายโดยการโดดแบบไม่ใช่ร่มชูชีพอีกคน(ตามด้วยเร้ด)ซึ่งคนอื่นแม้อยากจะห้ามแต่ก็ฉุกไม่อยู่จริงๆ
        "แบบนี้พวกนี้เนี่ยนะ"พวกคริสตัลเอือมรอะาก่อนค่อยทยอยกันโดดลงไปโดยมีร่มชูชีพติดตัว
        ภาพหวาดเสียวผ่านไปเยอะแบบนี้ทำเอาคนบนเครื่องกลัวที่จะโดดลงมาไปกว่า โดยบรรดากลุ่มสาวบอบบางซึ่งไม่ได้เหนือมนุษย์แบบหลายคน
        "พวกยุยกลัวแบบนั้นไม่ใช่โปเกมอนลงกันละ"แซฟไฟรหันบอกความคิดเห็น ก่อนคนอื่นจะทำหน้าเหมือนทำไม่คิดไม่ออกกันแต่แรกละเนี่ย
        หลังจากลงมาจากเครื่องกัน เฮลิคอปเตอร์ก็ถอยร่นกลับไปโดยไม่คิดจะบนวนเพื่อดูสถานการณ์ เซตะบอกว่าอีกฝ่ายจะมารับอีกภายใน 5 ชั่วโมงจากนี้หรือก็คือราวๆ 5โมงเย็นพอดี ก๊วนรูบี้เดินทะลุป่าไปตามแผนที่ร่างมาแบบหยาบๆจากการถอกความบนแผ่นศิลา
        "จากที่แผนที่บอกเราเดินทะลุไปเรื่อยจะเจอวิหารโบราณ"เซตะกางแผนที่เปรียบเทียบ น่าเสียดายบนเกาะเหมือนจะลักษณะพิเศษ เข็มทิศใช้การไม่เพราะคลื่นแม่เหล็กบนคลุมทั่ว อาจเป็นเหตุผลที่นี้ทำให้ภาพดาวเทียมไม่อาจถ่ายภาพติดได้
        "แต่น่าสงสัยอย่างหนึ่งนะครับ สิ่งนั้นจะอยู่ที่นี้จริงหรอ"รูบี้ถามด้วยใบหน้าเต็มไปรอยปูดโนของรอยช้ำจากฝีมือใครบางคนจากด้านหลังซึ่งเอาแต่จ้องกินเลือดกินเนื้อเขาตลอดเวลา
        "อืม...ฉันก็ไม่แน่ใจเท่าไรนะ หน้าไม่เป็นไรแน่นะ..."เซตะตอบพร้อมถาม
        "ไม่เป็นไรครับ..."รูบี้ตอบยิ้มๆ
        "ดาบศักดิ์สิทธิ์ เอ็กคาลิเบอร์งั้นเหรอ..."รูบี้ยิ้นคิดไปถึงตอนได้รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่บนนี้ครั้งแรกในบ้านเขา
        "ถ้าพูดถึงเอ็กคาลิเบอร์จริงๆมันควรอยู่กับกษัตริย์อาเธอร์หรือก็บ่อน้ำเทพธิดาแห่งดาบตามตำนานซักแห่งบนแผ่นดินยุโรปมากกว่าไม่ใช่หรอครับ"
        "มันก็ช่ายแต่ก็หน้าเราเจอหลักฐานที่ทำให้สรุปความได้ว่า ดาบเอ็ดคาลิเบอร์ที่กษัตริย์ใช้ในอดีตเป็นเพียงดาบลูกเท่านั้น"เซตะตอบ
        "ดาบลูก?"
        "หมายถึงดาบที่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของดาบจริงๆเล่มนั้นไงละ มาจาบันทึกของกษัตริย์อาเธอร์เอง ดาบเอ็กคาลิเบอร์ที่แท้จริง มีพลังมากกว่าดาบของอาเธอร์หลายเท่า ว่ากันว่า ขอเพียงถือดาบไว้ทั้งพลังและอำนาจก็สามารถครองโลกได้เพียงชั่วพริบตา..."เซตะกล่าวตามที่ได้รับรู้
        "เอาละถึงแล้ว"เซตะกล่าวขณะมองลงไปด้านหน้าภาพซากปรักหักพังของวิหารโบราณที่สร้างจากวัฒนธรรมยิวโบราณ ถึงสภาพจะเริ่มไม่เป็นตัววิหาร หลังคาหักทลายจนแสงรอดเข้าได้แล้วก็ตาม
        พวกรูบี้ค่อยไถลลงไปพื้นด้านล่าง ทุกคนมองซ้ายขวาอย่างแล้วค่อยเดินทางประตูอย่างช้าๆ ก่อนพวกจะเงยหน้ามองภายในสิ่งที่พวกเขาเห็นคือ...
        "นี้มัน..."
    จบตอน
                ในตอนแรกก็มา อันบนสุดคือ ตอน 0 สำหรับภาค 4 จะแบ่งเป็นช่วง บทกับตอน บทเป็นช่วงเนื้อหาใหญ่ๆส่วนตอนเป็นส่วนย่อยลงมา ด้านคอนเซ็ปต์เนื้อเรื่อง ภาคแค่เลิฟคอมาดี้(ต่อสู้หน่อยๆ) ภาค 2 แนวสงครามนิดๆ ภาค3แนวแฟนตาซีเวทย์มนต์ แต่ภาคนะหรอ แนวบู๊แฟนตาซีล้างโลกละมั้ง? จะมีทั้งดราม่า เลิฟ คอเมดี้ สืบสวน ตำนาน ประวัติศาสตร์ ครบเซ็ต!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×